แก้วขวัญวันรัก
เรื่องราวของสี่สาวพี่น้องที่ต้องตามล่าหาแฟนให้ได้ภายในสามเดือน ก่อนที่จะถูกจับคลุมถุงชนกับเจ้าบ่าวที่ไม่เคยเห็นหน้า ดังนั้นภารกิจ และปฏิบัติการลับของการตามหาแฟนจึงเริ่มข้น
แต่ติดปัญหาที่แก้ไม่ตกนั่นคือ

คนหนึ่ง ขี้เหวี่ยงขี้วีน คบกับผู้ชายได้ไม่เกินหนึ่งวัน ผู้ชายคนนั้นต้องหนีเปิง เจ้าของฉายา
“สวยเหวี่ยงวีน”

คนหนึ่ง ซุ่มซ่ามจอมโก๊ะ เจ้าของฉายา “สาวโก๊ะมหาวิบัติ”

คนหนึ่ง ด้านชาต่อความรัก ไร้ความรู้สึกกลับความรัก เจ้าของฉายา “ดอกไม้น้ำแข็งไร้อารมณ์”

และอีกคนหนึ่ง สาวสวยหมดเท่ แต่ใจเธอคือหญิงแท้ แต่กลัวการมีความรัก เจ้าของฉายา
“เจ้าสาวกลัวฝน”

Tags: สี่สาว รักแท้ ความรัก การตามหา

ตอน: 17 ตกหลุมรักอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง

สวัสดีค่ะ ช่วงนี้มีธุระเยอะแยะไปหมด เลยไม่ได้แวะเข้ามา
แต่วันนี้มีเวลาว่างนิด ๆ ก็นำตอนมาฝาก
ฝากแก้วขวัญวันรักด้วยนะคะ และพบกันในตอนหน้า


17
ตกหลุมรักอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง


เช้านี้โต๊ะอาหารในบ้านสิทธิทรัพย์อาภามีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่ง ซึ่งรักจิราที่กลับบ้านดึกเมื่อคืนด้วยความเพลียเข้านอนเลย พอตื่นมาเจอซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังยืนทำอาหารสีหน้างุนงงอึ้งทึ้ง และได้แต่คิดในใจว่าเขาสวยกว่าเธออีก ผู้ชายอะไรหน้าหวานยังกับผู้หญิง หลังจากเจอเขาในห้องครัวก็ไปซักไซ้ได้ความมา รักจิราดูท่าจะหลงใหลได้ปลื้มคีตภัทรมาก ยิ่งพอชิมอาหารฝีมือเขาที่อร่อยพอ ๆ กับขวัญชีวันก็ยิ่งชื่นชมและยิ้มหน้าบาน

“ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้กินอาหารฝีมือซุปเปอร์สตาร์ คุณคีตะทำอาหารอร่อยมาก ฉันอิจฉาคนที่จะไปเป็นแฟนคุณจริง ๆ เลย” รักจิราถาม แก้วกัลยายิ้ม

“แกอยากมีคนทำอาหารให้กินทุกมื้อไหมล่ะ” รักจิราพยักหน้า และหันไปมองแก้วกัลยาที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“แกก็ให้เค้ามาเป็นพี่เขยแกสิรัก”

“จริงสิ มีพี่เขยทำอาหารเก่ง เป็นซุปตาร์ แต่จะยกให้ใครดีล่ะ เจ๊แก้วก็ไม่ว่าง ก็เหลือเจ๊ขวัญ กับเจ๊วัน เจ๊ขวัญนี่เคยบอกแล้วว่าอยากเป็นคนทำอาหารให้คนรักกิน ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเจ๊วัน!!!”

“แค่ก แค่ก แค่ก” วันวิวาห์สำลักน้ำ และมองรักจิราที่โบ่ยมาทางเธอ

“แล้วเรื่องอะไรมาลงที่เจ๊ล่ะ อยากได้คนทำอาหารเป็นทำไมไม่ขอเขาเป็นแฟนซะเองล่ะ”

“ก็เค้าอยากได้พี่เขยไม่ได้อยากได้แฟน ว่าไงคะคุณคีตะ พี่สาวฉันว่าง จีบไหมคะ” แก้วกัลยายิ้ม และหัวเราะออกมา เมื่อเห็นสีหน้าของวันวิวาห์ที่เปลี่ยนไป ดวงตามีประกายความโกรธอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน วันวิวาห์หันไปมองรักจิราตัวต้นเหตุทำให้เธอหมดอารมณ์กินข้าว และลุกเดินออกไป

“ว่าไงคะไม่อยากจีบเจ๊วันหรอ”

“ดูท่าว่าคุณวันคงจะไม่ชอบผม”

“ไม่ใช่ไม่ชอบคุณหรอก ไม่ชอบอาชีพคุณต่างหาก”

“ไอ้รัก!!!” แก้วกัลยาเอ่ยเรียกชื่อแก้วกัลยาน้องสาวปากเปราะ รักจิราปิดปากลงทันที แม้แก้วกัลยาจะแอบเชียร์ แต่คีตภัทรก็ยังไม่ใช่คนในครอบครัว แก้วกัลยามองโทรศัพท์ รักจิราหยิบโทรศัพท์และเดินเลี่ยงออกไปรับ และเดินกลับมา

“เค้าไปก่อนนะเจ๊แก้ว เอ่อ...” รักจิราหันมากระซิบข้างหู

“เจ๊วันไม่ชอบดาราไม่ชอบนักร้อง ถ้าอยากจีบลบอคตินี้ให้ได้นะคะ ฉันมองออกนะว่าคุณชอบเจ๊วัน” แล้วรักจิราก็เดินออกไป เมื่อรถคันหนึ่งวิ่งมาจอดรับหน้าบ้าน วันนี้อัสนีต้องไปดูโรงพิมพ์ เธอจึงต้องไปด้วย




