{{{ จันทร์ผลาญใจ }}}
แสงจันทร์ดูนุ่มนวลละมุนตากว่าแสงอาทิตย์
แต่หากเผลอแม้เพียงนิด อาจผลาญใจได้ไม่ต่างจากฤทธิ์ดวงตะวัน



Tags: รักแรกแค้น, บุลินทร, คามิน, อุรัสยา, สวิช, นิษฐา, ภัคพล, กนกนัดดา, วีรปรียา, ลลิต, ปราบ, สารภี

ตอน: บทที่ 1 แรกสบตาก็เผลอใจ



การแก้แค้น




แม้เรื่องราวระหว่างเขากับอุรัสยาจะมีหลายอย่างที่น่าประทับใจ แต่มันก็เป็นเพียงอดีตอันลวงตาเท่านั้น

ตั้งแต่คืนที่พ่อเสียชีวิต คามินเฝ้ารอผลชันสูตรจากสถาบันนิติเวชวิทยาด้วยใจจดจ่อ เพราะเขามั่นใจว่าหญิงสาวเป็นต้นเหตุทำให้พ่อตาย

ทว่าผลกลับระบุว่าชายวัยกลางคนหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เนื่องจากเส้นเลือดหัวใจที่เคยผ่าตัดบายพาสอุดตัน โดยไม่พบสารเคมีอันตรายในร่างกาย รวมถึงร่องรอยการถูกทำร้าย

คามินผิดหวังไม่น้อยที่ผลไม่เป็นตามที่คิดและเขาคงเอาผิดเธอไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรความโกรธเกลียดชิงชังที่มีต่ออุรัสยาก็ไม่ได้ลดลงเลยสักนิด

ชายหนุ่มข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ให้ระเบิดออกมาในช่วงจัดงานศพ รอจนพิธีฌาปนกิจและลอยอังคารอัฐิบิดาผ่านพ้น จึงกลับมาสะสางเรื่องของหญิงสาวผู้สร้างหายนะให้ครอบครัว

อย่าคิดเลยว่าก่อเรื่องแล้ว เขาจะยอมให้เธอจากไปง่ายๆ เพราะสำหรับเธอไม่มีคำว่าอภัย!

“ผมจะทำให้คุณเจ็บปวดบ้าง นิลิน!” คามินแค่นหัวเราะ ริมฝีปากหยักลึกแสยะด้วยความรังเกียจระคนสมเพช

นั่นคือชื่อของภรรยาสาวคนใหม่ซึ่งพ่อแนะนำให้เขารู้จัก วินาทีแรกที่สบตาเธอ กระแสเย็นเยียบแล่นวาบจับขั้วหัวใจด้วยความช็อก ก่อนจะชาไปทั้งตัวอย่างที่ใครเอามีดมาแทงซ้ำๆก็คงไม่รู้สึก

แม้ชื่อจะไม่ใช่อุรัสยา ผู้หญิงที่เขาคุ้นเคย แต่รูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แตกต่างแค่แววตาที่ว่างเปล่าราวไม่เคยพบเจอกันมาก่อนในชีวิต

คามินมั่นใจว่าเธอคืออุรัสยาแน่นอน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆถึงมาปรากฏตัวในฐานะภรรยาของบิดาได้ หนำซ้ำยังเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่หมดจดราวกับการมาครั้งนี้มีจุดประสงค์ซ่อนเร้น

‘มองตาค้างเลยนะหนึ่ง แต่คนนี้พ่อห่วงนะเว้ย บอกไว้ก่อน’ ปราบเอ่ยทีเล่นทีจริง

เสียงพ่อเรียกสติคามินกลับคืนมา เขามองใบหน้าผู้หญิงที่ยืนข้างท่าน พิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง แล้วคำตอบก็เหมือนเดิม…เธอคืออุรัสยา ผู้หญิงที่เขาเคยคบหาดูใจ ไม่ใช่แค่คนหน้าคล้าย

‘มองอะไรนักหนาวะ บอกแล้วไงว่าหวง’ ผู้เป็นบิดาเขม้นมองลูกชายกลับอย่างเริ่มไม่ไว้ใจและยกมือขึ้นโอบไหล่บอบบางให้เข้าไปยืนชิดใกล้มากขึ้น

‘ผมไม่กล้ายุ่งกับผู้หญิงของพ่อหรอกครับ สบายใจได้’ คามินตอบเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ทั้งที่ภายในปั่นป่วนด้วยความรู้สึกหลากหลาย

การเจอเธออีกครั้งในฐานะภรรยาบิดา หลังจากไม่ได้พบหน้ากันนานสองเดือนกว่า ทำให้เขางุนงงราวถูกอัดด้วยหมัดหนักๆ

เรื่องที่เกิดขึ้นคือความจริงหรือความฝันกันแน่

หากเป็นฝัน ทำไมตอนนี้อาการมึนชาถึงเริ่มกลายเป็นความเจ็บปวดกระจายไปทั่วทุกอณูของร่างกายราวจะฉีกให้กระจุยกระจายเป็นเสี่ยงๆ

