เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 7/1

บทที่ 7

“ฮะ ฮะๆ” เหมือนพิมพ์หัวเราะจนตัวงอ “ยัยปุ่นเอ๊ย… ฉันคิดว่าแกแค่หลุดแอ๊บนางมารร้าย แต่นี่แกแกรนด์โอเพนนิ่งประกาศศักดาจอมมารเลยนะ โอย… สุดยอดไปเลยเพื่อนฉัน โดนกันถ้วนหน้าไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายที่แสนดีอย่างพี่ปุ้น คงจะเงิบกันไปทั้งโรงงานเลยล่ะสิแก ฮะ ฮะๆ” ยังขำไม่เลิก

ปุณยวีร์ถอนหายใจพลางยกมือกุมขมับ “นี่นังพิมพ์! ที่ฉันเล่าให้แกฟังก็เพราะจะให้ช่วยกันคิดว่าฉันควรจะทำยังไง ไม่ใช่ให้แกช่วยขำ!”

“ช่วยไม่ได้นี่แก ก็มันขำจริงๆ” คนเป็นเพื่อนตอบกลับแล้วกุมท้องหัวเราะต่อ

“อ๊ายยย… ฉันจะทำยังไงดีล่ะแก๊ แม้แต่พี่ปุ้น ผู้ชายที่ดีกับฉันมากที่สุด ฉันก็ยังเผลอไปแผลงฤทธิ์ใส่เขา แล้วทีนี้ฉันจะอาศัยใครไปอ้างกับแม่ได้ล่ะ ฮือออ…” ล่ามสาวเริ่มต้นคร่ำครวญอีกครั้ง

เหมือนพิมพ์กระแอมกระไอพยายามระงับอาการขำ ดวงหน้าสวยเฉี่ยวแลดูจริงจังขึ้นมา “ในเมื่อแอ๊บเป็นผู้หญิงแสนดีอยู่ตั้งนานจนหลุดแอ๊บเผยโฉมนางมารร้ายแล้วก็ยังไม่มีใครมาตกหลุม คราวนี้ฉันว่าแกต้องใช้ตัวตนของนางมารร้ายให้เป็นประโยชน์แล้วล่ะปุ่น”

“หือ? ยังไงเหรอแก” ถามน้ำเสียงกระตือรือร้น

เพื่อนสาวคนสวยส่งยิ้มลึกลับตอบกลับมาก่อนจะเปิดปากบอกว่า “แกไม่เคยได้ยินประโยคนี้เหรอปุ่น ‘ผู้หญิงร้าย ผู้ชายรัก’ ฉันว่าที่พี่ปุ้นไม่ตกหลุมแกสักที ทั้งที่แกออกจะน่ารักแล้วยังแอ๊บเป็นผู้หญิงแสนดีมาตั้งนาน อาจจะเป็นเพราะว่าแท้ที่จริงแล้วเขาชอบนางมารร้ายก็ได้”

ปุณยวีร์ส่ายศีรษะ “เดาไปได้เรื่อยเลยนะแก”

“วิทยาการล้ำๆ ของมวลมหามนุษยชาติล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นมาจากสมมติฐานที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น” คนเดาไปเรื่อยวางท่าทรงภูมิ “และถ้าสมมติฐานของฉันถูก สิ่งที่แกควรทำก็คืออย่าได้แคร์ รักใครชอบใครก็ออกตัวพุ่งเข้าชนซะ ความรักดีๆ มันไม่มีขา ถ้าอยากได้ก็ต้องใช้สองเท้าของแกก้าวออกไปเพื่อคว้ามันมา”

“ความร้งความรักอะไร แกนี่ชักน้ำเน่าไปกันใหญ่แล้วนะนังพิมพ์ มันไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย” ปุณยวรีย์ส่ายศีรษะไม่ยอมรับ

คนน้ำเน่ายักไหล่ “ก่อนจะรักถึงร้อยมันก็เริ่มจากศูนย์ทั้งนั้นแหละแก เอาเป็นว่าจะยังไงก็ช่างเถอะ วาระเร่งด่วนที่แกต้องทำก่อนจะถูกจับแต่งงานกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้คือจีบพี่ปุ้นมาเป็นแฟนเพื่ออ้างกับแม่ไปก่อน จากนั้นแกจะเอาเขาเป็นตัวจริงหรือแค่คู่จิ้นก็ค่อยๆ คิดตัดสินใจไป ใช่ว่าวันนี้ขอเป็นแฟนแล้วอีกวันจะต้องจูงมือกันเข้าสู่ประตูวิวาห์เสียเมื่อไหร่”

“พูดง่ายตลอดเลยนะแก เหอะ! ขอเป็นแฟน ทำอย่างกับว่าพูดไปแล้วพี่เค้าจะตอบตกลงง่ายๆ อย่างนั้นแหละ”
“อ๊าววว… ไม่ลองก็ไม่รู้ และถ้าอยากรู้แกก็ต้องลอง”