แก้วกัลยามองนาฬิกาที่ตอนนี้ใกล้จะสิบโมงแล้ว เร่งขับรถไปให้ถึงบริษัทให้ทัน แก้วกัลยาจอดรถลงและวิ่งไปที่ห้องแถลงข่าวที่จัดขึ้นในตึกวีนัสชั้นสิบสอง แทนที่จะมีคนพลุกพล่านแต่กลับเงียบแปลก ๆ แก้วกัลยาหันไปมองมินตราที่วิ่งหน้าตื่นมาหาเธอ

“คุณแก้วค่ะ ยังไม่มีนักข่าวมาเลยค่ะ”

“หมายความว่ายังไง เธอโทรไปแจ้งสำนักพิมพ์แล้วไม่ใช่หรอ”

“ค่ะ เมื่อวานพอคุณเพทายสั่งปุ๊บดิฉันก็โทรไปปั๊บเลยค่ะ” แก้วกัลยาเดินไปหาเพทายที่เดินหน้าเครียดมาหาเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินมาหาเธอก่อน ถ้าเดินมาเพราะเสน่หาคงดีไม่น้อย

“รู้สาเหตุหรือยังคะ”

“มีคนไปปล่อยข่าวว่าเรายกเลิกการสัมภาษณ์อ้างว่ายังไม่พร้อม และวันนี้ TM.มิวสิค ก็เปิดแถลงข่าวจัดคอนเสิร์ตของเดวา นักข่าวไปทางโน้นหมดแล้ว” แก้วกัลยาขมวดคิ้ว

“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไงคะ”

“ผมก็ไม่รู้ แต่ผมกำลังติดต่อนักข่าวอยู่ ถ้าไม่ได้เราจะรอแถลงข่าวพรุ่งนี้”

“ไม่ได้ค่ะ ต้องวันนี้ ถ้าเรายืดไปเดี๋ยวมันก็จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ แบบนี้ เราต้องทำให้พวกที่คิดจะล้มเรารู้ว่าเราไม่ยอมให้ลอบกัดหรอก รอเดี๋ยวนะคะ บางทีคน ๆ นี้อาจช่วยเราได้” แก้วกัลยารอไม่นานรักจิราก็รับสาย

(ว่าไงเจ๊แก้ว)

“เกิดเรื่องแล้ว แกช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหมรัก”

(เรื่องอะไร)

“มีคนปล่อยข่าวว่าเรายกเลิกสัมภาษณ์ตอนนี้ไม่มีนักข่าวมาเลย นักข่าวไปอยู่ที่ T.M. หมด แกช่วยได้ไหมรัก ถ้าแกไม่ช่วยนะงานนี้บริษัทคุณเพชรต้องแย่แน่”

(แล้วเค้าจะช่วยตัวได้ยังไง)

“ไม่รู้แหละแกต้องช่วย ถ้าแกไม่ช่วยฉันจะประมาณไอ้หมีเน่าแก แค่นี้นะ” แก้วกัลยาตัดสายทันทีไม่รอให้รักจิราได้ปฏิเสธ ยังไงรักจิราต้องมีทางช่วยแน่



“เฮ้ย!!!!”

“เป็นอะไรของเธอ” อัสนีที่เดินอยู่ข้าง ๆ หันไปมอง รักจิราไม่ยอมหันมามองหน้าเขา ตั้งแต่เมื่อวันก่อนรักจิราก็มีท่าทีแปลก ๆ พอเขาจะจับตัวก็กระโดดหนีราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค แถมยังมองหน้าเขาแปลก ๆ จนเขาเองก็ผิดสังเกต

“รักจิรา” รักจิราทำหน้าคิดหนัก พอนึกไปนึกมาก็หันมามองหน้าเขา ใบหน้าเหมือนจะเริ่มนึกบางอย่างออกและหันมายิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจเลย อยู่ ๆ ผู้หญิงที่ชอบต่อย ชอบตีเขาเป็นนิจก็เกาะแขนเขา ไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด ลางสังหรณ์เขาบอกแบบนั้น ทั้งที่ตอนแรกเลี่ยงจะมองหน้า จะเข้าใกล้เขา

“นี่นาย เอ่อ...คุณช่วยอะไรฉันหน่อยได้ไหม”

“พอมีเรื่องให้ช่วยเรียกคุณ พอไม่มีเรื่องเรียกไอ้ บอกเลยว่าไม่ นี่จะจะสอบเอ็ดโมงแล้ว ฉันมีประชุมกองต่อนะ” อัสนีรีบเดิน แต่รักจิราไม่ยอมให้เขาหนี วิ่งมากางแขนดักหน้าไว้ และมองด้วยสีหน้าเว้าวอนสุด ๆ

“นะคุณช่วยหน่อยนะ ถ้าคุณไม่ช่วยยัยเจ๊แก้วต้องฆ่าตัว...เอ่อ...ตัวตายแน่ ๆ เลยค่ะ” รักจิรากำลังจะเรียกชื่อหมีตัวโปรด แต่นึกขึ้นได้รีบเบี่ยงประเด็นไป

“มันหนักขนาดนั้น”

