ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 6 (1/2)



และแล้วเราก็มาเจอกันวันเวลาเย็นๆ ก่อนกำหนดนัดหมาย จุ๊บๆ ขอสวัสดีและขอบพระคุณพี่น้องนักอ่านที่รักทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอบพระคุณทุกคอมเม้นท์ที่บอกเล่าความรู้สึก ดีใจมากมายที่เห็นข้อความจากท่าน

รัก...

อ้อย/สุชาคริยา


ปล. อ่านบทที่ 6 (เสี้ยวน้ำจิ้มที่ลงไว้ก่อนหน้าก่อนนี้นะคะ อันนี้เป็นฉากต่อเลยจ้า)

-----------------------------------


การนั่งรถมากับปรมัตถ์ในเช้านี้รู้สึกถึงความเป็นกันเองมากขึ้นทีเดียว เขายิ้มให้เธอบ่อยครั้ง แม้ไม่ได้พูดอะไรกันมากแต่ก็ไม่เงียบกริบเหมือนที่เคยเป็น

นึกย้อนไปเมื่อครู่ก่อน เป็นครั้งแรกที่ใช้เวลาอยู่หน้ากระจกค่อนข้างมากกว่าปกติ รู้สึกเหมือนคนงี่เง่าที่ถามตัวเองว่าดูดีพอแล้วหรือที่จะปรากฏตัวต่อหน้าปรมัตถ์อีกครั้ง

‘โธ่... ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ไปได้นะ’ คิดแล้วก็อยากจะตีตัวเองซ้ำๆ นั่นก็เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร จะหันซ้ายหรือหันขวา จะหันหน้าหรือหันหลัง เธอก็ยังเป็นเธออยู่ดี ไม่ได้แตกต่างจากเดิมสักนิดเดียว

“อยากมองพี่ก็มองตรงๆ ได้เลย พี่ไม่หวงหรอก ยินดีให้เธอมองอย่างเต็มใจ” เขายิ้มให้ทั้งปากทั้งตา ก่อนจะหันหน้าไปมองเส้นทางที่รถเริ่มคับคั่งแต่ก็ยังไปได้เรื่อยๆ ไม่ติดเหมือนชั่วโมงเร่งด่วน

ทว่าสำหรับถิรมน... รอยยิ้มของปรมัตถ์เป็นอะไรที่น่ามองมากทีเดียว องค์ประกอบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นแววตา ใบหน้า คำพูด ท่าทาง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเขาได้กลายเป็นของร้อนที่ทำให้เธอหลอมละลาย ยิ่งมองเท่าไหร่เขาก็ยิ่งดูดี หล่อเหลา มีเสน่ห์มากขึ้นเท่านั้น แม้พยายามบอกตัวเองว่าอย่าหน้าแดง อย่าเขิน อย่าตกหลุมพรางของเขาเชียวนะ แต่ก็เหมือนจะไม่สำเร็จ อยากพาตัวและหัวใจไปให้ไกลเท่าไหร่ก็แทบเป็นตรงกันข้าม รู้สึกว่าเริ่มฉุดหัวใจตัวเองไม่อยู่เสียแล้วเพราะคอยแต่จะอิงซบหาความอบอุ่นจากเขาร่ำไป

เช่นเดียวกับตอนนี้ที่บอกว่าอย่าหันไปนะ แต่ก็ยังแอบมองปรมัตถ์เป็นระยะโดยไม่ให้เขารู้ หรือจะรู้แต่ไม่พูดก็ไม่อาจทราบได้ ส่วนเธอไม่ได้พูดอะไร เก็บทุกอย่างไว้ในใจเงียบ นั่นจึงทำให้ถิรมนตระหนักได้ว่าความปรารถนาลึกๆ ของชายหญิงช่างน่ากลัวเหลือเกิน พยายามเตือนตัวเองว่าอย่าได้ถลำลึกจนเกินเยียวยา ทว่าอีกใจกลับดื้อดึงไม่ยอมทำตาม