อุรัสยาโยนความรักของเขาทิ้งอย่างไม่ใยดี แล้วเลือกใครอีกคนซึ่งไม่ใช่คนไกล แต่เป็นบิดาของเขาเอง เธอมีเหตุผลใดถึงทำเช่นนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนพยายามต่อต้านเขายังกับอะไรดี ทว่าสุดท้ายกลับมาลงเอยกับผู้ชายอายุคราวพ่อเอาง่ายๆ เขาไม่เข้าใจความคิดของเธอเลยจริงๆ

คามินอดน้อยใจแทนแม่ไม่ได้ เพราะพ่อเคยสัญญาหน้าโกศเก็บเถ้ากระดูกของแม่ว่าจะไม่มีใครอีกและจะดูแลเขาอย่างดีที่สุด พ่อทำได้มาตลอดหลายสิบปี ใครจะคิดว่าวันนี้ท่านจะผิดคำพูดตัวเอง

ดวงตาคมกริบฉายแววเข้มข้นขึ้นเพียงแวบเดียว ก่อนจะถูกปกปิดมิดเม้นด้วยความราบเรียบเป็นปกติดั่งคนไม่สะทกสะท้านความร้อนหนาว

‘นิลินจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา’ ปราบบอกลูกชาย แล้วหันไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยสายตารักใคร่ ‘ไม่ต้องกังวลนะนิลิน ทุกคนที่นี่ยินดีต้อนรับหนู’ น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าเอ็นดูเหลือล้น

‘ค่ะ คุณปราบ ขอบคุณมากนะคะ’ อุรัสยาพนมมือไหว้ลงที่อกของชายวัยกลางคนอย่างสุภาพและอ่อนหวานอยู่ในที

เธอคงไม่รู้เลยว่าภาพนั้นบาดตาบาดใจเขาอย่างรุนแรง ไม่สิ เธอรู้แต่ก็ไม่ใส่ใจอยู่แล้วว่าเขาจะเจ็บปวดทรมานเพียงใด!

ทำไมอุรัสยาต้องทำแบบนี้?

เป็นคำถามที่คามินไม่อาจหาคำตอบได้เลย

เขาพยายามทำลายกำแพงอคติของเธอนานกว่าสองเดือนกว่าหญิงสาวจะยอมให้โอกาส จากนั้นจึงได้เริ่มเรียนรู้กันโดยทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่สุดท้ายมันก็จบลงและเหลือเพียงความว่างเปล่า

การกระทำของเธอทำให้ตะกอนขุ่นคลั่กในใจเขาลอยวนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงรสิตา อดีตคนรักเก่าเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัยซึ่งทิ้งเขาไปแต่งงานกับผู้ชายวัยกลางคนอย่างง่ายดายเช่นกัน แม้ครั้งนี้ผู้ชายคนนั้นจะเป็นบิดาบังเกิดเกล้า แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ต่างจากรักครั้งนั้นแม้แต่น้อย สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ความเจ็บปวดที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของหัวใจเขาออกมาแผลงฤทธิ์อีกครั้ง และคราวนี้เจ็บมากกว่าเดิมเป็นร้อยพันเท่า

ความรัก ความจริงใจ ความห่วงใย ทุกความรู้สึกจากใจที่เขามอบให้อุรัสยาไม่ต่างจากการเอาทรายไปถมมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่อย่างไรก็ไม่มีวันเต็ม

หรือที่แล้วมามีแต่เขาคิดไปข้างเดียวว่ามีหวัง ทั้งที่ความจริงไม่เคยเข้าตาเธอเลยแม้สักวินาทีเดียว

ถึงเขาจะเคยผ่านเรื่องราวความรักมาแล้วมากมาย แต่ไม่เคยเสื่อมศรัทธาในรักเท่าครั้งไหนเท่าครั้งนี้

เธอไม่ใช่รักครั้งแรก แต่คือรักแรกพบ คือคนที่เขามั่นใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยอย่างมีความสุขแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน ทว่าสุดท้ายความหวังก็พังทลายไม่มีชิ้นดี

นี่น่ะเหรอคือผลตอบแทนของความจริงใจที่เขามอบให้เธอ!



