ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 7 (1/3)



แปะแล้วก็ไปทำงานต่อ เช่นเดิมที่ต้องขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะมา ให้กำลังใจผ่านการให้คะแนน ขอบพระคุณงามๆ กับทุกคอมเม้นท์นะคะ อ้อยได้อ่านทุกความเห็นที่ท่านได้เขียนไว้ ดีใจจริงๆ ค่ะ

รัก...
อ้อย/สุชาคริยา


----------------------------------------------------


บทที่ 7

ผู้หญิงแสนสวยคนนั้น... อินทุภา หล่อนมีโปรไฟล์ดีทีเดียว บิดาของหล่อน...เสี่ยโกมุทก็เป็นเจ้าพ่อที่ดินอันดับต้นๆ ของเมืองไทย การได้ร่วมทำธุรกิจกับปรมัตถ์กึ่งเกี่ยวดองย่อมเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบ ตัวเลขกิจการบริษัทก็สวยงามไม่น้อยทั้งสองฝั่งโดยเฉพาะบริษัทส่วนตัวของปรมัตถ์ นั่นจึงทำให้ถิรมนสงสัย ปภาวีเป็นห่วงอะไร มีลางสังหรณ์ใดจึงไม่ยอมรับผลประโยชน์ที่จะได้ส่วนนี้นี้ ทำไมถึงไม่ยอมรับอินทุภา แล้วตัวช่วยด้อยราคาอย่างเธอจะทำประโยชน์ได้สักเท่าไหร่กัน

และจากข้อมูลที่ได้มานั้น... ถิรมนคาดว่ายากจะทำได้สำเร็จเรื่องแยกความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง อินทุภาเพียบพร้อมถึงเพียงนี้ เสี่ยโกมุทก็ให้การสนับสนุนลูกสาว ครั้นจะให้เธอเข้าไปแทรกกลางใช่ทำได้ง่ายอย่างใจคิด ปรมัตถ์เองก็ควงคู่อินทุภาออกหน้าออกตา ที่สำคัญคือหากเป็นเธอเป็นอินทุภาเสียเองคงเจ็บปวดไม่น้อยที่คนรักต้องไปแต่งงานกับคนอื่นโดยไม่สามารถทำอะไรได้ เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเมื่อมีคนทำลายความรักอย่างเป็นขบวนการ

ถิรมนคิดหาทางเลือกเพิ่มเติม

บางที... เธออาจมุ่งประเด็นไปที่การดูแลทรัพย์สินของปรมัตถ์ไม่ให้เสียหายน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดโดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง มากกว่านั้นคือกลัวใจตัวเองไม่น้อย แค่วันนี้... ตอนนี้... ความเจ็บแปลบก็แล่นปราดปักอกไม่หยุดเมื่ออ่านประวัติของอินทุภา ได้รู้ข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับทั้งสองโดยเฉพาะปรมัตถ์ ซึ่งนั่นเป็นข้อบ่งชัดว่าอย่าได้แหย่ขาตัวเองเข้าไปหาเรื่องยุ่งยากด้วยการเผลอใจเป็นอันเด็ดขาด อย่าได้เอาตัวเข้าไปผูกพันกับเขามากเกินความจำเป็น เพราะกว่าจะถึงวันที่สัญญาจบสิ้นลง หัวใจของเธอจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้แน่ชัด ชีวิตจะเป็นไปในแนวทางไหน ควรเตรียมใจอย่างไร ก็น่าพิจารณาให้ถ่องแท้

ถิรมนวางภาพและกระดาษข้อมูลไว้บนโต๊ะ อยากจะร้องไห้ไม่น้อยกับโชคชะตาของตนเอง ย้ำว่าต้องข่มใจ ตอนนี้ยังไม่สาย ต้นเหตุของความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เพราะความชอบพอเมื่อครั้งเจอกันในคลับวันนั้น มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกัน มีการแต่งงาน มีทะเบียนสมรส นั่นจึงทำให้เธอรู้สึกเช่นนี้...ในตอนนี้ ความเป็นมนุษย์ที่มีความรัก โลภ โกรธ หลง มีความรู้สึก มีความทรงจำ จึงทำให้เธอรู้สึกแบบนี้ เพ้อเจ้อแปรปรวนเช่นที่กำลังเป็น

