ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4 (2/2)



สวัสดีนักอ่านที่รักทุกท่านนะคะ อ้อยได้อ่านทุกคอมเม้นท์ ขอขอบพระคุณมากๆ ที่ท่านแวะมาบอกกล่าวผ่านตัวอักษรว่าเรายังอยู่ด้วยกันเสมอ ขอบคุณจากใจค่ะ

อ่านหลายเม้นท์แล้วบอกว่าปวดใจ แอบบอกใบ้ว่าหลังนี้นี้จะเริ่มกระบวนการตบจูบแล้วนะเออ อิอิ ใบ้เท่านี้ก็กลับไปทำงานต่อก่อนนะคะ

ขอบพระคุณจากใจอีกครั้งที่ติดตามผลงานของอ้อย ขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยอุดหนุนงานเขียนของอ้อยด้วยค่ะ

รักกกกกก จุ๊บๆ

อ้อย/สุชาคริยา

-------------------------------------------



การเริ่มต้นในอีกรูปแบบหนึ่งของชีวิตทำให้ถิรมนตื่นเต้นเล็กๆ กับการได้เรียนรู้งานอสังหาริมทรัพย์ประเภทรีโนเวท ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับการปรับปรุงอาคารสถานที่ที่ทรุดโทรมให้กลับมามีสภาพสมบูรณ์ งดงาม เหมือนใหม่ หรือทำให้ดูดียิ่งกว่าที่เคยเป็น โดยการปรับปรุงนั้นจะไม่กระทบต่อโครงสร้างหลักเดิมของอาคาร และความรู้ในสายธุรกิจนี้กำลังจะกลายเป็นความรู้พื้นฐานของเธอ จะต่อยอดอาชีพในอนาคตไม่มากก็น้อย จึงต้องตั้งใจเรียนรู้อย่างเต็มที่ที่สุด

ช่วงเช้าของวันได้เข้าบริษัทเป็นครั้งแรกพร้อมกับปภาวี เธอถูกแนะนำให้ทุกคนรู้จักในฐานะภรรยาของปรมัตถ์ กำลังจะเข้ามาช่วยงาน หลายคนมีปฏิกิริยาต่างกันออกไป บ้างดูให้ความเคารพ บ้างมองอย่างสงสัย สรุปคือมองด้วยสายตาต่างๆ นานา แต่ถิรมนเลือกจะเงียบ รับรู้ปฏิกิริยาของพวกเขาเท่านั้น ที่เหลือก็ตั้งใจฟังและเรียนรู้ให้มากที่สุด

เธอได้รู้ว่าบริษัท พีเอส กรุ๊ป ดีไซน์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น ของปภาวีดำเนินการในลักษณะซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ถูกขายทอดตลาดหรืออสังหาริมทรัพย์ราคาถูก ทั้งที่ดินเปล่าและที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แล้วนำมาลงทุน ปรับปรุง ตกแต่ง อาคารสถานที่ใหม่ จากนั้นจึงขายเพื่อทำกำไรต่อไป รวมถึงบริการออกแบบตกแต่งในลักษณะนี้ให้แก่ลูกค้ารายอื่นเช่นกัน

ครั้งแรกที่ได้ยินนั้นเข้าใจไปว่าเป็นบริษัทรีโนเวทบ้านหรืออาคารเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อมาถึงจึงรู้ว่าที่นี่ทำเกือบครบวงจรแต่เน้นหนักไปทางรีโนเวทแบบซื้อมา ลงทุน ขายไป เป็นธีมหลัก

อาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทพีเอสกรุ๊ปฯ นั้นสูงหกชั้น ดูสวยงาม ทันสมัย เรียบหรู โดดเด่นเป็นสง่า สะดุดตาท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่กับลานหญ้าสีเขียวสไตล์รีสอร์ท ช่วยให้บรรยากาศดูสบาย อิงแอบธรรมชาติ ผิดกับโดยรอบที่เต็มไปด้วยคอนโดมิเนียมและอาคารสูงไม่ต่างจากป่าคอนกรีตดูแห้งแล้ง แม้ที่ตั้งของบริษัทไม่ใช่ใจกลางกรุงเทพมหานครตามข้อมูลที่รู้ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นชานเมืองเช่นกัน ประกอบกับการจราจรคับคั่งหนาแน่นไปด้วยยานพาหนะจึงทำให้ถูกเปรียบเทียบเห็นภาพชัดและรู้สึกผ่อนคลายทันทีเมื่อเข้ามาถึง

ภาพลักษณ์ของสถานที่นับว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว สร้างความประทับใจเมื่อแรกพบหรือที่เรียกว่า FIRST IMPRESSION ตามคำกล่าวของศาสตราจารย์ อัลเบิร์ท เมอราเบียน ที่ว่า ‘You have 30 seconds to make a first impression, which can last up to 15 years’ หรือมีความหมายว่า ‘คุณมีเวลา 30 วินาทีในการสร้างความประทับใจเมื่อแรกพบ หากนั่นจะสามารถประทับไว้ได้ยาวนานถึง 15 ปี’

