พ่ายพรหมลิขิต
พลับพลึงทำงานด้านสถาปัตย์ประจำอยู่ที่เชียงใหม่วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบบ้านพักของธนดลโดยไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอกลับต้องมารับบทเจ้าสาวของเขาเนื่องจากญาติผู้น้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้าหนีออกจากบ้านก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ด้วยเสียงขอร้องแกมบังคับของป้าและลุงทำให้พลับพลึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะหากเธอปฏิเสธป้าก็อ้างว่าหล่อนกับสามีจะต้องถูกอีกฝ่ายฟ้องจนถึงขั้นล้มละลาย เพราะนอกจากธนดลจะเป็นเจ้าบ่าวแล้วยังเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย พลับพลึงจำยอมตกเป็นเจ้าสาวสำรองจนกว่าปิติและพิลาวรรณจะนำเงินมาชดใช้หนี้สินได้หมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของคนสองคน....
Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 13

13

ธนดลเดินเข้ามาหาพลับพลึงซึ่งนั่งคิดงานอยู่มุมทำงานของเธอ โดยเปิดเพียงโคมไฟบนโต๊ะทำงานตัวเดียว เธอเข้ามุมทำงานตั้งแต่ทานอาหารเย็นเสร็จซึ่งไม่ต่างจากธนดลที่เข้านอนไปเลยจนดึกดื่นเขาถึงได้ออกมาข้างนอกอีกครั้งเพราะสะดุ้งตื่นกลางดึก
“ไม่หนาวบ้างหรือไงคุณ”

คนนั่งคิดงานสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินเสียงเอ่ยทักจากข้างหลังเวลาดึกดื่นบรรยากาศเงียบเชียบแบบนี้ยังมาเงียบๆ ใครบ้างจะไม่ตกใจ พลับพลึงยกมือขึ้นทาบอกแล้วผ่อนลมหายใจ นี่ถ้ามีภาวะของโรคหัวใจคงช็อคตายคาโต๊ะเมื่อตั้งสติได้จึงเอี้ยวตัวไปหาชายหนุ่ม

“ขอร้องคราวหน้ากรุณาส่งเสียงก่อนถึงตัวก็ดีนะคะ ทำแบบนี้ฉันอาจจะช็อคตายได้ง่ายๆ” พลับพลึงต่อว่า แต่ชายหนุ่มก็เถียงทันควัน

“ผมก็ไม่ได้มาเงียบๆ นะ อย่างน้อยก็เสียงเปิดปิดประตูห้องนอนล่ะ คุณน่าจะได้ยิน”
พลับพลึงค้อน เวลาทำงานเธอจะไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
“ช่างเถอะ แล้วคุณมีเรื่องอะไรกับฉันถึงได้ออกมาดึกดื่น”

“ก็เห็นยังไม่เข้าไปนอน”
“ทำไม จะมาชวนฉันไปนอนหรือไง อ่ะ นี่คุณคิดอะไรอยู่หรือเปล่าเนี่ย” ภรรยาจำเป็นหยอกหน้าเป็น

“คิดอะไรบ้าๆ” ธนดลเสียงเข้ม เห็นเขาทำท่าเป็นห่วงเป็นใยหน่อยเอาใหญ่เชียว เขาเดินเลี่ยงออกไปเมื่อเจอถ้อยคำอย่างนั้น แต่ก็ต้องหยุดก่อนเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องจะบอกกล่าว “อ้อ เรื่องหนี้สินของลุงกับป้าคุณผมกำลังให้เลขาฯ จัดการ”
“หรือคะ” พลับพลึงลุกพรวดจากเก้าอี้ฉีกยิ้มด้วยความตื่นเต้นเพราะเธอจะได้มีคำตอบให้ป้าเสียที

“เดี๋ยวค่ะ คุณดล” พลับพลึงร้องเรียกไว้เมื่อธนดลจะเดินกลับห้องนอน “พรุ่งนี้ฉันอาจจะกลับค่ำหน่อยนะคะ ฉันต้องขึ้นดอยแต่ถ้าคุณเป็นห่วงรถพรุ่งนี้ฉันจะให้นายส่วยไปส่งที่ไซด์งานฉันจะได้เอารถของบริษัทมาใช้”

