อลวน ถนน หัวใจ (จบแล้ว)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ุ6.ชีวิตตัวเองลำบากไม่พออีกหรือ

6.

“คุณโชคชัยหรือ ขอบคุณนะ”

“เรื่องอะไรหรือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นดูอารีเหลือเกิน

“กล้องที่ส่งมาให้ไง

“ชอบไหม”

“ชอบ แต่รุ่นนี้มันแพงมาก”

“อือ แพง เก็บเอาไว้ใช้เถอะ ไม่ได้ใช้ทำอะไรแล้ว”

“ถึงจะเป็นของเก่า แต่คุณไม่เสียดายหรือ”

“เสียดาย แต่มันอยู่กับคุณมันเป็นประโยชน์มากกว่ารับไว้เถอะ เออ แค่นี้ก่อนนะลูกค้าเรียกแล้ว”

เมื่อวางโทรศัพท์อินทรารู้สึกว่าใบหน้าและร่างกายของตัวเองลอยสูงขึ้นๆ จนควบคุมอะไรไม่อยู่ ความอบอุ่นใจจากการได้ยินเสียงใครสักคนที่เข้าใจในความเป็นเรา เป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อมีกล้องอยู่ในมืออินทรายิ่งมั่นใจว่านายโชคชัย โชควัฒนาวิสุทธิ์ คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ คงเป็นลูกผู้ดีที่ปลอมตัวมาเป็นคนขับรถแท็กซี่เพื่อหารักแท้ แค่คิดถึงคำว่า ‘รักแท้’ ใบหน้าของหญิงสาวก็ร้อนผะผ่าวและแดงระเรื่อขึ้น น่าจะเป็นไปได้ ต้องเป็นไปให้ได้ เธอจะสานต่อเรื่องนี้ไปอย่างไรดีนะ หญิงสาวนึกถึงบ้านที่อยู่กลางดงสลัม เธอจะต้องหลุดจากภาวะตรงนี้ไปให้ได้
เมื่อความฝันทำให้จิตใจบรรเจิดแล้ว อินทราจึงเก็บกล้องตัวใหม่ลงกระเป๋าแล้วก็ปรับใจให้ยอมรับกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น

เธอต้องเอาตัวให้รอดกลับมา โดยที่เขาไม่ขุ่นใจ เธอได้ประโยชน์ด้วย ได้งานด้วย เธอต้องทำให้ได้¬

อินทรายกมือเคาะพอเป็นพิธี ด้วยเลขาของเขาบอกว่า ‘ท่านอนุญาต’ เมื่อเปิดประตูเข้าไป หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าให้สดชื่นขณะยกมือทำความเคารพ

“มาจาก ‘บันเทิงเริงรมย์’ ค่ะ”

“หนูนั่นเอง โลกกลมจังเลยนะ ฉันไม่คิดว่าจะเป็นหนูคนเมื่อวาน” เมื่อนั่งอยู่สองต่อสองสายตาเจ้าชู้ของเจ้าของห้องทำให้เธอรู้สึกว่าเครื่องปรับอากาศทำงานผิดปกติหรืออย่างไร

“ค่ะ แล้วเรื่องเมื่อวานเป็นอย่างไรคะ”

“ถ้าหนูไม่ให้ความร่วมมือ ก็คงขุดกันไม่เลิก ขอบใจมากนะจ๊ะ” ไม่ขอบใจเปล่า มือนั้นเลื่อนขึ้นมาจับมือข้างขวาของอินทราที่ถือปากกาไว้ด้วย

“ค่ะ พึ่งพากัน ช่วยได้ก็ช่วย แต่ถามจริงๆ นะคะ” อินทราดึงมือกลับ หนุ่มใหญ่ยังจับมือเธอไว้แน่น

“เช็คเมื่อวานเอาไปเข้าบัญชีหรือยัง พอใช้ไหม”

“พอค่ะ” คนตอบเสียงสั่นๆ เงิน ศักดิ์ศรี มันเกิดอะไรขึ้น อย่างเธอนี่สเป็กเขาอีกหรือไง