เธอคิดถึงคุณพ่อ... ไม่รู้ว่าท่านจะเสียใจแค่ไหนหากทราบว่าเธอกล้าตกปากรับคำทำลายความรักของคนคู่หนึ่งเพื่อผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่นึกละอาย

เสียงเคาะประตูดังมา ถิรมนเก็บเอกสารเข้าลิ้นชัก ลูบหน้าลูบตาตัวเองให้ผ่อนคลาย สูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปปลดล็อกประตูห้องนอน

ปภาวียืนยิ้มให้อยู่ตรงนี้ หล่อนสวมเสื้อคลุมมิดชิดทับชุดนอนอีกชั้นหนึ่ง

“พรุ่งนี้น้องเลิฟไปเยี่ยมพี่คุณใช่มั้ยจ๊ะ” หล่อนถามและก้าวเข้ามาเล็กน้อยซึ่งเป็นความหมายว่าขอเข้าไปข้างใน

ถิรมนยิ้มให้ ถอยหลังเปิดทางทันที “อามุกจะไปด้วยกันหรือเปล่าคะ”

“ไม่จ้ะ” ปภาวีเดินผ่านหน้าถิรมนเข้าไป “พรุ่งนี้อามีนัดลูกค้าตอนเช้า แต่รอบหน้าจะไปด้วยนะ ไม่ได้ไปเยี่ยมพี่คุณเลยตั้งแต่คราวก่อน”

ถิรมนปิดประตู เดินตามปภาวีที่นั่งลงตรงขอบเตียงนอนสีขาวขนาดใหญ่หนึ่งเดียวในห้องนี้ หล่อนตบข้างๆ ตัวเป็นสัญญาณว่าให้มานั่งคู่กัน เมื่อนั่งลง ปภาวีกุมมือทั้งสองของถิรมนเอาไว้

“น้องเลิฟไม่ต้องออกแต่เช้ามืดเหมือนเดินนะลูก”

ถิรมนขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะคะอามุก”

“อาให้คนจองคิวไว้ให้แล้ว”

แทบร้อง ‘อ้าว’ ทันทีที่ได้ยิน แต่ก็ติดอยู่ที่ปาก ดังแค่ในใจ ไม่กล้าส่งเสียงให้อีกฝ่ายรู้

“อามุกให้ป้าเสี้ยวหรือลุงจาไปแทนเหรอคะ”

ปภาวีหัวเราะอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นสีหน้าของถิรมน ความสงสัยไม่เข้าใจแสดงออกอย่างไม่เสแสร้ง ดูน่ารัก เป็นธรรมชาติ ไม่ปั้นแต่งสีหน้าแววตา

ปภาวีลูบศีรษะถิรมนอย่างรักใคร่ เด็กน้อยในสายตาของหล่อนเป็นคนหน้าหมดจดสะอาดสะอ้าน แม้ไม่ได้สวยผุดผาดบาดตาแบบแรกเห็นแต่ก็ถือว่าเป็นคนสวย สวยหวาน สวย...แบบที่ยิ่งมองยิ่งงามตรึงใจ สวยแบบที่ยิ่งชิดใกล้ก็ยิ่งชอบและหลงเสน่ห์ นี่คือเด็กหญิงตัวน้อยของหล่อนในวันวานและเติบโตเป็นสาวเต็มตัวในวันนี้ ซึ่งหล่อนรักถิรมนประหนึ่งลูกของตัวเอง

และเมื่อเห็นว่าถิรมนยังมองมาอย่างรอคอย ปภาวีจึงเฉลย

“จริงแล้ว...เราไม่จำเป็นต้องไปจองคิวเองก็ได้จ้ะน้องเลิฟ เพราะมีคนรับจ้างจองคิวอยู่ แค่ต้องรู้เบอร์โทรศัพท์และรู้ตัวคนจองเท่านั้น เขาทำกันเป็นอาชีพเชียวล่ะ อาเองก็ทำแบบนี้ตลอด ไม่ต้องเสียเวลาห้าหกชั่วโมงไปเปล่าๆ”

ถิรมนกะพริบตาปริบๆ อยากถามเหลือเกินว่าแล้วที่ผ่านมาเหตุใดจึงให้เธอทำเช่นนั้น แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยปาก ปภาวีก็บอกว่า...

