ระบำสายลม
รักแรก...ที่หยั่งลึก สิบปี...แห่งการพลัดพรากและรอคอยอย่างมั่นคง
เป็นความรักความผูกพัน อันท่วมท้นเท่าที่คนๆหนึ่งจะรักได้
เป็นการรอคอยอย่างรวดร้าวและยาวนาน เท่าที่หัวใจดวงหนึ่งจะพึงรับไหว

แม้วันนี้ "กีตาร์" จะกลายเป็นศิลปินนักร้องระดับซูเปอร์สตาร์
และ "พี่คิม" ได้กลายเป็นนายแพทย์คิมหันต์
แม้ว่า...ทุกการกระทำและทุกการตัดสินใจของคนเราจะมีผลกระทบต่อผู้คนแวดล้อม
และถูกบีบให้เลือกระหว่างตัวเองกับคนรอบข้างอยู่ร่ำไปก็ตาม
แม้ว่าจะมีตัวแปรและอุปสรรคมากมายขวางกั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้

เกลียวคลื่นยังม้วนตัวมาจากทะเลจีนใต้อันไกลโพ้น เพื่อเข้ากระทบชายหาดได้
แสงตะวันยังเดินทางตั้ง 93 ล้านไมล์ ผ่านห้วงอวกาศ มาสาดแสงแห่งรุ่งอรุณ
กระแสลมแห่งเวลาสิบปีที่ล่วงผ่าน ก็ยังพัดหวนพาเธอกับเขากลับมาพบกันอีกครั้ง ในค่ำคืนที่ต่างมีความทรงจำร่วมกัน
คู่รักที่เกิดวันเดียวกัน นั่นคือ โชคชะตา
การได้กลับมาพบกัน นั่นคือของขวัญจากพระเจ้า
สิ่งที่เหลือคือ...พรหมลิขิต

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 3

3





สายลมยามรุ่งอรุณ พัดโบกสรรพสำเนียงคล้ายใครกู่ก้องแว่วมา ปลุกให้คุณอรสะดุ้งตื่นตามประสาคนนอนไว โคมไฟที่หรี่ไว้ข้างเตียงนอนถูกขยับเร่งให้สว่างเพื่อดูเวลา

ตีสี่ครึ่ง...ใครหนอยังมัวมาส่งท้ายปีเก่าเอาจนป่านนี้ คงเป็นบ้านหลังถัดไปที่เพิ่งปลูกใหม่หลังกำแพงหินสูงท่วมหัวนั่นกระมัง

ร่างผอมในวัยเจ็ดสิบเศษแต่ยังแข็งแรงยันตัวลุกขึ้นนั่ง ปิดปากหาวไล่ความซึมเซา ไม่คิดจะนอนต่อเพราะวันนี้ตั้งใจจะลงครัวเอง เตรียมอาหารใส่บาตรพระเก้ารูปอย่างเช่นทุกปีที่เป็นวันขึ้นปีใหม่และครบรอบวันเกิดของหลานชาย

คุณอรก้าวออกจากห้องนอนหลังเสร็จธุระ ล้างหน้าแปรงฟันจนสดชื่น แล้วก็นึกขึ้นได้...เสียงแว่วเข้ามาเพราะหน้าต่างห้องนอนตลอดแนวผนังเปิดไว้รับลมแทนการใช้เครื่องปรับอากาศนั่นเอง

บ้านสมัยใหม่แบบนี้ก็สะดวกดีอยู่หรอก หากอย่างไร...คุณอรก็ยังรู้สึกว่าสบายสู้เรือนไม้หลังเก่าไม่ได้ แม้จะย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ร่วมสามปีแล้ว ก็ยังไม่วายคิดถึงบ้านเก่า ซึ่งเป็นมรดกตกทอด ที่บัดนี้เปลี่ยนมือกลายเป็นร้านอาหารขายดิบขายดีย่านใจกลางเมืองไปแล้ว

หลับตาก็ยังเห็นภาพแจ่มจ้า เรือนไม้ใหญ่โต มีห้องหับหลายห้อง ที่ตรงเชิงชายฉลุลายละเอียดยิบ เหมือนผ้าลูกไม้ ตรงไหนจะฉลุและโปร่งได้บ้านนี้ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นพรึงลูกกรงหรืออื่นๆ เพราะถูกสร้างขึ้นมาในสมัยที่คนยังไม่รีบร้อนทำมาหากิน จึงรู้จักความประณีตทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่การอยู่ไปจนถึงการกินการนอน