“ไม่พอก็บอกฉันได้ ฉันยินดีช่วย ถามคุณรติเขาแล้ว เขาบอกว่าเธอ เอ่อ ลำบากใช่ไหม”

“ค่ะ ลำบากบ้านอยู่สลัม แม่ขายข้าวเหนียวปิ้ง พ่อรับจ้างทำงานทั่วไป เป็นกรรมกรไร้สังกัดเดี๋ยวมีรายได้เดี๋ยวไม่มีรายได้” พูดไปเธอนึกอยากจะร้องไห้

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหมจ๊ะ” มืออีกข้างของเขาเลื่อนมากุมมืออินทราไว้ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินมาหา ทำท่าจะกอด อินทรารีบลุกขึ้นแล้วเบี่ยงตัวหลบ

“อย่าค่ะเดี๋ยวคนเห็น”

คำว่า ‘เดี๋ยวคนเห็น’ ยิ่งกว่าเติมฟืนเสียอีก

“หลังตู้หนังสือเป็นบานประตูลับ

“อะไรนะคะ”

“ถ้าเธอยอมฉัน”

“ท่าน แต่อย่างหนูนี่หรือคะ”

“ใช่อย่างเธอ สเป็กฉันเลย” น้ำเสียงคนพูดกระเส่าจนน่ากลัว อินทราพยายามระงับใจไม่ให้เต้นระรัว เธอจะทำอย่างไรดี ประโยชน์ของทุกๆ ฝ่าย มือไม้หญิงสาวเริ่มสั่น เอาไงดี อินทราพยายามหลบมือไม้ที่เป็นปลาหมึกนั่นด้วย จนกระทั่งเขารู้สึกตัวหรือได้สติขึ้น หนุ่มใหญ่เดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม แล้วถอนหายใจออกมาคล้ายกับว่าต้องการควบคุมอารมณ์กรุ่นของตัวเองเหมือนกัน

“หนูมารับงานค่ะ” อินทรารีบบอกจุดประสงค์ของตน

“คุยกันก่อนก็ได้” พูดจบเขาก็หยิบสมุดเช็คออกมาเขียนอะไรตัวหนังสือ ตัวเลข และลายเซ็น เขียนเสร็จก็ส่งให้

“เอาไปกินขนม”

“ค่าอะไรหรือคะ”

“ทำให้ฉันมีความสุขไง”

“ไม่นะคะท่าน หนูไม่ได้ต้องการแบบนี้” อินทรายังพูดดีด้วย ถามว่าเธอโกรธไหม โกรธ แต่หญิงสาวลอบมองตัวเลขบนเช็คที่วางอยู่ตรงหน้า หนึ่งหมื่นบาทเท่าเดิม

“รับไปเถอะ พร้อมเมื่อไหร่ค่อยมาหาฉันก็ได้ ฉันรอเธอได้”

“แต่ ไม่ดีนะคะ หนูไม่ได้ทำอะไรให้ท่านเลย อย่างเมื่อวานก็ว่าไปอย่าง”

“รึหนูจะทำให้ฉันวันนี้” ว่าแล้วเขาก็รวบมือของเธอไว้ อินทราพยายามขืนตัวโดยไม่ให้เขารู้สึกว่าเธอเองต่อต้านเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงเงิน จึงจำเป็นที่จะต้องหาวิธีการพูด

“หนูคงรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้หรือวันหน้าหนูก็คงไม่”

“น้อยไปหรือ” คนพูดทำท่าจะเขียนเช็คใหม่อีกรอบ

“อย่าเลยค่ะท่าน นะคะ ของานหนูกลับไปเถอะ” สีหน้าและน้ำเสียงนั้นดูน่าสงสารเสียเหลือเกิน

“โอเค หนูรับงานที่เลขาฉันไปได้เลย ส่วนเช็คใบนี้ ฉันเขียนแล้ว ฉันก็คงไม่เก็บเอาไว้ ให้เป็นของขวัญหนูเลยแล้วกัน ค่ารถ ค่าทำขวัญ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ รู้ไหมว่าหนูสเป็กฉันจริงๆ ฉันชอบแบบทอมบอย เห็นแล้วมันซู่ซ่าดี”