และที่นี่ถือว่าทำได้สำเร็จ แม้จะไม่ใช่เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของตัวบุคคลซึ่งทำหน้าที่พรีเซ้นท์หรือนำเสนอตามต้นฉบับคำกล่าวที่เอ่ยอ้างถึง แต่รูปลักษณ์ภายนอกของบริษัทนี้ก็สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือน สะท้อนรูปแบบงานของบริษัท สร้างความน่าเชื่อถือ เป็นเฟิร์ส อิมเพรสชั่นอันน่าประทับใจ

ด้านหลังของตึกสำนักงานใหญ่นั้นมีอาคารสำนักงานของกองช่างแยกต่างหาก ไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน เพราะต้องจัดเก็บเครื่องมืออุปกรณ์ของทีมงานสร้าง ปรับปรุง ตกแต่ง ให้สะดวกต่อการหยิบจับขนส่ง ส่วนอาคารจอดรถ ถนน และลานจอดเฉพาะกิจก็ออกแบบไว้อย่างลงตัว แบ่งสัดส่วนได้อย่างสวยงาม พื้นที่โดยรวมค่อนข้างกว้างขวางทีเดียวเมื่อมองจากชั้นสูงสุดของตึกสำนักงานใหญ่ลงมา

ถิรมนได้รู้ว่าที่นี่เป็นบริษัทประกอบธุรกิจขนาดกลาง จำนวนสาขาทั่วประเทศสิบห้าสาขา มีพนักงานหนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดชีวิต ทุนจดทะเบียนสองร้อยล้านบาทสกุลเงินไทย ข้อมูลที่ได้รับเบื้องต้นทำให้รู้ว่าที่นี่ใหญ่โตกว่าที่คิดไว้มากทีเดียว เดิมคิดว่าเป็นบริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานประจำไม่เกินห้าสิบคน แต่กลับกลายเป็นว่าหากเพิ่มพนักงานประจำอีกไม่กี่สิบคนหรือมีจำนวนสองร้อยหนึ่งคนขึ้นไปก็จะกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ทันที ตามการแบ่งประเภทขนาดสถานประกอบการที่ใช้จำนวนพนักงานประจำเป็นตัวชี้วัด และนั่นเป็นที่มาของความตื่นเต้นเล็กๆ ที่เกิดขึ้น

ถิรมนทำความรู้จักแผนกต่างๆ ได้เกือบครบในช่วงเช้า ตอนนี้ล่วงเข้าบ่ายโมงก็ยังไม่ได้พัก ห้องทำงานในชั้นสูงสุดห้องหนึ่งถูกจัดไว้ให้เธอ ขนาดห้องนับว่ากว้างขวางทีเดียวแต่ก็ยังเล็กกว่าห้องของปภาวีกับปรมัตถ์ที่อยู่ถัดไป

ในชั้นหกนี้มีเพียงห้องประชุมกับห้องผู้บริหาร ไม่มีห้องทำงานของส่วนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง ฝั่งตรงข้ามห้องทำงานของเธอคือห้องประชุมใหญ่ มีหนึ่งห้อง จุคนได้ราวห้าสิบถึงแปดสิบคน ถัดไปก็เป็นห้องประชุมขนาดกลางมีหนึ่งห้อง จุคนได้สามสิบ ส่วนห้องประชุมขนาดเล็กจุได้ไม่เกินห้าคนจะมีอยู่ประจำของแต่ละชั้น ชั้นละสองห้องติดกัน และแน่นอนว่าการออกแบบตกแต่งของแต่ละห้องสวยงาม หรูหรา มีสไตล์ สมราคาชื่อเสียงบริษัท

“เอกสารพวกนี้คุณเลิฟอ่านก่อนนะคะ ไม่เข้าใจตรงไหนให้เรียกพี่ได้เลย”

ถิรมนออกจากภวังค์ สุธายืนอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะทำงาน หล่อนวางแฟ้มเอกสารหอบใหญ่อย่างระมัดระวัง ถิรมนยิ้มให้อย่างขอบคุณ เพิ่งรู้อีกหนึ่งข้อมูลเมื่อตอนเช้าว่างานหลักของสุธาคือเป็นเลขาส่วนตัวของปภาวี งานบอดี้การ์ดเป็นงานสำรอง และงานล่าสุดที่ได้รับมอบหมายคือสอนความรู้เบื้องต้นให้กับเธอ

“คุณมุกให้คุณเลิฟดูเป็นแนวทางเอาไว้ จะเริ่มงานจริงจังคือวันมะรืนนะคะ คุณเลิฟจะต้องลงไปประจำแผนกต่างๆ สัปดาห์ละหนึ่งแผนก เรียนรู้คร่าวๆ ให้เข้าใจ จากนั้นรายงานผลกับคุณมุกทุกวันอาทิตย์ค่ะ”