หกเดือนที่แล้ว…

หลังถวายเพลและกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรรวมถึงคนในครอบครัวผู้ล่วงลับเสร็จแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันนำน้ำออกมาเทด้านนอกโบสถ์ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่เขียวขจี

กนกนัดดาในชุดเสื้อและกระโปรงสีขาวเรียบร้อยเดินเคียงออกมากับสวิช ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คสีน้ำตาลเข้มซึ่งรู้จักกันภายในวัด เพราะเขาและเธอต่างมาทำบุญที่วัดนี้หลายครั้ง เห็นหน้ากันบ่อยเข้าจึงเริ่มพูดคุยทำความรู้จักและกลายเป็นเพื่อนบุญกันในที่สุด

เมื่อเก็บอุปกรณ์กรวดน้ำแล้ว สองหนุ่มสาวก็มาช่วยกันกวาดลานวัดร่วมกับผู้มาทำบุญคนอื่นๆอีกสองสามคน นอกจากนั้นบางส่วนยังไปทำความสะอาดห้องน้ำ เอาอาหารให้สัตว์ที่อยู่ภายในวัด และทำงานอื่นๆตามแต่ความถนัด

“คุณดาว่าการแก้แค้นคนที่เรารัก เพราะเขาทำให้เราเจ็บ…เป็นเรื่องผิดหรือเปล่าครับ” จู่ๆสวิชก็ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะคะ” หญิงสาวหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ

เขาหัวเราะเบาๆ ดวงตาเรียวรีหลังกรอบแว่นผ่อนคลายขึ้น “ถามเล่นๆน่ะครับ พอดีช่วงนี้ผมเห็นข่าวหลายข่าวเป็นเรื่องการทำร้ายคนรักของตัวเอง เพราะอีกฝ่ายบอกเลิกหรือทำให้เจ็บ บางทีก็แอบได้ยินคนที่ทำงานคุยกันว่าจะแก้แค้นแฟนเก่าแบบแสบๆยังไงดี”

“คุณวิชก็เลยอยากรู้ว่า ถ้าเอาคืนเพราะเขาทำเราก่อนจะผิดหรือเปล่าเหรอคะ”

“ใช่ครับ คุณดาคิดยังไง” สวิชถาม ขณะมือที่ถือไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดเศษใบไม้แห้งกรอบบนลานดินไปด้วย

“อืม…” กนกนัดดาครุ่นคิด นานทีเดียวก่อนจะตอบ “ดาว่า…ไม่ผิดหรอกค่ะที่คนเราจะโกรธแค้นเวลาโดนทำร้าย หัวใจไม่ใช่ก้อนหินนี่คะที่จะไม่รู้สึกอะไรเลย”

“หมายความว่าการแก้แค้นเป็นเรื่องถูกต้องแล้วเหรอครับ” คิ้วหนาของคนถามขมวดมุ่น

“ดาก็ฟันธงไม่ได้ว่ามันถูกหรือผิด เพราะคำว่าถูกกับผิดของแต่ละคนต่างกัน แต่สำหรับดา ดาไม่สนับสนุนการแก้แค้นหรอกค่ะ แค้นได้ แต่ต้องรู้จักควบคุมความแค้นด้วย ถ้าสมมติว่าแบ่งความแค้นออกเป็นสามระดับ เราก็ต้องรีบถอนความแค้นออกจากใจให้ได้ตั้งแต่ระดับที่หนึ่งก่อนที่มันจะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุด เพราะตอนนั้นคงยากที่จะควบคุมมัน และความแค้นอาจพาเราไปสู่ความวิบัติได้”

สวิชฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่กนกนัดดากล่าวต่อ

“อ้อ ดาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลวงพ่อเคยเทศน์เรื่องการแก้แค้นคนที่เรารัก วันนั้นคุณวิชไม่ได้มาวัดค่ะ ท่านบอกว่าถ้าเราทำอย่างนั้น เท่ากับว่าเราไม่ได้รักเขาจริงๆนอกจากรักตัวเอง เพราะถ้ารักเขาก็คงไม่ทำร้ายเขา ถ้าเขาเลือกเดินจากเราไป เราก็ควรยินดีกับทางที่เขาเลือกมากกว่า แล้ววิธีการแก้แค้นที่ดีที่สุดคือการให้อภัยและปล่อยวางค่ะ เพราะทั้งเราและเขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด”

“ขอบคุณมากนะครับคุณดา เป็นคำตอบที่ดีมากๆ” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาเรียวรีพราวไสว

“ว่าแต่คุณวิชคงไม่ได้คิดแก้แค้นใครหรอกนะคะ เอ๊ะ หรือว่าทำไปแล้วถึงมาถามคะเนี่ย” หญิงสาวแซวและหัวเราะเบาๆ

“ยังครับ ยังไม่ได้ทำอะไรใครเลย แต่ถึงผมจะคิดแก้แค้นใครจริงก็คงต้องล้มเลิกความคิด เพราะได้ข้อคิดจากคุณดานี่ละครับ อยากให้คนอื่นได้ฟังที่คุณดาบอกด้วยจริงๆ เผื่อจะทำให้ข่าวฆ่าแกงกันเพราะความแค้นในสังคมน้อยลง” สวิชเอ่ยพลางภาวนาขอให้เรื่องทำนองนี้อย่าได้เกิดขึ้นกับตัวเองหรือคนใกล้ตัวเลย



คามินไหว้โกศเก็บเถ้ากระดูกของแม่ภายในวัดย่านชานเมืองและกล่าวลาท่าน ก่อนหันหลังเดินมุ่งหน้ากลับไปยังลานจอดรถ ระหว่างทางใจยังระลึกถึงช่วงเวลาสั้นๆที่มีโอกาสอยู่ด้วยกัน เพราะแม่จากเขาไปตั้งแต่อายุได้เพียงเจ็ดขวบ แต่ถึงอย่างนั้นความผูกพันที่เขามีต่อท่านก็มากมายจนไม่อาจประเมินได้