ปุณยวีร์ทำหน้ายุ่ง “มันจะไม่ดูเอ่อ… แร่ดไปหน่อยเหรอแก จีบผู้ชายก่อนอะ ถึงคนสมัยนี้จะชอบพูดว่าชายหญิงเท่าเทียมกันก็เถอะ แต่แกก็รู้ว่ามันเป็นแค่คำพูดสร้างภาพให้ดูดีเท่านั้น เอาเข้าจริงๆ พอผู้หญิงคนไหนเข้าหาผู้ชายก่อนเป็นถูกด่าว่าแร่ดทุกที”

เหมือนพิมพ์ส่ายศีรษะ “ไม่แร่ดย่ะ แค่หน้าด้านเท่านั้น” บอกหน้าตาเฉย “แล้วหน้าด้านก็ถือเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของผู้หญิงร้ายๆ เพราะฉะนั้นอย่าได้แคร์ค่ะคุณเพื่อน รีบใส่เกียร์เดินหน้าพุ่งเข้าใส่เป้าหมายซะ”

หนึ่งในผู้หญิงร้ายๆ ได้แต่ยกมือกุมขมับพลางถอนหายใจละเหี่ย ‘เฮ้อ… ถ้าแค่พูดเหมือนคุณเพื่อนมันก็ง่ายน่ะสิ แต่นี่เธอต้องลงมือทำด้วย แล้วมันใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน เฮ้ออออ…’






“คุณปุ่นเป็นยังไงบ้างคะพี่แป๋ม” พอเห็นมณฑกานต์ก้าวผ่านกรอบประตูเข้ามาในบ้านกีรฎาก็รีบละมือออกจากการใช้แผ่นเจลแช่เย็นประคบมุมปากให้แฟนหนุ่มแล้วลุกขึ้นถามถึงคนที่เธอห่วงใยทันที

“เอ่อ น้องแก้วครับพี่ยังเจ็บไม่หายเลยนะ แล้วจะถามถึงยัยเด็กบ้าหมัดหนักนั่นทำไม พี่น้อยใจแล้วนะครับ” ก้องภพโอดครวญหน้ามุ่ย

สมาชิกคนอื่นๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านชายโสด ซึ่งก้องภพ ภควัต อนุพงษ์ ชินพัตต์ และตรัยเช่าพักอยู่ด้วยกัน พร้อมใจกันส่งเสียงโห่คนสำออย ขณะที่กีรฎาส่งสายตาเขียวปั้ดตอบกลับ

“พี่กะแล้วว่าพวกเราต้องมารวมกันอยู่ที่นี่” มณฑกานต์พูดยิ้มๆ ยังไม่ตอบคำถามของกีรฎาเสียทีเดียว เธอและเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องกลุ่มนี้พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งเดียวกัน ซึ่งเธอกับสามีนั้นซื้อบ้านเป็นของตัวเองเลย หากหนุ่มสาวกลุ่มนี้เช่าต่อเพื่ออยู่อาศัยอีกที โดยแบ่งเป็นบ้านชายโสดและสาวโสดอย่างละหลัง เวลาว่างๆ ก็มักจะนัดสังสรรค์ที่บ้างหลังใดหลังหนึ่งเป็นประจำ และเมื่อเกิดเรื่องขึ้นกับสองหนุ่มจากบ้านชายโสด เธอจึงเดาว่าบรรดาสมาชิกต้องมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แน่ๆ

“ปุ่นไม่เป็นไรแล้วล่ะ พอพี่ไปส่งถึงอพาร์ตเมนต์ช่วยดูรอยช้ำได้นิดหน่อยเพื่อนเค้าก็มาถึงพอดี พี่เลยขอตัวกลับเค้าจะได้ดูแลกันสะดวกหน่อย”

“เพื่อน? เอ่อ… ดูแลกันสะดวก นี่ผู้หญิงหรือผู้ชายครับพี่แป๋ม” ตรัยถามบ้าง

“ผู้ชาย... ซะเมื่อไหร่ล่ะ” มณฑกานต์เล่นลิ้นก่อนจะหัวเราะขำคนถามที่เดี๋ยวก็สลด อีกเดี๋ยวก็โล่งใจ

“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจะไม่มีปัญหาเหรอคะพี่แป๋ม แก้วกลัวว่าฝ่ายบุคคลจะเห็นว่าคุณปุ่นผิดแล้วตัดสินลงโทษ อาจจะไม่ร้ายแรงถึงกับไล่ออก แต่คุณปุ่นคงรู้สึกแย่น่าดู” กีรฎาถามน้ำเสียงกังวล

มณฑกานต์มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “พี่จะทำทุกทางเพื่อไม่ให้ฝ่ายบุคคลลงโทษปุ่น ทุกคนก็เห็นเหมือนกันไม่ใช่เหรอว่ายัยวิหาเรื่องปุ่นก่อน”