ถิรมนเบิกตาโตทันทีเมื่อได้ยิน กะพริบตาปริบๆ กับภารกิจพิชิตเป้าหมายที่เพิ่งรู้ตัวว่าต้องทำ ปภาวีไม่เคยบอกให้รู้มาก่อนเลยว่าเธอต้องเตรียมตัวเช่นไร

‘นี่อามุกจะสอนงานเราด้วยวิธีแบบนี้ใช่ไหม’ คิดแล้วก็ขอคิดต่ออีกหน่อยว่าน่าจะบอกใบ้เพิ่มเติม จะได้ทันตั้งตัว ดูเหมือนจะเป็นทุกเรื่องเสียด้วยสิ เธอไม่ได้กลัวความลำบาก แค่รู้สึกว่าสอนงานแบบนี้ช่างโหด หิน สำหรับคนเรียนแต่กลับไม่มีตารางเรียนล่วงหน้า จึงได้แต่นิ่งเงียบเพราะพูดอะไรไม่ถูก ทว่าก็แค่ครู่เดียว ถิรมนก็เงยหน้ายิ้มให้สุธา

“อีกสิบห้านาทีทานข้าวที่ห้องคุณมุกนะคะ ทานข้าวเสร็จลงไปที่ตึกกองช่างได้เลยค่ะ คุณมุกให้เด็กเตรียมรายการไว้ให้คุณเลิฟแล้วค่ะ” พูดจบก็จ้องมองเหมือนจะถามว่าเข้าใจใช่ไหม

แทบจะอ้าปากพะงาบๆ เมื่อได้ยิน ดูเหมือนจะเป็นทุกเรื่องกระมังกับสไตล์การสอนงาน จึงรีบยิ้มและบอก “ค่ะ” พร้อมกับพยักหน้ารับรู้

สุธายิ้มให้เล็กน้อยและเดินจากไป หล่อนอยู่ในชุดสูทกระโปรงคลุมเข่าดูดีทะมัดทะแมง ยิ่งเห็นเพียงด้านหลังก็ไม่น่าเชื่อว่าสุธาจะมีมุมเหมือนคุณครูเจ้าระเบียบกับเขาด้วย แต่ที่จริงก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกที่พบแล้วนี่นา แตกต่างตรงเสื้อผ้าเครื่องประดับที่หล่อนสวมใส่เท่านั้น

ถิรมนคิดถึงปภาวี อามุกสอนแต่ละอย่างให้เธอด้วยวิธีการน่าทึ่งจนพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ถิรมนเดินผ่านสวนหย่อมทางด้านหลังของตึกสำนักงานใหญ่เพื่อไปยังตึกช่าง อากาศร้อนและแสงแดดนั้นเหมือนจะเผาผิวให้ไหม้เกรียมในไม่กี่นาทีกระนั้น

แต่เอ... หรือว่าเธอคิดไปเอง เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าความร้อนเพิ่มขึ้นมากกว่าสัปดาห์แรกที่มาถึงเมืองไทย ซึ่งตอนนั้นน่าจะปรับตัวลำบากกว่าตอนนี้ หรือจริงแล้วอาจเป็นเพราะตอนนั้นไม่ได้โดนแดดแรง ออกไปไหนก็เจอแต่ห้องแอร์ จึงไม่รับรู้ถึงความร้อนที่มีมากมาย ส่วนตอนนี้เธอกำลังเดินกลางแดดในเวลาบ่ายสองโมงก็เป็นได้ แถมไม่มีร่มเงาของต้นไม้ช่วยบังเพราะทิศทางดวงตะวันไม่อยู่ในตำแหน่งจะให้เงาแก่ใคร จึงทำให้รู้สึกถึงความร้อนที่มีมากมายเช่นที่เป็น

ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งไกล ดูจากตึกเหมือนไม่ไกลเท่าไหร่ ทว่าของจริงยังไม่ถึงครึ่งทางเหงื่อก็ไหลโทรมอย่างไม่ปราณี โดยเฉพาะใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางของเธอ ป่านนี้จะเลอะถึงขั้นไหนก็ไม่รู้

แปร๊น!

ถิรมนสะดุ้งโหยง ถอยชิดพุ่มไม้ข้างบาทวิถีจนเกือบล้มไปนั่งบนสนามหญ้าของอีกฝั่ง หัวใจราวกับจะทะลุออกจากอกจนต้องเอามือทาบไว้ อีกมือหนึ่งรีบปาดเหงื่อ

‘งี่เง่าจริง’ คิดแล้วก็รีบทรงตัว ยืนให้เรียบร้อยเร็วไว มองพื้นไม่สม่ำเสมอเพราะกลัวจะล้มไปจริงๆ อากาศร้อนก็ร้อน เดินบนบาทวิถีแท้ๆ ไม่ได้ลงไปเดินกลางถนนยังมีคนมาบีบแตรใส่เสียอย่างนั้น

ถิรมนเพ่งมองต้นเสียง รถยนต์คันหรูสีเข้มกำลังแล่นเอื่อยเข้ามา ชะลอจอดตรงหน้าเธอ แถมยังจอดนิ่งๆ โดยไม่ทำอะไร ถิรมนถอนหายใจกับการกระทำของคนขับ จึงรีบเดินต่อ อากาศร้อนแบบนี้จะให้ยืนรอก็กระไรอยู่

แปร๊น!

