ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 6 (2/2)




แปะแล้วไปทำงานต่อก่อนจ้า รักนะ จุ๊บๆ

ทางสะดวกแล้วจะมาตอบเม้นท์จ้าาา


-----------------------------------------------------------------------



“ไม่รู้สิ... ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าเราสองคนจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่พี่ขอจูบหนึ่งที”

ถิรมนหวีดเบาๆ เอนหลบแทบไม่ทันเมื่อปรมัตถ์จู่โจมลงมา

“มัตถ์! หยุดเดี๋ยวนี้” เสียงดังเฉียบขาดจากด้านหลังช่วยหยุดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ชนิดฉิวเฉียด

ถิรมนใจเต้นโครมคราม ใจเต้นแรงมากกว่าเดิมเพราะเสียงนั้นเป็นของปภาวี ปรมัตถ์ยืนตรงทันทีทันใด แต่ก็ยังใจดีช่วยประคองเธอเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ล้มหรือซวนเซ

ปภาวีเดินฉับๆ เข้ามา ปรมัตถ์ปล่อยถิรมนให้เป็นอิสระเมื่อปภาวีมายืนอยู่ตรงหน้าของเขา หล่อนมองน้องชายตาไม่กะพริบ

“แน่ใจใช่มั้ย” ปภาวีถาม ความไม่พอใจนั้นแสดงออกทั้งท่าทางและน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง

ปรมัตถ์จ้องตาปภาวีแบบไม่ยอมแพ้ ความเงียบสงัดจึงบังเกิดในทันใด เสียงนกร้อง เสียงใบไม้พัดปลิว และเสียงลมพัดหวีดหวิวก่อนนี้ที่ไม่รู้ว่าอยู่ไปไหนกลับดังชัดและแทบได้ยินเสียงลมหายใจของแต่ละคนในวินาทีนี้

ถิรมนไม่รู้ว่าภายใต้คำพูด ท่าทาง และสายตาของทั้งคู่คืออะไร รู้แน่ชัดอย่างหนึ่งคือความจริงจังเคร่งเครียดที่ทั้งสองระเบิดใส่กันจากเรื่องของเธอ

“ผมจำกติกาของเราได้ พี่ไม่จำเป็นต้องย้ำ”

“ไปคิดทบทวนให้ดี” ปภาวีบอกเสียงเรียบ เดินเข้ามาหาถิรมน และส่งยิ้มให้

เห็นตัวเล็กๆ ความสูงไม่ถึงไหล่ของปรมัตถ์แต่กลับมีอำนาจควบคุมน้องชายอยู่หมัดโดยอีกฝ่ายไม่ขัดขืนโต้ตอบ ปภาวีจับข้อมือถิรมนให้เดินไปด้วยกัน

ถิรมนนั่งข้างๆ ปภาวีเมื่อถึงโต๊ะอาหาร มองหล่อนหยิบช้อนกับส้อมจากจานหนึ่งไว้ในมือ ถือค้างไว้ขณะมองไปยังปรมัตถ์

“ของมัตถ์ใช่มั้ย” และรอคำตอบ

“ครับ”

ได้ยินคำนั้นหล่อนก็ตักข้าวในจานนั้นใส่ปากทันที เคี้ยวทั้งยังมองหน้าน้องชาย อวัจนภาษาที่ถิรมนได้เห็นคือปภาวีกำลังบอกปรมัตถ์ว่าหากหล่อนไม่อนุญาตให้ปรมัตถ์ได้กิน เขาก็จะไม่มีทางได้กิน หรืออีกนัยหนึ่งคือหากปภาวีไม่อนุญาตเรื่องใด ปรมัตถ์ก็ไม่อาจขัดขืนหรือทำอะไรอย่างใจคิดแน่นอน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเรื่องของเธอ