“ใช่ค่ะ คืออย่างนี้นะคะเมื่อวานคุณเพชรประธานบริษัทวีนัส มีเดีย จะจัดแถลงข่าววันนี้ แต่มีข่าวเท็จจากพวกเงามืดไปให้ข่าวว่ายกเลิกสัมภาษณ์ ทำให้วันนี้ที่ตึกวีนัสไม่มีนักข่าวสักคน แล้วยัยเจ๊แก้วเนี่ยก็ไปปิ๊งท่านประธานคนนี้ ก็เลยโทรมาขอให้ฉันช่วย แต่ฉันนักข่าวตัวเล็ก ๆ จะไปทำอะไรได้ ก็มีแต่คุณที่ช่วยได้ คุณจะช่วยไหม คุณสายฟ้า” อัสนีมองผู้หญิงที่พูดเพราะกับตน เมื่อวานก็มีหัวหน้าข่าวบันเทิงมาแจ้งเรื่องนี้กับเขา แต่ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะไปเกี่ยวอะไรกับรักจิรา

“แลกกับอะไร” รักจิราตาโตค้าง เธอยอมรับเลยว่าผู้ชายคนนี้ร้ายมาก

“อะไรก็ได้”

“เธอบอกแล้วนะได้ฉันจะช่วย” แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายถึงใครก็ไม่รู้ สักพักเขาก็เดินยิ้มกลับมา

“เรียบร้อย อีกครึ่งชั่วโมงนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ จะไปที่ตึกวีนัส” รักจิรามองอย่างทึ่งว่าเขาทำได้ยังไง

“นาย...คุณทำได้ยังไง” รักจิราเดินตามเขาขึ้นรถไปเพื่อจะกลับสำนักงาน แต่ก็ยังสงสัย

“คุณภัคจิรา บอกอเก่าไง เค้ากว้างขวางจะตาย โทรไปขอให้เขาช่วย ไม่เกินครึ่งชั่วโมงหนังสือพิมพ์อื่น ๆ ก็ไปที่ตึกวีนัสหมดแล้ว” จริงสิเธอลืมไปได้ยังไง

“ไอ้ขี้โกง ยกเลิก ๆ ฉันไม่ยอมแลกอะไร นายขี้โกงอ่ะ ทำแบบนี้ฉันก็ทำได้” อัสนียิ้มและทำหน้าไม่สน

“อย่าผิดสัญญาเด็ดขาดนะรักจิรา ถ้าเธอผิดสัญญาฉันจะเอาไปประจานลูกน้องแก๊งค์เก่า ๆ ของเธอว่าเธอมันเป็นพวกผิดคำพูด” อัสนีรู้ว่าตอนช่วงเรียนรักจิราซ่าแค่ไหน และรักจิราเป็นพวกที่ไม่ยอมอายต่อหน้าลูกน้อง ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี รักจิรากลัวเสียหน้า ภาพลักษณ์ของความรักศักดิ์ศรีคือสิ่งที่ติดตัวรักจิรามาจนถึงวันนี้

“ก็ได้ ว่ามาสิจะเอาอะไร ขอบอกเลยนะถ้าเอาอะไรแผลง ๆ ฉันจะต่อยหน้านาย” ขาดคำไหมล่ะ ว่าเมื่อใช่ประโยชน์เสร็จกลับมาเรียกด้วยสรรพนามเดิมอีกตามเคย เข้าทำนองใช้ประโยชน์เสร็จก็ถีบหัวส่ง

“เลี้ยงข้าวสามเวลาหนึ่งอาทิตย์”

“เฮ้ย!!!” รักจิราตะโกนออกมาเสียงดังไม่รักษาภาพลักษณ์ความเป็นผู้หญิง อยู่ต่อหน้ารักจิราเคยรักษาภาพพจน์เสียเมื่อไหร่ ระหว่างเธอกับเขาเกินกว่าจะมานั่งรักษาภาพลักษณ์ที่สวยงามแล้ว

“ได้ไงล่ะ โกงแล้วยังขอมากไปอีก นายไม่รู้หรอว่าบ้านฉันมีกฎประจำบ้านต้องไปกินข้าวให้ทันกับมื้อเย็น แล้วนายจะมาริบเวลาของฉันได้ยังไง นี่มันลิดรอนสิทธิ์ฉันนะ”

“ลิดรอนสิทธิ์ เธอบอกฉันเองว่าแลกกับอะไรก็ได้แค่กินข้าวกับฉันมันไม่ตายหรอกน่า ไปกันได้แล้ว”

“แต่...แล้วคุณพอลล่ะ นายไม่ไปกินข้าวกับคุณพอลหรอ” รักจิรายิงคำถาม เขาหันมามองหน้ารักจิราและถอนหายใจ และขมวดคิ้วส่งสัย

“เกี่ยวไรกัน...พอลเค้าไม่หวงฉันหรอก แค่มื้อเย็นไม่เป็นไรแค่อาทิตย์เดียวเอง พอลเขาเข้าใจ” เขาตอบ

“ตกลงนายกับคุณพอลคบกันอยู่หรอ” รักจิราก็ไม่อยกาเชื่อว่าตัวเองจะกล้าถามออกไป แล้วแบบนี้ใครเขาจะตอบและยอมรับล่ะ

“อื้อ...” คำว่าอื้อทำให้รักจิราอ้าปากค้างคล้ายช็อคเมื่อเขายอมรับออกมาโต้ง ๆ อย่างไม่อาย รักจิราทำหน้าไม่ถูก พูดไม่ออก มันจุกจนแน่นอกไปหมดแล้ว

“เอ่อ...ตกลง ฉันจะเลี้ยงข้าวนายแต่แค่สองมือเช้ากับเที่ยง แล้วเพิ่มเป็นสองอาทิตย์ แทนมื้อเย็นละกัน ไม่มีต่อลองแล้ว เพราะฉันเสียเปรียบนายมาก แล้วเห็นหน้านายสองมื้อฉันก็กินอะไรไม่ลงแล้ว”