เสียงนั้นดังซ้ำจนถิรมนต้องหันหลัง เธอไม่หยุดเดิน รู้ว่ารถคันดังกล่าวเล่นเอื่อยตามมา กระจกฝั่งคนขับเลื่อนลง แอบขบเขี้ยวฟันในใจเมื่อเห็นคนขับ เขากำลังถอดแว่นตากันแดดกึ่งยื่นหน้าออกมา มองเธอไม่ละสายตาจนน่ากลัวว่าอาจขับรถเบียดบาทวิถีก็เป็นได้

เขาเป็นคนรูปหล่อน่ะใช่ แต่ไม่มีมารยาทมาก ทำเสียงดังในสถานที่แบบนี้เหมาะสมที่ไหน กฎระเบียบก็มีแจ่มชัดยังจะฝ่าฝืนไม่เคารพ

“อยากด่าพี่ก็ขึ้นรถมาเร็วๆ ไม่ต้องมามองมาแบบนั้นหรอก”

ถิรมนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ “แค่จะไปที่ตึกช่างค่ะ ไม่ต้องขึ้นรถก็ได้ ขอบคุณค่ะ” พูดจบก็เร่งเดินต่อไป

ปรมัตถ์ตะโกนตามหลัง ขับรถตาม “พี่มีธุระจะคุยด้วย ขึ้นมาก่อน”

ถิรมนหยุดเดิน หันมองอีกฝ่ายเต็มตา ปรมัตถ์มองด้วยอาการประมาณว่า ‘เร็วสิ’ แล้วเอียงคอไปยังที่นั่งข้างคนขับโดยไม่สนใจรถอีกคันที่จ่อเข้ามาระยะใกล้ ถิรมนจึงหันไปก้มหน้าขอโทษรถคันนั้นเพราะถูกขัดขวางการจราจร

ยังไม่ทันได้นั่งเรียบร้อยและไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัย ปรมัตถ์ก็ออกรถทันที นี่เขาไม่รู้หรือไงว่าเธอยังไม่ได้ปิดประตูด้วยซ้ำ

“ร้อนจะตาย ยังมาเดินเล่นเหมือนถ่ายเอ็มวีไปได้” เขาว่า

แต่พ่อคุณท่านคะ แค่เดินจากตึกใหญ่มาถึงตรงนี้เส้นเลือดตรงขมับของเธอก็ปวดตุบๆ เหมือนจะแตกให้ได้อยู่รอมร่อ รองเท้าส้นสูงที่ใส่ก็ใช่ว่าออกวิ่งหรือเดินเร็วอย่างใจคิดได้ สถานที่ก็ไม่คุ้นเคย บาทวิถีบางจุดก็เป็นบล็อก เป็นอิฐ เป็นหินแผ่น จะให้รีบเร่งก็คงไม่ใช่ หรือหากจะวิ่งก็คงได้สะดุดอะไรล้มฟุบแถวนี้เป็นแน่ เหมือนเมื่อครู่อย่างไร แค่ตกใจก็เผลอเหยียบพื้นบล็อกหวิดเกือบล้ม แต่เหมือนอาการปวดหัวที่มีมากขึ้นเพราะได้ฟังคำพูดของเขามากกว่า

ถิรมนไม่ได้พูดอะไร แค่มองปรมัตถ์เงียบๆ

เขามองเธออยู่ก่อนหน้านี้ก่อนจะสวมแว่นตากลับเข้าที่เดิมอีกครั้ง หันหน้าไปมองถนน อาการที่เห็นไม่เท่ากับสีหน้าที่เหมือนจะถามว่ามีปัญหาอะไรไหม

ใช่... เธอมี แต่จะให้พูดกวนอารมณ์ก็คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ ซ้ำแต่จะพานให้อารมณ์เสียกันเท่านั้น

“พี่เพิ่งได้เข้าบริษัท” ปรมัตถ์พูดโดยไม่หันมา

ถิรมนหลับตา รับรู้คำบอกเล่าเงียบๆ เพราะเกิดอารมณ์หมั่นไส้มากกว่าตื่นเต้น

“ค่ะ” ตอบเสียงเรียบ ถ้าหากไม่โดนต่อว่าเรื่องผู้ใหญ่พูดด้วยให้ตอบก่อนนี้ เธอก็คงเลือกจะสงบปากสงบคำ