“คุณย่าอยากขายจริงๆหรือครับ” คิมหันต์เคยย้ำถาม

“เขาให้ราคาดี...อีกอย่างย่าคิดว่า ขายที่นี่ไปซื้อที่ชานเมืองปลูกบ้านกับซื้อตึกเปิดคลินิกให้คิมแล้วก็ยังมีเงินเก็บเหลือไว้ฝากกินดอก ถึงเราดื้อดึงไม่ยอมขายวันนี้ต่อไปเราก็คงอยู่ไม่ไหวอยู่ดี สภาพแวดล้อมมันเปลี่ยนไปหมด กลายเป็นย่านการค้าไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัยอีกแล้ว...ย่าก็แก่ลงทุกวันขี้เกียจสู้รบปรบมือกับใคร”

ยังมีเหตุผลอื่นอีกที่คุณอรไม่ได้พูดออกไป...คิมหันต์จมอยู่กับการรอคอยและความหลังมานานเกินไปแล้ว เด็กคนนั้นคงไม่กลับมาอีก ไม่รู้ว่าพ่อของเธอจะพาระหกระเหินเดินทางไปถึงไหน แม้วันหนึ่งได้พบกันอีก...จะรู้ได้อย่างไรว่าใจคนจะไม่เปลี่ยนแปลง...ถึงเวลาที่คิมหันต์จะต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่และลืมรักแรกในวัยเยาว์เสียที



การเปลี่ยนสถานที่ช่วยคิมหันต์ได้จริงๆ เพราะหลังจากย้ายบ้านและเปิดคลินิกได้ไม่นาน... คุณอรก็ต้องประหลาดใจ เมื่อหลานชายมีนัดทานข้าวนอกบ้านบ่อยจนผิดหูผิดตา

ตลอดหลายเดือนที่คนเป็นย่าลอบสังเกต แม้จะไม่เคยซักถาม และเจ้าตัวยังไม่ยอมปริปากเล่า ก็ดูออกว่า...คิมหันต์เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง กระทั่งคุณอรต้องเป็นฝ่ายเปรยขึ้นเอง...

“แม่หนูที่โทรคุยกันบ่อยๆน่ะ ลูกเต้าใครกันล่ะ”

“อ๋อ...” คิมหันต์ทำเสียงในลำคอ แล้วทำทีเป็นยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อจะได้ไม่ต้องสบตากับคุณย่า “พ่อของม่านแก้วเป็นผู้พิพากษาครับคุณย่า”

“แล้วไปเจอกันที่ไหนยังไง”

“เจอกันที่โรงพยาบาลครับ ม่านแก้วเป็นภูมิแพ้ บางครั้งเค้าไม่ค่อยว่างไปโรงพยาบาล พอรู้ว่าผมเปิดคลินิกช่วงหัวค่ำด้วย เลยเปลี่ยนเป็นมาที่นี่ บ่อยเข้าก็เลยสนิทกัน”

“ที่จริงคิมก็ทำงานการเป็นหลักเป็นฐานแล้ว น่าจะสร้างครอบครัวเสียทีนะ”

คุณอรเปรยขึ้นด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

“ผมคิดว่าน่าจะรออีกหน่อย ยังไม่แน่นอนอะไร อีกอย่างม่านแก้วก็กำลังเรียนปริญญาโทอยู่ กว่าจะจบก็อีกปีสองปี”

“ถ้างั้นก็พาเขามากินข้าวบ้านเราบ้างสิคิม”



เมื่อคุณอรเห็นหน้าม่านแก้วครั้งแรก ก็อดที่จะเปรียบเทียบกับเด็กสาวอีกคนที่ตนเคยเอ็นดู รักใคร่เหมือนลูกหลานไม่ได้ ก่อนจะสรุปในใจ

‘คนละแบบ ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงเหมือนดอกไม้คนละสายพันธุ์ คนหนึ่ง...คือกล้วยไม้ราคาแพงเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แข็งแรง ในเรือนกระจก มีธาตุอาหารที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อหล่อเลี้ยงให้เป็นหนึ่งเสมอมา หากแต่อีกคน...เหมือนดอกลั่นทมสีนวลที่พลัดจากต้นล่องปลิวไปตามกระแสลม ตกต้องลงในที่ใดใครก็มิอาจละเลย ทิ้งขว้างด้วยแสนเสียดาย’



คราวแรกเมื่อได้พบสองพ่อลูกที่มาติดต่อขอเช่าเรือนหลังเล็ก คุณอรสบตากับเด็กหญิงรุ่นสาวแล้วหลุดปากอุทาน