“แต่ว่าฝ่ายที่หาเรื่องก่อนนี่ถูกโต้กลับจนแทบหาทางกลับบ้านไม่ถูกเลยนะครับพี่แป๋ม” อนุพงษ์ออกความเห็นบ้าง

“ช่วยไม่ได้อยากแส่หาเรื่องก่อนเอง” มณฑกานต์กับกีรฎาเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ซึ่งคนแรกไม่น่าแปลกใจเท่าไรเพราะภาพพจน์ค่อนไปทางขาลุยอยู่แล้ว แต่คนหลังนี่สิที่ทำเอาแทบทุกคนแม้กระทั่งแฟนหนุ่มออกอาการหงายเงิบเพราะไม่เคยสัมผัสกับด้านนี้มาก่อน มีเพียงคนเดียวที่ส่ายศีรษะยิ้มๆ ทำนองไม่แปลกใจเท่าไรคือชินพัตต์ เพราะเป็นเพื่อนคลุกคลีสนิทสนมกันมาตั้งแต่วัยเยาว์

“เอ่อ… เมื่อกี้นี้พี่คงหูฝาด ไม่ใช่เสียงแก้วใช่ไหม” ถามออกไปแล้วก้องภพก็ภาวนาให้อีกฝ่ายตอบว่าไม่ใช่ ทว่า

“แก้วตัวจริงเสียงจริงค่ะพี่ปืน แล้วแก้วก็ขอยืนยันคำเดิมว่าฝ่ายนั้นมาหาเรื่องคุณปุ่นเอง เพราะฉะนั้นก็สมควรแล้วที่ถูกคุณปุ่นสั่งสอน” บอกชัดถ้อยชัดคำ

วิศวกรหนุ่มผิวเข้มทำได้แค่กลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ พลางคิดว่า ‘ของเค้าแรงจริงๆ พับผ่า!’

“เฮ้อ... หมดกัน ล่ามสาวน่ารักใสๆ ของผม” ตรัยถอนหายใจทดท้อเมื่อนึกถึงวีรกรรมของหญิงสาวที่ตนปลื้ม ทำ เอาสมาชิกคนอื่นๆ อดขำไม่ได้

“เอาน่า ไม่ใช่แค่เอ็งหรอกที่เงิบ คนอื่นๆ เขาก็เงิบเหมือนกันคงจะหมดทั้ง HANO เลยล่ะมั้ง” อนุพงษ์ว่ากลั้วเสียงหัวเราะ “หรือว่าไงวะ ไอ้พี่ปุ้น” หันไปถามคนที่ถูกถองเข้าไปเต็มๆ และเมื่อฝ่ายนั้นทำส่งเพียงสายตาเขียวขุ่นตอบกลับมาเขาก็ส่งยิ้มยียวนกลับไปบ้าง “สงสัยจะยังจุกจนพูดไม่ออกโดนเข้าไปเต็มๆ รักจากน้องปุ่นเลยนี่”

“น้องเค้าไม่ตั้งใจจะถองข้าโว้ย เป็นเพราะไอ้ปืนนั่นแหละกวนประสาทเค้าไว้เยอะ ทำเอาข้าซวยไปด้วย” ถ้าไม่ ตอบโต้ออกไปเลยก็รังแต่จะขาดทุนภควัตเลยต้องตอบกลับไปบ้าง

“โห ไอ้เวร! เห็นผู้หญิงดีกว่าเพื่อน ทำไมไม่โดนหนักกว่านี้วะ” คนชอบกวนประสาทบ่นอุบ “เหอะ! ล่ามสาวน่ารักใสๆ อะไรกัน ล่ามจอมมารน่ะสิไม่ว่า ปากก็จัดหมัดยังหนักอีก อูยยย… ทั้งเจ็บทั้งแสบเลยยัยเด็กเปรต!”

อนุพงษ์หัวเราะ “มีใครเห็นหน้าไอ้ตั้มบ้างวะ หน้ามันหดเหลือแค่สองนิ้วเองมั้งตอนที่ยัยปุ่นปล่อยหมัดใส่เมียมันจนเลือดโชกน่ะ ไม่รู้ต้องรื้อซิลิโคนเก่าทิ้งด้วยรึเปล่า อยู่ดีไม่ว่าดีหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ ยัยวิ”

“ข้าว่าตั้งแต่แรกแล้วว่ายัยเด็กนี่ไม่ใช่แค่น่ารักใสๆ ธรรมดา แล้วเป็นไงผิดจากปากข้าไหมล่ะ ไม่รู้ในกระเป๋าถือของเจ้าหล่อนจะพกอะไรเอาไว้บ้าง อาจจะเป็นอาวุธสงครามก็ได้นะโว้ย” ในเมื่อทำอะไรคนหมัดหนักไม่ได้ก้องภพก็ตั้งวง นินทาซะเลย