แล้วเธอควรจะทำอย่างไร

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ปรมัตถ์เลี้ยวรถเข้ามาจอดยังอาคารจอดรถชั้นล่างซึ่งเป็นที่จอดของผู้บริหาร เป็นอาคารติดกับตึกสำนักงานใหญ่ ความเงียบที่โอบล้อมเมื่อครู่ในรถตลอดการเดินทางมีไออุ่นซ่านแทรกตลอดเวลาแม้ไม่ได้คุยกัน มีเพียงเสียงเพลงคลาสสิคแว่วหวานบรรเลงเคล้าคลอ ไม่มีความรู้สึกเดียวดาย มีเพียงความอุ่นใจโอบล้อมถิรมนเอาไว้ไม่ให้เหงาเหมือนเดิมอีก

หญิงสาวลงจากรถโดยยืนรอปรมัตถ์ตามมารยาทอันควรพึงกระทำ เขายิ้มให้เล็กน้อยเมื่อลงมา ผายมือออกไปยังทางเข้าให้รู้ว่าเดินไปที่ลิฟต์ด้วยกันนะ

หญิงสาวคนหนึ่งยืนรออยู่ตรงประตูขณะที่ถิรมนและปรมัตถ์เดินเข้าไป หล่อนยกมือไหว้เมื่อใกล้ถึง

ปรมัตถ์พยักหน้ารับ เธอกับเขาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวคนนั้นไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล ประมาณระยะพอพูดคุยกันได้ยินชัดเจน

ปรมัตถ์หันมองถิรมน “น้องเลิฟ นี่คุณนันทิดา เลขาคนล่าสุดของพี่ เพิ่งทำงานได้ไม่นานนัก” เขาหันไปทางเลขานุการิณีของตนเอง “คุณนัน นี่ถิรมน...ภรรยาผม”

ถิรมนยกมือรับไหว้หญิงสาวคนดังกล่าว หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย คะเนดูแล้วน่าจะอายุใกล้เคียงกัน

นันทิดาไม่พูดอะไรนอกจากรีบเดินนำไปยังลิฟต์ตัวหนึ่งซึ่งเป็นลิฟต์เฉพาะผู้บริหาร ถิรมนมองปรมัตถ์นิดหนึ่งเมื่อเขาแตะเอวให้เดินไปพร้อมกัน เหมือนว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องปกติเพราะไม่ยอมเอามือลง ไม่มองเธอเมื่อขยับห่างออกมาทว่าเขากลับขยับประชิดติดตามเสียเอง และยังคงเป็นไปเช่นนั้นจนถึงหน้าลิฟต์

นันทิดากดลิฟต์เปิดค้างไว้ให้

“ไปพร้อมกันเลยคุณนัน” เขาบอกเมื่อเลขานุการิณีทำท่ารั้งรอ ไม่ไปพร้อมกัน

ทั้งสามเข้าไปข้างใน

ถิรมนสังเกตเห็นบางอย่าง นันทิดาแทบไม่กล้าสบตาปรมัตถ์ ไม่รู้ว่าปกติเขาเป็นคนดุหรืออย่างไรกันแน่ หล่อนจึงแสดงอาการเช่นนี้ แต่แล้วแวบหนึ่งจึงเห็นว่าเขามองเลขานุการิณีด้วยหางตา การมองเช่นนี้ย่อมมีนัยไม่น้อยทีเดียว

‘หึงเขาละสิ’ อยากตีเข่าเจ้าความคิดนี่นัก เธอจะไปหึงปรมัตถ์ได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยคิดอะไรกับเขาไปมากไปว่าคนที่เคยชอบ หรือชอบ ซึ่งไม่ใช่หึงหวงเพราะรักแน่ๆ เธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอะไรแบบนั้นได้