“เออแน่ะ...ยังกะตุ๊กตาฝรั่ง”

“ลูกสาวครับ แม่เขาเป็นคนอิตาลี”

เด็กหญิงพนมมือไหว้โดยไม่ต้องมีใครบอก พอสบตา แกก็ยิ้มให้คุณอรอย่างเด็กคุ้นคนง่าย แล้วบอกด้วยสำเนียงไทยชัดแจ๋ว

“บ้านคุณย่าสวยจังค่ะ ตีต้าช้อบชอบ”

“งั้นหรือ...” คุณอรแย้มริมฝีปากอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นเด็กหญิงนับญาติเองเสร็จสรรพ

“ชื่ออะไรนะ” คุณอรโน้มตัวไปข้างหน้า ย้ำถามเพราะจับความไม่ถนัด

“ผมชื่อชมปองเป็นนักเขียน ลูกสาวชื่อกีตาร์แต่เขาติดพูดไม่ชัดมาแต่เด็กก็เลยเรียกตัวเองว่าตีต้า” คนเป็นพ่อตอบแทนลูกสาว

“เขียนอะไรหรือพ่อคุณ นิยายหรือไง”

“เปล่าครับผมเขียนบทกวี กับเรื่องสั้น”

“ป๊าเล่นดนตรีกับวาดรูปด้วยค่ะ...บางครั้งตีต้าก็ร้องเพลงกับป๊าด้วย” เธออวด

“อ้อ...แล้วก่อนนั้นอยู่ที่ไหนกันล่ะ”

“อยู่หลายที่ค่ะ ตามบ้านเพื่อนป๊า...มีเกือบทุกจังหวัดเลย ในป่า บนดอยก็เคยอยู่ บางทีไม่มีที่นอนจริงๆเราก็นอนกันในรถ...เราเป็นนักเดินทางค่ะ”

“เป็นนักเดินทางหรือแม่คุณ แล้วไม่ได้เรียนหนังสือหนังหาหรือไงจ๊ะ”

คนเป็นพ่อกระแอมกระไอก่อนรีบบอก

“พอดีผมได้งานเขียนประจำที่กรุงเทพฯก็เลยมาหาเช่าบ้าน กีตาร์กำลังจะเข้ามัธยมด้วยก็เลยว่าจะหาที่อยู่เป็นที่เป็นทาง”

“แล้วอยู่กันสองคนเองหรือ”

“ครับ...แม่เขากลับไปอยู่อิตาลีนานแล้ว ตั้งแต่กีตาร์ยังเล็ก”

คุณอรเดาที่เหลือได้...ก็ใครเล่าจะทนระเหเร่ร่อนกับพ่อไหว ถึงขนาดกินนอนในรถอย่างนี้...พอเหลือบไปมองคนช่างเจรจา เห็นปากนิดจมูกหน่อย ตาโต คางแหลมอย่างลูกครึ่งไทย-ฝรั่ง ของเด็กหญิงก็นึกเวทนา ยิ่งดวงตาคู่นั้นแฝงไว้ด้วยความว้าเหว่ โหยหา คนมองก็ใจหล่นวูบพยักหน้าตกลง

“เอาเถอะ...แล้วจะขนของมาอยู่กันเมื่อไหร่ล่ะ”

“ของอยู่บนรถอยู่แล้วค่ะ...ไปไหนเราก็ขนกันไปด้วย”

คุณอรเลื่อนสายตาไปมองรถตู้สภาพสมบุกสมบันแล้วลอบถอนใจ

“จ่ายแต่ค่าเช่าก็แล้วกันพ่อคุณ ไม่ต้องมีล่วงหน้าหรอก อ้อ...ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกนะฉันไม่ใช่คนใจร้ายใจดำที่ไหน”

“ขอบคุณครับ” ชมปองยกมือไหว้

“ฉันมีหลานชายคนหนึ่ง อ่อนแก่กว่ากันไม่กี่ปี คงจะพอช่วยสอนหนังสือหนังหาให้กันได้”

นับแต่วันนั้น...คุณอรก็ต้องเป็นธุระให้ทุกอย่างทั้งเรื่องโรงเรียน และอาหารการกินของสองพ่อลูก เพราะทนดูแม่หนูน้อยกินมาม่า เป็นอาหารหลักไม่ได้ นานวันเข้ากีตาร์ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ไม่ต่างจากลูกหลานแท้ๆ

เด็กหญิงเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดู สั่งสอนของคุณอร และติดพี่คิมแจ ทำให้ชมปองเดินทางตามหาความฝันของเขาได้โดยสะดวกใจเพราะรู้ว่าลูกจะอบอุ่นและปลอดภัยหากอยู่กับคุณอร

ความใกล้ชิดของเด็กรุ่นหนุ่มกับเด็กหญิงรุ่นสาวในครั้งนั้น พลันกลายเป็นความรู้สึกลึกล้ำต่อกันในกาลต่อมา...