แม้จะอ่อนลง แต่ดูแล้ว เขาก็ไม่ปล่อยเหมือนกัน

อินทราค่อยๆ ดึงเช็คใบนั้นแล้วสอดมันไว้ในกระเป๋าเสื้อเหมือนเมื่อวาน

“ค่ะ หนูจะเก็บไว้เป็นความลับของเราแค่สองคนเท่านั้น เรื่องนี้ไม่มีทางแพร่งพรายไปอย่างแน่นอน หมดงานของหนูแล้วนะคะ ขอบคุณ และก็สวัสดีค่ะ” พูดจบหญิงสาวก็ยกมือสวัสดีแล้วก็รีบลุกขึ้น หมุนตัวออกมาโดยไม่ได้สนใจใบหน้าที่ถึงแม้ผิดหวังแต่หาใช่ยอมแพ้นั่น¬

“พี่โชค” หญิงสาววัยสิบแปดซึ่งเรียนอยู่ชั้นมัธยมหกออกจากห้องนอนมาในชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อไร้แขนตัวพลิ้วบางเบา เจ้าหล่อนทำทีเป็นสดชื่นเดินโผเข้ามาหามานั่งอยู่ข้างๆ บนโซฟาโดยไม่ได้สนใจสายตาห้ามปรามของพ่อที่กำลังเช็ดทำความสะอาดรถแท็กซี่

“เรียกคุณเขาว่าพี่ไม่ได้นะ รัตนา ต้องเรียกคุณโชคชัย” ผู้เป็นพ่อนั้นรู้ภาวะแห่งตนดี จึงได้รีบห้ามปราม แต่ลูกสาวทำทีเป็นสดชื่นกลบเกลื่อนแล้วตีเสมอ
“ก็พี่โชคบอกว่าไม่เป็นไรแล้วนี่คะ ให้เรียกพี่ได้ ใช่ไหมคะ” ดวงตากลมโตจ้องตาเขาแป๋วขอความคิดเห็น ชายหนุ่มละแก้วกาแฟ และหนังสือพิมพ์ในมือลง เขาหันมามองหน้ารู้ว่าเด็กคนนี้คิดอะไรกับเขาอยู่
เขาเพียงยิ้มให้นิดหนึ่งแล้วก็นิ่งเงียบ ให้อีกคนพูดเองเออเอง ต่อไป

“เห็นไหม พี่โชคไม่ได้ว่าอะไรเลย พ่อก็คิดมากไปได้ แล้วเป็นไงคะ ขับรถวันแรก มีเรื่องสนุกตื่นเต้นดีไหม”

“ก็ดี” พูดจบเขาก็ขยับตัวออกห่างไปหนึ่งคืบ แต่คืบนั้น เจ้าหล่อนก็ยังกระแซะเข้ามาอีก

“รัตนา ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”

“ไม่ต้องไปแล้วพ่อ หนูสอบเทียบได้แล้ว พี่โชคคิดว่าหนูจะเรียนต่อทางด้านไหนดีคะ” หญิงสาวยังคงยึดชายหนุ่มไว้

“แล้วหนูชอบอะไร”

“ชอบอะไรก็ได้ที่มีสาขาต่อทางเมืองนอกได้
“มันก็ต่อได้หมดแหละ”

“แล้วพี่โชคจบจากอเมริกาทางด้านไหนล่ะคะ”

“การตลาด มหาวิทยาลัยห้องแถวน่ะ ใครๆ ก็จบมาได้”

“รถเรียบร้อยแล้วครับ” คนเป็นพ่อมายืนที่หน้าต่าง แล้วรายงาน ‘งาน’ ของตนให้ชายหนุ่มได้รับรู้