“มันจะเกินไปหน่อยไหมคะพี่ปืน” กีรฎาปรามเสียงขุ่น

วิศวกรหนุ่มผิวเข้มยักไหล่ “แต่พี่ว่าไม่นะ แก้วก็เห็นไม่ใช่เหรอว่ายัยปุ่นร้ายมากแค่ไหน”

“ไม่ต้องห้ามมันหรอกแก้ว ปล่อยให้พูดสนุกปากไปก่อนเถอะ พี่ว่าอีกไม่นานนี้หรอกเดี๋ยวมันก็ถูกปุ่นจัดหนักจนหุบปากไปเอง” ภควัตอดว่าไม่ได้

“อ๊าววว… ไอ้นี่ ไม่เข้าข้างกันแล้วยังแช่งกันอีก ข้าพูดสนุกปากที่ไหนกัน พอ หยุดพูดไปเลยไอ้รุ่นพี่ เข้าข้างรุ่นน้องตัวเองเห็นๆ” ก้องภพชี้นิ้วห้าม “พูดกับคนนี้ดีกว่าท่าทางเป็นกลางไม่เลือกข้างใคร” หันไปหาคนที่นั่งเล่นเกมในสมาร์ตโฟนเงียบๆ ไม่อือไม่หือกับใครๆ บ้าง “เอ็งเห็นด้วยกับพี่ไหมวะชินว่ายัยปุ่นไม่ใช่แค่ร้ายธรรมดาๆ แต่เป็นจอมมาร ในกระเป๋าของยัยเด็กนั่นต้องสั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์เอาไว้แน่ ตอบป๋ามาตรงๆ เลยไอ้น้อง ไม่ต้องกั๊ก ท่าทางเอ็งมันบอกว่าไม่ชอบเค้าด้วยนี่ คงจะเคยเจอดีมาแล้วสิท่า”

“ผมไม่ใช่พี่ปืนนี่ครับที่ไม่ดูตาม้าตาเรืออยู่ๆ ก็เข้าไปยุ่งกับคนกำลังตบะแตก” ชินพัตต์ตอบเสียงเรียบโดยไม่ละสายตาออกจากเกมออนไลน์ยอดฮิตในสมาร์ตโฟน

“และตอนนี้เอ็งก็กำลังไม่ดูตาม้าตาเรือ ดันไปเรียกจอมเกรียนได้โล่มาเป็นพวก” อนุพงษ์หัวเราะเยาะเย้ยป๋าที่ถึงกับเงิบพูดไม่ออกหลังได้รับคำตอบจากรุ่นน้อง

ชินพัตต์ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เล่าวีรกรรมแสบทรวงของล่ามทิงเจอร์ให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ คงเพราะเขาอยากเก็บมันไว้เป็นความทรงจำ… เอ้ย! ไม่ใช่แล้ว! ก็เพราะถูกคุณเธอทำเสียแสบนั่นแหละ เขาถึงไม่อยากเล่าให้คนอื่นฟังแล้วถูกหัวเราะเยาะ ใช่แล้ว! เป็นเหตุผลข้อนี้แหละ






เหตุการณ์ชิงรักหักสวาทกลางลานจอดรถอันลือลั่นไปทั่วทั้ง HANO ในวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นไปทำให้การเริ่มต้นทำงานในสัปดาห์ใหม่ของปุณยวีร์ไม่สดใสนัก ล่ามสาวถูกฝ่ายทรัพยากรบุคคลเรียกตัวเข้าพบตั้งแต่เช้าดังคาด โชคดีที่เธอมีมณฑกานต์เป็นหัวหน้างาน อีกฝ่ายพยายามวิ่งเต้นเพื่อช่วยเหลือเต็มที่ โทษทัณฑ์ที่เธอได้รับจึงเป็นเพียงการว่ากล่าวตักเตือนทางวาจาเท่านั้นยังไม่ถึงกับถูกลงบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ต่างจากคู่กรณีซึ่งถูกสั่งพักงานเป็นเวลาสามวันและถูกทำทัณฑ์บนเอาไว้ว่าหากก่อเรื่องขึ้นอีกเพียงแค่ครั้งเดียวก็จะถูกไล่ออกทันที เพราะเจ้าหล่อนเคยก่อเรื่องทำนองนี้มาแล้วถึงสองครั้ง