แม้วันนี้คามินจะเติบโตเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบเจ็ดย่างยี่สิบแปด แต่เวลาใดที่ใจหดหู่ ร่างกายหมดพลัง เขาก็ยังต้องการที่พึ่งและใครสักคนเป็นแรงใจอยู่ดี คนเราให้กำลังใจตัวเองได้ก็จริง แต่อย่างไรมันคงไม่มีพลังเท่ากำลังใจจากคนที่เรารัก

และช่วงเวลาอย่างนี้ คามินก็นึกถึงแม่เป็นคนแรก แม้ท่านจะพูดคุยกับเขาไม่ได้ แต่การได้มาระบายความอัดอั้นตันใจทำให้เขาดีขึ้นทุกครั้ง สายตาของท่านที่มองจากภาพหน้าโกศราวกับปลอบโยนและบอกให้เขาสู้ชีวิตต่อไปเสมอ

หลังจากแม่เสีย คามินถูกเลี้ยงโดยวีรปรียา ผู้ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันกับพ่อเขา และนับถือพ่อเป็นพี่ชาย แต่ชายหนุ่มไม่รู้รายละเอียดมากนักว่าพวกท่านร่วมเผชิญอะไรกันมา

วีรปรียามีลูกสาวอีกหนึ่งคนคือกนกนัดดาซึ่งเกิดหลังคามินไม่กี่ปีและเติบโตมาด้วยกัน แม้กนกนัดดาจะขาดพ่อ แต่ก็ร่าเริงสดใสตามวัย ขณะคามินกลับรู้สึกว่าตัวเองขาด

แม่…ก็จากเขาไป ส่วนพ่อทำงานจนไม่มีเวลาแม้แต่จะฟังตอนเขาเข้าไปอวดผลการเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งของห้อง เวลาทุกวินาทีของพ่อทุ่มเทให้กับงาน งาน และงาน จนบางครั้งคามินคิดอยากเกิดเป็นเด็กธรรมดาที่ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย เพราะพ่อคงมีเวลาให้เขามากกว่านี้ นานวันความอ้างว้างยิ่งก่อตัวลึกๆในใจ และความรักของวีรปรียาก็ไม่มีวันเติมเต็มหัวใจอันโหยหาได้

‘พ่อครับ วันพ่อปีนี้…พ่อว่างไปโรงเรียนหนึ่งหรือเปล่าครับ’ เด็กชายวัยสิบขวบรวบรวมความกล้าเข้าไปถามท่านในห้องทำงานตอนสามทุ่ม แม้รู้ว่าคำตอบคงไม่ต่างจากปีก่อนๆ แต่ยังแอบหวังว่าปีนี้พ่อจะว่าง

‘อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอ’ ปราบซึ่งก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่รู้ตัวว่าลูกชายเข้ามาถามอย่างประหลาดใจ

‘ยังครับ หนึ่งรอคุยกับคุณพ่อ’ คามินเดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่และนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามท่าน ดวงตาไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความหวัง

‘เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก สามทุ่มควรจะนอนได้แล้ว’ ท่านบ่นพลางส่ายหน้าระอา

‘คุยกับคุณพ่อเสร็จ หนึ่งจะไปนอนเลยครับ’ เด็กชายรับปากมั่นเหมาะ

‘อืมๆ วันพ่ออาทิตย์หน้าเหรอ’ ปราบหันไปมองปฏิทินตั้งโต๊ะอย่างตัดรำคาญ แล้วหันกลับมามองใบหน้ากลมๆของลูกที่รอคอยคำตอบตาละห้อย ‘เดี๋ยวพ่อดูอีกทีแล้วกันว่าว่างไหม เพราะอาทิตย์หน้าต้องไปดูรีสอร์ตที่เขาใหญ่’ ท่านหมายถึงกิจการใหม่ของครอบครัว นอกเหนือจากบริษัทจำหน่ายเครื่องใช้สำนักงานในกรุงเทพฯ

‘คุณพ่อของคนอื่นเขาไปกันหมดเลยนะครับ หนึ่งก็อยากอวดบ้างว่าพ่อของหนึ่งหล่อและเก่งแค่ไหน’ คามินเอ่ยเอาใจและยิ้มแต้

‘อยากให้พ่อไปเพราะอยากอวดเพื่อนเท่านั้นน่ะรึ’ ปราบหัวเราะอย่างเห็นขัน ‘วันพ่อไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอกน่า แค่พ่อไม่ไป มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย’

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเด็กชายก็ห่อเหี่ยวลง รู้ดีว่าปีนี้คงได้แต่นั่งมองเพื่อนที่มีพ่อมางานตาปริบๆเช่นเดิม ‘แต่หนึ่งอยากให้พ่อไปจริงๆนะครับ’