“อย่างนั้นก็ได้ แล้วเธอเป็นอะไรหน้าซีด ๆ” เขาทำท่าจะเอามือมาแต่หน้าผาก รักจิราสะดุ้งปัดมือเขาออก

“ฉันลืมแฟ้มเอกสารไว้ที่โรงพิมพ์ ขอเข้าไปเอาก่อน นายรอที่นี่แหละ” แล้วรักจิราวิ่งลงไป เธอไม่อยากเชื่อแต่ต้องเชื่อเมื่อเขายอมรับมาอย่างไม่อายสักนิด ทำไมเธอถึงต้องผิดหวังเล่น รักจิราไม่ได้วิ่งกลับไปเอาแฟ้มแต่วิ่งเข้าห้องน้ำแทน

ครืด ครืด ครืด

อัสนีมองโทรศัพท์ของรักจิราที่สั่นอยู่บนเบาะ ดูเหมือนรักจิราจะลืมมันไว้ ตอนแรกเขากะจะปล่อยให้มันสั่น แต่กลับเหลือบไปเห็นชื่อบนหน้าจอ ...ผู้กองติ... ใบหน้าฉายชัดความไม่พอใจขึ้นมาทันที เขามองซ้ายมองขวาว่ารักจิรามาหรือยัง เมื่อไม่เห็นรักจิราเขารีบกดรับสายนั้นทันที

“ฮัลโหล”

(คุณรักไม่อยู่หรอครับ)

“ไม่อยู่ คุณมีอะไรกับรักจิรา คิดจะจีบรักหรอ”

(เอ่อ...คุณรักเธอนัดพบไปทานอาหาร ผมก็เลยโทรมาถามว่าจะเที่ยงแล้ว ผมรออยู่...)

“ไม่ต้องรอ รักจิราจะไม่ไป เพราะไม่ว่าง แล้วเรื่องคดีมีอะไรติดต่อผม ไม่ต้องติดต่อไปที่รักจิรา หวังว่าคุณจะเข้าใจ ผมไม่อยากให้รักจิราต้องเข้าไปเดือดร้อน”

(ครับ...ผมฝากบอกคุณรักด้วยว่ารูปที่ฝากผมไปล้างได้แล้ว ผมจะแวะเอาไปให้ที่บ้านนะครับ) อัสนีถึงกับร้องในใจนี่ถึงกับรู้จักบ้านกันแล้ว

“เอามาให้ผมที่สำนักงาน”

(แต่...)

“ผมจะเป็นคนเอาไปให้รักเอง คุณเข้าใจนะครับ”

(แต่...) เขากดตัดสายไปในทันทีไม่รอให้อติพงษ์ได้เว้นจังหวะพูด



คีตภัทรเดินมานั่งลงข้าง ๆ วันวิวาห์แต่เว้นช่วงไว้ เพราะรู้ว่าเธอไม่ชอบหน้าเขา ไปนั่งใกล้เดี๋ยวได้ลุกหนี เขาเดินไปเปิดโทรทัศน์ช่องวีนีส มีเดียของบริษัทที่ตอนนี้กำลังฉายภาพการสัมภาษณ์ แก้วกัลยาพึ่งโทรมาบอกว่าเกิดเหตุขัดข้องเลยเลื่อนเวลา เขามองภาพการสัมภาษณ์อย่างใจจดใจจ่อ โต๊ะนั่งแถวยาวที่มีผู้บริหารของบริษัทวีนัส มีเดียนั่งอยู่ และขนาบข้างด้วยนักร้องในค่ายที่ตกเป็นข่าวทุกคน นักข่าวสอบถามเรื่องต่าง ๆ เสร็จ เพทายที่ตอบคำถามเสร็จก็เอ่ยขึ้นหลังจากนักข่าวไม่มีคำถาม

“ครับ สิ่งที่เกิดกับทางวีนัส สร้างผลเสียต่อบริษัทและตัวนักร้องของเรามาก น้อง ๆ ทุกคนยอมรับว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องราวในอดีต และน้อง ๆ ยังเป็นวัยรุ่นอยู่ การกระทำทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความเลือดร้อนอยากรู้อยากร้องเหมือนกับวัยรุ่นหลาย ๆ คน ผมจะไม่พูดคำว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่สิ่งเหล่านั้นที่น้อง ๆ ทำก็สร้างบทเรียนสำคัญให้กับน้อง ๆ ทุกคน จนตอนนี้น้อง ๆ เติบโตขึ้น ผมยังขอยืนยันว่าวีนัสคัดคุณภาพของเด็กมาอย่างดี คัดจากความสามารถคุณภาพในปัจจุบัน ผมรับรู้ประวัติในอดีตของน้อง ๆ ที่ไม่ได้ขาวสะอาดดังผ้าขาวตั้งแต่แรก แต่ผมอยากให้เรารู้ว่าไม่มีใครดีมาตั้งแต่เกิด น้องเป็นผ้าขาวที่เคยเปื้อนแต่เมื่อเรานำมาซักล้างผ้าผืนนั้นจะสะอาดในวันหนึ่ง แต่มันจะเหลือรอยจาง ๆ ให้ได้จดจำอย่างในวันนี้ที่ทุกคนได้เห็น เพื่อย้ำเตือนว่าความผิดก็คือความผิดมันจะอยู่กับเราไปจนตาย แต่อยู่ที่เราเลือกจะมองข้ามสีที่เปื้อนเหล่านั้นแล้วเริ่มใหม่ไหม นักร้องทุกคนแม้ผมอาจจะไม่ได้ขัดเลือกเองกับมือทุกคน แต่ผมมั่นใจในคุณภาพน้อง ๆ ทุกคนผ่านการออดิชั่น ผ่านการเก็บตัวมาเกือบห้าปี ผมจะไม่ปล่อยให้นักร้องในสังกัดของผมผ่านตาไปง่าย ๆ ทุกคนก็เห็นแล้วในปัจจุบันนักร้องของเหล่าที่เห็นนั่งกันอยู่ตอนนี้ทำความดีเพื่อสังคม ไม่ได้ทำแค่ต่อหน้ารับหลังก็ทำ บรรดาแฟนคลับของน้อง ๆ จะรู้ดี เพราะน้อง ๆ ทุกคนเห็นค่าความสำคัญของอาชีพของตัวเอง น้อง ๆ รู้ว่ากว่าจะมีวันนี้น้องต้องเจออะไรมาบ้าง ส่วนเรื่องที่ถูกตีแผ่ไปในวันนี้ ผมถือว่าเป็นการเปิดให้ได้รู้ และอยากให้ทุกคน ให้โอกาสน้องเขาอีกครั้ง ขอให้ตัดสินจากผลงานและคุณภาพในปัจจุบัน”