ปภาวีแสดงชัดว่าอำนาจการต่อรองนั้นเป็นของหล่อน ใบหน้าสวยตามวัยยังคงความนิ่งสงบ

ถิรมนเริ่มเห็นถึงบางอย่างในตัวผู้อุปการะเป็นครั้งแรก ตลอดมาปภาวีคืออาสาวที่สวย น่ารัก ใจดี มีเมตตาต่อเธอเสมอ แต่เหตุการณ์วันนี้แปลกไปเกินกว่าจะคาดถึง

ปรมัตถ์ยิ้มและไหวไหล่เล็กน้อยเป็นความหมายว่าเอาแบบนั้นก็ได้ เขาเดินมานั่งบนเก้าอี้ที่ติดกับปภาวี เป็นฝั่งตรงข้ามกับถิรมน

“กะเพราไก่ไข่ดาวอีกจาน ขอด่วน” ปรมัตถ์พูดไม่ทันขาดคำ อาหารตามสั่งชนิดที่ว่าก็พร้อมเสิร์ฟในในมือของนันทิดา โดยมีสุธากำกับอยู่ด้านหลังอีกทีหนึ่ง

ถิรมนได้แต่กะพริบตาปริบๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น ‘บ้านนี้เขาทำอะไรกัน’

“น้องเลิฟ ทานข้าว” เสียงเรียบเรื่อยของปภาวีเรียกถิรมนให้กลับมา

หญิงสาวตั้งสติ ก้มหน้ามองจานข้าวของตนเอง แวบหนึ่งนั้นปรมัตถ์ส่งยิ้มให้เธอ ขยิบตาและเอ่ยโดยไม่ออกเสียงว่า “ไม่ต้องห่วง” และรับจานอาหารจากนันทิดามาวางไว้ตรงหน้าตนเองโดยไม่รอให้ใครทำให้

ถิรมนคอยสังเกตไปด้วย แม้ปรมัตถ์แสดงออกเหมือนไม่มีอะไร ดูสบายๆ หรือยิ้มให้เธอในบางครั้ง แต่ก็มีบางอย่างผิดปกติอยู่ดี เธอเห็นที่ขมับของเขาเหมือนมีอาการปูดโปน ราวกับคนขบกรามจนเป็นสันนูนแต่อาศัยการเคี้ยวข้าวอำพราง ปภาวีก็เช่นกัน หล่อนทานอาหารโดยไม่พูดอะไร แต่กระนั้นสายตาบางอย่างบอกให้รู้ว่าอย่าเกินขอบเขตที่ตกลงกันประหนึ่งจงอางหวงไข่ก็มิปาน

ถิรมนได้แต่ทานข้าวไปเงียบๆ ท่ามกลางปฏิกิริยาเช่นนั้นของคนทั้งสอง รู้สึกเกร็งกับสถานการณ์ในตอนนี้

ใจหนึ่งก็เกิดคำถาม... ปภาวีรังเกียจเธออย่างนั้นหรือ จึงไม่อยากให้ปรมัตถ์ยุ่งเกี่ยว

ความน้อยใจลึกๆ เริ่มปรากฏให้ถิรมนรู้สึก ความวามคิดบางอย่างโผล่ขึ้นมา ‘เธอรู้ตัวดีว่าไม่อาจเทียบชั้นทั้งสองคน’ แต่ก็พยายามลบมันออกไป ไม่มีความจำเป็นต้องน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อนี่คือความจริง เธอเป็นเพียงเด็กที่ปภาวีให้การสนับสนุนเลี้ยงดู จึงควรหวังอะไรมากไปกว่าการตอบแทนผู้มีพระคุณโดยไม่ล้ำเส้นเช่นกัน

ถิรมนยิ้มเยาะตัวเองในใจ บังอาจคิดชอบปรมัตถ์ได้อย่างไรกันนะ จึงบอกย้ำตัวเองว่าเธอเป็นเพียงหนึ่งในหมากบนกระดาน จำไว้ว่านับจากนี้ต้องระมัดระวังเรื่องการวางตัว ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับใคร จะได้ผ่อนแรงปะทะซึ่งอาจเกิดขึ้นอีกบ่อยครั้งในวันข้างหน้าเมื่อเริ่มงานที่เคยตกลงกันกับปภาวี