กีตาร์อยู่กับคุณอรจนจบมัธยมต้น พร้อมกับวาดวางโครงการจะต่อม.ปลายและสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ขณะที่คิมหันต์ปฏิเสธการไปอยู่กับบิดาเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ไม่ใช่แค่เพราะห่วงคุณย่าเท่านั้นดอก แต่เด็กหนุ่มสาวเคยลั่นวาจา ให้สัญญาต่อกันไว้ ว่าจะไม่ทอดทิ้ง เคียงข้างดูแลกันและกันตลอดไป

ทุกอย่างคงลงเอยด้วยดี...วันนี้คิมหันต์กับกีตาร์อาจจัดงานวิวาห์ ครองคู่ไปแล้วจริงๆก็ได้ หากชมปองจะปล่อยให้กีตาร์อยู่ในอ้อมอกคุณอรต่อไป หรือหากไม่เป็นเช่นนั้น มีเหตุให้เปลี่ยนใจจากกัน ก็ยังดีเสียกว่าค้างคากันอยู่แบบนี้

เวลายาวนานเกือบสิบปี ที่ไม่รู้เลยว่าสองพ่อลูกพากันไปอยู่ที่ไหน รู้ข่าวอีกทีกีตาร์ก็กลายเป็นนักร้องโด่งดังไปเสียแล้ว...คุณอรทอดถอนใจให้กับอดีต...อดที่จะคิดถึงเด็กสาวที่เคยเลี้ยงดู รักใคร่ไม่ได้

ทุกปีใหม่...อาหารคาวหวานจะถูกตระเตรียมขึ้นสองชุดให้หลานชายใส่บาตรวันครบรอบวันเกิด และเผื่อสำหรับอีกคนที่เกิดวันเดียวกัน เป็นความบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่โชคชะตาชักพาคนทั้งคู่ให้ได้มาใกล้ชิด ผูกพัน...แล้วพรากพาห่างหาย

แต่ความผูกพันที่ก่อกำเนิด ด้วยความงามวิจิตรบรรจง จนสลักรอยประทับลงในความทรงจำแล้วนั้น แม้วันเวลาเคลื่อนผ่านไปข้างหน้าไม่เคยหยุดยั้งหรือย้อนรอยเดิม ทว่า...ความทรงจำจักย้อนกลับมาชีวิตได้เสมอ เพียงแค่...ระลึกถึง

คิมหันต์ส่งถาดทองเหลืองให้ป้าเดือนคนรับใช้เก่าแก่ของคุณย่า ก่อนยกโต๊ะเข้ามาเก็บในซุ้มศาลาข้างประตูรั้วหลังจากใส่บาตรพระครบทั้งเก้ารูป พอปิดประตูรั้วเรียบร้อย ประตูรั้วบ้านหลังถัดไปที่อยู่หลังกำแพงสูงก็เปิดออกมาเพื่อใส่บาตรพระเช่นกัน...

“วันนี้มีข้าวต้มปลาอินทรีย์ คิมจะกินข้าวเช้าเลยหรือเปล่าเห็นว่านัดม่านแก้วไว้” คุณอรหันมาถามหลานชาย

“ทานข้าวก่อนครับคุณย่า ม่านเขานัดเที่ยง”

“งั้นอิฉันไปตั้งโต๊ะเลยนะคะ” ป้าเดือนบอกพลางเร่งฝีเท้าเข้าบ้านไปก่อน

“เมื่อคืนกลับดึกหรือลูก”

“ครับ...คุณย่ารู้สึกตัวหรือครับ ผมอุตส่าห์ไขประตูเบาที่สุดแล้วเชียว”

“เปล่าหรอก...” คุณอรรีบโบกมือ

“ย่ามาตกใจตื่นเอาตอนตีสี่ครึ่งโน่น ไม่รู้ใครตะโกนโหวกเหวก สงสัยจะเป็นบ้านในกำแพงสูงๆนั่นละมั้ง แต่ก็ดีปลุกได้ถูกเวลาพอดี” คำพูดนั้นบอกให้รู้ว่าไม่ได้ถือสาอะไร

