กรุ่นรักเคียงธารา
กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ

เป็นหนึ่งในงานซีรีย์ชุด "พฤกษาธาราสวาท"
ซึ่งมีสี่เรื่องราว สี่ภาคด้วยกัน

เรื่องกรุ่นรักเคียงธารา เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การอนุรักษ์ผืนป่าต้นน้ำภาคเหนือครับ
ส่วนอีกสามเรื่องได้แก่...
มหานทีแห่งรัก โดย แอล เป็นเรื่องราวการอนุรักษ์แม่น้ำโขงและเรื่องราวการผันน้ำเข้ามาใช้การเกษตร (ภาคอีสาน)
ปลูกรักริมใจ โดย พิมพ์ชนก เป็นเรื่องราวของสองหนุ่มสาวหัวใจอนุรักษ์ต้นไม้กับการพยายามสร้างธรรมชาติบนพื้นที่เมืองหลวง (ภาคกลาง)
ทะเลรักล้อมดาว โดย ชุติวรรณ เรื่องราวการอนุรักษ์ผืนป่าชายเลน กับท้องทะเล (ภาคใต้)

มาร่วมกันเป็นกำลังใจให้แปดคนสี่คู่ ที่มีหัวใจอนุรักษ์ธรรมชาติเช่นเดียวกันได้ในงานชุดนี้ครับ

****

กรุ่นรักเคียงธารา โดย พายุ

เป็นเรื่องราวของนักพัฒนาสาว ที่เดินทางสู่จังหวัดชิดขอบชายแดน กับผืนป่าที่มีมนตร์ขลังของเรื่องราวความเชื่อที่ถูกผนวกกันอย่างลงตัว

สาวเมืองกรุงอย่าง ธาราริน จะสามารถนำเอาแนวคิดสมัยใหม่ เข้าไปใช้ในหมู่บ้านกลางป่าใหญ่ ที่มีหลักความเชื่อที่แปลกแตกต่างจากคนทั่วไปหากจุดมุ่งหมายคืออนุรักษ์ผืนป่าให้ลูกให้หลานได้หรือไม่

ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร ติดตามและเอาใจช่วยนักพัฒนาสาวคนนี้ได้ใน...กรุ่นรัก เคียงธารา
Tags: อนุรักษ์ ผืนป่า แนวความคิด หลักเศรษฐกิจพอเพียง ความเชื่อ มนตร์ขลังของผืนป่ากว้าง

ตอน: ตอนที่ ๐๕ ความหวังพลังใจ

ตอนที่ ๕

ในขณะที่อริมากำลังใช้พละกำลังทั้งหมดแหกปากด่ารถยนต์ที่มุ่งสู่ตำบลผาม่านนั้น สองหูของธารารินก็เริ่มมีความหวังขึ้นอีกครั้งเมื่อเธอสดับยินเสียงคล้ายกับรถยนต์คันใหม่ปีนขึ้นเขามาอย่างเชื่องช้าอืดอาด ก่อนจะเร่งความเร็วจนเสียงดังลั่นสนั่นป่าตามลักษณะของรถยนต์เครื่องเก่าใกล้จะปลดระวางใกล้เข้ามา

“พี่อบคะ พี่...นู่นค่ะ มาอีกคันแล้ว”

อริมาหันมองตามเสียงบอกของสาวรุ่นน้อง เธอจุดยิ้มท่ามกลางอาการหอบเหนื่อย ก่อนจะตัดสินใจขยับไปยืนข้างทางยกมือยกไม้ขึ้นโบกหมายใจให้เจ้าของรถคันใหม่เห็นใจ

หากอนิจจาเมื่อพ้นสภาพดอยเข้าสู่พื้นเรียบแล้วกระบะคันเก่าก็เร่งความเร็วด้วยเสียงอันดังกว่าเดิมแล้วแล่นผ่านหน้าสองสาวไปอย่างไม่ไยดี

“ป๊าด...ปาด...ปาด...บ่ะห่ายอกเฮ้ย มันเอาตาไว้ที่เท้าหรือยังไง บ่หันคนเลยกะนี่”

เป็นอีกครั้งที่ธารารินเห็นสาวรุ่นพี่ร้องแรกแหกกระเซออย่างไม่คิดที่จะดูสภาพผมเผ้าของตนเองที่เต็มไปด้วยฝุ่น ใบหน้านั้นยิ่งแล้วใหญ่มอมแมมราวกับคนไปคลุกกับฝุ่นมา

แล้วก็เป็นอีกครั้งที่สองสาวมีความหวัง เพราะมีรถคันที่สามแล่นตามมาติดๆ โดยคราวนี้รถคันนั้นแล่นมาอย่างเชื่องช้า แต่กลับแค่ชะลอแล้วแล่นผ่านไปอีกอย่างไม่สนใจสาวมอมแมมทั้งสอง