“ผมบอกแล้วไงว่าให้ใช้รถที่บ้านคุณนี่พูดไม่รู้เรื่อง” ธนดลชักรำคาญสาวผมสั้น
“ก็ฉันกลัวว่าจะทำรถคุณเสียหายนี่คะ”

ธนดลถอนหายใจแม่สาวผมสั้นช่างประชดเสียจริง เขาไม่ได้ห่วงรถมากมายอย่างที่บอกไปในตอนแรกหรอกแต่ก็ปั้นสีหน้าเข้มเมื่อหันกลับมาเผชิญหน้า
“แค่รถคันเดียวคุณน่าจะดูแลได้”

แล้วเขาก็หมุนตัวเดินจากไปปล่อยให้พลับพลึงอ้าปากด้วยคาดไม่ถึงกับคำตอบที่ได้รับก่อนจะห่อไหล่อย่างเซ็งๆ เขามั่นใจว่าเธอจะสามารถดูแลรถได้ ทั้งๆ ที่เธอยังไม่มั่นใจตัวเองเลย เพราะครั้งล่าสุดก็เพิ่งพารถของบริษัทเฉี่ยวต้นไม้ข้างไซด์งานสภาพลายพล้อยอย่าบอกใครเชียว

รุ่งเช้าพลับพลึงออกจากบ้านตั้งแต่หมอกยังไม่จาง วันนี้เธอจะไปที่บ้านพักตากอากาศโมเดิร์นฮิลอีกครั้ง นอกจากจะไปคุยเรื่องงานที่ไม่ต้องแก้ไขแล้วเธอยังมีเรื่องอยากคุยกับพิมพ์พรรณด้วย อากาศวันนี้ค่อนข้างแจ่มใสถนนไม่ชื้นแฉะเหมือนครั้งก่อนอาจเพราะไม่มีฝนมาหลายวัน บรรยากาศกลางภูเขาแบบนี้ฝนตกไม่เลือกฤดูหน้าหนาวแท้ๆ ยังมีฝนปรอยๆ เป็นระยะๆ ข้างทางนอกจากเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่แล้ว อีกข้างถนนลาดยางที่เพิ่งทำเสร็จไม่นาน ดูได้จากสีของยางมะตอยยังเป็นสีดำสดยังเป็นเหวลึกอีกด้วย พลับพลึงมองลงไปยังเหวลึกเมื่อยามถึงโค้งก็อดเสียวไส้ไม่ได้ เธอยิ้มขึ้นมาอย่างชื่นใจกับรถที่กำลังใช้อยู่ นี่หากว่าเป็นรถกระบะของบริษัทล่ะก็คงได้ลากเกียร์กันยาวเชียวล่ะ แต่คันนี้นอกจากจะขับง่ายแล้วยังไม่เหนื่อยอีกด้วย เกิดเป็นคนรวยมีปัญญาซื้อรถแพงๆ นี่มันดีแท้ ยิ่งขับก็ยิ่งติดใจยิ่งขึ้นดอยสูงหมอกก็ยิ่งหนาแต่มันไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพลับพลึงเพราะเธอไม่ใช่คนชอบซิ่งหรือประมาท ไม่นานกลุ่มหมอกที่หนาคละคลุ้งอยู่ทั่วพื้นที่ก็ค่อยๆ จางและมองเห็นทางเช่นเดิม จนถึงหมู่บ้านชา เธอเรียกหมู่บ้านชาเพราะบริเวณนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่ไร่ชาสุดลูกหูลูกตาตรงไปอีกหน่อยก็ถึงหมู่บ้านซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านชารสเลิศแถมยังกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วหมู่บ้านจนพลับพลึงต้องปิดแอร์แล้วเลื่อนกระจกลงเพื่อสูดกลิ่นหอมที่อบอวลให้ชื่นปอด
ผ่านหมู่บ้านชาไปพอสมควรเธอถึงได้เลื่อนกระจกขึ้น สีหน้ารื่นรมย์ค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นเมื่อเข้าสู่เขตของบ้านพักตากอากาศของเจ้าของโมเดิร์นฮิลล์ คราวนี้คนงานไม่ได้ขวางทางเพื่อถามไถ่ปล่อยให้เข้าไปได้เลย เมื่อประตูบ้านพักตากอากาศเปิดพลับพลึงก็ขับรถไปจอดที่เดิมแล้วก้าวลงจากรถ