“กวนใจคุณเขา” ผู้เป็นพ่อปรามลูกสาว

“ครับ” โชคชัยถือโอกาสลุกขึ้น โดยที่ยังมีหญิงสาวนั่งใช้ความคิดอยู่ กว่าจะมีผู้ชายหน้าตาดีๆ ทรัพย์สมบัติมากมายหลุดมาในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย แล้วเธอจะปล่อยให้หลุดมือไปอย่างนั้นหรือ มันต้องลองกันสักตั้ง

“พี่โชคจะออกไปข้างนอกเลยหรือคะ งั้นให้หนูออกไปด้วย ขอเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง”

ขณะที่หญิงสาวกลับเข้าห้องที่อยู่ทางปีกซ้ายของบ้านชั้นเดียว นายอินตาก็รีบมาเปิดประตูรถให้ แล้วดันชายหนุ่มให้รีบขับรถออกไป

“อย่าถือสามันเลยนะครับ มันยังเด็ก วันนี้ไม่อยากขับก็รีบกลับมาให้ผมทำงานก็ได้ครับ”

“ยังไหว” พูดจบชายหนุ่มก็ถอยรถออกจากรั้วบ้านไป

นายอินตาลอบถอนหายใจออกมา คนรวยมักมีความคิดแปลกๆ แต่ความแปลกนี้เขาก็เห็นมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้ว ตั้งแต่คุณแม่ของคุณโชคชัยตายไป ทุกๆ คนก็เอาอกเอาใจจนเขาหยิบจับอะไรแทบไม่เป็น การขอไปอยู่โรงเรียนประจำตั้งแต่จบชั้นประถมและการไปอยู่อเมริกาถึงสิบปีนั้น เขารู้ว่าชายหนุ่มไปเพราะต้องการพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด

“ไอ้แก่มานี่”

“มีอะไรแม่”

“อย่าเป็นมารขัดขวางลูกได้ไหม” เมื่อเจอประกาศิตจากเมียรัก คนเป็นผัวเกาศีรษะแกรกๆ

“ฉันกลัวเขาจะถีบมันออกมานะสิแม่เดือน หัดเจียมตัวกันซะมั่ง เขาเป็นใครแล้วเราเป็นใคร” คนเป็นผัวทำเสียงกร้าวเข้าใส่ ทั้งที่ใจนั้นเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเห็นอีกฝ่ายสงบ นายอินตาจึงพูดต่อ

“ดีกว่านี้ สวยกว่านี้ รวยกว่านี้เขายังไม่แลเลย นับประสาอะไรกับลูกเป็ดขี้เหร่ของเรา อยากเห็นลูกมีความสุข อย่าคิดโง่ๆ คิดง่ายๆ แบบนี้”

คนเป็นเมียครุ่นคิดตามแต่หาได้เชื่อไม่ เมื่อมีโอกาสหล่อนกับลูกสาวก็ต้องหาวิธี
มัดเหยื่อรายนี้ไว้ให้ได้

ไม่ได้เป็นที่หนึ่ง เป็นที่สองของเขา เป็นอะไรก็แล้วแต่ นั่นมันหมายถึงเงินมหาศาลที่รออยู่ข้างหน้า เธอกับลูกสาวไม่มีวันเชื่ออย่างเด็ดขาด
เมื่อได้ยินเสียงรถแล่นออกไป คนเป็นลูกสาวก็รีบออกจากห้องมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ไปไหนแล้วล่ะแม่”

“ออกไปแล้ว”

หญิงสาวอารมณ์เสียในทันที

“เล่นตัวนัก เชอะนึกว่าง้อหรือไง ผู้ชายมีเยอะแยะ” ว่าแล้วเธอก็กดโทรศัพท์ออก

“นี่ เยอะแยะน่ะคัดสรรหน่อย ไอ้พวกแมงกะจั๊วขี่มอไซค์ซิ่งฉันไม่เอานะ”

“ก็อาศัยไหว้วานให้ช่วยทำอะไรได้บ้างแหละ ดีกว่าไม่มีแฟนนะแม่ ใครๆ เขาก็มีแฟนกันทั้งนั้นแหละ หนูไม่ยอมตกยุคหรอก”¬