และบางที... คำสั่งบางอย่างที่จะเดินเกมของผู้อุปถัมภ์คงมาถึงเร็วๆ นี้ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งเป็นแน่แท้

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ลางสังหรณ์ของถิรมนช่างแม่นยำ เพราะหลังจากการทานอาหารเช้ามื้อพลิกผันได้จบลง ปภาวีก็เรียกเธอเข้าพบทันใด

“มัตถ์ทำอะไรน้องเลิฟหรือเปล่า”

“...” ถิรมนคิดนิดหนึ่งและตอบไปว่า “แทะเล็มบ้าง แต่มากกว่านั้นไม่มีค่ะ” พูดไปก็จับมือตัวเองแน่นไป แผ่นหลังร้อนวาบเป็นครั้งคราวเมื่อปภาวีจ้องมา กลัวไม่น้อยที่จะถูกจับได้ว่าไม่พูดความจริงทั้งหมด แต่เธอก็เลือกคำตอบที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้ผลเสียกระทบใคร เพราะการปฏิเสธไม่ใช่เรื่องฉลาดนัก เห็นกันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไรในตอนเช้า

อดคิดไม่ได้ว่าหากปภาวีทราบเรื่องครั้งนั้นที่นิวยอร์กของเธอกับปรมัตถ์ล่ะ... หล่อนจะมีอาการแบบไหน ซึ่งก็น่ากังวลไม่น้อยกับสภาพเหตุการณ์ที่กำลังเผชิญ

ถิรมนรู้ดีว่าในฐานะเป็นเด็กอุปถัมภ์ของปภาวีย่อมไม่อาจเทียบชั้นลูกสาวผู้ดีหรือชนชั้นสูงของเมืองไทยได้เลย ซึ่งหากเป็นเหตุการณ์ปกติย่อมเป็นไปไม่ได้ที่คนระดับนี้จะเกี่ยวดองกับคนไม่มีญาติ พ่อติดคุกคดีอาญาอย่างเธอ สำคัญกว่านั้นคือเธอไม่อาจต่อยอดธุรกิจให้แก่ครอบครัวของปภาวีได้มากนัก ซึ่งหากเปรียบเทียบกับผลได้จากการเกี่ยวดองกับคนใหญ่คนโตที่จะร่วมสร้างชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง และอื่นๆ แก่ครอบครัวปรมัตถ์ไอศูรย์ ก็มองเห็นชัดเจนว่าเธอไม่เหมาะสมด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้นที่จะยืนเคียงข้างปรมัตถ์ในฐานะภรรยา ทว่าในสถานการณ์ไม่ปกติและมีเรื่องคับขันอย่างที่เห็น เธอกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการถูกนำมาใช้งาน และนั่นจึงทำให้เข้าสู่วังวนนี้อย่างไม่อาจเลี่ยงนั่นเอง

ดูน้ำเน่า... แต่มันก็เป็นชีวิตจริงของเธอที่กำลังเกิดขึ้น

ถิรมนยิ้มเยาะในใจ เตือนตัวเองว่าให้จำขึ้นใจเสมอเรื่องหน้าที่ของตนเอง นั่นก็คือต้องรักษาผลประโยชน์ของครอบครัวนี้ให้ดีที่สุด ระหว่างสัญญาต้องไม่มีเรื่องเสียหายทางชู้สาวหรือเป็นข่าวซุบซิบนินทากับผู้ชายคนไหน ปรมัตถ์เองก็เช่นกัน ส่วนเบื้องหลังใครจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ใจต้องการ ขอแค่อย่าทำอะไรเกินงามให้ถูกครหาเป็นพอ