“พี่มุกบอกว่าเลิฟเริ่มทำงานแน่นอนแล้ว”

“ค่ะ”

“ตำแหน่งอะไร” เขาหันมามองแวบหนึ่งก็หันไปมองถนนเหมือนเดิม รถเคลื่อนตัวช้าประหนึ่งเต่าคลาน

“เร่งเครื่องหน่อยไหมคะ เกรงใจรถคันข้างหลัง”

ปรมัตถ์มองกระจกมองหลังนิดหนึ่ง “ไม่เดือดร้อนหรอก รถคันนี้เดี๋ยวก็จอดข้างตึกช่าง” ว่าแล้วก็ขับรถเอื่อยๆ ต่อไป จนรถคันข้างหลังออกตัวแซงไปก่อน “เห็นไหม ยังไงเขาก็หาทางไปเองได้ ที่พี่ถาม...เธอยังไม่ตอบ” พูดด้วยอาการไม่เดือดร้อนสักนิด

“ยังไม่ระบุค่ะ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้บ้าง”

“เป็นเลขาพี่มั้ย”

นี่เขาจะมาไม้ไหน “ไม่ค่ะ มันต่อยอดอาชีพลำบาก”

“คิดจะไปทันทีเลยละสิ ถ้าปีกกล้าขาแข็ง”

“ขาแข็งแรงดีค่ะ แต่ไม่มีปีก ไม่ใช่นก เลยไม่รู้จะไปไหน”

ปรมัตถ์หันขวับ มองถิรมนแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ “มันเป็นภาษิตสำนวนไทย ความหมายคือเมื่อเรียนรู้อะไรหรือทำอะไรได้ดีแล้ว ก็จะตีจากคนที่เคยให้ความรู้ หรือคนเคยช่วยเหลือเลี้ยงดู โดยไม่สนใจเขาอีก”

ถิรมนเงียบเมื่อรู้ความหมาย เขากำลังจะต่อว่าเรื่องเธอจะแยกไปใช้ชีวิตลำพังหลังจากได้ความรู้จากปภาวีอย่างนั้นหรือ

หญิงสาวมองเสี้ยวหน้าของปรมัตถ์ ความหล่อเหลาแทบไร้ประโยชน์ พยายามบังคับจิตใจให้สงบนิ่ง นับหนึ่งถึงสิบวนไปวนมา เขาหายไปตั้งนาน โผล่มาอีกทีก็สร้างเรื่องให้ได้จดจำ และดูเหมือนจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่พบเจอ

ทว่าเมื่อคิดถึงวันที่เขาช่วยนำใบปริญญามาให้เมื่อครั้งเยี่ยมถิรคุณวันแรก ใจก็เหมือนจะอ่อนยวบเสียอย่างนั้น ถึงเขาจะมีส่วนไม่ดี แต่ใช่ว่าความดีว่าจะไม่มีให้เห็น ถิรมนจึงนั่งเงียบ ไม่เอ่ยอะไร เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับเธอ

“ตกลงว่าไง”

ถิรมนไม่ตอบ

ปรมัตถ์เลี้ยวรถจอดตรงข้างตึกกองช่างโดยไม่ดับเครื่องยนต์ เขาปลดเกียร์ ดึงเบรกมือ ปลดเข็มขัดนิรภัย ถอดแว่นตากันแดดโยนทิ้งไว้ตรงคอนโซลรถอย่างไม่ไยดีนัก หันมามองเธอเต็มตัว กอดอก จ้องนิ่งๆ

ถิรมนจะลงจากรถแต่ประตูกลับเปิดไม่ได้

“พี่ล็อกไว้”

ตอบได้ทันใจเหลือเกินโดยไม่ต้องถาม แล้วนี่เขาล็อกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อาจเพราะเธอมัวแต่นั่งเกร็งก็เป็นได้เลยไม่ทันรู้สึก

“ตามนั้นค่ะ” ตอบและหันมามองเขา

ปรมัตถ์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นคล้ายมีคำถาม

“ปฏิเสธสินะ” เขายิ้มที่มุมปาก

“ปฏิเสธอะไรคะ”

“เรื่องทำงานให้พี่”

“ค่ะ เลิฟคงเป็นเลขาพี่มัตถ์ไม่ได้” ไม่รู้ว่าเขาจะคิดอย่างไร แต่เธอก็ควรพูดความจริง จึงเอ่ย... “เลิฟไม่เคยลงมือทำงานอะไรจริงจัง ตอนนี้ไม่มีความถนัด ขอศึกษางานไปก่อนน่าจะดีที่สุดค่ะ จากนั้นถ้าทำอะไรได้ดีที่สุดก็ค่อยว่ากันอีกที ส่วนเรื่องจะไม่ตอบแทนบุญคุณอามุกก็คงไม่ใช่นะคะ คุณพ่อให้เลิฟช่วยงาน ตอบแทนอามุกเท่าที่จะทำได้