“แล้วเรื่องของน้องภีม น้องแบร์ คุณนก และคุณคีตะล่ะครับ”

“ผมอยากให้รู้ไว้ว่าตอนนี้มีคนไม่หวังดีต่อบริษัทวีนัส จึงพยายามลงข่าวให้ภาพลักษณ์ของบริษัทเสีย บางข่าวเป็นข่าวที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ส่วนเรื่องของภีม แบร์ และนกบริษัทกำลังสืบหาความจริง อยากขอให้พี่ ๆ น้อง ๆ สื่อมวลชนทุกคนรออีกพัก ไม่ว่าตอนนี้จะมีข่าวไม่ดีอะไรอยากให้มาถามที่ผม ผมจะตอบตามความเป็นจริงแน่นอน”

“แล้วเรื่องน้องคีตะล่ะคะ” นักข่าวคนหนึ่งถาม

“ตอนนี้ผู้อำนวยการธนากร และคุณพรรณรายยังไม่ว่าง แต่ผมจะให้ท่านออกมาแถลงข่าวอีกครั้ง”

“แล้วทำไมต้องพักงานน้องคีตะคะ” นักข่าวคนเดิมถาม

“ตอนนี้ทุกคนคงรู้ว่ามีคนไม่หวังดี และคิดจะทำร้ายคีตะ ผมขอบอกตรงนี้เลยละกันนะครับ รถคีตะที่ความแท้จริงไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่มีคนจงใจฆ่าคีตะ เราจึงไม่สามารถให้คีตะได้กลับมาทำงานได้ ส่วนเรื่องคดีผมยังไม่สามารถบอกอะไรได้ ผมขอให้ทุกคนเข้าใจ” ทั้งหมดพยักหน้า

“จะมีการแถลงข่าวอีกครั้งใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ หลังจากทั้งสี่คนพร้อมผมจะจัดแถลงข่าว ผมจะขอเชิญสื่อมวลชนมาอีกครั้ง ผมขอให้พี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนอย่าเขียนข่าวทำร้ายวีนัสไปกว่านี้ และขอโอกาสให้น้อง ๆ นักร้องอีกครั้ง ขอบคุณครับที่เข้ามาฟังการแถลงข่าว ผมจะนัดวันเวลาอีกครั้งเมื่อพร้อมจะแถลงข่าวอีกครั้ง” เพทายลุกขึ้น น้องร้องทุกคนยกมือไหว้สื่อมวลชนและเดินลงมาให้นักข่าวในงานได้สัมภาษณ์ส่วนเพทายเดินมาหาแก้วกัลยาที่ประตูทางออกจากห้องด้านหลัง แก้วกัลยายิ้มและกระโดดเข้ากอดเพทาย

“ที่รักเก่งที่สุดเลยค่ะ” เพทายยิ้มออกมา นี่เป็นครั้งที่เขายิ้มกับท่าทีของแก้วกัลยาและไม่ได้ผละออก เขารู้สึกโล่งอกอย่างประหลาดที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ถ้าไม่มีแก้วกัลยาในวันนี้ก็คงแย่ แก้วกัลยาผละออกและทำหน้าสงสัยที่วันนี้เพทายไม่ยอมดันออก และมองเขาที่มองหน้าเธอนิ่ง ๆ

“ขอบคุณ”

“ขอบคงขอบคุณอะไรกันคะ เพื่อที่รักแก้วทำได้ค่ะ ถ้าจะให้ดีพาแก้วไปกินข้าวสักมื้อก็ดีนะคะ” แก้วกัลยาเอ่ย

“พี่เพชรคะ” แก้วกัลยาทำหน้าเซ็งและหันไปมองก้างชิ้นโตที่มาขวางทางรักของเธออย่างได้จังหวะ เพทายหันไปยิ้มให้กับดารินทิพย์ที่เดินเข้ามา ในมือถือช่อดอกไม้ที่จัดเอง

“ดีใจด้วยนะคะ”

“ขอบคุณครับน้องดา พี่ไม่คิดว่าเราจะมานะ”

“ต้องมาสิคะ น่าเสียดายที่ดาช่วยพี่เพชรไม่ได้ แต่ดาเป็นกำลังใจ สวดมนต์ขอให้เรื่องร้าย ๆ ผ่านไปทุกคืน” แก้วกัลยาขยับปากทำสีหน้าล้อเลียนอยู่ด้านหลังอย่างหมั้นไส้ ชีไม่ได้ทำอะไรเลย จะมาเอาหน้าตอนท้ายเนี่ยนะ

“มาช้าไปไหมคะคุณดาหวัน” แก้วกัลยาเอ่ย เพทายหันไปมองและส่ายหน้าอย่างปราม ๆ

“พี่เพชรว่างหรือยังคะ เราไปทานอาหารด้วยกันดีไหมคะ” แก้วกัลยาค้อนทันที เธอชวนก่อนนะ เธอไม่ยอมแน่ ๆ ถ้าต้องไปกินข้าวโดยมียัยหนูตาหวานนี่เป็นกว้างขวางคอเธอ

“แก้ว..”