“คิมล่ะ...เมื่อวานคนไข้เยอะหรือ”

ชายหนุ่มอึ้งไปเป็นครู่จนคุณอรผิดสังเกต สายตาเฉียบคมเกินวัยจึงชำเลืองมามอง มีอาการคล้ายชั่งใจอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายคิมหันต์ก็บอกออกมา

“เมื่อคืนกีตาร์เค้ามาที่คลินิก”

คุณอรชะงักฝีเท้า

“ไม่ได้ตั้งใจมาหาผมหรอกครับ... เค้าไม่สบาย ลำไส้อักเสบก็เลยมาหาหมอ” เสียงตวัดห้วนขึ้นอย่างห้ามไม่ทัน อาการเหล่านั้นหาได้ลอดพ้นสายตาคุณอร

“แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

น้ำเสียงเจือความห่วงใยของคุณย่าทำให้คิมหันต์อึ้งไปชั่วครู่

มือแข็งแรงประคองคุณย่า ก้าวขึ้นบันไดเตี้ยๆหน้าเทอเรสกว้าง ซึ่งมุมด้านหนึ่งมีชุดโต๊ะไม้สักตั้งไว้ใต้ซุ้มระแนงที่มีกุหลาบพวงสีชมพูอ่อนจาง เลื้อยคลุมหนาแน่น ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ซึ่งคุณอรชอบใช้ตรงนี้เป็นที่รับประทานอาหารเช้าและเย็น ป้าเดือนเตรียมโถข้าวต้มควันฉุยตั้งรออยู่แล้ว

“ปวดท้อง อาเจียน...มาถึงเกือบเที่ยงคืนแล้ว เลยฉีดยาให้แล้วนอนพัก ก็ค่อยดีขึ้น ที่เป็นมากคงเพราะ...ทนเต้นท่าชักกระตุกอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตนั่นแหละ”

“คิมละก็...ไปว่าน้อง ไปเห็นมาแต่เมื่อไหร่ว่าเขาเต้นชักกระตุก” คุณอรว่าปนหัวเราะ อีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์อยากประชดประชันจึงหลุดปากทันควัน

“ก็ทีวีถ่ายทอดสดงานส่งท้ายปีเก่า ภาพตัดไปไม่นานก็หน้าซีด ปากเขียวมาที่คลินิกนี่ถ้าไม่จะเป็นจะตายคงไม่มา...”

คุณย่าเพ่งพิศหลายชายที่กำลังตักข้าวต้มใส่ถ้วย...ที่แท้คิมก็ยังอยากรู้ความเป็นไปของเด็กคนนั้นอยู่ตลอดเวลา

“แล้วถามน้องหรือเปล่าว่าเขาหายไปไหนมา”

มือที่กำลังเลื่อนถ้วยข้าวต้มให้คุณย่าชะงักเล็กน้อย ภาพหญิงสาวโถมกายเข้ากอดรัดในทันทีที่เห็นหน้า..ยังชัดเจนในความทรงจำ เสียงใสๆพร่ำเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและน้ำตาร่วงพรู...

เขาตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมถึงไม่ยอมรับฟังเมื่อเธอจะบอกเล่าเรื่องราวเมื่อหนหลัง

เพราะยังขุ่นเคืองอยากทำร้ายเธอให้เจ็บช้ำเสียบ้าง หรือว่าวันนี้มันไม่สำคัญอีกต่อไป รู้หรือไม่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้...ภาพนักแต่งเพลงหนุ่มกับท่าทีห่วงใยยังตราตรึง จดจำ

“ย่าว่า...ถ้าคิมจะเริ่มต้นใหม่จริงๆ ก็ไม่ควรทิ้งความหลังให้ค้างคา อย่างน้อยก็ควรจะรู้ว่าต้าเขามีเหตุผลอะไร” คุณอรบอกเหมือนหยั่งความคิดของหลานชายได้

ชายหนุ่มตักข้าวต้มใส่ปากอย่างไม่รู้รส พูดอ้อมแอ้มโดยไม่สบตา

“เค้าบอกให้ผมพามาหาคุณย่า...บ่นว่าคิดถึง...”