“คุณโชคชัย ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนของกรุงเทพฯ ครับ” น้ำเสียงบ่งบอกถึงความสุขความดีใจนั้นดังจนโชคชัยต้องเบี่ยงโทรศัพท์ออกจากหูขณะขับรถไปด้วย

“แถวๆ รัชดาครับ หน้าศูนย์ประชุมแห่งชาติฯ มีอะไรหรือครับ ทางนั้นติดต่อกลับมาแล้วหรือ”

จริงๆ แล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องกระเป๋า แต่สนใจอยู่กับใบหน้าเรียวในกรอบผมม้านั่นต่างหาก เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ ครุ่นคิดแต่ว่าจะทำอย่างไร เธอเป็นใคร หากเธอมีคุณสมบัติที่ไม่พอสำหรับเขาล่ะ รักแท้ที่คู่ควร เขาหาได้เอง ไม่จำเป็นที่พ่อจะต้องคลุมถุงชน เขาไม่ชอบวิธีการเก่าๆ แบบนั้น มันเชยและล้าสมัยไปแล้ว

“ใช่ซิ มาหาผมหน่อยนะ ผมพักอยู่โรงแรมเลียบทางด่วนรามอินทรา เมื่อคืนผมไม่มีกุญแจรถ ติดอยู่ในรถที่คุณพหลยึดไว้

“ทางนั้นเขาจะเอากระเป๋ามาให้กี่โมง”

“มีผู้ชายโทรมาหาผมบอกว่าคงไม่เกินสามโมงเย็น ผมอยากให้คุณมาเป็นพยานมาอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อย ผมรู้สึกว่ามันแปลกๆ อย่างไรก็ไม่รู้”

“โทรตามอินทราด้วยไหม”

“คุณว่าควรตามเธอด้วยไหม”

“ผมว่าเธอฉลาดทันคนดีครับ ตามเธอมาเถอะ เธอคิดอะไรรวดเร็วและก็โต้ตอบได้รวดเร็วดีครับ”¬

เมื่อสรุปได้แล้ว ประดิพัทธ์ตัดสายโทรศัพท์ ชายหนุ่มสลัดผ้าห่มของโรงแรมทิ้ง แล้วเดินเข้าห้องน้ำ ขณะนั่งอยู่บนชักโครกเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก เขาไม่อยากรับ เพราะบางสายเป็นของนักข่าวที่ต้องการรู้เรื่องในข่าวให้กระจ่างกว่าเดิม แต่เขาไม่พร้อมที่จะอธิบายอะไร ก็ได้แต่ยืนกรานไปว่าลืมกระเป๋า แล้วก็ได้คืนแล้ว ส่วนเรื่องเงินล้านในกระเป๋าที่หายไป การคุยกันในร้านนมนั้นแค่ซ้อมบทละคร
นึกแล้วเขาก็หัวเราะให้กับชีวิตตัวเอง

ก็เขาเลือกแล้วที่จะเป็นดารา หากเขาไม่ได้อยู่ในวงการล่ะ เขาจะทำอะไรถึงจะอยู่ดีและมีความสุข การได้แต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆ สักคน การได้ทำงานในบริษัทใหญ่โตที่มั่นคง แต่ทำแบบนั้นกว่าจะได้เงินเก็บเป็นก้อน
ชีวิตมันเดินมาแล้ว ต้องสู้ให้ถึงที่สุด

เสียงโทรศัพท์ยังร้องเรียกไม่ได้ขาดระยะ เขาออกจากห้องน้ำมารับ

“อินทราค่ะ มีอะไรคืบหน้าไหม”

“มี ออกมาหาผมที่โรงแรมได้ไหม ผมพักอยู่ที่ห้อง…”

“รอที่ล็อบบี้แล้วกัน ขึ้นไปอันตราย แล้วคุณโชคชัยไปหรือเปล่า โทรตามหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้ว เขากำลังจะมา พวกนั้นก็กำลังจะมาเหมือนกัน เธอโอเคนะ”