“พี่สั่งกะเพราไก่ไข่ดาวเอาไว้ ง่ายๆ แค่ให้ท้องอิ่ม ของเธอพี่สั่งไม่เผ็ดมาก กลัวจะทานไม่ไหว” ปรมัตถ์มองถิรมน ยิ้มให้เล็กน้อย

“ขอบคุณค่ะ” ถิรมนยิ้ม แอบดีใจเล็กๆ ที่เขาใส่ใจดูแล ‘โธ่...แล้วแบบนี้จะรอดได้สักเท่าไหร่กัน’ นั่นก็เพราะแค่นี้ใจเธอก็แกว่งเสียแล้ว จะต้องทำใจแข็งสักเท่าไหร่ถึงจะต้านทานไหว

ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งความคิดความรู้สึกถิรมนได้แต่เก็บไว้ในใจ ไม่อาจแสดงอะไรออกไปนอกจากความนิ่งเงียบ เตือนตัวเองบ่อยๆ ว่าระหว่างเธอกับเขายังมีช่องว่างบางอย่างที่ควรเตรียมใจอยู่มาก

ลิฟต์มาถึงชั้นที่ต้องการในเวลารวดเร็ว นันทิดาเดินนำ หล่อนตรงดิ่งไปยังห้องทำงานของปรมัตถ์ และนั่นทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันที เขาเหลือบมองด้านบนซึ่งมีความหมายคือชั้นดาดฟ้า ใบหน้าหล่อเหลาเคยยิ้มน้อยๆ มาตลอดทางกลับบึ้งตึงเมื่อเห็นนันทิดาเปิดประตูห้องทำงานของเขาไว้รอ

ปรมัตถ์หยุดเดิน ถิรมนหยุดตามโดยปริยาย

“ทำไมจัดอาหารไว้ที่ห้องทำงาน” เสียงและสีหน้าของปรมัตถ์จริงจัง รู้ว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน

นันทิดาหน้าซีดทันที หล่อนตอบทั้งหน้าตาเหลอหลา “คุณปรมัตถ์สั่งว่าให้เตรียมอาหารรอ ดิฉันคิดว่า...” นันทิดาไม่กล้าพูดต่อเมื่อเห็นปรมัตถ์ทำท่าจะก้าวแต่ก็หยุดอยู่ที่เดิม ไม่ขยับไปไหน

“ก่อนทำงานคุณไม่เคยศึกษาหรือไงว่าถ้าไม่ใช่กาแฟหรือน้ำดื่ม ห้ามนำอาหารทุกชนิดเข้าไปในห้องทำงานเด็ดขาด โดยเฉพาะห้องของผม หากกินข้าวที่ตึกนี้ก็ต้องจัดไว้ห้องรับรองชั้นดาดฟ้า” มือของเขาที่ชี้ไปยังด้านบนและค้างเอาไว้

ถิรมนเห็นอาการขบกรามจนเป็นสันนูนของปรมัตถ์เพราะอยู่ในระยะใกล้ ในหัวของเธอคิดถึงภาพของชั้นดาดฟ้าทันที บนนั้นมีห้องกระจก จัดแต่งเข้ากับสวนหย่อมที่สวยงาม นันทิดาอาจลืมว่าผู้บริหารของที่นี่ไม่ทานอาหารคาวในห้องทำงานเลยเพื่อป้องกันกลิ่นและป้องกันการเลอะเทอะเมื่อมีแต่พรมหนา

“ดิฉันเพิ่ง... เพิ่งจะจำได้ค่ะ” หล่อนละล่ำละลักตอบ ก้มหน้ายอมรับความผิด

ปรมัตถ์ถอนหายใจยาว

รอบด้านนิ่งเงียบไปหมดเมื่อเห็นกริยานี้ของชายหนุ่ม ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่บึ้งตึง ไม่แสดงความโกรธ แต่กลับมีสีหน้าสงบนิ่ง ถิรมนก็นึกเสียววาบในใจเมื่อเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น