‘ให้น้าปรียาไปแล้วกัน’

‘แต่โรงเรียนหนึ่งจัดงานวันพ่อนะครับ น้าปรียาเป็นน้า ให้คุณพ่อไปดีแล้ว คุณพ่อไปนะครับ ไม่งั้นหนึ่งต้องอายเพื่อนแน่ที่ไม่ว่าปีไหนก็ไม่มีพ่อมางานกับเขา คุณแม่คงเสียใจด้วยที่คุณพ่อไม่ยอมไป นะครับคุณพ่อ ปีนี้ปีเดียว หนึ่งขอร้อง’ คามินพยายามหาเหตุผลมารบเร้าบิดาเต็มที่ แต่นานเข้า ปราบก็เริ่มหมดความอดทนตามประสาคนอารมณ์ร้อนง่าย

‘ไม่มีพ่อไปสักคนแกไม่ตายหรอกน่า! อย่าทำตัวมีปัญหานักได้ไหมไอ้หนึ่ง ไปนอนได้แล้วไป เสียเวลาทำงานฉัน แล้วนั่นจะร้องไห้ทำไม!’ ปราบชี้หน้าและเอ่ยเสียงเข้มดุเมื่อเห็นดวงตาใสๆมีน้ำตาคลอคลอง ริมฝีปากเริ่มเบะ แต่เจ้าตัวยังพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ข้างใน เพราะไม่เช่นนั้นจะถูกทำโทษ

‘เปล่าครับ หนึ่งไม่ได้ร้องไห้’ คามินส่ายหน้าทั้งที่ตาแดงเต็มที

‘อย่าให้ฉันเห็นน้ำตาแกหยดลงมาแม้แต่หยดเดียวนะ! แกเป็นลูกผู้ชาย ต้องเข้มแข็ง แล้วที่ฉันทำงานหนักก็เพื่ออนาคตของแก ฉันเคยลำบาก ไม่มีเงินสักบาท ฉันรู้ว่ามันแย่แค่ไหน ตอนนี้เราสบายเพราะมีเงิน แต่ถ้าไม่ทำงาน สักวันเงินก็จะหมด ฉันไม่อยากให้แกใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบแบบฉัน ฉันเลยต้องทำงานงกๆอยู่นี่ไง เดี๋ยวแกโตขึ้นก็เข้าใจฉันเอง ไปนอนไป!’ ปราบโบกมือไล่

‘ครับพ่อ’ เด็กชายพยักหน้ารับคำ แม้จะออกมาจากห้องทำงานของบิดาแล้ว แต่น้ำตาก็ไม่ไหลลงมาแม้แต่น้อย คามินเงยหน้าขึ้นให้น้ำตาแห่งความเสียใจไหลย้อนกลับ เขาต้องไม่ร้องไห้อย่างที่พ่อบอก ต้องเก็บกักอารมณ์เอาไว้ให้ได้!

หลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชายหนุ่มก็เดินมาถึงลานจอดรถของวัดโดยไม่รู้ตัว รถซีดานสีขาวติดฟิล์มมืดปกปิดสายตาคนภายนอกของเขาจอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ไม่ไกล ถัดไปคือกระบะสีดำและรถอีกคันซึ่งยี่ห้อและสีเดียวกันกับรถเขา ติดฟิล์มสีเข้มน้อยกว่ากันนิดเดียว ท่าทางจะเข้ามาจอดทีหลัง เพราะตอนเข้ามายังไม่เห็น

รถที่เขาใข้สมกับเป็นรุ่นยอดนิยมอย่างที่โฆษณาจริงๆ ขนาดมาวัดที่คนไม่พลุกพล่านยังเจอรถเหมือนกันได้ ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางยิ้ม

คามินกดปุ่มปลดล็อกรถ ก่อนเปิดประตูขึ้นไปนั่งยังฝั่งคนขับ แม้อยากจะหยุดคิดเรื่องที่ทำให้ตะกอนขุ่นๆภายในใจลอยวนขึ้นมาอีก แต่ดูเหมือนความคิดของเขายังดำเนินต่อไปอย่างห้ามไม่ได้

คามินปวดแปลบในใจทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวของเขากับพ่อในวัยเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รักพ่อมาก และหวังว่าสักวันท่านจะปล่อยวางเรื่องงานบ้าง แต่ปีแล้วปีเล่า เขาก็เห็นภาพพ่อเอาแต่ทำงานเช่นเดิม จนเมื่อคามินเข้าเรียนมัธยม โลกที่กว้างใหญ่ขึ้นทำให้คิดถึงครอบครัวน้อยลง เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับเพื่อนตามประสาวัยรุ่น ยิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ชีวิตของคามินยิ่งห่างไกลจากคนในบ้าน แต่ถึงจะมีความสุขกับเพื่อนฝูงเพียงใด ความโหยหาก็ยังเกาะกุมอยู่ในส่วนลึกของหัวใจไม่จางหาย