“ไร้น้ำใจ เห็นไหมคะน้องธารว่าคนของหมู่บ้านนี้เขาไร้น้ำใจกัน นี่หรือคะหมู่บ้านที่เราสองคนจะมาช่วยเหลือและพัฒนา พี่ว่าความหวังของเราที่วาดไว้อย่างสวยงามไม่มีแล้วล่ะค่ะ”

อริมาหันไปบ่นกับธาราริน ก่อนจะหันไปทางกองสัมภาระที่เต็มไปด้วยฝุ่นอันเกิดจากรถทั้งสามคันที่แล่นผ่านไป

“ดูหน้าตาท่าทางของน้องธารสิคะ มอมแมมยิ่งกว่าแม้วหลงดอยเสียอีก”

“พี่อบก็ไม่ต่างกับธารนักหรอกค่ะ”

สาวจากเมืองกรุงเปิดเสียงหัวเราะออกมาได้ ระบายใบหน้ามอมแมมนั้นด้วยรอยยิ้มขบขัน เธอพยายามจะไม่เครียดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เป็นไรในเมื่อชาวบ้านไม่ช่วยเหลือให้พวกเธอติดรถไปในหมู่บ้านด้วย เธอก็จะขอเดินทางมุ่งสู่จุดหมายด้วยสองเท้ากับความตั้งใจอันแน่วแน่ของตนเอง

ธารารินก้มลงหยิบสัมภาระขึ้นคล้องบ่าก่อนจะบอกให้สาวรุ่นพี่เลิกโวยวายแล้วหันมาตั้งหน้าตั้งตาเดินทางต่อ

“เรามาเดินด้วยสองขาสองเท้าของเราดีกว่าค่ะ ถือว่านี่คือบททดสอบความแข็งแกร่งของพวกเรานะคะ”

หลังให้กำลังใจอริมา สาวจากเมืองกรุงก็จรดเท้าไปข้างหน้า นำพี่เลี้ยงสาวที่บ่นอีกคำสองคำแล้วก้มลงเก็บกระเป๋าของตนเองและเดินไปตามเส้นทางในที่สุด

ทั้งสองเดินไปข้างหน้าอีกประมาณสามร้อยเมตร ธารารินก็หยุดแล้วหันกลับไปยังทางที่เธอเพิ่งจากมาเมื่อความหวังที่สี่ของเธอไต่มาตามเส้นทางอย่างช้าๆ

“ไม่ต้องหยุดหรอกค่ะ โบกไม้โบกมือไปเขาก็ไม่หยุดรับเราหรอก สู้เดินไปเองจะดีกว่าเยอะ”

นักพัฒนาสาวว่าพร้อมกับทำเชิดหน้าแล้วดันหลังธารารินให้เดินต่อ จนกระทั่งรถคันดังกล่าวเคลื่อนเข้ามาใกล้พร้อมกับฝุ่นตลบเป็นฉากหลังเจ้าของรถก็บังคับรถลงจอดข้างทางไม่ห่างจากสองสาวนัก

พร้อมกับเสียงตะโกนจากผู้มีน้ำใจเรียกให้พวกเธอขึ้นรถ

อริมาแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง หล่อนมิอาจระงับรอยยิ้มพร้อมหันกลับไปมองเจ้าของรถด้วยสายตาขอบคุณไม่ได้

ทว่าใบหน้าทะเล้นที่ยื่นออกมาจากในรถทำให้สีหน้าและแววตาของหญิงสาวต้องเปลี่ยนไป เพราะนั่นไม่ได้แค่คุ้นหน้าหรือจำได้ แต่ชายหนุ่มคนนั้นกำลังเปิดเสียงหัวเราะเย้ยเธออยู่

แรงโกรธเพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อชายหนุ่มคนนั้นชี้มายังเธอและธารารินพร้อมกับบอกให้ใครอีกคนที่นั่งข้างๆ มอง

“อีตาบ้านี่อีกแล้ว ชิ”

บ่นแล้วก็หันไปทางธารารินที่หยุดเดินและหันไปทางเจ้าของรถที่เรียกซ้ำสอง

“เอ้าขึ้นมาสิ...จะไปไหน เดี๋ยวจะไปส่ง”

ศิลายังจำทั้งสองสาวไม่ได้เหมือนกับอริมาที่จำเขาได้ นั่นเพราะคราบฝุ่นที่เลอะเทอะเต็มใบหน้าของทั้งสอง เจ้าหนุ่มนึกขำกับท่าทีเก้งก้างของหญิงสาวร่างบางและเล็กกว่าอีกคนซึ่งเหมือนจะบ่นอะไรสักอย่าง หากจับประเด็นไม่ผิดคงจะนึกอายที่เขาหัวเราะใส่เธอ

“เขาจอดรับแล้วนะคะพี่อบ ไปกันเถอะค่ะ”