“ถ้าอาบอกน้องเลิฟ สอนน้องเลิฟให้รู้จักแต่ความสบาย ไม่รู้จักความลำบาก ไม่ผ่านความจริงที่ใครหลายคนเขาก็เป็นกัน...ทำกัน นั่นไม่ใช่เรื่องดี เป็นความคิดที่ผิดมาก พ่อน้องเลิฟสอนอาเสมอ เกิดเป็นคนต้องลงมือทำ ต้องเรียนรู้ ต้องอดทน ใครทำได้เราก็ต้องทำได้ สิ่งไหนที่เราสนใจหรือเป็นงานของเรายิ่งต้องทำให้มาก ศึกษาให้มาก แล้วเราจะประสบความสำเร็จเพราะเรียนรู้ได้ดีจากการลงมือทำ จะช่วยให้จำได้แม่นเพราะมีประสบการณ์จริง แม้จะผิดบ้างถูกบ้างก็ยังรู้ถ่องแท้ เวลาเกิดปัญหาจะได้มีตัวเองเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่คอยแต่จะพึ่งคนอื่น และอาก็ยึดความคิดนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ”

ข้อมูลนี้ทำให้ถิรมนประหลาดใจ เป็นครั้งแรกที่ปภาวีเอ่ยถึงอดีตขึ้นมาโดยเธอไม่ร้องขอ และมากพอจะทำให้ตื่นเต้นกระหายใครรู้เรื่องบิดาตนเอง

“เมื่อก่อนคุณพ่อทำงานอะไรเหรอคะอามุก น้องเลิฟไม่เคยรู้เลยค่ะ” แต่ก็พูดอย่างระมัดระวังกริยา

ปภาวีทัดผมหลุดลุ่ยของถิรมนไว้บนใบหูให้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มของหล่อนอบอุ่นมากมาย

“จริงแล้วพี่คุณก็ทำงานเหมือนอานี่แหละจ้ะ” ปภาวียิ้ม “งานทุกอย่างที่อาทำได้...พี่คุณทำได้หมด เก่งกว่าอาเสียอีก เก่งมากเรื่องซื้อที่ดินและลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ แต่เสียดาย...” ความเศร้าปรากฏให้เห็น ปภาวีรีบยิ้มกลบเกลื่อน และพูดเพียง “หากไม่มีพี่คุณ... อาก็คงไม่มีวันนี้เหมือนกัน พี่คุณเป็นเหมือนครูของอาเลยทีเดียว”

ดวงตาของปภาวีเหม่อมองไปไกล ราวกับเข้าสู่ภวังค์ความหลัง ก่อนจะมองหน้าถิรมนอีกครั้งหนึ่ง “และนั่นทำให้อาทิ้งน้องเลิฟไม่ได้เลย เราสองครอบครัวต่างมีบุญคุณซึ่งกันและกัน มาก...จนอาไม่รู้ว่าจะชดใช้ยังไงได้หมด”

เป็นอีกหนึ่งข้อมูลเพิ่งได้รู้ เธอไม่เคยทราบเรื่องพวกนี้มาก่อนในชีวิต ก่อนนี้เคยถามแต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงหรือชวนคุยเรื่องอื่นตลอดมา ไม่รู้ว่าวันนี้ปภาวีนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรจึงยอมบอกเล่าให้ฟัง และทำให้ได้รู้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่ปภาวีส่งเสียเลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดีนั้นก็เพราะมีเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลด้วย

ทว่าในใจเกิดคำถาม... ที่ผ่านมานั้นเรื่องราวในอดีตทั้งหมดเป็นอย่างไรกันแน่ ทำไมไม่มีใครยอมบอกเล่าให้เธอฟัง