และหน้าที่สำคัญอีกอย่างของเธอคือจัดการจบเรื่องปรมัตถ์กับผู้หญิงคนนั้นของเขาซึ่งเธอยังไม่เคยเห็นหน้าเห็นตา แต่ถ้าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้ร้างลาในเวลาที่กำหนด เธอย่อมเป็นอิสระเมื่อถึงปีที่สี่ตามตกลงกัน ซึ่งระหว่างนั้นเธอต้องทำตามคำสั่งของปภาวี ดูแลเรื่องการเงินของประมัตถ์ให้เรียบร้อยครบถ้วนเช่นเดิม หรือมีมากกว่าก็ไม่ว่า แต่ต้องไม่ติดลบ

ส่วนสิ่งตอบแทนที่เธอจะได้... อย่างหนึ่งนั้นได้รับมาแล้วคือเรื่องถิรคุณ อีกหนึ่งคือเงินจำนวนที่มากพอจะต่อชีวิตของเธอกับบิดาเมื่อสัญญาจบสิ้นและได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ทุกอย่างนับจากนี้จะถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณและจบลงพร้อมสัญญานี้

ถิรมนมองปภาวีหยิบของบางอย่างในลิ้นชักมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน เป็นซองสีน้ำตาลขนาดใส่กระดาษปกติ ปภาวีเลื่อนมาไว้ตรงหน้าเธอ

“นี่คือประวัติของอินทุภา ลูกสาวเสี่ยโกมุทที่ติดพันกับมัตถ์” ปภาวีบอก

ถิรมนรับมา

“เปิดดูสิ” สีหน้าและน้ำเสียงของปภาวีบ่งบอกความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าไม่น้อย

ถิรมนล้วงมือเข้าหยิบของที่อยู่ด้านใน เป็นภาพถ่ายกับประวัติส่วนตัวของหญิงสาวคนหนึ่งพร้อมบิดา หน้าตาหล่อนสะสวย แต่งหน้าจัดจ้าน รูปร่างสะโอดสะอง ชุดแส็กส์สีแดงเพลิงรัดรูปยิ่งทำให้เจ้าหล่อนมีความสวยเซ็กซี่ชนิดบาดใจ ความเย้ายวนที่เห็นนั้นสามารถส่งผ่านมาถึงรูปถ่ายในมือก็นับว่าเป็นคนสวยที่หาตัวจับยากทีเดียว

ปรมัตถ์ตาถึงจริงๆ และนั่นทำให้ถิรมนแอบถอนหายใจออกมา หนักอึ้งในใจอย่างบอกไม่ถูก คิดไม่ตกที่จะต้องไปสู้รบปรบมือกับผู้หญิงสวยมากขนาดนี้ได้อย่างไร แถมดีกรีคือคนรักของปรมัตถ์ ประวัติคร่าวๆ ที่เห็นก็มีพ่อเป็นถึงนักธุรกิจที่ดินรายใหญ่ อาการท้อตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเปรียบไม่ได้กับความรู้สึกผิดที่ต้องทำให้คนรักเลิกร้างกัน ส่วนเหตุการณ์ที่ผ่านมาระหว่างเธอกับปรมัตถ์ไม่ว่าจะเป็นในคลับ หรือคืนนั้นที่โรงแรม หรือเมื่อวาน หรือเช้าวันนี้ เธอก็คงเป็นไก่ให้เขาหยอกจริงๆ

บอกไม่ถูกว่าทำไมหัวใจจึงปวดแปลบขึ้นมา

‘ผู้ชายไทยส่วนมากมันก็หมาหยอกไก่ทั้งนั้น ไอ้ที่ดีมันก็มี แต่ว่าหาได้น้อย’ คำพูดหนึ่งของวิรงรองผุดขึ้นในหัว

ตอนนั้นเธออายุประมาณสิบเอ็ดหรือสิบสองปีแต่ที่จำได้แม่นยำเพราะขำกับหมาๆ คนๆ ไก่ๆ และท่าทางของวิรงรองตอนบอกเล่าที่ออกรสออกชาติสุดๆ และเธอยังถามไปว่า...