“เรื่องอะไร” หญิงสาวถามกลับ แค่คำพูดของเขาเพียงคำเดียวทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ ได้เชียวหรือ ‘โอเคนะ’ มันหมายถึงความห่วงใยใช่ไหม มีใครสักคนห่วงใยเธอ ปกป้องและคุ้มครองให้เธอรอดจากปากเหยี่ยวปากกา จาก ‘ไอ้เฒ่าหัวงู’ คนนั้น น้ำตาหญิงสาวจะไหลออกมา ดีแต่เธอรีบกดก้อนสะอื้นไว้

“เป็นลม เมื่อวานน่ะ ไม่มีอาการอะไรอีกนะ”

“ไม่มี” แท้จริงแล้วเธอมีอาการอยากฆ่าคนที่มันดูถูกเธอนั่นเอง

“แล้วเจอกัน”

อินทราหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋า แล้วรีบเดินออกจากธนาคารมาที่ถนน
หากความ ‘บังเอิญ’ ไม่มีอยู่จริง คงไม่มีบัญญัติอยู่ในพจนานุกรม

“คุณโชคชัย โลกกลมจริงๆ เลย” หญิงสาวหน้าสดชื่นในพริบตาเช่นกัน

“จะไปไหนครับ” โชคชัยซึ่งอยู่ในชุดคนขับแท็กซี่สวมแว่นตาดำ ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่ายี่ห้อนั้นมาจากประเทศไหน

“คุยกับคุณประดิพัทธ์แล้วใช่ไหม” เมื่อปิดประตูเธอก็เริ่มร่ายคำพูดทันที
โชคชัยเอื้อมมือไปกดมิเตอร์

“ไปที่เดียวกัน แต่คุณต้องจ่ายนะ เพราะว่าไม่ได้ใช้แก๊สฟรี”

จริงๆ เขาเห็นเธอออกมาจากธนาคาร แสดงว่ามีเงิน เขาจึงต้องหาวิธีทำให้เธอเสียเงินบ้าง

“ย่ะ ฉันเต็มใจเพราะอย่างไร ถึงเป็นคันอื่น ฉันก็ต้องจ่ายอยู่แล้ว”

อินทราหันไปมองใบหน้าขาวราวหยกสลัก ใจของเธอเต้นไม่เป็นส่ำ เธอมั่นใจว่าเขาไม่ใช่แค่คนขับแท็กซี่ธรรมดาแน่นอน แต่เขาเป็นใคร ในวันนี้เธอจะไม่ถามคำถามนั้นกับเขา แต่เธอเชื่อว่าเวลาที่อยู่ด้วยกันแม้เพียงน้อยนิดนี้เธอจะ ค่อยๆ สานสัมพันธ์ให้เป็นไปยังทิศทางที่เธอต้องการให้ได้

“ขอบคุณสำหรับกล้องตัวนี้นะ” พูดพลางดึงมันออกมาจากกระเป๋าสะพาย

“ไม่เป็นไร”

“แต่ไม่เห็นเอาคู่มือมาให้ด้วย ฉันจะได้เล่นได้สะดวกขึ้น”

“เดี๋ยวสอนให้ก็ได้ ข้องใจตรงไหนบอก” คำพูดสั้นๆ แต่แฝงไว้ด้วยความอารีนั้น ทำให้อินทราอยากจะยกกล้องขึ้นมาแนบที่หัวใจเหลือเกิน

“อือ ลืมเลยคุณ แวะไปที่สำนักงานฉันก่อนนะ ฉันต้องเอางานไปส่งเจ้านาย แล้วถึงจะออกมาได้”

เขาขับรถไปยังทิศทางที่เธอต้องการ

“ขับแท็กซี่มานานหรือยัง”

“ถามทำไม” เขาย้อนถามคืนอย่างใจเย็น

“ก็แค่อยากรู้ ถามไม่ได้รึไง ฉันก็ถามเกือบทุกคันที่ฉันขึ้น อยากรู้ว่าเขาเป็นมากันอย่างไรบ้าง”