ด้วยความหน้าตาดีและร่ำรวยทำให้สาวๆเข้ามาในชีวิตคามินมากมาย และชายหนุ่มก็ยินดีจะอ้าแขนรับไมตรีเหล่านั้น แม้รู้ว่าบางครั้งมันคือไมตรีปลอมๆ ทุกคนต่างหวังกอบโกยจากเขา เพราะหากไปกินไปเที่ยว คามินจ่ายไม่อั้น แต่ก็นั่นละ ถ้ามันทำให้เขารู้สึกดีกับการมีคนมารักและเอาอกเอาใจได้ ทำไมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ

แต่อีกทางเขาก็สามารถบอกเลิกทุกคนได้ทันทีหากไม่พอใจหรือเบื่อขึ้นมา หรือบางทีอาจเรียกพวกเธอกลับมาเมื่อคิดถึง และผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่ได้มีปัญหา ตราบใดที่เขามีเงิน!

ตอนนั้นเขาคิดว่าเงินเท่ากับความสุข ถ้ามีคนแย้งว่าไม่ใช่ ชายหนุ่มจะแย้งกลับทันที เพราะตั้งแต่ใช้เงินเป็น มันก็ทำให้เขาได้สิ่งที่ต้องการตลอด แล้วความคิดของเขาจะไม่ถูกต้องได้อย่างไรกัน

ระหว่างเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มใช้ชีวิตอย่างโชกโชน จนเมื่อขึ้นปีสี่ได้มาเจอหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่คนละคณะ ผู้หญิงคนนี้ต่างจากคนอื่นที่เขาคบมา เพราะนอกจากจะคอยห้ามไม่ให้เขาใช้เงินฟุ่มเฟือยแล้ว เธอยังออกค่าอาหารและค่าเที่ยวคนละครึ่งโดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากให้ใครมองว่าเธอเกาะคามินกิน นั่นทำให้เขาประทับใจเธออย่างมาก

ทว่าคามินก็ไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัย เขาใช้เงินทำให้หญิงสาวที่เขารักมีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายหนุ่มคบหาเธอนานกว่าใคร เพราะเธอยอมเขาทุกเรื่องจนคามินตั้งใจว่าจะขอเธอแต่งงานในอนาคต แต่แล้วหลังเรียนจบเพียงหนึ่งเดือน หญิงสาวกลับบอกเลิกและไปแต่งงานกับผู้ชายอายุคราวพ่อ

‘เพราะไอ้นั่นมันรวยกว่าผมใช่ไหม คุณถึงแต่งงานกับมัน’

‘เปล่าเลยหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องเงิน’ รสิตาแค่นหัวเราะ

‘แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ ไอ้นั่นแก่ก็แก่ ถ้าไม่ใช่เพราะเงินแล้วเพราะอะไร!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราดคาดคั้น

‘นั่นสิ เขาแก่ แล้วก็ไม่ได้หล่อรวยเหมือนหนึ่งด้วย แล้วทำไมเราถึงเลือกเขา หนึ่งยังไม่รู้อีกเหรอ’ รสิตาทำเสียงฮึในลำคอ

‘ผมจะไปรู้ได้ยังไง ผมไม่ใช่คุณนี่ หัวใจคุณซับซ้อนจนผมไม่มีปัญญาหาคำตอบได้หรอก’ คามินประชดด้วยแววตาเจ็บปวดผิดหวัง

‘ง่ายๆเลยหนึ่ง ก็เพราะหนึ่งนิสัยไม่ดีน่ะสิ ที่ผ่านมาหนึ่งปี ไม่ใช่ว่าเราเข้ากันได้ดีหรอกนะ แต่เป็นเพราะเรายอมหนึ่ง ยอมทุกอย่าง และหวังว่าจะเปลี่ยนนิสัยหนึ่งได้ แต่สุดท้ายก็เปล่าเลย หนึ่งต้องการให้เราเป็นในแบบที่หนึ่งอยากให้เป็น หนึ่งเอาแต่ใจ เอาตัวเองเป็นใหญ่ เราอึดอัด เราทนไม่ไหวแล้ว’

‘ข้ออ้าง’ คามินหัวเราะอย่างสมเพช

‘มันคือความจริงต่างหาก เราไม่ได้มองคนที่หน้าตาและฐานะ คนที่จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้คือคนที่ยอมรับตัวตนของกันและกัน และยอมปรับตัวเข้าหากันคนละครึ่งทาง บางครั้งอาจต้องเปลี่ยนในสิ่งที่ฝืนใจ แต่ก็ทำได้เพื่อคนที่เรารัก ซึ่งเราก็ยอมเปลี่ยนนิสัยบางอย่างเพราะรักหนึ่ง แต่หนึ่งสิ ไม่เคยปรับปรุงตัวเองเลยแม้แต่อย่างเดียว แล้วก็กลายเป็นเรายอมมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็รู้ว่าเรากับหนึ่งคงไปกันไม่ได้แน่ เราอยากเดินเคียงข้างหนึ่ง ไม่ใช่อยู่ภายใต้แทบเท้าหนึ่ง!’