คุณอรวางช้อน บอกด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดจริงจัง

“พาเขามาหาย่า”

คิมหันต์ทำหน้าเหมือนกลืนยาขม

“ผมไม่ทันได้ถามว่าเค้าอยู่ที่ไหนครับคุณย่า”



bd21427_



ห้องของเบนโจแยกออกไปเป็นสัดส่วน เพราะคั่นไว้ด้วยสวนหย่อมเล็กๆราวกับเป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง ประตูยังปิดเงียบเมื่อกีตาร์กลับเข้าบ้านหลังจากใส่บาตรพระ

เธอก้าวเข้าห้องนอน เปิดปากหาวหวอดด้วยยังไม่ได้หลับแม้แต่งีบเดียว ค่าที่กลัวว่าจะตื่นมาใส่บาตรไม่ทัน พอทิ้งร่างลงบนเตียงตาก็เหลือบไปเห็นกล่องพัสดุ

“ปีนี้ป๊าส่งอะไรมาให้น้า” เธอพึมพำ

รอยยิ้มจางๆปรากฎขึ้นเมื่อเอื้อมไปหยิบ บรรจงแกะอย่างระมัดระวัง ภายในกล่องรองไว้หลายชั้นด้วยฟองน้ำกันกระแทก เมื่อคลี่แต่ละชั้นออก ภาพสีน้ำในกรอบไม้ก็อวดโฉมต่อสายตา...

โทนสีอุ่นใส ฉ่ำหวาน ด้วยฝีมืออันชำนาญและแม่นยำ เป็นใบหน้าของเธอภายใต้กรอบผมหยิกปลิวสยายคล้ายต้องลม รอยยิ้มในภาพสดใสนัก

มีบทกวีเรียงเป็นแนวยาวลงมาจากด้านขวาของภาพ ด้วยลายมือหวัดแกมบรรจง...



ความคิดถึง รอนแรมเดินทางไกลแสนไกล

จากขอบฟ้ากว้าง ยอดเขาและปุยเมฆ

สายลมล่องพาผ่านท้องทุ่ง เพิงร้าง มุ่งสู่เมืองใหญ่...

ฝากกระซิบไปกับดาวทุกดวง ดอกไม้ทุกดอก

เพื่อบอกว่า...รัก...

ความรักไม่เคยเลือนหายไปกับความห่าง

ขณะที่เราต่างเดินอย่างเดียวดายไปตามทางของตน

ความเหงา ทำให้เรารู้ค่าของความคิดถึง

และการรอคอยอันยาวนาน

จะค้นพบความหวานแห่งใจที่มั่นคง

จงหัวเราะให้กับความสุข และร้องไห้ไปกับความโศก

อย่าหยุดที่จะฝัน...

อย่าท้อที่จะรัก

และอย่ารังเกียจความเศร้า

เพราะนั่นคือ “ชีวิต”

แด่...เจ้าหญิงน้อยๆผู้เป็นที่รัก

สุขสันต์วันเกิดจ้ะ



มีจดหมายบอกเล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนอีกประมาณครึ่งหน้ากระดาษแนบมาด้วย เธอพับเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียง หลังจากอ่านทวนถึงสองรอบ

กีตาร์เอนตัวลงนอน กอดรูปนั้นไว้แนบอก...หลับตานึกถึงภาพจิตรกรหนุ่มใหญ่ผู้รอนแรมเรื่อยไป กับสีและพู่กัน เก็บภาพทิวทัศน์ของป่าเขา ทุ่งหญ้า รวงข้าว และนอนดูดาวยามน้ำค้างตกเผาะอยู่ในกระโจมสีเหลืองสดบนภูสูง ตามที่ป๊าเล่ามาในจดหมาย

เป็นชีวิตที่อยู่เหนือกาลเวลาและกรอบกฎเกณฑ์ใดๆ เหมือนเจ้าชายแสนโรแมนติกในโลกแห่งความฝัน หญิงสาวช่างฝันหลายต่อหลายคน ผลัดเปลี่ยนกันเดินเข้ามาในชีวิตของป๊า หากพอมนต์ขลังแห่งความโรแมนติกสูญสลาย ต่างก็พากันก้าวกลับออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง...