ภายหลังออกมาจากห้องเย็นของฝ่ายทรัพยากรบุคคลปุณยวีร์ก็ต้องปฏิบัติงานในหน้าที่ล่ามต่อทันที โดยภารกิจแรกของวันนี้คือการทำหน้าที่เป็นสื่อกลางการสื่อสารระหว่างซาโต้ซังกับบุคลากรแผนกวิศวกรรมในการมีตติ้งสรุปผลการทำงานประจำเดือน และจากเหตุทะเลาะวิวาทเมื่อตอนเย็นวันศุกร์ซึ่งมีวิศวกรหนุ่มถึงสองคนด้วยกันโดนลูกหลงถูกหมัดและศอกของเธอเข้าไป ทำให้งานที่เริ่มจะทำได้ง่ายๆ ตลอดเดือนที่ผ่านมาทำท่าจะยากขึ้นอีกครั้ง ล่ามสาวรู้สึกเหมือนสองเท้าหนักอึ้งแทบจะก้าวออกจากห้องทำงานของตัวเองไม่ไหวจนต้องพึ่งกำลังใจจากล่ามรุ่นพี่ทั้งสองที่ทั้งส่งยิ้มบีบไหล่และบอกให้สู้ๆ ครั้นพอมาถึงหน้าประตูทางเข้าแผนกวิศวกรรมใจที่เพิ่งฮึดขึ้นมาได้ไม่เท่าไรก็เริ่มฝ่อลงอีกครั้ง ปุณยวีร์ยืนรีๆ รอๆ หันซ้ายหันขวา ทำได้แค่ยกมือค้างเอาไว้แต่ไม่กล้าเคาะอยู่นานหลายนาที กระทั่งบานประตูที่เคยปิดสนิทถูกผลักให้เปิดออกจากด้านใน…

“อ้าว ปุ่น มาถึงแล้วทำไมไม่เข้ามานั่งรอซาโต้ซังข้างในล่ะครับ” เป็นภควัตนั่นเองที่เปิดประตูออกมา แวบแรกที่เจอหน้ากันเขาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะทักทายพร้อมรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์

“พี่… ปุ้น…” ปุณยวีร์เรียกเสียงอ่อย

เจ้าของชื่อยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม “เป็นอะไร ทำไมเสียงถึงเป็นแบบนี้ครับ” ถามน้ำเสียงอาทร

“พี่ปุ้นเป็นยังไงบ้างคะ ตอนนั้นเจ็บมากไหม แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้างยังเจ็บอยู่หรือเปล่า ปุ่นไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นพี่ปุ้น ปุ่นไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พี่ปุ้นเจ็บ ปุ่นขอโทษจริงๆ นะคะ” พออีกฝ่ายเปิดช่องให้ปุณยวีร์ก็รัวปืนกล เอ้ย! รัวคำถามใส่ไม่ยั้งก่อนจะปิดท้ายด้วยการขอโทษ ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าบอกว่าสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง

ในตอนที่เกิดเหตุ… พอรู้ตัวว่าศอกใครเข้าไปเธอก็ได้แต่ยืนอึ้งงันอย่างทำอะไรไม่ถูก และในจังหวะนั้นมณฑกานต์คงเห็นว่าเธอสงบลงแล้วจึงรีบเข้ามาพาตัวไปขึ้นรถแล้วขับไปส่งที่อพาร์ตเมนต์ทันที ทั้งเพื่อจะช่วยดูแลร่องรอยฟกช้ำบนใบหน้าและเพื่อแยกตัวเธอออกไปก่อนเหตุทะเลาะวิวาทจะปะทุขึ้นอีกครั้ง ล่ามสาวจึงยังไม่มีโอกาสได้กล่าวคำขอโทษต่อชายหนุ่มรุ่นพี่ที่โดนลูกหลงจากพายุอารมณ์ของตัวเอง ไอ้ครั้นจะโทรศัพท์ไปก็ดูจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไร นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอได้พบและพูดกับเขาหลังจากก่อเรื่องเอาไว้ แวบแรกที่เจอกับอีกฝ่ายเธอจึงทำอะไรไม่ค่อยถูก ไม่กล้าสู้หน้าและยัง รู้สึกละอายกับการกระทำของตัวเองอยู่ไม่หาย หากแล้วท่าทีที่ชายหนุ่มรุ่นพี่แสดงออกมาก็ทำให้เธอรู้สึกคลายใจ เขายังเป็นเหมือนเดิม ยังคงเป็นพี่ปุ้น พี่ชายใจดีคนเดิมเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ได้พบกัน

“ตัวเล็กนิดเดียว แรงก็มากกว่ามดไม่เท่าไร คิดว่าจะทำให้พี่เจ็บได้แค่ไหนเชียวหือ” คนที่เธอเห็นกับตาว่าวันนั้น ถูกถองจนตัวงอจุกจนพูดไม่ออกทำปากเก่งตอบกลับมาพร้อมทั้งยื่นมือหนาใหญ่ของเขามาวางลงบนศีรษะของเธอก่อนจะโยกไปมา “พี่ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ เลิกรู้สึกผิดได้แล้วนะครับ”

“จริงๆ นะคะ พี่ปุ้นไม่โกรธปุ่นแล้วนะคะ”

“พี่ไม่เคยโกรธปุ่นเลยครับ”