“เชิญที่ฝ่ายบุคคล เดี๋ยวนี้”

สิ่งที่ถิรมนไม่อยากจะคิดแต่ก็เป็นไปเช่นนั้น ตกใจไม่น้อยที่ได้ยินคำพูดของปรมัตถ์ที่เอ่ยอย่างง่ายดาย ตัดสินใจลงโทษพนักงานด้วยเสียงนิ่งขรึมเย็นชา แววตาไร้ความรู้สึก

นันทิดาหน้าซีดหนักกว่าเดิม ทำท่าจะพูดก็พูดไม่ออก จะเดินก็เดินไม่ถูก น้ำตาคลอ ก้มหน้าเงยหน้าเหมือนทำอะไรไม่ถูกเช่นนั้น

ถิรมนอึดอัดและสงสารนันทิดาที่ต้องโดนแบบนี้แต่เช้า “พี่มัตถ์คะ” เรียกเขาทั้งที่กลัวโดนลูกหลงไม่น้อย “เดี๋ยว... เดี๋ยวน้องเลิฟจะช่วยจัดการเปิดหน้าต่างกับย้ายอาหารให้นะคะ เปิดประตูหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่นสักครู่ก็น่าจะหายแล้ว ขอโอกาสคุณนันทิดาสักครั้ง...จะได้ไหมคะ” แอบกัดปากตัวเองนิดหนึ่งเมื่อปรมัตถ์มองมา พยายามสำรวมกิริยาให้มากที่สุด

เหมือนมีคำถามผ่านแววตาของเขาว่าเธอคิดว่าตัวเองสำคัญมากนักหรือ จึงกล้ามาต่อรองหรือแสดงอำนาจต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ ถิรมนจึงต้องก้มหน้าลงอีกราย แทบไม่กล้าพูดอะไรต่อจากนั้น ได้แค่มองนันทิดาที่กำลังกลั้นสะอื้น เช็ดน้ำตา ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

ถิรมนพูดเสียงแผ่วทั้งยังก้มหน้าเอาไว้ “ใครๆ ก็คงเคยผิดพลาดกันบ้าง นี่ก็ไม่ใช่เวลางาน คุณนันทิดาเองถือว่ามาจัดการให้นอกเวลานะคะ” อยากจะตีปากที่เอ่ยออกไป แต่กระนั้นก็จำต้องค่อยๆ เงยหน้ามองชายหนุ่ม น้ำเสียงของเธอนั้นแสดงความขอร้องชัดเจน รู้ดีว่าการเอาตัวเข้าไปสอดเพราะความสงสารมันอาจทำให้โชคร้ายติดตามเลขานุการิณีคนนี้ไปติดๆ ก็เป็นได้ แต่จะให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปโดยไม่ช่วยเหลือก็ดูจะใจดำไม่น้อย

ปรมัตถ์มองถิรมนไม่ละสายตา พูดเสียงนิ่งๆ ว่า... “อายุยี่สิบแปด เป็นเลขาฯ ของผู้บริหารระดับสูง ก็สมควรต้องรู้ข้อมูลเบื้องต้น เรื่องแค่นี้ไม่รู้ วันข้างหน้าจะมีอะไรที่ไม่รู้แล้วทำงานพลาดอีก ทุกนัด ทุกอย่างสำคัญทั้งนั้น จะปล่อยได้ยังไง”

ดีที่ว่าเสียงของเขาไม่ดุเธอไปด้วย ถิรมนพยายามข่มความกลัว “น้องเลิฟเข้าใจค่ะ แต่จะให้โอกาสคุณนันทิดาอีกสักครั้งได้ไหมคะพี่มัตถ์ รีบแก้ไขตอนนี้...อีกนานกว่าจะแปดโมงครึ่ง กว่าจะเปิดแอร์ในตึก กลิ่นก็คงพอหายแล้ว เดี๋ยวน้องเลิฟรีบจัดการให้นะคะ” พูดจบก็เดินออกไปทันที หวังจะทำตามที่บอกเขา แต่ถูกปรมัตถ์รั้งข้อมือเอาไว้

ถิรมนเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกและหันกลับมา บทจะดุ...ปรมัตถ์ก็น่ากลัวเหลือเกิน ส่วนเธอเองอยู่ดีไม่ว่าดีดันเอาตัวเองไปสอดเรื่องเดือดร้อนซ้ำๆ นั่นก็เพราะสิ่งที่ปรมัตถ์บอกถูกต้องอย่างที่สุด เรื่องเพียงเท่านี้คนเป็นเลขานุการหรือเลขานุการิณีไม่ควรพลาดจริงๆ แต่จะใจดำปล่อยให้นันทิดาโดนไล่ออกโดยไม่ให้โอกาสก็เหมือนจะเป็นความผิดในใจไม่น้อย

ปรมัตถ์ถอนหายใจออกมาอย่างไม่ชอบใจนัก แต่ก็พูดกับถิรมนด้วยเสียงอ่อนลง “เธอต้องเข้าใจ พี่ไม่ได้สนใจว่ากลิ่นมันจะอยู่หรือไม่อยู่ จะเกี่ยวกับเวลางานหรือนอกเวลางาน แต่มันเกี่ยวกับความสามารถ ความจำ และทักษะ คนเป็นเลขาฯ แต่รับผิดชอบเรื่องแค่นี้ไม่ได้ แล้วเรื่องใหญ่ๆ จะรับผิดชอบได้มั้ย” ปรมัตถ์สูดลมหายใจเข้าลึก บ่ายหน้าไปมองทางอื่นเมื่อเห็นถิรมนมองมาอย่างขอความสงสาร

ถิรมนเองคิดเพียงว่าหากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับตัวเอง เธอคงใจเสียไม่น้อย การไม่พ้นช่วงทดลองงานและเป็นระยะเวลาสั้นๆ กลับต้องมามีประวัติติดตัวไปในทางลบคงไม่ดีแน่ อีกทั้งเมืองไทยไม่เหมือนเมืองนอก อายุเกินยี่สิบเจ็ดก็เริ่มหางานยากแล้ว อายุเกินสามสิบก็ต้องเริ่มคิดหนัก อายุเกินสามสิบห้าหรือสี่สิบยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องหางานใหม่ หากฝีมือไม่ดีจริงคงยากจะได้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีงานรอ เพียงโอกาสน้อยลงทุกที หากเป็นต่างประเทศก็ว่าไปอย่าง เธอจะไม่ห่วงนันทิดาเลยด้วยซ้ำ เพราะต่อให้หล่อนอายุเจ็ดสิบแต่มีกำลัง จะอย่างไรก็ไม่ตกงานแน่นอนเพราะวัดกันที่ผลของงาน ไม่ได้วัดที่อายุ แต่ที่นี่เมืองไทย ถิรมนจึงไม่อยากเป็นหนึ่งในต้นเหตุให้นันทิดาต้องมีจุดจบเช่นนั้นเมื่อทราบวัฒนธรรมการทำงานของที่นี่ดี

และถึงจะรู้มาบ้างว่าปรมัตถ์ใช้เลขาฯ เปลือง แต่วันนี้ได้เห็นฤทธิ์เดชแล้วก็คงไม่ง่ายที่เขาจะหาเลขาฯ ถูกใจ เอะอะอะไรก็ไล่ออก ไม่ให้โอกาสแก้ตัว ซึ่งหากพลาดมาแล้วก่อนนี้จะไม่ว่าเลย และหากเธอจำไม่ผิด ไม่เกินสองสัปดาห์ก่อนปภาวียังบ่นว่าปรมัตถ์ต้องหาเลขาฯ ใหม่อีกแล้ว และนั่นหมายความว่านันทิดาเพิ่งมาทำงานได้ไม่เกินเวลาที่ได้ยินแน่นอน