ธารารินหันไปปรารภกับอริมาแล้วจูงมือสาวรุ่นพี่พามายังรถจิ๊ปของเจ้าหน้าที่ป่าไม้

นอกจากเจ้าหนุ่มหน้าทะเล้นผู้ทำหน้าที่พลขับแล้ว ธารารินยังเห็นชายหนุ่มอีกคนผู้นั่งนิ่งด้วยใบหน้าเคร่งขรึมมองพวกเธอด้วยประกายตาอาทร

เพียงแวบแรกหัวใจสาวก็พลันเต้นรัวไปกับหน้าตาอันคมเข้มบาดใจของเจ้าหนุ่มคนนั้น ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดความรู้สึกของตัวเธอในเวลานี้ถึงได้วูบวาบราวกับคนกำลังเขินอาย

“จะไปหมู่บ้านผาตะวันกันหรือจ๊ะ แม่สาวดอย” เสียงแซวจากศิลาดังมาอีกตามประสา “ขึ้นรถมาสิ พี่จะได้ไปส่ง”

“ค่ะ ขอบคุณนะคะ”

ธารารินเป็นคนตอบแล้วยิ้ม ซึ่งยิ้มนี่เองที่ทำให้ศิลาจำได้ เจ้าหนุ่มร้องเฮ้ยมาคำหนึ่งแล้วไล่เลยไปยังหญิงสาวอีกคนก็เจอกับแววตาขุ่นขวางกับใบหน้ายักษ์ๆ ก็ยิ่งเสียวสันหลัง

ไม่แม้กับภูตะวันที่ถึงกับมองรอยยิ้มงดงามนั้นราวต้องมนตร์

ไม่คิดว่าท่ามกลางผืนป่ากว้างใหญ่นี้จะมีแม่เทพธิดาไพรผู้มีสรรพเสียงหวานหยดงดงามกับรอยยิ้มน่ารักสดใสราวทำให้ป่าทั้งผืนมีชีวิตจิตใจมาเดินเล่นให้ฝุ่นเกาะอยู่เต็มตัวได้

หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าต้นน้ำลำน้ำยมหันไปทางลูกน้องแล้วสั่งการให้ศิลารีบไปช่วยยกกระเป๋าของหญิงสาวทั้งสองขึ้นรถพร้อมเชื้อเชิญพวกเธอ

ไม่นานหลังจากนั้นรถจิ๊ปคันโตกับความมีน้ำใจอันเต็มเปี่ยมก็บรรทุกสาวจากพื้นราบมุ่งหน้าไปตามเส้นทางสู่หมู่บ้านผาตะวันอย่างทันที ทิ้งเอาไว้แต่ความว่างเปล่าของผืนถนนลูกรังกับฝุ่นผงที่ปลิวว่อนแล้วร่อนลงเป็นเถ้าธุลีต่อไปไว้เบื้องหลังกับความสงัดเงียบของผืนป่า...

////////

หมู่บ้านผาตะวัน ตั้งอยู่ท่ามกลางผืนป่ากับท้องไร่อันมีพืชผักของชาวบ้านปลูกเรียงไกลออกไปอย่างเป็นระเบียบ รอการเก็บเกี่ยวจากเจ้าของที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

อาณาเขตของหมู่บ้านนี้ล้อมรอบด้วยแม่น้ำสายเล็กๆ อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำยม สายน้ำหนึ่งในสี่ธาราอันประกอบกันเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา สันหลังของประเทศไทย

หมู่บ้านนี้ตามข้อมูลที่ธารารินสอบถามจากภูตะวันได้ความว่าเป็นหนึ่งในหมู่บ้านโครงการหลวงที่เป็นพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถจัดสรรพื้นที่ทำกินให้กับชาวบ้านกลุ่มนี้ที่มีเพียงสิบห้าหลังคาเรือน จำนวนประชากรไม่ถึงหนึ่งร้อยคน

เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางผืนป่าใหญ่ โดยประชากรส่วนใหญ่ทำมาหากินโดยทำการเกษตร ปลูกผักปลูกหญ้าเพื่อส่งขายลงมายังในเมืองและมีไร่กาแฟ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ทางหลวงมอบทุนทรัพย์ให้กับชาวบ้านผาตะวันทำร่วมกัน

ช่วงเย็นของวันนั้นรถของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทั้งสองก็เคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้านผู้ใหญ่เสน ผู้นำหมู่บ้านผาตะวันซึ่งศิลาเห็นว่าทั้งสองสาวนักพัฒนาที่เดินทางมายังที่นี่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าจะต้องมาพบกับผู้นำชุมชนเพื่อให้ผู้ใหญ่เสนช่วยเหลือในด้านต่างๆ เสียก่อน

เรือนไม้ใต้ถุนสูงของผู้ใหญ่เสนตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้ใบบัง ดูร่มรื่นร่มเย็นอย่างที่ธารารินวาดฝันเอาไว้ตั้งแต่แรก