“ฉันไม่ไป คุณเชิญไปกับคุณดาหวันเถอะค่ะ ฉันมันหมดประโยชน์แล้วนี่” แล้วแก้วกัลยาก็เดินลงจากตึกวีนัส ปากพร่ำบ่นตลอดทาง สาปส่งดารินทิพย์ไปด้วย

“มาร มารความสุขของฉันจริง ๆ ฉันต้องใช้แผนแอปเปิ้ลอาบยาผิดเหมือนแม่มดไหมเนี่ยถึงจะกำจัดยัยหนูดาหวันได้ โธ่เว้ย!!!” แก้วกัลยาลงมาถึงพึ่งนึกได้ว่าเธอไล่มงกุฎกลับไปแล้ว เพราะมโนว่าหลังจบการแถลงข่าว เธอจะไปกินดินเนอร์กับเพทาย แล้วให้เขาไปส่ง แต่นี่อะไร ยัยนี่หนูนั่นทำเธอพัง แถมเธอต้องมานั่งโบกรถกลับบ้านเนี่ยนะ เจริญเถอะ




“พายุมา” เสียงคุณมงกุฎดังขึ้น บรรดาพนักงานหลบหลีกหนีกันทันทีเมื่อเห็นพายุที่ตั้งเคล้ามาแต่ไกล มงกุฎเองก็รับไปหาที่ซ่อนเวลาแก้วกัลยาหงุดหงิดจะฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว คนที่จะรับมือได้ต้องเป็นภัยพิบัติเหมือนกันเท่านั้น นั่นก็คือบรรดาสี่พี่น้อง ดังนั้นหลบดีที่สุด แต่เหมือนจะไม่พ้น

“จะไปไหนคุณมงกุฎ!!!” มงกุฎทำหน้าเหมือนจะร้องไห้และหันหลังกลับไปมอง

“คุณแก้วกลับมาเร็วจัง”

“เร็วสิ กรี๊ด!!!!” แก้วกัลยาส่งเสียงกรี๊ดดังลั่นสปา บรรดาแขกพากันวิ่งหรูออกมา พนักงานพากันขอโทษขอโพยขอพาย แก้วกัลยาวิ่งไปที่ด้านหลังสปาเข้าไปในห้อง ๆ หนึ่งภายในห้องโล่ง ๆ มีอุปกรณ์ระบายความโกรธนานาชนิด แก้วกัลยาเดินไปที่จานที่ตั้งสูง ก่อนจะ

เพล้ง!!!

มงกุฎเอามืออุดหู และรีบปิดประตูทันที มหกรรมปาจานเริ่มขึ้น ห้องระบายความโกรธห้องนี้เป็นห้องที่สร้างขึ้นเฉพาะสี่พี่น้อง เวลาหงุดหงิดก็จะมาลงที่ห้องนี้ ซึ่งแขกประจำมีอยู่สองคนนั้นคือแก้วกัลยา และรักจิรา เพราะขวัญชีวันกับวันวิวาห์จะสามารถควบคุมอารมณ์ตวเองได้ไม่ให้พุ่งพ่านแปรปรวน ดังนั้นวันวิวาห์จึงเป็นพายุน้ำแข็งไงล่ะ มงกุฎยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง ไม่รุ้ผ่านไปนานแค่ไหน แต่รู้อย่างเดียวว่าหลังจากเสียงจานเงียบหายไป เสียงที่ดังแปรเปลี่ยนเป็นเสียง

ฉึก

“ผมมาหาคุณแก้ว พนักงานบอกให้ผมมาที่นี่” มงกุฎหันไปมอง และทำสีหน้าตกใจที่เห็นเขา

“มาหาคุณแก้วหรอคะ เอ่อ...มั่นใจว่าจะหยุดเฮอริเคนได้” เขาขมวดคิ้ว

“เอาอย่างนี้นะคะ ถ้าไม่อยากโดยลูกหลงก็อย่าเข้าไป แต่ถ้าคุณเตรียมใจไว้แล้ว เชิญค่ะ” มงกุฎหลักทางให้ เพทายเดินไปจับลูกปิดประตูและเปิดออก พลันมีดเล่มหนึ่งก็ลอยเฉียดหน้าเขาไป และปักที่ต้นไม้ด้านนอก มงกุฎที่รู้ทิศทางลมเบี่ยงตัวหนีออกจากประตูทัน แก้วกัลยามวยไม่เป็น แต่ปามีดเธอแม่นมาก นี่คือสิ่งที่ยังไม่ได้เตือนเพทาย

“มาทำไม” เพทายสำรวจห้องที่มีเศษจานกระเบื้องแตกละเอียดกระจายไปทั่วห้อง ที่กลางผนังห้องฝั่งตรงข้ามมีเป้าหนังปักอยู่อันหนึ่ง ที่กลางเป้ามีรูปของดารินทิพย์ติดไว้ และมีดหลานอันที่คิดว่าแก้วกัลยาเป็นคนปาปักอยู่ที่รูปแทบจะสิบเล่มได้