“พี่พลับ!”
พลับพลึงมองตามเสียงร้องเรียกเธออ้าแขนกว้างเมื่อพิมพ์พรรณวิ่งเข้ามาหาและโผเข้ากอดเธอด้วยความดีใจ
“ดีใจอะไรนักหนา เพิ่งเจอกันเมื่อวานนี้เอง”
“ดีใจสิคะ พิมพ์นึกว่าพี่จะไม่มาหาพิมพ์อีกแล้ว”

“มาสิ ยังไงพี่ก็ต้องมา”
“เชิญข้างในก่อนสิครับ”
พลับพลึงหันมองคนเสียงห้าวซึ่งเดินเข้ามาสมทบดูเหมือนว่าทั้งสองจะรอคอยการมาของเธออยู่
“คุณรู้หรือคะว่าฉันจะมา”

ชายหนุ่มยิ้มเป็นมิตรแทนคำตอบ แต่พลับพลึงกลับเบ้หน้าแล้วเบือนหน้าหนี
“เข้าบ้านก่อนเถอะค่ะ ขับรถเหนื่อยมั้ยคะ” พิมพ์พรรณชวนคุย
“ก็นิดหน่อยจ้ะ พิมพ์พี่ขอคุยงานกับคุณคาร์เวลก่อนได้มั้ย”

พิมพ์พรรณหน้างอแต่เมื่อพี่สาวพยักหน้าขอร้องเธอก็ไม่ขัด จึงเดินเข้าบ้านเพื่อเตรียมของว่างมาต้อนรับพี่สาวแทน
“เชิญข้างในก่อนสิครับ” แพททริค คาร์เวลผายมือเชื้อเชิญให้หญิงสาวเข้าไปยังมุมหนึ่งซึ่งเป็นมุมทำงานของเขา
“คุณทำแบบนั้นทำไมคะ”

พลับพลึงต่อว่าเมื่อเดินเข้ามาถึงมุมทำงานของชายหนุ่มซึ่งมีกล่องใส่แบบของเธอวางอยู่บนโต๊ะ
“เรื่องอะไรครับ” แพททริคเอ่ยถามเพราะงงที่หญิงสาวตั้งคำถามติดเกรี้ยวแบบนี้
“ก็เรื่องแบบไงคะ มุขที่คุณให้แก้ไขทำไมจู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนใจคงไม่ใช่เพราะอยากเอาใจฉันหรอกนะ ฉันบอกแล้วไงคะว่าไม่ต้อง”
“เอ่อ ผมว่าใจเย็นๆ ก่อนนะ”

แพททริคยกมือขึ้นห้ามจะอธิบายแต่กลับถูกพลับพลึงแหวใส่เสียก่อน
“ใจเย็นๆ งั้นหรือ คุณจะให้ฉันคิดยังไงล่ะก่อนหน้านี้คุณสั่งให้แก้นั่นแก้นี่แต่พอรู้ว่าฉันเป็นใครคุณก็ยกเลิกไม่แก้ ถ้าคิดจะเอาใจฉันด้วยวิธีแบบนี้มันไม่ได้ผลหรอกนะ อีกอย่าง คุณได้ดูถูกความสามารถฉันอย่างร้ายกาจ”
แพททริคถอนหายใจ สถาปนิกสาวต่อว่าเขาน้ำไหลไฟดับเชียวดูเหมือนจะขัดจังหวะเธอไม่ได้เสียด้วยจึงรอให้เธอต่อว่าเขาจนพอใจแล้วจึงได้เริ่มอธิบาย