‘ผู้ชายเป็นคน แล้วเกี่ยวอะไรกับหมา กับไก่คะอารอง’ เพราะไม่เข้าใจความหมายจริงๆ

วิรงรองอธิบายอย่างเอ็นดู ‘หมาหยอกไก่ ก็คือ...’ หล่อนทำท่าคิด ‘ที่บ้านเรา...เมืองไทยน่ะ ก็เลี้ยงหมา...เลี้ยงไก่ไปด้วยกัน แล้วหมาเนี่ย... มันก็ทำเป็นทีเป็นเล่นกับไก่มั่ง ดูมั่ง แลไม่มีพิษภัย เจ้าของเขาเลี้ยงแบบปล่อยให้มันอยู่ด้วยกัน นึกว่าหมามันน่ารัก ช่วยดูแล เลยไม่สังเกต แต่พอเผลอ หมามันก็กินไก่ละสิทีนี้

‘เขาเลยเปรียบพวกผู้ชายที่หยอกผู้หญิงไปเรื่อย หากผู้หญิงเผลอตัวเผลอใจ แล้วไปเจอผู้ชายประเภทนี้ ไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจ ตกหลุมมันแล้วพอมันเบื่อก็ไปหาผู้หญิงใหม่เรื่อยๆ ไอ้ผู้หญิงก็เหมือนตายทั้งเป็น ผู้หญิงก็เลยเหมือนไก่ที่ไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของหมาเพราะดันไปนึกว่ามันหยอกเล่น แต่ที่ไหนได้ดันโดนกินซะอย่างนั้น กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว’ วิรงรองยิ้ม หัวเราะเล็กน้อยและส่ายหน้าเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้

‘โหดร้ายจังเลยค่ะ’

‘ความจริงมันโหดร้ายทั้งนั้นแหละน้องเลิฟ แต่ก็อยู่ที่เราจะเก็บมันมาคิดให้ทำร้ายตัวเองกี่มากน้อยต่อจากนั้นต่างหาก’

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถิรมนจึงจำได้ขึ้นใจ แม้ไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็พอเห็นภาพ จากนั้นไม่นานจึงได้รู้ว่าแท้จริงวิรงรองมีประวัติกับผู้ชายเจ้าชู้ ถูกหลอกให้รัก ให้เสียตัว เสียเงิน ช้ำใจ แต่สุดท้ายวิรงรองก็ได้พบชาร์ลี และใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันในที่สุด

ทว่าทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นกลับไม่แจ่มชัดเท่าวินาทีนี้เลย เธอเพิ่งกระจ่างแจ้งแก่ใจ อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ เธอนี่มันโง่จริงๆ ที่ไปหลงคารมปรมัตถ์ แม้แต่ผู้หญิงสวยมากขนาดนั้นยังเลือกเขา นั่นก็ย่อมแสดงว่าปรมัตถ์ต้องมีดีหรือมีอะไรสักอย่างที่มัดใจหล่อนได้ และคงไม่ธรรมดาเป็นแน่

‘ทำหัวใจตัวเองแข็งเข้าไว้... จะได้ไม่เจ็บช้ำเกินเยียวยาก่อนจะจบสัญญานี้’ แม้จะบอกตัวเองเช่นนั้น แต่หัวใจก็ปวดหนึบขึ้นมาอีกระลอก

“อาสงสัยพฤติกรรมบางอย่างของมัตถ์” เสียงของปภาวีเรียกถิรมนออกจากภวังค์ “บริษัทลูกที่มัตถ์ดูแล อาอยากให้น้องเลิฟเข้าไปดูและส่งข้อมูลตัวเลขมาให้อาหน่อย รวมถึงพฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้กับเสี่ยโกมุท อาอยากรู้ว่าสามคนนี้เขาทำอะไรกัน อาไม่มีหลักฐานอะไร แต่ลางสังหรณ์ของอามันบอกแรงมากว่าคงเป็นเรื่องไม่ดี...มากกว่าดีแน่ๆ” ปภาวีมองถิรมนอย่างจริงจัง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวพยักหน้าเข้าใจหล่อนจึงหลับตาลง เอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง มือนวดขมับไปพลาง