ตลอดมาในชีวิตทราบเพียงต้องตั้งใจเรียน เป็นเด็กดี เพื่อจะได้กลับมาหาบิดาอย่างภาคภูมิใจ ควรอยู่ในกรอบดีงามที่สมควรกระทำ ถูกปลอบประโลมเพียงบิดานั้นต้องไปทำงานห่างไกล มารดาเสียชีวิตเมื่อยังเด็ก มีปภาวีเป็นผู้อุปถัมภ์ค่าใช้จ่ายทั้งหมดไม่ว่าจะค่ากิน ค่าอยู่ หรือการศึกษา นั่งจึงทำให้ไม่มีคำว่าผิดพลาดหรือทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวังทั้งเรื่องการเรียนและชีวิตประจำวันแม้จะอยู่ในสังคมเสรีก็ตาม มีวิรงรอง...หญิงไทยผู้ใช้ชีวิตในต่างแดนกับสามีชาวอเมริกันให้ที่พักพิงอาศัย ช่วยอบรมศีลธรรมอันพึงควรตั้งแต่วันแรกที่เหยียบย่างเข้าสู่สหรัฐฯ จวบจนกระทั่งถึงวันนี้เธอก็มีข้อมูลเท่าที่พวกเขาจะให้รู้ แต่ไม่เคยรู้อะไรมากกว่านั้น

ทว่าวินาทีนี้... ชีวิตที่เหมือนไม่มีอะไรกำลังมีเรื่องราวให้ได้ค้นพบ หลายข้อมูลเป็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิดมาก่อนเช่นเรื่องนี้ แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่เธอก็ตื่นเต้นดีใจ ถิรมนตัดสินใจถามในสิ่งที่คาดว่าไม่กระทบอะไรมากนัก...

“คุณพ่อเป็นนักธุรกิจหรือคะอามุก”

ปภาวียิ้ม ส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่จ้ะ พี่คุณทำงานให้คุณพ่อของอาเอง จะว่าไงดีล่ะ พี่คุณเป็นมือขวา” ปภาวีหยุดพูดนิดหนึ่งเมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของถิรมน “เมื่อก่อนคุณพ่อของอาเปิดบริษัท พี่คุณเป็นผู้จัดการฝ่ายแต่ทำงานทุกอย่าง เป็นยิ่งกว่าเลขานุการ รู้ทุกงานที่ประธานบริษัทจะต้องทำ ทำงานในแบบพนักงานคนไหนก็ทำให้ไม่ได้ เก่งชนิดที่ว่าเป็นตัวแทนทำงานให้คุณพ่อของอาได้ทุกเรื่อง และเป็นคนซื่อสัตย์ที่สุดเท่าที่อาเคยเห็นมาในชีวิต” ปภาวียิ้ม

ถิรมนพยักหน้าว่าเข้าใจแล้ว

ปภาวีพูดต่อ... “แต่พ่อน้องเลิฟน่ะ ตัวดุเชียว สอนงานอาแต่ละอย่างไม่เคยคิดว่าอาเป็นลูกเจ้านายหรอก จริงแล้วก็เหมือนกับที่อาเริ่มสอนน้องเลิฟนะ สอนให้ลงมือทำด้วยตัวเองเป็นหลัก จะได้รู้งาน”

ถิรมนยิ้มเมื่อได้ฟัง และยิ้มกว้างเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของปภาวี หล่อนดูน่ารักและอ่อนกว่าวัยเมื่อเล่าถึงความหลัง ตอนนี้ถิรมนได้ทราบเพิ่มอีกหนึ่งอย่างว่าคุณพ่อของเธอเคยทำงานกับบิดาของปภาวีมาก่อน

ถิรมนตั้งใจฟัง เก็บบันทึกทุกอย่างที่ได้ยินไว้ในใจ

“น้องเลิฟ” เสียงของปภาวีหนักใจไม่น้อย

“คะ” ถิรมนรั้งรอและยิ้มให้

ปภาวีอ้ำอึ้งโดยไม่เอ่ยอะไร

“น้องเลิฟอยากฟังเรื่องเก่าๆ ของคุณพ่อค่ะอามุก น้องเลิฟไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย”

ทว่ากลับคำพูดนี้เหมือนสะกิดใจปภาวี เพราะหล่อนเอ่ย...