“โอ.เค พอใจคุณแล้วนะทีนี้คงจะฟังผมได้บ้าง” แพททริคอมยิ้มเมื่อเห็นอาการหอบหน่อยๆ ของหญิงสาว “ผมไม่ได้คิดจะทำแบบนั้น ผมไม่เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานสาบานได้ และที่งานของคุณยังคงเหมือนเดิมเพราะผมเห็นแล้วว่ามันสวยกว่าที่ผมคิดไว้จริงๆ ใช่ ตอนแรกผมให้เหตุผลกับคุณตระการไปว่าอยากได้แบบล้านนามากหน่อยโอ.เค. แบบที่ผมสั่งแก้อาจจะไม่ตรงใจผมมากนัก แต่เมื่อฟังเหตุผลของคุณเมื่อวานว่า หากแก้ไขอาจจะมีผลกระทบต่อโครงสร้างบางส่วน ต้องเสียเวลาคำนวณกันใหม่ซึ่งอาจจะต้องเสียเวลาพอสมควร เมื่อมาคิดดูแล้ว ถ้าต้องเสียเวลาไปอีกผมก็คงไม่ชอบใจเท่าไหร่ แล้วแบบที่คุณทำมาก็ใช่ว่าจะไม่สวยซะทีเดียว มันก็ดูสมดุลย์ดี ผมเลยคิดว่ายอมทำตามที่คุณแนะนำดีกว่าอย่าอคติสิครับ ผมเองก็แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานนะ” แพททริคยิ้มท้าทาย

“ใครว่าล่ะฉันก็แค่อยากทำตามใจลูกค้าเท่านั้น” พลับพลึงเฉไฉเสียงอ่อนลงมาก
“ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือได้เลย แบบนี้สมบูรณ์แบบแล้ว ผมคิดว่าถ้าอาคารสำนักงานหลังนี้สร้างเสร็จมันจะโดดเด่นและสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้แวะเวียนเข้าไปดูภายในของรีสอร์ทได้อย่างมากทีเดียว”

“คุณชมฉันเกินไปแล้ว” พลับพลึงเกิดอาการเขินขึ้นมาเมื่อถูกฝรั่งตาน้ำข้าวเอ่ยชมแล้วยังทำหน้าตาตื่นเต้นจนเธอหัวใจเต้นตาม
“มันไม่เกินจริงหรอก ผมพูดตามสิ่งที่เห็น คุณคงจะหมดคำถามแล้วนะครับ”
“ค่ะ หมดคำถาม”

“ถ้าอย่างนั้นเราน่าจะไปหาพิมพ์กัน ป่านนี้คงคอยแย่แล้ว เธอคิดถึงคุณมากนะ” หนุ่มลูกครึ่งพูดเอาใจ




พลับพลึงใช้เวลาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศจนบ่ายคล้อย พิมพ์พรรณที่ใครๆ ก็มองว่าพูดน้อย เรียบร้อย แต่หญิงสาวจะช่างเจรจาขึ้นมาทีเดียวเมื่ออยู่กับพี่สาว พลับพลึงเองก็รู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้มาพักผ่อนรวมถึงแพททริค คาร์เวลเองก็ทำตัวสนิทสนมกับเธอมากขึ้นจนรู้สึกคุ้นเคยกันในเวลาอันสั้น ก่อนที่พลับพลึงจะบอกลาเมื่อรับอาหารว่างยามบ่าย พิมพ์พรรณอ้อนอยู่นานทีเดียวเพราะอยากให้พลับพลึงค้างที่นี่ซักคืน แต่พลับพลึงต้องปฏิเสธเพราะเกรงใจแพททริค และไม่อยากตอบคำถามของธนดลด้วย อีกอย่างพรุ่งนี้เธอยังมีงานต้องทำตระการยังรอแบบจากเธออยู่เพื่อจะได้ส่งให้วิศวกรดำเนินงานในขั้นตอนต่อไปแต่เธอก็บอกกับพิมพ์พรรณอย่างเอาใจน้องสาวว่า 'จะขึ้นมาหาบ่อยๆ' เพียงแค่ขับรถออกมาพ้นเขตหมู่บ้านชาพลับพลึงก็ดุตัวเองเพราะคุยเพลินจนลืมเวลากว่าจะบ้านคงเย็นย่ำ ช่วงโพล้เพล้แบบนี้นอกจากอากาศจะเย็นเยียบแล้วหมอกยังลงหนาทำให้ทัศนะวิสัยในการขับขี่ลดลง