คนที่รู้สึกผิดต่อการกระทำของตัวเองอยู่ไม่หายเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ค่อยยังชั่วหน่อย” ครั้นแล้วใบหน้าใสก็แปร เปลี่ยนเป็นตกตื่นเมื่อสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายขยับเท้าเหมือนว่ากำลังจะออกไปไหน “อ้าว จะได้เวลามีตติ้งแล้วพี่ปุ้นจะไปไหนคะ มีตติ้งสรุปผลการทำงานประจำเดือนสำคัญมากเลยด้วย ไหนพี่ปุ้นบอกไม่โกรธปุ่นไงคะแล้วทำไมถึงจะไม่อยู่มีตติ้ง พี่ปุ้นทนเห็นหน้าปุ่นไม่ได้เหรอคะ ปุ่นขอโทษ ปุ่นสัญญาว่ามีตติ้งจบเมื่อไหร่ปุ่นจะรีบออกไปไม่อยู่ให้พี่ปุ้นต้องเห็นหน้านาน พี่ปุ้นอยู่มีตติ้งเถอะนะคะ ถ้าไม่อยู่เดี๋ยวซาโต้ซังจะว่าเอาได้นะคะ” บอกน้ำเสียงร้อนรน

“ตอนนี้พี่คงทนอยู่ต่อไปไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะครับ” ภควัตตอบกลับเสียงเรียบ ใบหน้าแลดูเคร่งขรึมจริงจังผิดไปจากที่เคย
ปุณยวีร์ถึงกับกลืนน้ำลาย “พี่ปุ้น…” เรียกอีกฝ่ายเสียงแห้ง

เจ้าของใบหน้าเคร่งขรึมหลุดหัวเราะ “พี่อยากจะเข้าห้องน้ำจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ขอทางให้พี่หน่อยได้ไหมครับ ถ้าไม่ได้เดี๋ยวปุ่นจะเหม็นเอานะ ว่าไง หรือคนชอบคิดไปเองจะทนเหม็น ก็ได้นะครับ”

คนคิดไปเองเป็นตุเป็นตะรีบขยับหลีกทางให้แต่โดยดี หากไม่ลืมทำแก้มพองตอบกลับเสียงกระเง้ากระงอดว่า “พี่ปุ้นอะ แล้วก็ไม่รีบบอก ปุ่นจะรู้ไหมล่ะเนี่ย”

“ถ้าซาโต้ซังมาถึงก่อนพี่ ปุ่นก็ชวนแกคุยเรื่องอื่นไปก่อนล่ะ อย่าเพิ่งให้แกเริ่มมีตติ้ง” ภควัตบอกพร้อมรอยยิ้มก่อนจะรีบก้าวยาวๆ จากไป

ปุณยวีร์มองตามจนอีกฝ่ายเลี้ยวพ้นมุมไปแล้วถึงได้เดินเข้าไปในแผนกวิศวกรรม หนุ่มสาววิศวกรส่วนใหญ่นั่งประจำอยู่ที่พาร์ทิชั่นของตัวเอง มีบางส่วนที่ไปรวมกลุ่มอยู่ตรงมุมโซฟาหลังห้อง แผนกที่เคยครึกครื้นมีเสียงแซวทายทักตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอก้าวเข้ามา หากวันนี้กลับเงียบ เงียบมาก… จนผิดปกติ ‘หรือนายตรัยจะไม่อยู่’ ล่ามสาวคิดพลางกวาดตามองหาหนุ่มตี๋รุ่นน้อง คนที่ทักทายเธอทุกครั้งที่เจอหน้า

“อ้าว เต้! คิดว่าไม่อยู่ซะอีก” ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายซุกตัวอยู่ตรงมุมโซฟาหลังห้องด้วยกันกับอนุพงษ์ วนิดา กีรฎาและก้องภพ ปุณยวีร์ก็อดเอ่ยปากทักไม่ได้

ตรัยสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหลบตาวูบแล้วตอบเสียงเบาว่า “ผมเป็นหวัดนิดหน่อยครับพี่ปุ่น เจ็บคอเลยไม่ค่อยมีเสียง”

“อ้อ ถึงว่าซิ เงียบผิดปกติ” ปากตอบกลับไปแบบนั้น แต่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้วล่ามสาวก็รู้ดีว่าไม่ใช่ไข้หวัดหรอกที่ทำให้ฝ่ายนั้นเก็บปากเก็บคำเงียบเสียงผิดปกติ แต่เป็นภาคนางมารร้ายที่เธอเพิ่งเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมากกว่าที่กำลังจะทำให้เสียแฟนคลับใน HANO ไปอีกหนึ่งคน

‘เฮ้อ ช่วยไม่ได้นี่นะ’ ปุณยวีร์ยักไหล่ จะยังไงก็แล้วแต่ เธอขอโทษภควัตไปคนหนึ่งแล้วก็ยังเหลืออยู่อีกคนหนึ่งที่โดนฤทธิ์เธอไปไม่ใช่น้อย

“แก้ว” เรียกชื่อวิศวกรสาวหน้าหวานที่ดีต่อกันมาโดยตลอด “ปุ่นขอโทษนะ”

“เฮ้ย! ผิดคนรึเปล่ายัยโหด” วิศวกรผิวเข้มที่นั่งประกบข้างแฟนสาวไม่ห่างทักท้วงขึ้นมา