การรอคอยใครสักคนอันยาวนานของป๊า จะมีวันได้ค้นพบความรักที่มั่นคงหรือไม่กันหนอ...เธอนึกอยากรู้...แต่กระนั้นป๊าก็ยังไม่เคยหยุดฝันหรือท้อถอยที่จะรักหรือเศร้าจนถึงทุกวันนี้

“เรามั่นคงอยู่คนเดียวหรือเปล่าคะป๊า...ความรักไม่เคยเลือนไปกับความห่างจริงหรือคะ...แล้วทำไมพี่คิมถึงได้ใจร้ายกับตีต้านัก”

เธอรำพึงรำพันออกมากับความว่างเปล่า ดวงหน้าเล็กแนบซุกอยู่กับหมอน ตาปิดสนิท ร่างตะแคงขดคู้อยู่บนเตียง ความอ้างว้างว้าเหว่ไม่เคยห่างหายไปไหน...ไม่ว่าเส้นทางของชีวิตจะผันเปลี่ยนไปเพียงไร

หยดน้ำเล็กๆที่หางตาซึมลงเป็นดวงชื้นที่ริมหมอน

“ม่ามี๊ขา...ทำไมความรักมันเจ็บปวดขนาดนี้คะ”



bd21427_



เบนโจ ลีนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ นิ้วเรียวยาวพรมลงบนตัวอักษรอย่างว่องไว

‘ผ่านไปอีกปีแล้ว...ใครๆพูดกันว่า โลกล้วนเปลี่ยนแปลงพร้อมกับเวลาที่ล่วงไป แต่สำหรับผม...เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในวันปีใหม่ของแต่ละปี กลับไม่รู้สึกเลยว่ารอบตัวมีอะไรเปลี่ยนแปลง หรืออาจเพราะผมเองก็ได้ที่ไม่ยอมเปลี่ยน...

ล่าสุดนี่ ท่านประธานถามผมอีกครั้ง เรื่องจะให้ทำเพลงของตัวเอง ผมก็ตอบไปเหมือนทุกครั้ง คือ...ผมร้องทุกเพลงที่ผมแต่งขึ้นมาอยู่แล้ว จำเป็นด้วยหรือ? ที่ต้องยืนร้องอยู่บนเวทีคอนเสิร์ต

บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้นะเอพิล...เพราะผมเป็นสินค้าน่าลงทุนหรือเปล่า ประธานบริษัทค่ายเพลงจึงเพิ่งนึกได้ และประกาศว่าผมเป็นลูกชาย เพื่อกีดกันบริษัทอื่นๆ เหมือนกับที่เขายอมลงทุนกับกีตาร์ทั้งที่เธอไม่ยอมอ่อนข้อให้สักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเพลง ท่าเต้นหรือการแต่งตัว เขายอมเพราะหวังว่า...วันหนึ่งจะใช้อนาคตของกีตาร์มาต่อรองกับผมต่างหาก

คนเราควรปัดกวาดอดีตทิ้งไปเสียบ้างเพื่อจะได้มีความสุขกับปัจจุบัน ผมเคยบอกคุณว่าอย่างนั้น แต่ก็นั่นละนะ มันต่างกับตอนอยู่ที่โรม ซึ่งมีคุณ ผมและกีตาร์... วันนี้ของผมในเมืองไทยมันเชื่อมโยงกับอดีตเหมือนรอยต่อของทะเลกับขอบฟ้า ณ จุดศูนย์รวมแห่งความทรงจำ เมื่อวงเวียนแห่งชีวิต ย้อนทวนกลับมาตรงจุดเริ่มต้น...เราจะลืมความเป็นมาของตัวเองได้อย่างไร...

สิบปีที่แม่อดทนอยู่เมืองไทย นับแต่ผมเกิด ขณะที่เขาอยู่กับครอบครัวของเขา เราอยู่ในฐานะที่เขาเก็บไว้โดยไม่เคยมีสิทธิ์มีเสียงอะไร จนกระทั่งแม่คิดได้ว่าความรักของแม่ไม่เคยให้อะไรนอกจากความเจ็บปวด จึงตัดสินใจพาผมกลับฮ่องกง

ที่นั่น...แม่ต้องทนกับคำครหานินทามากมายจนผมเรียนจบจึงตัดสินใจพาผมไปอยู่อิตาลี รับทำงานเป็นพยาบาลส่วนตัวให้เพื่อนที่รู้จักกันสมัยอยู่เมืองไทยคือแม่ของกีตาร์ จนกระทั่งผมได้เจอคุณนั่นแหละ

ผมกับแม่เป็นเพียงความผิดพลาดที่ลบทิ้งไม่ได้ของเขา วิธีการรับผิดชอบคือส่งเงินมาให้ผมเรียนจนจบเท่านั้นเอง ถ้าเขาไม่รู้ข่าวว่าผมกลับมาเมืองไทยและทำเทปใต้ดินกับพ่อของกีตาร์ ผมก็คงเป็นเพียงธาตุอากาศที่ไม่สลักสำคัญอะไรเช่นที่ผ่านมา หากผมไม่มีความสามารถที่เขาต้องการมีหรือที่เขาจะอ้างสิทธิ์ของความเป็นพ่อ

ตลกดี...ก่อนนั้นผมไม่เคยนึกอยากเล่าเรื่องเหล่านี้ให้คุณฟัง ทั้งที่เรานั่งคุยกันแทบทุกวัน พอห่างกันขนาดนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใจมันอยากบอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้คุณร่วมรู้...หรือเพราะความที่ไม่ได้เจอกันบ่อยๆเหมือนก่อนก็ได้ ทำให้เรื่องที่อยากจะคุยกันมันเพิ่มขึ้น...