“ด้านหลังมีลำธารด้วย” หญิงสาวอุทานออกมา ก่อนจะลงจากรถมายืนข้างๆ กับอริมา

ภูตะวันเดินนำไปยืนอยู่ด้านหน้าเรือนไม้หลังนั้นพร้อมกับตะโกนเรียกผู้ใหญ่เสน ไม่นานก็มีสุนัขซึ่งน่าจะเป็นของเจ้าของบ้านสองตัววิ่งมาจากทางหลังบ้านอันเป็นที่ตั้งของลำธาร ก่อนมันจะโก่งคอเห่าแขกยามเย็นวันนั้นเสียงดัง

“ไอ้เมฆ ไอ้หมอก หยุดเห่า”

เสียงด่าเตือนสุนัขทั้งสองตัวดังมาก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏ พาให้สุนัขทั้งสองหยุดเห่าแล้วครางหงิงๆ วิ่งกลับไปหาผู้เป็นนายที่กำลังเดินออกมา

ผู้ที่ก้าวเดินมาจากทางหลังบ้านนั้น ธารารินเห็นว่าเป็นชายชราท่าทางใจดีร่างท้วม โดยเฉพาะรอยยิ้มของเขาที่แจกยิ้มอย่างเอื้ออาทรต่อแขกผู้เพิ่งมาถึง ก่อนจะมองมายังภูตะวันและศิลาที่ขยับไปยืนข้างหน้าทั้งสองสาวพร้อมกับกล่าวแนะนำว่าเธอทั้งสองเป็นพัฒนากรจากอำเภอ เดินทางมายังหมู่บ้านนี้เพื่อพัฒนางานฝีมือของกลุ่มชาวบ้าน

พอได้รู้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ใหญ่บ้านก็ยิ้มพร้อมกับเชื้อเชิญให้ไปนั่งยังม้านั่งใต้ต้นมะม่วงป่าอย่างทันที

“แล้วนี่พวกคุณไปยังไงมายังไงถึงได้มอมแมมขนาดนี้”

ชายชราว่าพลางหัวเราะ มองธารารินและอริมาอย่างขบขัน

“พวกเราเดินมากันค่ะ เจอคนไร้น้ำใจสภาพเลยเป็นแบบนี้” อริมาเป็นคนตอบและมิวายหันไปค้อนใส่ศิลาที่หัวเราะเธออย่างเปิดเผย

“พวกเขาคงกลัวว่าจะเป็นพวกจี้ปล้นกระมัง” ผู้ใหญ่เสนแก้ต่าง “เลยไม่กล้าจอดรับ”

“หรือไม่ก็นึกว่าเป็นผีสางนางไพร เลยบึ่งรถหนีครับ” ศิลาปากไวไปตามประสา จนภูตะวันที่นั่งนิ่งแต่แรกหันไปกระแอมปรามความปากดีของลูกทีมยามอยู่ต่อหน้าผู้นำชุมชน

“ดิฉันไม่ใช่ผีป่าผีไพรค่ะ” อริมาของขึ้นหน้าว่ากล่าวเชิงประชดเจ้าหน้าที่หน้าทะเล้น “และก็ไม่คิดว่าการที่ต้องมาเดินอยู่กลางถนนในป่าจะทำให้ชาวบ้านตกใจจนบึ่งรถหนี”

“รถที่มาส่งพวกเราขึ้นเขาไม่ไหวค่ะ เขาก็เลยขอส่งแค่ตีนเขาเท่านั้น” ธารารินเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง “ยังดีที่เจอคุณภูตะวันและคุณศิลาให้ความช่วยเหลือจนพวกเรามาถึงบ้านของผู้ใหญ่ได้ ไม่อย่างนั้นคงต้องเดินกันจนขาลากและค่ำกลางทางแน่ๆ ค่ะ”

หญิงสาวหันไปขอบคุณภูตะวันพร้อมกับศิลาอีกครั้ง แล้วหันไปทางผู้ใหญ่เสนเป็นเชิงรบกวนให้หาที่พักให้กับพวกเธอ

“ที่นี่ไม่ได้มีโรงแรมหรือรีสอร์ตหรอกนะแม่หนู เอาเป็นว่าพักที่บ้านของฉันนี่แหละ จะไปทำงานกันที่ไหนก็ขอให้บอกจะได้ให้คนพาไป”

ผู้ใหญ่บ้านผู้เอื้ออารีบอกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปเรียกภรรยาที่อยู่ในครัวมาแนะนำกับสองสาวแล้วพาพวกเธอขึ้นเรือนไปในที่สุด
ภูตะวันมองตามสามร่างที่ตามกันขึ้นเรือนไม้หลังสูงไปแล้วหันมาทางผู้นำชุมชนผาตะวันอีกครั้ง