“พี่ปืนคะ!” กีรฎาส่งเสียงปรามเป็นผลให้คนวาจาเราะรายค้อนตาคว่ำ ซึ่งมันไม่เข้ากันเลยสักนิดกับผิวเข้มๆ และรูปร่างสูงใหญ่ของเขา

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณปุ่น แก้วเข้าใจ ใครเจอแบบคุณปุ่นก็ต้องทำแบบนั้น แก้วเองซะอีกที่หลังจากเกิดเรื่องยังไม่มีโอกาสได้ถามไถ่คุณปุ่นเลย” ว่าพลางบุ้ยใบ้ว่าอะไร… ที่เป็นสาเหตุทำให้ไม่มีโอกาส “ตอนนี้คุณปุ่นเป็นยังไงบ้างคะ”

ปุณยวีร์ยิ้ม “ปุ่นโอเคไม่เป็นไรแล้วล่ะ ขอบใจแก้วมากนะที่เป็นห่วงแล้วยังไม่ถือโทษโกรธกันอีก แต่ยังไงปุ่นก็ต้องขอโทษแก้วจริงๆ ที่วันนั้นเอาแต่อารมณ์ตัวเองไม่สนใจใครฟาดงวงฟาดงาจนเดือดร้อนกันไปทั่ว ขอโทษนะแก้วที่ทำให้ เอ่อ… แฟนแก้วเจ็บ” ท้ายประโยคบอกเสียงอ่อย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง ไม่นานก็หายแล้ว” กีรฎาบอกพร้อมรอยยิ้ม

“แค่นิดเดียวที่ไหนกัน พี่ยังเจ็บไม่หายเลย รอยช้ำก็ยังเหลืออยู่แก้วไม่เห็นหรือไง” คนเจ็บตัวจริงบอกเสียงฉุนพลางชี้ให้ดูรอยช้ำที่มุมปากซึ่งยังเหลืออยู่จางๆ

กีรฎาปรายตามองคนข้างตัวก่อนจะแค่นเสียงเย็นชาว่า “หึ! ผู้ชายอกสามศอก แต่ถูกผู้หญิงต่อยแค่หน่อยเดียวกลับโอดครวญสามวันเจ็ดวันไม่เลิก”

ก้องภพถึงกับอ้าปากค้างพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปเลยทีเดียวหลังสดับตรับฟังวาจาค่อนขอดของแฟนสาวที่เคารพรัก ขณะที่คนอื่นๆ พร้อมใจกันหัวเราะขำ หากอึดใจเดียวเขาก็ยักไหล่แก้ลำกลับมาว่า “ก็แก้วมัวแต่สนใจคนอื่นไม่สนใจพี่เลยนี่ครับ พี่เลยต้องโอดครวญเผื่อแก้วจะนึกห่วงพี่บ้าง และเผื่อคนบางคนจะรู้สำนึก!” ท้ายประโยคเขาเน้นเสียงชัด

ปุณยวีร์ถอนหายใจ ถึงอีกฝ่ายจะชอบแกล้งชอบยั่วโมโหเธออยู่เสมอๆ แต่เหตุการณ์เมื่อตอนเย็นวันศุกร์ถ้าไม่ใช่เพราะเขาหวังดีเขาคงไม่ห้ามไม่ช่วยรั้งสติเธอเอาไว้ไม่ให้เรื่องบานปลาย และถึงแม้จะยังหมั่นไส้เขาอยู่ไม่หายแต่ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายผิดก็ควรต้อง “ปุ่นขอโทษนะคะพี่ปืน”

คนที่เคยเรียกร้องให้ขอโทษสะดุ้ง “หา! ปุ่นว่าอะไรนะ! ไม่ใช่ปากบอกขอโทษแต่ในใจแช่งพี่อยู่หรอกนะ” ถามท่าทางหวาดระแวง

“พี่ปืนคะ!” กีรฎาปราม

ปุณยวีร์ยักไหล่ “ช่างเถอะแก้ว เพราะว่าไปแล้วปุ่นก็อาจจะทำอย่างที่พี่ปืนว่านั่นแหละ ก็พี่ปืนชอบหาเรื่องกวนประสาทปุ่นไม่เลิกนี่นะ” บอกท่าทางไม่ยี่หระ ในเมื่อแกรนด์โอเพนนิ่งนางมารร้ายไปแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องแอ๊บน่ารักนิสัยดีอีกต่อไป

“เห็นไหมล่ะแก้ว ผิดจากที่พี่ว่าที่ไหนกัน เฮ้อ… ทำไมซื้อหวยไม่แม่นแบบนี้บ้างว้า ไม่ต้องสามตัวตรงเผงก็ได้ ขอแค่สามตัวโต๊ดเท่านั้นแหละ” ก้องภพได้ทีพล่ามยาวเหยียด