“โมโหแล้วพาลใส่โน่นนี่มันดูไม่น่ารักเลยนะครับ” เขาพูดเสียงนิ่มลง

“ถ้ารับได้ก็อยู่ รับไม่ได้ก็ไปสิ” แก้วกัลยาพลั่งปากพูดออกไปเพราะยังหงุดหงิด

“แน่นะ งั้นผมไป”

“คุณเพชร” แก้วกัลยาวิ่งไปเกาะแขนขวาเขาไว้ทันที พลางทำหน้ามุ่ยใส่

“คุณช่วยง้อฉันหน่อยไม่ได้หรือไงล่ะ ปุปปับมาปุปปับไป แล้วนี่คุณไม่ได้ไปกินข้าวกับยัยหนูตาหวานั่นหรอคะ” แก้วกัลยาถามเสียงประชด เพทายแกะมือปลาหมึกนั่นออก ซึ่งเธอก็ยอมเดินออกไปและปาเป้าต่อ โดยเปลี่ยนตำแหน่งเป้าที่กระจัดกระจายอยู่ตามมุมห้อง ซึ่งเธอแม่นมาก ปาทีหนึ่งก็ปักทีหนึ่ง ทั้งที่มีแขนอยู่ข้างเดียวแต่แก้วกัลยากับปาได้อย่างคล่องแคล่งจนปิดสังเกต

“ผมไม่ได้บอกสักนิดเลยนะว่าจะไป อยู่ ๆ คุณก็เดินออกมาเอง” เขาตอบ แก้วกัลยาหันไปมองหน้าเขา

“หมายความว่าไงคะ”

“ก็ผมสัญญากับคุณไว้ว่าผมจะดูแลคุณจนกว่าร่างกายคุณจะกลับมาครบสามสิบสอง แล้วอีกอย่างคุณช่วยผม ผมตอบแทนคุณมันก็ถูกแล้ว” แก้วกัลยาหันมามองเขาด้วยแววตาแปลกกว่าทุกครั้ง

“ถ้าไม่นับเรื่องสัญญาบังคับ ไม่นับเรื่องบุญคุณถ้าฉันชวนคุณ ๆ ก็คงไม่ออกมาสินะคะ” เขามองเห็นแววตาน้อยใจฉายออกมา ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงจะเมินและเดินหนี แต่เพราะเธอกลายเป็นผู้มีพระคุณ เป็นคนที่เขาไว้ใจได้ในระดับหนึ่งแล้ว เขาจึงไม่ปล่อยผ่าน

“ถ้าเป็นแต่ก่อนก็คงใช่” แก้วกัลยายิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที “แต่ตอนนี้คุณเป็นเพื่อนผม ผมก็ต้องไปอยู่แล้วถ้าคุณชวน” ใบหน้าห่อเหี้ยวขึ้นมาอีกครั้ง

“โห คุณเพชรอ่ะจะให้ฉันยิ้มค้างอีกห้านาทีไม่ได้หรือไงกัน เพื่อนก็เพื่อน แต่อาทิตย์หน้าขอเป็นตำแหน่งอื่นนะคะที่รัก” แก้วกัลยาเอ่ย เดินไปหยิบรองเท้าที่ถอดทิ้งไว้ แต่เพทายกลับจับมือเธอไว้ แก้วกัลยาหันมามองและยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ไม่ต้องยิ้ม ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดอยู่แน่ ๆ ผมแค่จะบอกว่าเดินเท้าเปล่าเข้าไป ผมกลัวคุณจะโดนเศษจานพวกนั้นบาด เดี๋ยวผมเข้าไปหยิบเอง” แล้วเขาก็เดินไปหยิบรองเท้าที่วางอยู่ริม ๆ ห้อง แล้ววางลงตรงหน้า

“ต้องให้ผมใส่ให้ไหม”

“ถ้าคุณกล้าทำ” แก้วกัลยาพูดเล่น แต่เขากลับทำจริง จับข้อเท้าเธอเบา ๆ และค่อย ๆ บรรจงจับเท้าเธอใส่ลงไปในรองเท้าส้นสูงสีน้ำเงิน แก้วกัลยายืนนิ่งอึ้ง ในขณะที่มงกุฎที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นอกประตูก็อึ้งเช่นกัน ไม่คิดว่านักธุรกิจคนดังแบบเขาจะกล้าทำ

“เสร็จแล้ว” เขาเงยหน้าขึ้น มองดวงตาของเธอที่มองเขาเหมือนตกใจ

“คุณทำอะไรน่ะ”

“ช่วยคุณใส่รองเท้าไง” เขาอยากจะหัวเราะกับใบหน้าอึ้ง ๆ ที่ดูเหรอหราของเธอเหลือเกิน

“ฉันรู้ แต่ฉันพูดเล่นคุณไม่ต้องทำก็ได้”

“ผมต้องดูแลคุณ ไปได้แล้วจะไปกินข้าวไม่ใช่หรอ วันนี้ผมว่างยาวก่อนจะต้องเริ่มงาน” แก้วกัลยายิ้มและโผเข้ากอดเขา เปลี่ยนสลับเป็นเพทายที่ตกใจ โชคดีที่เขาตั้งตัวให้ทัน แก้วกัลยาซบหน้าลงที่อกของเขา เขารู้สึกได้มามันเสื้อของเขาเริ่มชื้น