“ชีวิตตัวเองลำบากไม่พออีกหรือ”

“หมายความว่าอย่างไร”

“เราก็ทุกข์แย่แล้ว อยากเอาเรื่องคนอื่นมาเก็บไว้ทำไมอีก”

“ฉันกลับคิดว่าคนอื่นที่เขาลำบากกว่าเรายังมีนะ คิดได้แค่นี้ฉันก็มีความสุขขึ้น ไม่ทุรนทุราย”

“ในสลัมนั่นเขาอยู่กันอย่างไร” โชคชัยถามเรื่องที่ตนอยากรู้ขึ้นมาบ้าง

“อยากไปดูใกล้ๆ เหรอ” อินทรานึกในใจว่าเขาต้องเป็นพวกลูกเศรษฐีติสต์แตกแน่ๆ

“ประมาณนั้น แต่เล่าให้ผมฟังก่อนก็ได้นะ อยากฟัง อยากรู้ไว้”

“ส่วนใหญ่ก็มาจากต่างจังหวัดกัน หวังว่าจะรวยกว่าอยู่บ้านนอก พื้นเพบ้านฉันพ่อแม่เป็นคนจากพิษณุโลก ปู่ย่าตายายอยู่ที่
ชาติตระการ รู้จักไหมชาติตระการ”

เขาส่ายหน้า

“เมื่อก่อนเคยมีสงครามร่มเกล้าไง

“ชื่อน่าไปทำสงครามด้วยนะ”

“อือ พ่อแม่เล่าว่ามีอาชีพทำไร่ข้าวโพดในพื้นที่บนเขา ตัดไม้ถางป่ากัน แล้วตอนหลังความแห้งแล้งมาเยือนก็เลยอพยพมาอยู่ที่นี่ เริ่มจากทำงานก่อสร้างแล้วก็ขยับออกมาหางานอื่นๆ ทำ อยากให้ลูกได้เรียนสูงๆ ทำงานดีๆ แต่ต้องมาอยู่ในห้องเช่ากลางดงสลัม สังคมมันไม่เอื้อให้ชีวิตเจริญขึ้น”

“เพราะอะไร” เขาสงสัย

“ก็มีคนประเภทจำนนกับชีวิตมากมายอยู่ในนั้น สันดานขี้เกียจของคนเรามันก็เลยทำงาน ไม่ทำมาหากินก็ได้ ค่าเช่าไม่แพง อยู่แบบพอเพียง มันไม่ใช่พอเพียงหรอก ขี้เกียจและจำนนต่อโชคชะตานะซิ”

“หัวรุนแรงเหมือนกันนะ”

“เด็กรามครับ”

“เรียนวิชาอะไร”

“เอกสื่อสารมวลชน วิชาโท รัฐศาสตร์”

“อยากเป็นอะไร”

“นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ คนเขียนบทความ บทสารคดี แล้วก็อยากรับราชการทำอะไรสักอย่างที่ทำให้มีเงิน ทำนองนั้น”

“มีเงินแล้วจะเอาไปทำอะไร เงินก้อนเมื่อวานเอาไปทำอะไร” เขายังคงซัก การได้คุยกันทำให้ใจเปิดเข้าหากันมากยิ่งขึ้น เขารู้สึกสงสารเธอขึ้นมา และก็เริ่มมั่นใจนิดหนึ่งว่าผู้หญิงคนนี้ดีพอที่เขาจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือบ้าง

“เอาไว้ใช้ยามลำบาก”

“ตอนนี้ยังไม่ลำบากอีกหรือ”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2554, 19:25:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2554, 19:25:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 2008





<< 5.วันที่สอง   7. >>
Zephyr 30 มิ.ย. 2554, 00:54:58 น.
คนไหนจะเป็นนางเอกเนี่ย หรือมีสองคนน้อ จะได้กระเป๋าคืนแล้ว


ปูสีน้ำเงิน 30 มิ.ย. 2554, 01:44:47 น.
นั่นสิใครคู่ใครกันแน่เนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account