และระหว่างที่กำลังคิดอะไรมากมาย ก็ได้ยินปรมัตถ์พูดว่า

“จัดการให้เรียบร้อยในสิบนาที” เขาปล่อยมือของถิรมน เดินไปยังลิฟต์ ลงไปข้างล่างทันที

ถิรมนถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ” นันทิดายกมือขึ้นไหว้ปลกๆ เช็ดน้ำตาป้อยๆ

“รีบเถอะค่ะ” ถิรมนยิ้มและพยักหน้าให้ บอกนันทิดาว่า “ยกของขึ้นไปเลยนะคะ เดี๋ยวเลิฟเปิดหน้าต่างเอง”

เธอเดินผ่านหน้านันทิดาเข้าไปจัดการเปิดหน้าต่างในห้องทั้งหมดทันที โชคดีที่ยังไม่เปิดแอร์ ไม่อย่างนั้นกลิ่นคงคละคลุ้งติดผ้าม่านกับเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ อีกหลายชั่วโมงโดยเฉพาะพรมที่มีความหนาพอสมควร ซึ่งนั่นอาจทำให้ปรมัตถ์อารมณ์เสียอีกหลายเท่าก็เป็นได้

นันทิดารีบลำเลียงอาหารที่อยู่บนโต๊ะทำงานใส่ถาด รีบนำออกจากห้องทันที ถิรมนมองตาม นันทิดาอายุมากกว่าเธอถึงสามปีเชียวหรือ แต่ทำไมถึงไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ควรมีความรับผิดชอบนัก ทั้งที่ได้ตำแหน่งเป็นถึงเลขานุการิณีส่วนตัวผู้บริหารระดับสูงแท้ๆ แต่หล่อนก็ยังดูเหมือนเด็กที่รับผิดชอบอะไรไม่เป็น

ถิรมนถอนหายใจออกมา มองรอบตัว หวังว่ากลิ่นจะหมดเร็วพลัน รีบเดินออกมาเปิดประตูห้องทำงาน เดินไปเปิดหน้าต่างตรงทางเดิน หวังให้ลมช่วยพัดกลิ่นที่มีให้หมดไปโดยเร็วที่สุด อย่างน้อยหลังจากปรมัตถ์ทานข้าวเสร็จก็ขอให้เหลือกลิ่นเจือจาง มิฉะนั้นเธออาจโดนคาดโทษไปอีกราย

มองโดยรอบและสำรวจอย่างพอใจถิรมนจึงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นดาดฟ้าทันที ห้องรับรองเรือนกระจกที่ปรากฏท่ามกลางสวนหย่อมสวยงามไม่น้อย เข้ากับสวนลอยฟ้าที่เห็น ไม่รอช้าที่จะเร่งตรวจสอบความเรียบร้อย จัดตำแหน่งจานกับแก้วน้ำให้ดูสวยงาม เพราะท่าทางปรมัตถ์เป็นคนเจ้าระเบียบไม่น้อยเชียวล่ะ

ถิรมนก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ

“ลงไปได้แล้วคุณนัน” เสียงทุ้มของปรมัตถ์ดังมาจากด้านหลัง เขามาตรงเวลาพอดีไม่ขาดไม่เกิน

ถิรมนหันกลับไปมอง ทว่าปะทะร่างกายสูงใหญ่ที่เข้ามาในระยะประชิดแบบไม่รู้ตัว

“พี่มัตถ์คะ!” ตกใจไม่น้อยเมื่อปรมัตถ์สวมกอดเธอเอาไว้ ขยับมาอยู่ตรงหน้าเธอโดยไม่ยอมปล่อยมือ ก้มหน้าลงมาหา

“เรายังไม่ได้จูบอรุณสวัสดิ์กันเลย”