หากกีรฎาคงคร้านจะใส่ใจแล้วจึงผุดลุกขึ้นจากโซฟาแล้วตรงเข้ามาพินิจพิจารณาใบหน้าของคนที่เธอนึกเป็นห่วงมาหลายวัน “คุณปุ่นใช้เมคอัพช่วยหรือว่ารอยนิ้วมือมันไม่มีเหลือแล้วคะ” ถามน้ำเสียงสงสัย

“ไม่เหลือรอยแล้วล่ะแก้ว ยัยพิมพ์… เพื่อนปุ่นน่ะ ทั้งใช้แผ่นเจลมาช่วยประคบทั้งทายาให้จนรอยช้ำหายเกลี้ยง”

วิศวกรสาวพยักหน้า “วันนั้นแก้วก็นึกเป็นห่วงกลัวว่าจะช้ำไปหลายวัน ผิวคุณปุ่นขาวมากด้วยช้ำหน่อยเดียวก็เห็นชัดแล้ว ยิ่งโดนตบเต็มแรงขนาดนั้นคงช้ำน่าดู เพื่อนคุณปุ่นเก่งจังดูแลดีจนไม่เหลือรอยเลย”

“ยัยคนนั้นเค้ารักสวยรักงามอยู่แล้ว รอยช้ำแค่นี้ก็เลยไม่เป็นปัญหา” ปุณยวีร์บอกพร้อมรอยยิ้ม

“Ohayoo” เสียงทักทายด้วยภาษาญี่ปุ่นดังขึ้นเรียกให้ทุกคนในห้องหันไปมอง เป็นซาโต้ซังที่เพิ่งก้าวผ่านกรอบประตูเข้ามาและตามหลังด้วยภควัต พนักงานส่วนใหญ่ทักทายกลับไปอัตโนมัติว่า “Ohayoo gozaimasu” โดยไม่ต้องรอให้ล่ามแปลเพราะเป็นประโยคทักทายง่ายๆ แปลว่า ‘สวัสดีตอนเช้า’ ที่ได้ยินเป็นประจำจนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

“ปุนจัง Genki?” เมื่อก้าวเข้ามาถึงตัวล่ามที่เรียกใช้งานอยู่เป็นประจำจนเหมือนล่ามประจำตัว ซาโต้ซังก็ถามว่า ‘สบายดีไหม’ ด้วยประโยคง่ายๆ ที่มักจะใช้กับคนกันเอง แสดงออกถึงความสนิทสนมคุ้นเคยที่เจ้าตัวมีให้

ได้รับคำถามและท่าทางแสดงออกถึงความห่วงใยจากเจ้านายปุณยวีร์ก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงจะได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่ลานจอดรถเมื่อตอนเย็นวันศุกร์… มาไม่มากก็น้อย ‘เฮ้อ… คงจะรู้กันไปหมดแล้วทั้ง HANO ตั้งแต่ระดับล่างจนถึงระดับสูง โอย… ภาพพจน์ของฉัน’ ล่ามสาวถอนหายใจทดท้อก่อนจะเกลื่อนอารมณ์ด้วยรอยยิ้มแล้วตอบว่า “Genki desu” แปลเป็นไทยก็ ‘สบายดีนั่นแหละ’ จากนั้นก็ถามอีกฝ่ายกลับด้วยคำถามเดียวกัน “ซาโต้ซัง wa ogenki desuka?”

“Totemo genki desu” ชายวัยกลางคนชาวญี่ปุ่นตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างขวางบ่งบอกว่าเขา ‘สบายดีมากๆ’ อย่างที่พูดจริงๆ

ปุณยวีร์หัวเราะ เธอชักรู้สึกเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า เมื่อเราอยู่ใกล้ใครก็จะได้รับอิทธิพลและเป็นแบบคนคนนั้น เพราะพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยคได้เห็นรอยยิ้มของเจ้านายอารมณ์ดีความรู้สึกแย่ๆ ทั้งหลายก็คล้ายจะมลายหายไป หัวเราะได้เต็มเสียงโดยไม่ต้องฝืน

TBC...

เอาตอนที่เจ็ดมาฝากครึ่งตอนก่อนค่ะ เดี๋ยวอีกครึ่งตอนเจอกันวันเสาร์ มีซีนหวานๆ ด้วย ระหว่างใครกับใครรอติดตามกันนะคะ

คุณ pseudolife ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามกันมาตลอดทุกเวอร์ชั่น ปุ่นกับชินฝากบอกคิดถึงคนอ่านเหมือนกันค่ะ ^^

คุณตามหาฝัน ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ เรื่องนี้เป็นโรแมนติกคอมเมดี้ค่ะ อ่านขำๆ มีหวานนิดๆ ให้กรี๊ดบ้าง ^^



พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ส.ค. 2557, 05:55:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ส.ค. 2557, 05:55:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1330





<< ตอนที่ 6   7/2 >>
Zephyr 2 ธ.ค. 2557, 12:37:18 น.
มีแต้คนกลัวนางนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account