“คุณเป็นอะไร” แก้วกัลยาส่ายหน้า นานแล้วที่ไม่มีผู้ชายคนไหนทำแบบนี้ให้เธอด้วยท่าทีอ่อนโยนแบบนี้ คนสุดท้ายก็พ่อของเธอ แต่เขากลับทำให้เธออยากไม่กลัวเสียภาพพจน์ พอเห็นแบบนี้แล้วอยู่ ๆ ก็คิดถึงพ่อของเธอที่เสียชีวิตไป แก้วกัลยายังไม่ต้องการให้เขารู้ว่าเธอร้องไห้ เธอกลัวเสียภาพพจน์มารร้ายอสรพิษ

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าแก้ว”

“คุณยิ่งทำแบบนี้ฉันก็ยิ่งหลงรักคุณ คุณจะทำให้ฉันตกหลุมรักคุณอีกกี่ครั้งกันนะ ไม่รู้แหละฉันจองคุณแล้ว ยัยน้องหนูตาหวานนั่นฉันก็ไม่ยกให้” เพทายยิ้มมองท่าทีของผู้หญิงที่ร้องไห้แต่ไม่ยอมให้เขาเห็น มงกุฎที่ยืนอยู่หน้าประตูแอบยิ้มและเดินออกไปทิ้งให้เจ้านายที่ปกติเป็นแมวป่าเจ้าอารมณ์ได้มีท่าทีเหมือนแมวขี้อ้อนบ้าง

“ตกลงว่าจะไปกินข้าวหรือยัง”

“ตอนนี้ขอกินคุณแทนก่อนได้ไหมล่ะคะ คุณน่ากินกว่าข่าวอีก” แก้วกัลยาเอ่ย และเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่คิดว่าจะเปียกชื้นกลับเช็ดถูที่เสื้อเขาจนแห้ง เครื่องสำอางที่กันน้ำอย่างดีไม่ได้ทำให้ใบหน้าเธอเละ เพียงแต่จางลงเล็กน้อย ดวงตาคมสวยมองเพทายอย่างเป็นประกาย และอยากจะหัวเราะออกมา เมื่อเพทายหลบตาเธอ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง แม้จะไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนหน้าเขา แต่เธอก็ชอบเหลือเกิน

“คุณนี่เป็นผู้ชายที่หลอกคนไม่เก่งเลยนะคะ ไปเถอะค่ะฉันหิวแล้ว” แต่เพทายไม่ยอมเดินไปตามแรงดึง แก้วกัลยาเหมือนนึกออกก็หันไปมองหน้าเขาและเอ่ยต่อ

“ฉันหัวข้าวค่ะ ส่วนกินคุณคงต้องรอก่อน เอาไว้ฉันหิวมาก ๆ ค่อยว่ากัน ไปเร็วค่ะ ช้าฉันเปลี่ยนใจนะ” เพทายรีบเดินนำหน้าไปทันที โดยที่แก้วกัลยาจับมือและเดินตามไปที่รถ

“ทำไมกลายเป็นอย่างนี้ นักข่าวไปอยู่ในงานนั้นได้ยังไง” ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานนั่งอยู่บนโซฟามองโทรทัศน์ช่อง วีนัส มีเดียที่กำลังถ่ายทอดสดการแถลงข่าวที่พึ่งจบไป ใบหน้าที่แม้มีริ้วรอยแห่งกาลเวลาแต่ก็ยังมีเค้าโครงความหล่อในอดีตดูเกรี้ยวกราดขึ้น

“ถ้าไม่มีนังนั่นช่วย แผนเราก็ไม่พังหรอก”

“ใคร”

“ก็นังแก้วกัลยา ยัยไฮโซหน้าใหม่นั่นไงล่ะ”

“แค่มันคนเดียวเนี่ยนะ”

“ใช่นังนั่นคนเดียว มีเส้นสายกว้างขวาง มันโทรกริ๊วเดียวมันหานักข่าวมาเต็มไปหมด ทางที่ดีถ้าอยากจะให้วีนัสล่มจม ต้องจัดการนังนั่นไม่ให้มายุ่งก่อน”

“ก็ดี ดูสิทีนี้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างไอ้เพชรมันจะทำยังไง ปากดี ทำอวดเก่งกับฉัน ถ้าไม่มีมันสักคนทีเอ็มของฉันก็คงไม่เป็นอย่างนี้”

“จะทำอะไรก็ทำ ก่อนจะไม่ได้ทำ” ผู้หญิงหุ่นสูงโปร่ง ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีจัดจ้าน เรือนผมสั้นตัดเป็นบ๊อบเทเก๊ไก๋ ชุดเดรสเกาะอกสั่นขับเน้นผิวขาวผ่องของเธอให้ขาวขึ้น และยังโชว์เรียวขาที่สวยยิ่งกว่านางแบบ ใบหน้าสวยยิ่งยโสมีประกายความแค้นออกมา ตวัดสายตาหนุ่มที่อายุมากกว่าด้วยดวงตาสมเพชและเดินออกจากห้องไป


....ติดตามตอนต่อไป...



พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ค. 2557, 19:30:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ค. 2557, 20:36:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1810





<< 16 เป็นข่าว (ฉาว) อีกแล้ว   18 แขกผู้มาเยือน >>
พลอยจำปา 8 ก.ค. 2557, 20:34:42 น.
ชอบคู่แก้วอ่ะ


จ๊ะจ๋า 8 ก.ค. 2557, 21:05:24 น.
คู่หลักของเรื่องคือแก้ว ส่วนคู่ขวัญเป็นตัวประกอบ ไม่มีบทเลย


yimyum 8 ก.ค. 2557, 22:07:39 น.
อ้าวๆๆ ร่วงๆๆๆ แก้วจะร่วงไหมเนี่ย จากคาน 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account