“เอาไว้วันหลังอาจะเล่าให้น้องเลิฟฟังก็แล้วกันนะจ๊ะ”

เป็นการจบเรื่องนี้โดยปริยาย แม้อยากซักไซ้แต่ก็เอ่ยได้เพียง “ค่ะ” เท่านั้น รอว่าปภาวีจะพูดอะไรต่อ

“จริงแล้วอาอยากคุยกับน้องเลิฟเรื่องที่ให้เข้าไปทำงานกับมัตถ์” หล่อนกุมมือของถิรมนอีกครั้ง แววตาขอความเห็นใจ “บางอย่างที่อาให้น้องเลิฟทำมันอาจบีบคั้นจิตใจ แต่อาจะพยายามดูแลทุกอย่างให้ดีที่สุด” มีความโศกปนมาให้เห็น แต่ก็แวบเดียวเมื่อหล่อนยิ้มกลบเกลื่อน “น้องเลิฟเข้าใจอาใช่ไหมลูก”

ถิรมนยิ้มรับ “ค่ะ” เธอเข้าใจ แม้สงสัยว่าอะไรกันแน่ที่ปภาวีต้องการ สาเหตุอะไรกันแน่ที่ทำให้ปภาวีตัดสินใจให้เธอไปทำงานกับปรมัตถ์

อีกทั้งเรื่องราวในอดีตความเป็นมาของบิดาเธอ อดีตของปภาวี หรือแม้แต่ปรมัตถ์ ทุกอย่างชวนกระหายใคร่รู้ทั้งสิ้น แต่ก็ทำได้เพียงแค่เงียบ คอยสังเกต และรอเท่านั้น ไม่อาจบังคับให้ใครบอกได้หากเจ้าตัวหรือคนใกล้ชิดไม่เอ่ยออกมาเอง

“แล้วพรุ่งนี้น้องเลิฟต้องทำยังไงบ้างคะอามุก” ถิรมนวกกลับมาเข้าเรื่องที่ค้างไว้ก่อนนี้ ไม่มีความจำเป็นต้องรั้งรอเมื่อเห็นแล้วว่าคงไม่ได้ในสิ่งนั้นอีก

ปภาวียิ้มเขินๆ “อาลืมไปเลย... เอาแค่สำเนาบัตรประชาชนของน้องเลิฟไปก็พอจ้ะ ให้ลุงจาไปส่งนะ แกรู้จักคนจองคิวดี ให้ไปถึงที่นู่นก่อนสองโมงเช้าล่ะ จะได้กรอกเอกสารเร็วหน่อย อาโทรฯ ไปบอกคนจองคิวไว้แล้ว”

“ค่ะ” ถิรมนยิ้มให้

ปภาวีสูดลมหายใจเข้าลึกเหมือนกำลังคิดบางอย่าง เหมือนจะแต่กลับไม่พูด และยิ้มกว้าง “ฝันดีจ้ะน้องเลิฟ” พูดจบก็รั้งถิรมนเข้าไปหา กอดไว้แน่นๆ หอมแก้มซ้ายขวาหนักๆ อย่างละที

ถิรมนกอดตอบและหอมในลักษณะเดียวกัน มองร่างเล็กๆ บอบบางของปภาวีที่ลุกขึ้นและเดินจากไป หล่อนหันมาโบกมือให้เล็กน้อย ก่อนประตูจะปิดลง กดล็อกให้เสียด้วยโดยไม่ต้องเดินออกไปล็อกประตูห้องเอง

รอยยิ้มของถิรมนค่อยๆ เลือนหายไป ทอดตัวนอนลงบนเตียง เหม่อมองเพดานด้วยใจครุ่นคิด เรื่องราวมากมายประดังประเดเข้ามาให้สับสนและลำดับไม่ค่อยจะถูกนัก แต่อย่างน้อยวันนี้ก็รู้ว่าบิดาของเธอคือคนที่ปภาวีให้ความเคารพ และอานิสงส์นั้นได้ตกทอดมาถึง ให้เธอได้มีโอกาสเรียนหนังสือ ได้มีที่อยู่ที่กินสุขสบายกว่าคนอื่น ทว่าอีกใจก็อยากรู้เรื่องราวมากกว่านั้น แต่คงไม่ดีนักหากจะคาดคั้นกับผู้ใหญ่