“อามุกพักก่อนไหมคะ เดี๋ยวน้องเลิฟจะอ่านเอกสารพวกนี้ ส่วนงานที่ให้ศึกษาไว้น้องเลิฟจะสรุปให้อามุกฟังอีกที ตอนบ่ายหรือเย็นก็ได้แล้วแต่อามุกสะดวกค่ะ อามุกจะได้ตรวจสอบว่าน้องเลิฟดูงานไปถึงไหนแล้ว และพอวันจันทร์”

“ขอบใจน้องเลิฟมาก” ปภาวีพูดแทรก

ถิรมนหยุดพูดเพียงเท่านั้นและรอ

ปภาวีลืมตาขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าลึก มองถิรมนอย่างเอ็นดู ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ขยับนั่งหลังตรง “น้องเลิฟไม่ต้องลงไปทำงานที่แผนกแล้วนะ อาจะให้น้องเลิฟติดตามมัตถ์แทน ช่วยดูแลสอดส่องให้อาหน่อย มัตถ์เองส่วนมากจะอยู่ห้องทำงานที่ตึกนู้น ส่วนตึกนี้แค่เข้ามาเซ็นเอกสารหรือเคลียร์งานสัปดาห์ละสามหรือสี่ครั้งแล้วแต่ว่ามีอะไรมากน้อย แต่ที่ตึกช่างน่ะเขาอยู่ประจำ...ก็ช่วงสองปีหลังตั้งแต่แยกไปเปิดบริษัทส่วนตัวนี่แหละ งานของบริษัทมัตถ์ทั้งหมดก็อยู่ที่นั่น ส่วนงานที่นี่คืองานของบริษัทแม่” ปภาวีหันไปมองนอกหน้าต่าง

ถิรมนตั้งใจฟัง ทว่าในใจนั้นสับสนและปวดแปลบขึ้นมา ยากจะบอกความรู้สึกว่าเป็นอย่างไร ไม่รู้จะทำตัวแบบไหนเมื่อต้องทำงานกับปรมัตถ์ตามที่ได้ยิน แม้ว่าสิ่งที่ปภาวีบอกเธอจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าจำเป็น

“เอาเป็นว่าน้องเลิฟคงต้องไปๆ มาๆ ระหว่างตึกสำนักงานใหญ่กับตึกช่างนะ ควบงานสองทางคือทางนี้กับทางบริษัทของมัตถ์เพื่อไม่ให้มีอะไรผิดปกติ ถือว่าได้ศึกษางานไปในตัว แต่งานของมัตถ์อาจต้องออกต่างจังหวัดบ่อยๆ น้องเลิฟเองต้องติดตามไปบ้างในบางครั้ง อ้อ...ถ้ามีงานการกุศลก็ต้องเตรียมตัวออกงานคู่ด้วย ลูกค้าและว่าที่ลูกค้าของเราก็อยู่ในนั้น น้องเลิฟไปศึกษาดูว่าเขาทำอะไร อย่างไร

“อารู้ว่าอาเห็นแก่ตัวที่ทำแบบนี้ ที่รู้เรื่องแต่ยังส่งน้องเลิฟไปทำงานกับมัตถ์ แต่อาจำเป็น อาไม่รู้จะไปพึ่งใครจริงๆ ขอโทษด้วยที่มัตถ์รุ่มร่าม อาสัญญาว่าอาจะพยายามดูแลไม่ให้มัตถ์วุ่นวายกับน้องเลิฟอีก แต่ยังไงน้องเลิฟก็ระวังตัวเองไว้ด้วยนะลูก” หล่อนเงียบเมื่อเห็นถิรมนมองมานิ่งๆ จึงเอ่ยว่า...