“ให้ตายเถอะ ทำไมหมอกหนาจัง ข้างหน้าโค้งอันตรายด้วย เพี้ยง! อย่าเพิ่งมีรถสวนมาเลยนะ ไม่น่าเพลินเลยให้ตายสิ” พลับพลึงภาวนาตามด้วยบ่นตัวเอง

หากว่ายกมือขึ้นพนมได้เธอก็คงจะทำไปแล้ว ทางลงจากหมู่บ้านชาเป็นหุบเขาซับซ้อนแดดส่องไม่ถึงเสียด้วยแต่หากพ้นบริเวณนี้ไปได้ก็จะขับรถได้สบายขึ้น

ในใจหวิวๆ ขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น ยอมรับว่าไม่เคยขับรถคนเดียวในยามมืดค่ำแบบนี้มาก่อน พลับพลึงกลั้นหายใจก็หลายครั้งเมื่อยามผ่านโค้งอันตรายที่ค่อนข้างชันแต่ก็ผ่านมาได้โดยสวัสดิภาพจนลงจากหมู่บ้านชาได้อย่างปลอดภัยเธอจึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ผ่านช่วงโค้งข้างหน้าก็เข้าสู่เขตบ้านพักของธนดลแล้วพลับพลึงหลับตาเพื่อปรับม่านตาเมื่อแสงแดดกำลังจะหมดลง

เอี๊ยดดด!!!
หญิงสาวเหยียบเบรคกะทันหันเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่ามีอะไรบางอย่างวิ่งผ่านหน้ารถ ลักษณะคล้ายแมวแต่ว่องไวกว่า
“ไม่นะ!”

เธออุทานเมื่อรู้สึกว่ารถกำลังไถลอาจเพราะเธอเหยียบเบรคแรงเกินไปท้ายรถเลยปัดจนเสียหลักบวกกับถนนเป็นดินค่อนข้างชื้นท้ายรถจึงปัดป่ายเซไปมาจนเธอไม่สามารถบังคับรถให้หยุดได้แม้จะเหยียบเบรคจนมิดแล้วก็ตามที
“อ้าย!....”

พลับพลึงร้องเสียงหลงเมื่อรับรู้ถึงสิ่งกีดขวางข้างหน้ากำลังจะหยุดรถของเธอ แต่...ไม่มีวันซะหรอกที่จะปล่อยให้รถชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่เธอหักหลบเฉียดฉิวไปได้ แต่ก็ยังไม่โล่งอกเสียทีเดียวเพราะรถนั้นแล่นเข้าป่าข้างทางโดยใช้ตอไม้เป็นเบรค
ปัง!

พลับพลึงหายใจแรงเมื่อรถจอดสนิท เหตุการณ์เมื่อครู่หากเธอขาดสติทุกอย่างคงจะเลวร้ายกว่านี้ ไม่แน่ว่าหากหักพวงมาลัยผิดด้านรถอาจจะลงไปนอนก้นเหวนี่ถือว่าโชคดีที่แค่หม้อน้ำแตกควันโขมงเท่านั้น เพิ่งโล่งอกจากการรอดชีวิตหวุดหวิดพลับพลึงก็ต้องกังวลอีกครั้ง นอกจากหน้ารถที่จูบเข้ากับตอไม้แล้วยังมีอีกหนึ่งปัญหา ใช่ จะเอารถออกจากตรงนี้ได้อย่างไร!





แก้วมุกดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ส.ค. 2557, 09:24:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ส.ค. 2557, 09:24:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1438





<< พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 12   พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 14 >>
parinratn 4 ส.ค. 2557, 22:57:14 น.
มาต่ออีกนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account