“แต่ชีวิตใครก็ต้องมีอนาคตของตัวเองทั้งนั้นนี่คะ เลิฟคงไม่โกหกเพื่อให้ตัวเองดูดี แต่ความจริงคือเลิฟไม่สามารถพึ่งพาอามุกตลอดได้ตลอดไปหรอกค่ะ ทุกคนต้องโต ต้องมีชีวิตของตัวเอง อายุเลิฟก็ไม่น้อยแล้ว ยังไม่ได้งาน ไม่มีความรู้อะไรให้มีอาชีพมั่นคง ยังยืนบนขาตัวเองก็ยังไม่ได้ ไม่เห็นแปลกที่จะคิดถึงชีวิตข้างหน้า แต่ยังไงก็คงตอบแทนอามุกอย่างดีที่สุด ส่วนที่เหลือจะเป็นไปยังไงอีกเรื่อง”

ปรมัตถ์หัวเราะหึหึ ก้มหน้าที่มีรอยยิ้มแปลกๆ เอาไว้

“พี่มัตถ์ปลดล็อกได้แล้วค่ะ”

“นี่เราคุยกันจบแล้วเหรอ” เขาเงยหน้ามอง

ว่าแต่จุดประสงค์ของเขาคือ... “พี่มัตถ์มีอะไรอีกคะ”

“เรื่องแต่งงานของเรากับทะเบียนสมรส”

ถิรมนร้องอ๋อในใจ แอบมองไปรอบๆ จึงเห็นว่าบางคนมองมา แต่พวกเขาคงไม่เห็นด้านในเพราะฟิล์มค่อนข้างมืดพอสมควร เมื่อครู่อยู่กลางแดดเธอยังไม่เห็นเลย ยิ่งอยู่ในร่มก็คงไม่เห็นเช่นกัน ถิรมนหันไปคุยกับปรมัตถ์ด้วยความสะดวกใจมากขึ้น

“จะคุยให้จบตรงนี้ใช่ไหมคะ”

“ใช่ และไม่ใช่”

‘ทำไมเขาพูดยียวนจริง’ คิดแล้วก็ได้แต่เงียบ รอว่าเขาจะพูดอะไร

“พี่มุกตกลงอะไรกับเธอ”

“จำเป็นต้องบอกเหรอคะ ยังไงภายในสี่ปีทุกอย่างก็ต้องจบอยู่แล้ว”

“อ้อ สี่ปี” ปรมัตถ์ทำท่าทางไม่ยี่หระ แต่แววตานั้นดูซ่อนประกายความคิดบางอย่างเอาไว้ “ก็ไม่นานสักเท่าไหร่” พูดและถอนหายใจเหมือนไม่มีอะไรจะต้องกังวล

บอกไม่ถูกว่าทำไมหัวใจของเธอจึงเจ็บแปลบขึ้นมากับท่าทางของเขาที่เห็น ถึงจะรู้สึกไม่มาก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าไม่รู้สึก “มีอะไรอีกไหมคะ เลิฟต้องเข้าไปเอางาน หากอามุกมาตรวจแล้วเลิฟตอบไม่ได้ จะเสียหายค่ะ”

“ไฟแรงนี่ อยากเก็บประสบการณ์จัด” แล้วเสียง ‘หึ’ ก็ดังตามท้าย

เขาเก่งนักกับการสร้างความเจ็บปวดให้เธอโดยไม่ต้องมีคำพูด อาจอารมณ์เสียจากแฟนกระมัง จึงมาหาทางออกแถวนี้ เป็นเธอบ้างก็อาจอกแตกตายก็ได้กับสภาพคาราคาซัง จึงตอบไปว่า

“เก็บประสบการณ์ไว้ก่อน ต่อไปทำอะไรก็รอบคอบขึ้น พี่มัตถ์อาจไม่ชอบใจที่เห็นเลิฟแถวนี้ แต่สถานการณ์ของเรามันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เราก็คงต้องหน้าที่ของตัวเองทำให้ดีที่สุดค่ะ”

เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “ใช่... สถานการณ์แบบนี้ เราต่างฝ่ายต่างก็ควรทำให้ดีที่สุด กอบโกยให้มากที่สุด...จริงไหม” เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่งเหมือนเป็นคำถามว่าเธอเห็นด้วยหรือเปล่า

“ค่ะ” ถิรมนพยักหน้ารับ

ทว่าปรมัตถ์กลับการพุ่งตัวเข้าหาเธอทันใด จูบอย่างดุดันชนิดตั้งตัวไม่ติด

ถิรมนรีบปัดป้องแต่ก็ถูกปรมัตถ์ยึดมือเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน ไม่มีคำเตือนสักนิดว่าเขาจะทำอะไร แต่ทำไมร่างกายเหมือนจะอ่อนแรงฉับพลัน เผลอไผลซาบซ่านยามความอ่อนนุ่มแทรกสัมผัสปลายลิ้น ดูดคลึงเคล้าคลอริมฝีปากอ่อนหวานและดุดันสลับกัน จรดจูบคอยคลอเคลียไม่ห่าง บ้างรุกล้ำราวกับจะสูบวิญญาณให้ล่องลอย รู้สึกเหมือนดั่งจะไร้อากาศหายใจ