“น้องเลิฟอย่าคิดมากที่อาพูดแบบนี้ หากมีคนทำงานให้อาได้...อาจะส่งไป แต่นี่ไม่มีใครจริงๆ น้องเลิฟก็เหมือนลูกสาวอา ยังไงอาก็รัก ไม่อยากให้เสียหายกับเรื่องแบบนั้น ถึงมัตถ์จะเป็นน้องอาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาทำเล่นๆ กับน้องเลิฟได้ถ้าไม่คิดจริงจัง หากไม่พร้อมต้องไม่ทำ อาไม่ว่าหากจะชอบพอกันจริงๆ แต่นั่นคือมัตถ์ต้องให้เกียรติน้องเลิฟ หยุดเรื่องผู้หญิงทั้งหมดที่มี จะว่าอาหัวเก่าเหมือนพี่รองว่าก็ได้ แต่อาไม่ชอบเรื่องคู่นอนที่พร้อมนอนกับใครไปทั่วแค่เอาสนุก มันไม่เป็นสุภาพบุรุษ น้องเลิฟเข้าใจอาใช่ไหม” ปภาวีมองถิรมน

ทว่าคำพูดนี้ทำเอาแผนหลังถิรมนร้อนวาบ ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม ได้แต่พยักหน้ารับและเอ่ย “ค่ะ” กับยิ้มให้ ไม่รู้ว่าปภาวีจะเห็นความหนักใจของเธอหรือเปล่า แต่ก็พยายามแสดงสีหน้าออกไปให้เป็นปกติที่สุด

“น้องเลิฟไปทำงานเถอะ อาจะนอนพักสักงีบ เหนื่อยจริงๆ เย็นนี้รออานะลูก คงค่ำๆ สั่งสุธาไว้แล้วเรื่องอาหารเย็น เจอกันที่เรือนกระจก”

“ค่ะอามุก” ถิรมนรับคำ ลุกขึ้น เดินจากมา รู้สึกสับสนและไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป มึนไปหมดเมื่อได้ยินข้อความและคำสั่งจากปภาวี

ใจหนึ่งก็นึกเป็นห่วงผู้อุปถัมภ์ ไม่รู้ว่าปภาวีเดินทางไปถึงจังหวัดไหน มีงานด่วนอะไร แต่ดูจากสภาพที่ต้องนอนพักทันทีคงเหนื่อยไม่น้อยทีเดียว แถมกลับมายังเจอเรื่องเมื่อครู่อีก ดีหน่อยที่ว่าภายในห้องผู้บริหารมีห้องนอนลับประจำอยู่ จึงไม่ลำบากต้องลงไปนอนที่ห้องพยาบาล

ถิรมนกลับมาถึงห้องทำงานของตนเอง ยังไม่ทันได้นั่ง ประตูห้องก็ถูกเคาะ

“เชิญค่ะ”

เป็นสุธาที่เปิดเข้ามา หล่อนยิ้มให้ เดินมาอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงานของถิรมน “คุณมุกห่วงคุณเลิฟมากนะคะ”

“ค่ะพี่” ถิรมนยิ้มให้สุธาอย่างขอบคุณ “อามุกไปทำงานที่ไหนคะพี่ธา ดูเหนื่อยมากเลย” พูดไปก็วางซองในมือลงบนโต๊ะ นั่งลง มองคู่สนทนาที่นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเช่นกัน

“ดูที่ค่ะ เจ้านี้ด่วนจริงๆ เป็นงานประเภทต้องลงทุนซื้อสินทรัพย์มาเก็บเอาไว้ เลยให้คนอื่นตัดสินใจไม่ได้ แต่ช้าก็จะเสียโอกาสอีก”

“เรียบร้อยไหมคะพี่ธา” ถิรมนยิ้ม ให้ความสนใจ

“เรียบร้อยค่ะ ที่พี่เข้ามาหาคุณเลิฟเพราะอยากบอกคุณเลิฟว่าคุณมุกห่วงคุณเลิฟจริงๆ นะคะ พอคุณมุกได้โทรศัพท์จากป้าเสี้ยวเรื่องคุณมัตถ์กลับบ้านตอนดึกทั้งที่ก่อนนี้ไม่เคยกลับไปเลย คุณมุกก็ตีรถกลับเองทันที ไม่ได้ค้างอย่างตั้งใจไว้ตอนแรกค่ะ”