‘ผมไม่เข้าใจว่าผมนิสัยไม่ดียังไง ในเมื่อผมให้ความสุขคุณทุกอย่าง ยังไม่พอใจอีกเหรอ’

‘เราพูดไปหมดแล้วและขี้เกียจพูดซ้ำ เอาเป็นว่าจบกันแค่นี้นะหนึ่ง ขอให้โชคดีแล้วกัน’ ภาพที่เธอเดินจากไปยังฝังลึกอยู่ในมุมมืดของความทรงจำตลอดมา

ผู้หญิงที่เขาคบมาทั้งหมดไม่มีใครเหมือนรสิตา ด้วยเธอมองข้ามหน้าตาและความร่ำรวยของเขา และคามินก็สัมผัสได้ว่าเธอรักเขาอย่างจริงใจ

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต คงโทษใครไม่ได้นอกจากเขาที่ผิดเอง การกระทำแต่ละอย่างของเขาไม่มีวุฒิภาวะและไม่น่าจะเป็นที่พึ่งพิงของใครได้เลย เพราะฉะนั้นสมควรแล้วที่หญิงสาวจะทิ้งเขา แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในเวลานั้นถึงมองไม่เห็นว่าตัวเองแย่อย่างไร นี่สินะถึงว่ากันว่า เมื่อเวลาเปลี่ยน มุมมองของคนเราต่อสิ่งต่างๆย่อมเปลี่ยนไปด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นได้เรียนรู้และเติบโตมากขึ้นแค่ไหน

คามินคิดว่าคงไม่มีวันเจอผู้หญิงเหมือนรสิตาอีกแล้ว เพราะแต่ละคนที่ผ่านเข้ามาหลังจากนั้นล้วนมองเขาแค่เปลือกนอก ต้องการเงินทองของเขาเพื่อปรนเปรอความสุขของตัวเองเท่านั้น

แม้ปัจจุบันเขาจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีใครก้าวเข้ามาสัมผัสเนื้อแท้หัวใจอย่างลึกซึ้ง จากวันนั้นเขาจึงไม่เคยมอบรักแท้ให้ผู้หญิงคนไหนอีกเลย นอกจากสนุกสนานข้ามคืนกับพวกเธอเมื่อต่างฝ่ายต่างใคร่ปรารถนา

เมื่อคิดถึงตรงนั้น ประตูรถของเขาก็เปิดออกพร้อมกับเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “อืมๆ กำลังจะไปแล้ว”

คามินหลุดจากภวังค์ของอดีต เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่เอาโทรศัพท์แนบหู อีกฝ่ายเบิกตาโตอย่างตกใจ แต่ด้วยความที่ตั้งท่าจะหย่อนตัวนั่งแล้ว จึงทำให้ยั้งไม่ทันแม้พยายามฝืนตัวเองไว้ สุดท้ายหญิงสาวก็เสียหลักนั่งลงบนตักเขา

“เฮ้ยคุณ!”

“ว้าย!”

มือหนาโอบร่างเพรียวไว้โดยอัตโนมัติ ทุกอย่างรอบตัวนิ่งงันไปเกือบสิบวินาทีเมื่อดวงตาสองคู่สบประสานกันในระยะประชิด

มีผู้หญิงไม่กี่คนที่ทำให้คามินตกตะลึงได้ตั้งแต่แรกเจอ และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น ใบหน้ารูปไข่ล้อมรอบด้วยเรือนผมสีดำขลับดัดลอนอ่อนๆ ดวงตาเรียวยาวสีน้ำตาลวาวสวย จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากอิ่มเต็มสีแดง ใบหน้าของเธอสวยจัดเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาด

ขณะที่คามินมองเธอด้วยสายราวกับต้องมนตร์ หญิงสาวก็ขืนตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง และลุกขึ้นยืนพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย

“ขอโทษนะคะ ฉันขึ้นรถผิดคันน่ะค่ะ” ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยกระแสความมาดมั่น ฉะฉาน เข้ากับการแต่งตัวของเธอที่เป็นชุดเสื้อสูทลำลองสีดำสวมทับเกาะอกสีน้ำเงินและกระโปรงผ้าเอวสูงสีขาวเข้ารูปยาวคลุมเข่าทันสมัยปราดเปรียว

เมื่อหญิงสาวเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดถัดจากกระบะสีดำพร้อมบ่นพึมพำระหว่างทาง “บ้าจริงเรา มัวคุยโทรศัพท์จนไม่ดูตาม้าตาเรือจะไปขึ้นรถใครก็ไม่รู้” แม้รถคันนั้นจะยี่ห้อและสีเดียวกับรถเธอ แต่ถ้าเธอไม่คุยเพลินจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็คงไม่ทะเล่อทะล่าทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้น

“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มดังตามหลังมา

หญิงสาวหยุดเดินและหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “คะ?” คิ้วเรียวที่เขียนไว้คมกริบเลิกขึ้น “มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าเมื่อกี้รถคุณเสียหาย”