“ผมคงจะต้องฝากพวกเธอไว้กับผู้ใหญ่แล้วล่ะครับ เพราะไม่รู้ว่าชาวบ้านคนอื่นๆ จะให้การต้อนรับเจ้าหน้าที่ของรัฐเหมือนอย่างผู้ใหญ่หรือเปล่า”

ชายชราท่าทางใจดียิ้มอีกครั้งแล้วพยักหน้า

“อืม...ดีแล้วล่ะที่คิดถึงกัน” ผู้ใหญ่เสนว่าแล้วลุกจากที่ เอามือไขว่ไว้ข้างหลังแล้วทอดสายตามองออกไปยังถนนหนทางด้านหน้าแล้วว่า “เพราะไม่อย่างนั้นทั้งสองคนคงได้เดียวดายและถูกกลั่นแกล้งจากพวกชาวบ้านแน่ พวกเขายิ่งมีความรู้สึกไม่ดีกับเจ้า
หน้าที่กันอยู่”

“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ ทำไมชาวบ้านที่นี่ถึงมีความรู้สึกแบบนั้นต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ”

ศิลาซึ่งเพิ่งมาบรรจุงานที่นี่เพียงไม่กี่ปี ซึ่งแรกๆ เขารับรู้ความรู้สึกของชาวบ้านที่มีต่อตนเป็นอย่างดี ชาวบ้านพวกนี้ไม่ได้ให้ความสนใจต่อเจ้าหน้าที่ ทั้งที่พวกเขาต่างมาให้ความช่วยเหลือ ไม่แม้จะให้ความร่วมมือที่ดียามมีกิจกรรม ยังดีที่ระยะหลังๆ พวกเขาได้ใกล้ชิดกับชาวบ้าน ได้รู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น ความรู้สึกปิดกั้นที่ชาวบ้านมีต่อจึงลดน้อยลงไปด้วย

แล้วทั้งสองสาวที่เพิ่งมาถึงล่ะ จะเป็นเช่นไร

เพราะขนาดแค่วันแรกของการเดินทาง ยังถูกชาวบ้านทอดทิ้งไว้กลางป่าอย่างไม่สนใจไยดี ทั้งที่เป็นผู้หญิงแท้ๆ

“พวกคุณไม่รู้หรอกว่าพวกเราพบเจอกับอะไรกันบ้าง” ผู้ใหญ่เสนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิว ในความรู้สึกที่สัมผัสมายังภูตะวันและศิลามันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่ร้าวลึกมาก

ภูตะวันนิ่งรอคำต่อมาของผู้ใหญ่บ้านอย่างตั้งใจ เพราะเขาก็ยังไม่รู้เหตุผลนี้เช่นกัน

ที่ผ่านมาตนได้แต่อดทน พยายามให้ใจกับชาวบ้านให้มากที่สุด จนสามารถพัฒนาและลดทอนอารมณ์ปิดกั้นของชาวบ้านที่มีต่อคนนอกได้

“พวกเราถูกทอดทิ้ง แม้ว่าจะได้รับความอนุเคราะห์จากในหลวงและพระราชินีก็ตาม แต่พวกคุณคงเข้าใจนะ พวกเรามาจากต่างสถานที่ มาจากต่างบ้านต่างเมือง มาอยู่ในโครงการที่ถูกจัดสร้างขึ้นให้มาอยู่รวมกันกลางป่าใหญ่ ไร้การติดต่อกับผู้คนทางภายนอกโดยมีการสัญจรเป็นอุปสรรค....”

เจ้าของบ้านว่าแล้วถอนใจ ภูตะวันเห็นเขาหลุบเปลือกตาลงหลับคล้ายเหนื่อยอ่อนต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในหัวใจ
เนิ่นนานผู้ใหญ่ชราจึงเล่าความต่ออีก

ซึ่งชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคำพูดคำนั้นยิ่งบาดลึกหัวใจให้ยิ่งเจ็บปวดเหลือคณนา

“แม้จะมีเจ้าหน้าที่ของหลวงเข้ามาดูแล เข้ามาให้ความช่วยเหลือ แต่นั่นก็เป็นเพียงระยะแรก หลังจากนั้นพวกเขาก็หายกันไป ทิ้งให้พวกเราอยู่ท่ามกลางผืนป่าใหญ่ ให้ทำกินกันเองตามมีตามเกิด ไม่แม้จะมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ เข้ามาดูแล ทั้งที่ถูกวางตัวให้เป็นหมู่บ้านในโครงการหลวง ยังดีนะที่มีเจ้าหน้าที่จากป่าไม้มาตั้งหน่วยพิทักษ์อยู่ใกล้ๆ มีอาสาสมัครที่เป็นชาวบ้านเช่นเดียวกับพวกเรามาให้ความช่วยเหลือ แต่ก็นั่นแหละมันเป็นส่วนน้อยสำหรับพวกเราชาวบ้านผาตะวัน เพราะความรู้สึกที่มีต่อหน่วยงานของรัฐมันได้หมดไปนานแล้ว”