ถิรมนเอนตัวไปด้านหลัง หลบใบหน้าหล่อเหลาที่โน้มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “ทานข้าวเถอะ เย็นหมดแล้ว” พูดไป สายตาก็แอบมองไปยังประตูแวบหนึ่ง โล่งอกที่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นให้เห็นภาพหวานๆ เช่นนี้

“มันเย็นตั้งแต่ก่อนเรามาถึงอีก ปล่อยให้เย็นอีกนิดรสชาติก็ไม่เปลี่ยนหรอก แต่ไม่ได้จูบนี่สิ ต้องมีอะไรเปลี่ยนแน่ๆ” เขายิ้มน้อยๆ สีหน้ายียวนออดอ้อน

“ถ้าอย่างนั้นเอาไปอุ่นมั้ยคะ จะได้ร้อนๆ”

“ไม่เอา ขอจูบอุ่นๆ ได้ไหม เวลางามๆ ของพี่มีน้อย” เสียงนั้นพร่าพรายชวนใจสั่นนัก

ฟังอย่างไรก็สัมผัสได้ถึงความเย้ายวนที่ส่งมา ปรมัตถ์โน้มใบหน้าลงมาหา ประคองแผ่นหลังของเธอเอาไว้ไม่ให้หนี การแนบแนบชิดนี้ทำให้ถิรมนใจสั่นอย่างจริงจังเลยทีเดียว

“จูบเดียว... แล้วจะไม่ตอแยอีกในวันนี้”

สีหน้าแววตาที่เห็นในระยะใกล้ชนิดลมหายใจสัมผัสยิ่งทำให้เธอใจเต้นมากกว่าเดิมมากมาย แม้สีหน้าของเขาจะดูเจ้าเล่ห์เกินบรรยาย แต่กลับน่ามองไม่น้อยเมื่ออยู่ภายใต้กริยาที่ปรมัตถ์แสดงออกมา

“นี่เขาเรียกว่าหมาหยอกไก่ใช่ไหมคะ”

ปรมัตถ์ขมวดคิ้วทันที หรี่ตามองถิรมน และในจังหวะที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว เขาก็ก้มลงจุ๊บปากเธอเบาๆ หนึ่งที จากนั้นจึงยืนตรง พาถิรมนให้ยืนตรงไปด้วยเพราะเขายังกอดอยู่อย่างแนบชิด

หญิงสาวแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่มีอะไรวาบหวามไปมากกว่านี้ แต่...

“ใครสอน รู้ความหมายหรือเปล่า”

เจอคำถามนี้เข้าถิรมนก็แทบพูดไม่เป็น มือหนึ่งของเธอจับแขนของปรมัตถ์ ค่อยๆ แงะแต่ก็แกะไม่ออกอยู่ดี ถอยหนีก็ไม่ได้เพราะเขาขยับตาม จึงต้องยิ้มให้นิดๆ หวังเอาใจ จะอย่างไรการพาตัวเองรอดจากเหตุการณ์นี้อย่างบอบช้ำน้อยที่สุดคือสิ่งที่ควรทำ เพราะปรมัตถ์คงไม่อยากถูกปฏิเสธหรือถูกขัดใจเร็วๆ นี้แน่หลังจากอารมณ์เสียเรื่องเลขาฯ จึงพูดด้วยเสียงเอาใจนิดหนึ่งว่า...