ความอ่อนด้อยประสบการณ์ทำให้หัวใจหวั่นไหว หัวใจนั้นเต้นรัว ลมหายใจของตัวเองไม่รู้แล้วว่าตอนนี้อยู่ที่ใด รู้เพียงเขาจูบหยอกเย้าจนใบหน้ายิ่งแดงซ่าน ร้อนผ่าวไปทั้งตัว ความวาบหวามบังเกิดอย่างไม่รู้ที่มา รู้ว่ามือหนึ่งของปรมัตถ์ประคองท้ายทอย เกี่ยวแทรกเส้นผมกึ่งรั้งเข้าหา ช่างยากต่อการหลบหลีก เป็นเพียงจูบเดียวแต่ก็ยาวนาน ไม่อาจปฏิเสธว่าสัมผัสนี้ปลุกความซ่านซาบ วาบหวิว ให้บังเกิดในส่วนลึกอย่างแท้จริง

ไม่รู้เลยว่าเหตุใดความรู้สึกพรักพร้อมจึงเกิดขึ้นง่ายดายถึงเพียงนี้กับเขาจูบของเขาที่บ่งบอกเรียกร้อง รู้ว่าเริ่มจูบตอบตามสัญชาตญาณ ยิ่งซาบซ่านเมื่อเขาก้มจูบที่ลำคอ ขนบนร่างกายลุกชันทั่วทุกหัวระแหง ร้อนผ่าว ซาบซ่าน พล่านวนไปทั่วร่างกาย รู้สึกเพียงสลับร้อนสลับหนาวมิได้หยุดหย่อน อ่อนแรงไปหมด

นี่เธอเป็นอะไรไป... แรงพิศวาสหวามไหวจู่โจมรวดเร็วจนตั้งรับไม่ทัน ล่องลอยพร้อมให้อีกฝ่ายชักจูง ถึงไม่รักแต่ร่างกายกลับตอบสนองอย่างไม่น่าอภัย จนเมื่อมือของปรมัตถ์ลูบไล้เนินอกและสัมผัสหนักหน่วงมากขึ้นจึงรีบยกแขนขึ้นป้องกัน

เขาคำรามให้รู้ว่าขัดใจ ปรมัตถ์หยุดทุกอย่างไว้ ใบหน้าของเขาถอยห่าง จ้องมองนิ่งๆ โดยไม่มีคำพูดอะไร ความรู้สึกในใจอบอุ่นและร้อนเร่าไปพร้อมกัน ความหล่อเหลาและแววตาของเขาเมื่อจ้องมองประหนึ่งไอร้อนให้เธอหลอมละลาย จ้องเหมือนจะถามให้ได้คำตอบ ทว่ากลับไม่มีถ้อยคำใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากฉกาจฉกรรจ์นั้น นอกจากเขาเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีกครั้ง จูบเบาๆ ที่ริมฝีปากเธออย่างอ่อนหวาน ไม่ดุดันเหมือนก่อนนี้ จูบ...แบบที่ให้รู้ว่านี่คือสัมผัสอันแสนวิเศษ

จูบ... ที่ทำให้รู้สึกล่องลอย

จูบ... ที่ทำให้เคลิบเคลิ้มอ่อนหวาน

จูบ... ที่ไร้ปราการใดๆ กั้น รับรู้เพียงแรงปรารถนาอันลึกล้ำไร้ที่มา และหวังว่าจะได้รับความรักอันหอมหวานอบอวลดั่งจูบนี้ตลอดไป

“ไปได้แล้ว” เสียงเบาแสนเบาดังให้ได้ยินเมื่อเขาถอนริมฝีปาก

เป็นเสียงเบาๆ ทว่ากลับรุนแรงในความรู้สึกที่เกิดขึ้นกะทันหัน เหมือนโดนตบจนหน้าชา ทั้งที่ความจริงไม่มีอะไรแตะต้องนอกจากถ้อยคำที่ได้ยิน

ปรมัตถ์ถอยห่าง ขยับนั่งบนเบาะคนขับและปลดล็อกประตู ถิรมนอับอายเหลือกล่าวที่พบการตอบแทนเช่นนี้ มากกว่านั้นคืออยากจะร้องไห้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหันไปมองทางอื่นไม่มองเธอสักนิด มือหนึ่งของเขาควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากและอยู่ในท่าทางนั้นไม่เปลี่ยน

ถิรมนแทบควานหาที่เปิดประตูไม่เจอ น้ำตาเหมือนจะเอ่อออกมากกับภาพที่เห็น

ถ้ารังเกียจกันนักแล้วมาจูบเธอทำไม!