ถิรมนพลิกตัวนอนตะแคง อารมณ์สงสัยทั้งหลายมลายไปทันที หมอนใบนั้นที่ปรมัตถ์เคยนอนหนุนอยู่ตรงหน้าเธอ ภาพทุกอย่างระหว่างเธอกับเขาปรากฏขึ้นอีกครั้งอย่างแจ่มชัดแม้ไม่ต้องการ หัวใจวูบไหว ในอกวูบโหวง ได้แต่ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เธอกับปรมัตถ์ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน เหมือนตัวเองต่ำต้อยอย่างไม่เคยเป็น และยิ่งละอายใจเมื่อใบหน้าอินทุภาลอยซ้ำเข้ามาในความคิด

สับสนเหลือเกิน... ทำไมถึงได้อยากร้องไห้แบบนี้ ทำไมหัวใจถึงปวดแปลบแบบนี้ เพราะอะไร

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2557, 21:08:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2557, 21:08:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1630





<< บทที่ 6 (2/2)   บทที่ 7 (2/3) >>
สุชาคริยา 4 ส.ค. 2557, 21:24:15 น.

ตอบคอมเม้นท์จากบทที่ 6 (1/1)

คุณใบบัวน่ารัก = เรื่องเปลี่ยนงาน น้องเลิฟก็ยังเอาตัวไม่รอดเลยจ้า 5555

คุณ konhin = อิอิ น่ารักตลอดศกจ้า (หรือเปล่า?)

คุณแว่นใส = อิอิ เนอะ หวานๆ เยอะๆ จะได้ดีต่อหัวใจ แต่ก็นะ...เฮ้อ

คุณคิมหันตุ์ = พี่ม้ตถ์นี่เป็นพระเอกที่เขียนออกมาแล้วกรี๊ดเองค่ะ (กรี๊ดไปได้ยังไงก็ไม่รู้ เจ้าเล่ห์มากกก)

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ = 55555 น้องเลิฟไม่ทันหึงจริงๆ เนอะ ^^


สุชาคริยา 4 ส.ค. 2557, 21:27:16 น.

ตอบคอมเม้นท์จากบทที่ 6 (2/2) >>

คุณใบบัวน่ารัก = หะหะ ถึงอยากกินก็ต้องอดใจค่ะ อามุกแกดุกว่าพี่มัตถ์อีก ส่วนพี่พี่มัตถ์นี่แกจะมาท่าไหน เดี๋ยวเรามาดูกันนะคะ ^^ เดี๋ยวช่วงท้ายจบบทที่ 7 คนเขียนยังชอบเลยจ้า ครุคริ ครุคริ

คุณคิมหันตุ์ = เรามาดูกันนะคะว่าพี่มัตถ์จะจัดการยังไงบ้าง ^^

คุณแล่นแต๊ = หุหุ พี่มัตถ์ไม่ร้ายกาจ ใครจะร้ายกาจกันคะ เรื่องนี้ ^^ // แต่เฮียก็ร้ายกาจแบบน่ารักน้าาา

คุณแว่นใส = อันนี้ต้องตามดูเนอะ ว่าระแวงเพราะอะไร ^^


คิมหันตุ์ 5 ส.ค. 2557, 00:04:09 น.
ขัดใจแฮะมีแฟนแล้วแต่พี่มัตมาอ่อยภรรยาาาตัวเองอีก ฮึ่ย!!!


ใบบัวน่ารัก 5 ส.ค. 2557, 07:07:56 น.
รัก
รักพี่มัตเข้าแล้วอะดิน้องเลิฟ
ค่อยๆเรียนรู้ไปคิคิ บทภรรยาด้วยนะคิคิ
อดีตเยอะจัง มีปมปริศนา ไปหา พี่กล่องรากบุญไหม บอกความจริง
พี่มัตรักน้องเลิฟไหม


นักอ่านเหนียวหนึบ 5 ส.ค. 2557, 09:51:59 น.
โอ้ยยย ลึกลับซับซ้อน ซ่อนเงื่อน เปื้อนปม555


แล่นแต๊ 5 ส.ค. 2557, 16:50:24 น.
รอการมาของอินทุภาค่ะ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account