“ได้ยินอารองพูดบ่อยๆ ค่ะ ว่าผู้ชายส่วนมากชอบเป็นหมาหยอกไก่”

“เธอหมายถึงพี่เป็นไก่ใช่มั้ย”

มุกตีหน้าตายและย้อนถามเหมือนไม่รู้เรื่องทำให้ถิรมนอึ้ง จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก ทำไมเขาถึงตีหน้าซื่อได้น่าเกลียดน่าชังปานนี้นะ ต้องคิดหนักกับคำตอบที่จะเอ่ยออกไป อยากหัวเราะกับคำพูดนี้นักแต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ เกรงว่าอาจกลายเป็นการหยอกกลับที่ดูไม่งาม อาจถูกมองว่าไม่มีสัมมาคารวะเสียอีก จึงตอบแบบระมัดระวังกิริยา และตรงประเด็นที่สุด “เราเองก็โตๆ กันแล้วนะคะพี่มัตถ์ เลิฟแค่จะบอกว่าเลิฟไม่ชอบความสัมพันธ์ฉาบฉวยค่ะ”

ปรมัตถ์ยักไหล่เล็กน้อย สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่แคร์ “ไม่รู้สิ... ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าเราสองคนจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่พี่ขอจูบหนึ่งที”

ถิรมนหวีดเบาๆ และเอนหลบแทบไม่ทันเมื่อปรมัตถ์จู่โจม



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.ค. 2557, 18:25:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2557, 18:51:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1678





<< บทที่ 6 (น้ำจิ้ม)   บทที่ 6 (2/2) >>
สุชาคริยา 29 ก.ค. 2557, 19:00:27 น.

ตอบเม้นท์จากบทที่ 5 (3/3) >>

คุณ Furzan = ดีใจที่ชอบจ้า

คุณใบบัวน่ารัก = เรื่องคืนนั้นในคลับจะมีฉากเฉลยอยู่จ้า แต่คงจะเป็นฉากความหลังที่เลิฟหรือมัตถ์คิดถึงกันและกันนะคะ

คุณ mhengjhy = ดีใจที่ชอบฉากนี้จ้า ^^

คุณแว่นใส = หวานนนน จะได้ชื่นใจมากๆ จ้า ^^

คุณ Pim Pimkarn Klongsangsorn = ดีใจที่พี่มัตถ์น่ารักเวอร์จ้าาา ^^


-------------------------------------------------------------------------------


ตอบเม้นท์จากบทที่ 6 (น้ำจิ้ม) >>

คุณแว่นใส = ตอนนี้น่าอิจฉา แล้วตอนล่าสุด (บทที่ 6 [1/2]) พอน่าอิจฉากว่ามั้ยคะ ดีใจที่ชอบจ้า

คุณคิมหันตุ์ = ดีใจที่แม้จะมานิดหน่อยแต่ก็ทำให้ฟินได้จ้า

คุณใบบัวน่ารัก = อิอิ จุ๊บมอร์นิ่งมาฉากนี้แล้วเน้ออออ



ใบบัวน่ารัก 29 ก.ค. 2557, 19:50:29 น.
นั้นนะสินะ เลิฟ ทำให้เราคิดได้ ถ้าอายุเยอะ การเปลี่ยนงานมันก็ยาก
เลิฟนะนำ การหางานใหม่ให้ได้ไหม อยากเปลี่ยนงานมาก
พี่มัตดุจัง เค้ากลัวนะ โหมดดุเนี่ย เลิฟสู้ๆ กระเพราไก่ไข่ดาว น่ากินพี่มัต เอ้อ ข้าวจัง><


konhin 29 ก.ค. 2557, 20:13:24 น.
จะน่ารักไปถึงไหนเนี่ย


แว่นใส 29 ก.ค. 2557, 21:11:51 น.
ตอนนี้เป็นสามีภรรยากันอยู่ไม่ใช่เหรอ จะหวานก็ไม่มีใครว่าหรอก


คิมหันตุ์ 30 ก.ค. 2557, 12:21:19 น.
เฮ่ยยยยยยพี่มัตนี่ ร้ายอ่ะ ชอบๆปากว่ามือถึงจริงๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 30 ก.ค. 2557, 22:31:38 น.
แหม่ พี่มัตถ์ดุ๊ดุ ขนาดนี้ น้องเลิฟไม่ต้องหึงแล้วนะคะ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account