“เช็ดลิปสติกก่อน ถึงสีจะอ่อนแต่มันก็เลอะ”

ถิรมนเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชู่รวดเร็ว ซับกึ่งเช็ดโดยไม่ได้มอง รีบลงจากรถทันทีทั้งสภาพนั้น ปิดประตูเร็วไว เช็ดปากจนรู้สึกแสบ เงยหน้านิดหนึ่งหวังกลบน้ำตามันไหลกลับไปข้างใน ขออย่าได้ไหลออกมาให้ต้องอายมากกว่านี้เลย

เธอรีบเดินเข้าไปในอาคารกองช่างทันที ไม่หันกลับไปมองปรมัตถ์อีก บอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น

‘มันก็แค่ความอยากตามประสาคนที่เคยมีเซ็กส์เท่านั้น’

ปลอบใจตัวเองกับความรู้สึกเผลอไผลที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทว่าความเจ็บปวดกลับล้นทะลักพรั่งพรูตามมา เมื่อแท้จริงแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคืนนั้นในโรงแรมเธอได้ทำอะไรลงไป รู้สึกเช่นไร รับสภาพเพียงตื่นมาและเหตุการณ์มันจบไปแล้ว

ถ้าเช่นนั้นทำไมตอนนี้จึงอยากร้องไห้ ทำไมถึงเจ็บแปลบเสียดแทงในอก เผลอใจไปกับเขาด้วยเหตุใดกัน ความรู้สึกหวามไหวใช่แค่สัญชาตญาณสืบพันธุ์ของมนุษย์ที่เรียกร้องจริงหรือ หรือแท้จริงเพราะเหตุใดกันแน่ เธอรู้สึกอย่างไรกันแน่กับปรมัตถ์ ช่างอยากจะหาคำตอบกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นเหลือเกิน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ค. 2557, 13:26:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ค. 2557, 14:32:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1858





<< บทที่ 4 (1/2)   บทที่ 5 (1/3) >>
สุชาคริยา 7 ก.ค. 2557, 14:48:09 น.


ตอบเม้นท์จากตอนที่แล้วจ้า >>

@คุณKaelek = พี่มัตถ์หายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ น่าตีเนอะ ส่วนคุณพ่อน้องเลิฟ อันนี้เรามาติดตามกันจ้า ว่าติดเพราะอะไร

@คุณkonhin = ขอบคุณจ้าาา

@คุณใบบัวน่ารัก = 5555 เก็ทเลยค่ะ มุกนี้ แต่งก็เหมือนไม่แตก โส สวย จบจากต่างประเทศ อิอิ

@คุณแล่นแต๊ = ตีพี่มัตถ์เลยเนอะ หายหัวไปเลย สัญญาไว้แล้วแท้ๆ ก็ยังเบี้ยว

@คุณแว่นใส = ช่ายจ้า เป็นฟามลับบบ

@คุณคิมหันตุ์ = 55555 จะพยายามแก้ปมให้ครบ&เรียบร้อยจ้า

@คุณnunoi = นั่นสิคะ น่าตีเนอะ

@คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = โอ๋ๆๆๆๆๆ ไม่ได้อยากให้บีบคั้นเลยน้า แง่บๆ

@คุณsupayalak = รอบก่อนพิมพ์ชื่อผิดค่ะ แหะๆ ขออภัยอย่างแรง // อะไรแหม่งๆ ต้องติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^


แล่นแต๊ 7 ก.ค. 2557, 17:44:48 น.
ไวไฟจริงๆพี่มัตถ์ คิดอะไรเนี่ยอยู่ดีๆไปจูบเค้า


คิมหันตุ์ 7 ก.ค. 2557, 17:47:44 น.
โห่วววววววววววววเกือบโรแมนติกล๊าาาาาาาาาาาา จบหัวใจแฟ่บมาก


ใบบัวน่ารัก 7 ก.ค. 2557, 18:48:33 น.
จูบ ว้า ไปต่อยังไงอะเลิฟ
ค่อยๆบอก กันดิ เลิฟตามไม่ทันหรอก><


crossbear 7 ก.ค. 2557, 20:18:18 น.
พี่มัตถ์เคลียร์ด่วนเลย....อย่าให้น้องลำบากเลยนะ น้องเหนื่อย


konhin 7 ก.ค. 2557, 20:56:46 น.
แหมม ขัดใจคนอ่านจริงๆ จูบแบบไม่แคร์ความรู้สึกกันแบบนี้ หนูเลิฟสู้ๆ


kaelek 7 ก.ค. 2557, 21:41:52 น.
พี่มัตถ์หายไปนาน แต่กลับมาแล้วได้จูบ โอ้วววววว นายแน่มาก


แว่นใส 7 ก.ค. 2557, 21:49:27 น.
ห้ามใจไม่อยู่ใช่ไหมพี่มัตถ์


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account