ศิลานิ่งเงียบด้วยความรู้สึกหดหู่ในหัวใจ

สิ่งที่ผู้ใหญ่เสนกล่าวนั้นเขาพอจะมองออกนับตั้งแต่ตนเข้ามาปฏิบัติภารกิจ น้อยครั้งนักจะมีเจ้าหน้าที่และหน่วยงานของรัฐเดินทางมาถึงและให้ความช่วยเหลือ

เมื่อคนที่ชาวบ้านต้องการพึ่งพิงแทบไม่มี พวกเขาจึงปิดกั้นและดำเนินการพัฒนางานต่างๆ ด้วยตัวเอง ในเมื่อหลีกหนีไม่พ้นต่อสภาพเดียวดาย พวกเขาจึงใช้โอกาสนี้สร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเอง

สร้างจนสามารถยืนหยัดได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร

และพอมีเจ้าหน้าที่เดินทางมาเพื่อจะสานงานของพวกเขา บรรดาชาวบ้านจึงไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไร

“ซึ่งพอถึงเวลานี้ เมื่อมีเจ้าหน้าที่เข้ามา บรรดาชาวบ้านจึงมีความรู้สึกอย่างที่พวกคุณเคยรู้สึก”

“แล้วบรรดานักท่องเที่ยวที่เข้ามาในบางช่วงฤดูกาลล่ะครับ ทำไมพวกเขาถึงไม่ได้รับการปิดกั้นอย่างกับเจ้าหน้าที่ อย่างคุณธารและคุณอบที่เดินทางมาในวันนี้ กลุ่มชาวบ้านน่าจะคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวและน่าจะให้ความร่วมมือ”

ภูตะวันเอ่ยถามแล้วมองหน้าชายชราที่ส่ายหน้าแล้วยิ้มบาง

“ไม่หรอก ได้ชื่อว่าคนนอก ชาวบ้านจะไม่ให้ความร่วมมือกันทั้งสิ้น” ผู้ใหญ่เสนทรุดกายลงนั่งยังจุดเดิมอีกครั้ง เขามองหน้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้หนุ่มอย่างขบขันที่ไม่รู้ความอะไร “นักท่องเที่ยวที่เห็นมากันน่ะ พวกเขามากันเอง พอมาก็จัดการอะไรกันเองโดยไม่มีชาวบ้านคนไหนให้ความร่วมมือสักคน”

นักท่องเที่ยวซึ่งเคยมายังหมู่บ้านผาตะวันที่ผ่านมานั้น พวกเขามาท่องเที่ยวด้วยเพราะเห็นว่าเห็นเป็นสถานที่ท่องที่เชิงธรรมชาติที่มีบรรยากาศดี พร้อมกับภาพทิวทัศน์งดงามจึงเป็นความหวังและตั้งใจของพวกเขาที่จะเดินทางมาสัมผัสสักครั้ง แม้ว่าหนทางจะทุรกันดารขนาดไหนพวกเขาก็เดินทางมาถึงจนได้

ทว่าเมื่อมาถึง เสียงที่เล่าต่อๆ กันไปนั้นกลับกลายทำให้พวกเขาเข็ดขยาด เพราะมันมีเพียงบรรยากาศเท่านั้นที่งดงาม หากน้ำใจของเจ้าสถานที่กลับไม่มีเลย บวกกับหนทางที่ยากลำบากจึงทำให้นักท่องเที่ยวบางกลุ่มเบนเส้นทางท่องเที่ยวไปทางอื่น
จะมีแค่บางกลุ่มเท่านั้นที่ประทับใจในสถานที่ ส่วนชาวบ้านที่ไม่ให้ความร่วมมือพวกเขาไม่ได้สนใจ จึงจัดแจงที่พักและใช้เวลาในการท่องเที่ยวยังที่นี่โดยไม่ยอมพึ่งพิงชาวบ้านคนใด

“แล้วอย่างนี้คุณธารกับคุณอบจะเป็นอะไรไหมครับ ผมว่าน่าจะให้พวกเธอไปอยู่ใกล้ๆ พวกผม เผื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาในภายหลัง ยิ่งเป็นผู้หญิงที่มากันแค่สองคนยังไงแล้วก็อันตรายนะครับ”

ภูตะวันนึกห่วงทั้งสองสาวขึ้นมาอย่างทันที ยิ่งพวกเธอเป็นผู้หญิงกลัวว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายและป่าเถื่อนกับพวกเธอเข้าให้ในสักวัน

“คงไม่ดีหรอกหัวหน้าภู” ผู้ใหญ่เสนว่าแล้วมองหน้าชายหนุ่มอยู่นิ่งนานก่อนจะเอ่ยต่อ “มันจะเป็นที่ครหาได้นะเพราะในหน่วยของพวกคุณเป็นผู้ชายทั้งหมด ส่วนทั้งสองคนเป็นผู้หญิง”