“เปล่าครับ” ชายหนุ่มทอดเสียงนุ่มนวล

“แล้ว…มีอะไรคะ”

เขายิ้มเป็นมิตรและเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น “ผมคามินนะครับ เรียกหนึ่งก็ได้”

“อืม…ค่ะ” เธอเริ่มเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายตามมา

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คามินยื่นมือออกมาเบื้องหน้าอย่างมีอัธยาศัย

“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” หญิงสาวไม่สัมผัสมือตอบ แต่เดินไปขึ้นรถของตัวเอง และขับออกจากวัดทันที ทิ้งให้คนร่างสูงมองตามอย่างงงๆ เพราะไม่คิดว่าสาวเจ้าจะขับรถหนีเสียดื้อๆโดยไม่ยอมแนะนำตัวกลับ ครั้นขับรถตามออกไปก็ไม่เห็นท้ายรถซีดานสีขาวแล้ว

ผู้หญิงอะไรไวจริงๆ!

คามินพ่นลมหายใจอย่างเจ็บใจตัวเองที่เมื่อครู่รั้งเธอไว้ไม่ทัน แต่สวยแถมหยิ่งแบบนี้ เขาไม่มีวันปล่อยให้เดินผ่านไปง่ายๆหรอก ยังไงก็จะต้องตามหาให้เจอ เพราะเธอขโมยหัวใจคนใจง่ายอย่างเขาไปแล้วครึ่งดวง!



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2557, 11:47:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ย. 2557, 00:12:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 2105





<< บทนำ: จุดเริ่มต้นของจุดจบ   บทที่ 2 การพบกันครั้งที่สอง >>
บุลินทร 4 ก.ค. 2557, 11:48:23 น.
น้อง ยิ้มยิ้ม
มันมาแบบแซงทางโค้ง ขอลัดคิวเรื่องอื่นก่อน ฮ่าๆๆ ชื่อนางเอกอุรัสยา รอดูเพื่อนนางเอกนะว่าชื่ออะไร

คุณ ดังปัณณ์
เห็นเค้าลางความดราม่าจากชื่อเรื่องเลยตามมาใช่มั้ยครับเนี่ย (เพราะดังปัณณ์เจ้าแม่ดราม่า) ฮ่าๆๆ รอดูนะว่าบุลินทรจะดราม่าได้แค่ไหน

คุณ lovemuay
หวังว่าจะสนุกไปจนจบเรื่องนะครับ ส่วนเหตุผลต้องรอดูว่าคืออะไรกันแน่

คุณ พันธุ์แตงกวา
เอ มันจะได้ตบจูบกันตอนไหนหว่า ปกติไม่เกินสองตอนเขาต้องเริ่ม 18+ แล้วใช่มั้ยแนวนี้

คุณ Zephyr
ท่าทางคึกมาเชียวนะเฟอร์ ฮ่าๆๆ มาย้อนอดีตของทั้งสองคนก่อนนะ ค่อยกลับมาแค้นกันต่อ ส่วนจะเข้าป่าเข้าดงหรือไปที่ไหนต้องรอลุ้น


lovemuay 4 ก.ค. 2557, 14:40:06 น.
มุกจีบพระเอกนี่สุดๆเลยจริงๆ +55


ดังปัณณ์ 4 ก.ค. 2557, 16:03:01 น.
โอ๊ะ โอ....เพล์บอยตัวพ่อ ตอนเด็กคามินน่าสงสาร อ๊ะชื่อเล่นๆๆ คามี่จัง (ซะ) หืมๆๆๆ ตามกลิ่นมาจิคะ ตั้งน้ำต้มรอด้วย 555+ เอ๊ะ หรือจะกดน้ำร้อนใส่ชามรอ ฮี่ๆๆๆ


yimyum 5 ก.ค. 2557, 10:19:44 น.
-.-" หนูจะไม่มีวันคุยโทรศัพท์เพลินจนขึ้นรถผิดแน่-.- นั่นนางเอกหรือเปล่าว้าาา


พันธุ์แตงกวา 5 ก.ค. 2557, 17:51:35 น.
แบบนี้เขาเรียกเทพอุ้มสม นั่งตักๆๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นคราย อัลไล ยางงายยย แหม จะต้องมาจบตรงนี้พอดีเลยนะ
ปล. อ่าน tag ตอนแรกนึกว่าบุลินทรเป็นพระเอกคู่กะคามิน กร๊ากกก


Zephyr 6 ก.ค. 2557, 22:54:47 น.
อะไร มุกไหนนั่น นางคุยจนขึ้นรถผิด
ตั้งใจสิท่า โฮะๆๆๆๆ
แล้วก็เหม่ มุกจีบสาวตามิน ไม่ได้เรื่องเล้ยยยยย


nittsmall 22 ก.ค. 2557, 10:52:35 น.
ยิ่งหนียิ่งตื๊อสินะนายหนึ่ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account