ถิรมนอบอุ่นในใจไม่น้อยที่ได้ยิน อย่างน้อยภายใต้กริยาของปภาวีตอนเจอกับปรมัตถ์บนดาดฟ้าก็เป็นไปตามที่เจ้าตัวได้อธิบาย ไม่ใช่เพราะรังเกียจเดียดฉันท์อย่างที่เสี้ยวหนึ่งของความคิดโผล่ขึ้นมา

สุธามองถิรมนตรงๆ “คุณเลิฟ... คุณมุกค่อนข้างถือเรื่องชายหญิง ไม่ฟรีเหมือนคนสมัยนี้ เลยห่วงคุณเลิฟมากเพราะรู้นิสัยคุณมัตถ์ดี เรื่องชอบพอกันคุณมุกไม่ว่าอะไร แต่ก็อยากให้เป็นไปในแบบที่ถูกต้องมากกว่าจะให้คุณเลิฟเสียหายค่ะ” สุธาอธิบาย

ถิรมนยิ้มให้แต่ในใจก็แปลบปลาบกับบางเรื่องที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน รู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูกเพราะเธอกับปรมัตถ์เป็นอะไรมากกว่าที่ปภาวีคิดเสียแล้ว แต่ก็พูดไปว่า “ขอบคุณพี่ธามากๆ เลยค่ะ ขอบคุณจริงๆ”

สุธายิ้มและพยักหน้าให้ “พี่ต้องไปเคลียร์งานให้คุณมุกก่อน คุณเลิฟมีอะไรเรียกพี่ได้เลยนะคะ ส่วนเอกสารในซองนี่” หล่อนมองซองสีน้ำตาลที่มีรูปและประวัติอินทุภากับบิดาอยู่ในนั้น “ดูให้เรียบร้อย แล้วเอาเข้าเครื่องทำลายเอกสารทันทีนะคะ”

ถิรมนพยักหน้ารับรู้ ยิ้มให้อีกฝ่าย “ค่ะ”

สุธายิ้มตอบ หล่อนลุกขึ้น หมุนตัว เดินจากไป ถิรมนพยายามคิดถึงสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้แต่ก็หัวก็เหมือนจะตีบตัน มีเพียงคำถามว่ากำลังเผชิญกับอะไร จะต้องทำอย่างไร ต้องหนักแน่นมากขนาดไหน จะทำได้สำเร็จหรือไม่ หรือควรทำอย่างไร จะมีใครบ้างไหมที่ช่วยบอกทางสว่างแก่เธอ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -







สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ส.ค. 2557, 21:50:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ส.ค. 2557, 21:58:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1673





<< บทที่ 6 (1/2)   บทที่ 7 (1/3) >>
ใบบัวน่ารัก 3 ส.ค. 2557, 00:44:46 น.
ขัดใจจัง อามุกอะ
เลิฟอยากกินพี่มัตแล้วนะ ชิมนิดเดียวได้ปะคะ
สงสารพี่มัต เส้นเลือดสมองแตก แอนตาซินทอง1 ล้านปะ
ว่าไงหรืออย่างไรดีคะพี่มัต ทะเบียนสมรส มี ทองต้องเป็นของเรา 5555555


คิมหันตุ์ 3 ส.ค. 2557, 01:38:34 น.
เอิ่ม ไม่เคลียเลยแฮะ พี่มัตว่าไงฮัฟฟฟ โดนขัดใจขนาดนี้จะออกตัวว่ายังไงบ้างน้าา


แล่นแต๊ 3 ส.ค. 2557, 01:59:59 น.
พี่มัตถ์วางแผนอะไรไว้เนี่ย แลดูร้ายกาจนะคะ


แว่นใส 3 ส.ค. 2557, 09:11:34 น.
ทำไมต้องระแรงเรื่องบริษัทด้วยนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account