“แต่มันจะดีมากนะครับที่พวกเราได้ดูแลเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเป็นหน่วยงานราชการเดียวกัน” ศิลาเห็นควรกับหัวหน้าตนเอง

“ให้พวกเธออยู่ที่บ้านของฉันนี่แหละ ไม่มีอะไรหรอก ยังไงแล้วชาวบ้านก็ต้องเกรงใจกันบ้าง อีกอย่างมันจะสะดวกในการทำงานของพวกเธอด้วย”

“แล้วชาวบ้านล่ะครับ”

ภูตะวันยังกังวลกับอารมณ์ปิดกั้นของชาวบ้าน ซึ่งตัวของเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันที่จู่ๆ ดันห่วงหญิงสาวที่เพิ่งพบเจอกันเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงราวกับคนรู้จักกันมาหลายปี

“ฉันเป็นผู้ใหญ่บ้าน ยังไงพวกชาวบ้านก็ต้องเกรงใจกันบ้าง เชื่อฉันสิ ฉันจะไม่มีวันให้ชาวบ้านทำผิดทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐหรอก เพราะฉันก็พอจะรู้ๆ กฎมงกฎหมายมาบ้างเหมือนกัน”

“แต่ผมกลัวว่า....”

“เชื่อใจฉันสิหัวหน้าภู ฉันมีวิธีที่จะไม่ทำให้ชาวบ้านทำร้ายเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนที่มาพักอยู่ในบ้านของฉันได้หรอก เชื่อใจฉันเถิด”
ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่ถอนใจ คำกล่าวของชายชรามีความมุ่งมั่นและมั่นคงจนไม่อาจทำให้เขาทั้งสองหาคำใดมากล่าวอ้างคัดค้านได้อีก

ด้วยพอจะรู้จักนายบ้านชุมชนนี้มาพอสมควร ชายหนุ่มจึงไว้วางใจที่จะฝากหญิงสาวทั้งสองคนได้

เขาเชื่อ ผู้ใหญ่เสนจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านผาตะวันจะต้องไม่ทำให้หญิงสาวทั้งสองคนเป็นอันตราย

เย็นวันนั้นภูตะวันและศิลาจึงลาผู้ใหญ่เสนกลับหน่วยงานไปด้วยหัวใจพะวงห่วงหาทั้งสองสาวกลัวว่าหญิงต่างบ้านอย่างพวกเธอจะทำตัวลำบากกับบ้านป่าบ้านดอย

โดยเฉพาะธารารินซึ่งเขาพอจะรู้ข้อมูลจากเธอในตอนสนทนาสอบถามระหว่างเดินทางไปยังหมู่บ้านผาตะวันว่าเป็นสาวจากเมืองกรุงที่มีหัวใจมุ่งมั่นมาพัฒนาชนบท ตามรอยองค์พ่อหลวงและแม่หลวงของปวงชน

คนกรุงเทพฯ อย่างเธอจะอยู่ได้อย่างไรกับบ้านป่าเมืองเถื่อนเช่นหมู่บ้านผาตะวันนี้

/////////

พอพระอาทิตย์เลื่อนลาลับขุนเขาใหญ่ ความมืดก็ย่างกรายเข้ามาแผ่ปกคลุมผืนป่าพร้อมกับความเย็นยะเยือกที่ลดอุณหภูมิลงต่ำกว่าสิบองศาเซลเซียส

ไม่แม้กับความเงียบที่มีบทบาทกับบ้านป่าแห่งนั้นราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง

ธารารินอยู่ในชุดผ้าฝ้ายตัวโคร่ง เนื่องเพราะเธอยังไม่ชินกับอากาศที่ลดต่ำจึงทำให้บ้างในบางครั้งเกิดอาการปากคอสั่นและต้องพึ่งผ้าห่มผืนหนาอีกผืนคลุมห่มกาย

ค่ำนี้ผู้ใหญ่เสนและภรรยาจัดการต้อนรับทั้งสองสาวโดยการจัดอาหารเย็นและก่อกองไฟที่ลานหน้าบ้าน ทั้งสี่คนนั่งอยู่บนแคร่ไม้ข้างกองไฟพร้อมกับสอบถามถึงที่มาที่ไปของหญิงสาวทั้งสองจนพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับพวกเธออยู่พอสมควร

“ฉันไม่คิดว่าคนเมืองกรุงอย่างคุณจะกล้ามาที่นี่คนเดียว ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วฉันแทบจะไม่เชื่อ”

เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ผู้ใหญ่บ้านผาตะวันเอ่ยถามธารารินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามของเขาในวงสนทนา

“นั่นสิ” นางจันทร์เป็ง ภรรยาของผู้ใหญ่เสนกล่าว “ดูหน้าตาท่าทางของคุณแล้วแทบจะทำอะไรไม่เป็น พอจะบอกเหตุผลได้ไหมว่าคุณมาที่นี่ทำไม”

ธารารินรู้สึกถึงแววตาแกมคาดคั้นของภรรยาผู้ใหญ่บ้าน จริงอยู่ที่มีความเมตตาต่อเธอ ทว่าบางครั้งบางเวลานางจันทร์เป็งก็มองพวกเธอด้วยสายตาคุกคามราวกับเธอไปทำอะไรให้เจ็บแค้นแสนสาหัส

หญิงสาวถอนใจออกมาแล้วจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามคุมให้นิ่งที่สุด

“คนเราจะมาวัดกันที่รูปร่างหน้าตาไม่ได้หรอกนะคะป้า”

“ฉันเคยลงไปพื้นราบ ผู้คนที่เหมือนๆ กับคุณ ฉันว่าทำอะไรไม่เป็น คนเมืองเขาเรียกอะไรนะ คนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อใช่ไหมพ่อ”

“ใช่ ดูคุณเป็นคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำอะไรไม่เป็น”

“แต่อบยืนยันได้นะคะว่าน้องธารเป็นคนทำงานคนหนึ่ง” อริมาเป็นคนกล่าว หลังทนนิ่งฟังทั้งสองสามีภรรยาซักความสาวรุ่นน้องไม่ได้ “ดิฉันเป็นพี่เลี้ยง คอยดูแลน้องธารมาตลอดศักยภาพของน้องไม่ใช่เป็นแบบคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดิฉันขอยืนยันได้ค่ะ”

“ใช่ค่ะ คนเราไม่ได้วัดกันที่รูปลักษณ์ภายนอกนะคะ ธารเชื่อเสมอว่าคุณค่าของคนอยู่ที่ผลของการกระทำ เมื่อทำดีแล้วแม้ว่าคนอื่นไม่เห็น ตัวเรานี่แหละค่ะที่จะเห็นเอง”

“ดูคุณมีอุดมการณ์มากเลยนะ อะไรล่ะคือหลักฐานของอุดมการณ์ของคุณ คุณสาวกรุงเทพฯ”

“อุดมการณ์ของธารไม่มีหรอกค่ะผู้ใหญ่ ธารมีแต่ความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่จะเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ” หญิงสาวว่าพร้อมกับยกมือขึ้นพนมจรดเหนือศีรษะแล้วว่าต่อ “และพระบรมราชินีนาถ พ่อหลวงและแม่หลวงของพวกเราชาวไทยทุกคน”

แววตาของหญิงสาวตรงหน้าดูมุ่งมั่นเหลือเกิน ชายชราแห่งบ้านผาตะวันมองแล้วรับรู้ได้ซึ่งกระแสความเชี่ยวของพลังความตั้งใจของเธอที่ฉายออกมา

ไม่คิดว่าคนเมืองกรุง ที่มีความเจริญกว่าบ้านป่าเมืองเถื่อนและมีข่าวความขัดแย้ง ความเห็นแก่ตัวกันอยู่ตลอดเวลาจะมีความคิดที่แม้แต่เขายังนึกทึ่งต่อความตั้งใจ

หญิงสาวคนนี้ดูมีพลังบางอย่างมากมายเหลือเกิน

ยิ่งได้สอบถามความคิดเห็นจากหญิงสาวในอีกหลายๆ คำต่อมา ผู้ใหญ่เสนก็ยิ่งนับถือในน้ำใจของธาราริน หญิงสาวกรุงเทพฯ คนนี้มีความตั้งใจเหลือเกินในการทำงานตามรอยองค์พ่อหลวงและแม่หลวงของพวกเขาที่ถึงขนาดเดินทางมาอาศัยยังดินแดนที่ตนไม่รู้จักกับผู้คนที่มีความหลากหลายอย่างจังหวัดในภาคเหนือและเขตป่าชายแดนอันไกลโพ้นแบบนี้

“บางคนเขาว่า คนที่เดินทางมาไกลขนาดนี้มีสองประเภทคือหนึ่งหนีความคิดบางอย่างที่รบเร้าหัวใจกับมุ่งมั่นตั้งใจมาด้วยใจรัก ธารขอยืนยันเลยค่ะว่าธารมาด้วยความตั้งใจจริง ไม่ได้หนีอะไรมาสักอย่าง”

นั่นคือคำพูดของหญิงสาวที่มีแต่ความแน่วแน่มั่งคง

////////โปรดติดตามตอนต่อไป////////



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ค. 2557, 19:27:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2557, 19:49:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1133





<< ตอนที่ ๐๔ สู่หมู่บ้านกลางป่า   ตอนที่ ๐๖ เสียงจากราวไพร >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account