เมื่อคืนหลังจากเคาต์ดาวน์กลับมาตรวจเมล แอบหวังว่าจะมีอีเมลจากคุณ พอไม่มีก็เลยอ่านของเก่า...

อดใจรอจนกว่าคุณจะตอบเมลกลับมาไม่ไหว มีข่าวดีจะบอกด้วย...กีตาร์ได้พบคนที่เธอตามหาแล้ว อย่างไม่น่าเป็นไปได้...

คือเมื่อคืนหลังคอนเสิร์ตกีตาร์ปวดท้องมาก ผมพาเธอไปหาหมอแล้วรีบกลับมาทำงานต่อ ปรากฏว่า...หมอคนนั้นคือคนที่เธอต้องบินกลับมาเมืองไทยเพราะอยากเจอเขาเหลือเกินนั่นเอง...ที่แปลกกว่านั้นคือ ได้พบกันในวันคล้ายวันเกิดของคนทั้งคู่

ตอนที่กีตาร์เล่าว่าเธอกับเขาเกิดวันเดียวกัน คุณยังเคยบอกเธอว่านั่นคือโชคชะตา แต่การกลับมาพบกันอีกครั้งโดยไม่คาดหมายในวันอย่างนี้ผมมองว่านอกจากโชคชะตาแล้ว นี่คือ...ของขวัญจากพระเจ้า

การพบกันครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อปรับความเข้าใจ แต่มันก็คุ้มค่าใช่ไหมเอพิล การรอคอยก็เหมือนเราอยู่บนเรือใบสีทอง ท่ามกลางหมอกสีกุหลาบที่เดียวดาย แล่นเอื่อยไปบนเกลียวคลื่นแห่งเวลา ลัดเลี้ยวผ่านเกาะแก่งและเวิ้งอ่าวแห่งความคิดถึง เพื่อตามหาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเราที่พลัดพราก...

การพบกันของเขาและเธอทำให้ผมคิดถึงคุณ...อยากเล่าให้ฟัง คุณเคยตัดพ้อว่าผมเป็นคนพูดน้อยเหลือเกิน แต่ทำไมเวลาเขียนเมลถึงเขียนอะไรได้ยืดยาว

นั่นเพราะคำพูด ไม่อาจรวบรวมความรู้สึกได้ครบถ้วนเท่ากับการเขียนน่ะสิ’



เบนโจ ลียิ้มอ่อนโยนราวกับว่าหญิงสาวที่เขากำลังเขียนข้อความถึงนั่งอยู่ตรงหน้า หลายปีที่คบหากันมา...เขาไม่เคยแสดงความรู้สึกอันแท้จริงให้เธอรับรู้ ความรักของคนสองคนที่จะก่อร่างเป็นภาพคมชัดให้เห็นถึงการสร้างครอบครัวร่วมกันนั้นเลือนลางเหลือเกินในความรู้สึกเขา...อะไรจะบอกได้ว่า การครองคู่จะยืนยาวและมีความสุขตลอดไป

การครอบครองเป็นเจ้าของทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าจะให้ความสุขเธอได้หรือไม่คงไม่ต่างจากความเห็นแก่ตัว แค่รัก...โดยไม่เรียกร้องสิ่งใด...จะทำให้เธอปวดร้าวหรือเปล่ากับการเฝ้ารอ

เบนโจตั้งคำถามกับตัวเอง ขณะพิมพ์ข้อความบรรทัดสุดท้ายในอีเมล

‘ไม่ว่าแต่ละวันจะย่ำแย่แค่ไหน ผมจะบอกตัวเองเสมอว่าผมโชคดีที่สุดแล้วที่มีคุณเป็นเพื่อน’







bd14768_



แด่ความรื่นรมย์แห่งรัก…

ด้วยความขอบคุณ

ปัญจนารถ




ปัญจนารถ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ส.ค. 2557, 09:40:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ส.ค. 2557, 09:40:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1237





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account