ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 7 (2/3)

----------------------------------------------------



ถิรมนมาถึงบริษัทประมาณตอนเที่ยงของวัน พนักงานหลายคนเริ่มเธอจำได้ พวกเขายิ้ม ทักทาย และไหว้เกือบตลอดทางตั้งแต่เดินผ่านประตูอาคารสำนักงานใหญ่เข้ามา ถิรมนยิ้มรับและไหว้กลับเช่นกัน เท่าที่ทราบคนส่วนมากในนี้ก็แทบจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นป้า รุ่นน้า รุ่นอา รุ่นลุง กันทั้งนั้น จะเหลืออายุใกล้กันหรือน้อยกว่าก็ไม่มากนัก จะอย่างไรธรรมเนียมอาวุโสคือเรื่องสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามในองค์กรการทำงานในประเทศไทย แม้อีกฝ่ายมีตำแหน่งเล็กกว่าก็ต้องให้ความสำคัญ การอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการทำงานในระบบสังคมนับความอาวุโส

บิดาของเธอเพิ่งจะย้ำเตือนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้ที่ได้เข้าเยี่ยม ท่านสอนหลายอย่างเกี่ยวกับการประคองตนในสังคมการทำงานเช่นนี้ว่าควรทำอย่างไรจึงจะปลอดภัยที่สุด

‘สังคมการทำงานในไทยที่ดีก็มี ที่ขี้อิจฉาก็เยอะ น้องเลิฟต้องมุ่งเรื่องงานให้มาก ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีที่สุด อย่าสนใจคำพูดหรือสายตาคนอื่น เพราะยังไงเราก็หนีไม่พ้นเรื่องพวกนี้ คนบางคนมักหาข้อด้อยของคนอื่นมาเหยียบย่ำเพื่อให้ตัวเองดูดีก็มีไม่น้อย ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่ว่ายังไงเราไม่มีทางหนีพ้น ต่อให้ใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่พ้น เพราะฉะนั้นอย่าเอาใจไปรับรู้ อย่าเอาใจไปใส่กับสิ่งพวกนี้ ทำงานในหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แต่ถ้าไม่ไหว ก็อย่าไปคิดว่าจะหางานใหม่ที่ดีกว่านี้ไม่ได้ เพราะยังมีที่ที่เหมาะกับเราอีกมาก อย่ากลัวว่าจะไม่มี ยกเว้นว่าพอใจแล้วกับตรงที่ทำอยู่นี่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่สถานการณ์ของน้องเลิฟไม่ใช่แบบนั้นที่จะลาออกแล้วหางานใหม่

‘พ่ออยากให้น้องเลิฟคิดเพียงว่าตัวเองเป็นแค่เด็กฝึกงาน พร้อมเรียนรู้ทุกอย่างและอดทนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ถึงใครจะให้ความเคารพ ให้เกียรติว่าน้องเลิฟเป็นคนของผู้ใหญ่หรือเป็นเจ้านายเพราะนั่งแท่นผู้บริหาร แต่เราก็ต้องทำตัวเป็นคนมีสัมมาคารวะ อย่าหยิ่งจองหอง เพราะจะทำให้คนมีอคติต่อเราได้ แต่ก็ต้องไม่อ่อนน้อมจนกลายเป็นคนอ่อนแอ ต้องเป็นตัวเราที่เข้มแข็งและพัฒนาศักยภาพให้คนเขาเกรงใจ’

ถิรมนยิ้มกับตัวเอง หนึ่งในคำสอนของบิดาผุดขึ้นมาย้ำเตือน เวลาสิบห้านาทีมีค่าเสมอ อาจมีบ้างที่คุยเรื่องจุกจิกไร้สาระ แต่ทุกถ้อยคำของท่านแฝงความเป็นห่วงและชี้แนะแนวทางที่ดีที่สุดให้เธอตลอดเวลา เต็มไปด้วยความห่วงใย

การไปเยี่ยมท่านวันนี้แตกต่างจากเดิมตรงที่ไม่ต้องไปนั่งรอหลายชั่วโมงเพื่อจองคิว แต่ส่วนอื่นนั้นเป็นเหมือนครั้งก่อนๆ ท่านยังคงยิ้มแย้มแจ่มใสและมีคำสอนดีๆ ให้เธอเสมอ

ถิรมนคิดและลำดับแผนงานของวันนี้ในใจ ช่วงบ่ายไม่มีอะไรนอกจากศึกษาเอกสารบางอย่างเพิ่มเติม จะมีก็แต่ตอนเย็นที่ต้องออกไปดูงานนอกสถานที่กับปภาวี

“คุณถิรมนคะ”

ถิรมนหันไปตามเสียงเรียก นันทิดานั่นเอง หล่อนแทบจะวิ่งเข้ามา เหตุใดจึงกลัวว่าจะตามไม่ทันถึงขนาดนั้น เพราะเธอยังอยู่กลางโถงล็อบบี้ ไม่ได้เดินเร็วนักและยังไม่ถึงลิฟต์

“มีอะไรหรือคะคุณนัน” ถิรมนหยุดรอ

นันทิดามายืนอยู่ตรงหน้า หอบนิดๆ ให้เห็น “คุณปรมัตถ์สั่งให้มาเรียนว่า ให้คุณถิรมนรออยู่ที่นี่เลยค่ะ ไม่ต้องขึ้นไป คุณปรมัตถ์จะพาไปห้องเสื้อ ดิฉันโทรฯ บอกคุณปรมัตถ์ตอนเห็นคุณลงจากรถแล้วค่ะ”

นี่หล่อนยืนเฝ้าเลยหรืออย่างไรกัน

ถิรมนขมวดคิ้ว “ไม่เห็นพี่มัตถ์นัดไว้นี่นะคะ” แล้วมองนาฬิกา ‘เที่ยงกับอีกสิบห้านาที’

นันทิดามองถิรมนอึ้งๆ “ดิฉันทราบแค่...” แล้วกะพริบตาปริบๆ “คุณปรมัตถ์ให้มาเรียนให้ทราบเท่านั้นค่ะ ให้ลงเวลานัดตั้งแต่เช้าแล้วด้วยนะคะ นี่ก็ให้ดิฉันมาดักรอตามคำสั่งค่ะ”

ถึงคราวถิรมนอึ้งบ้าง “แล้วทำไมพี่มัตถ์ไม่โทรฯ มาละคะ”

นันทิดามองเธอเหมือนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี “ไม่ทราบค่ะ” หล่อนตอบเสียงแผ่ว

ทันใดนั้นหางตาของถิรมนก็เหลือบแลเห็นรถยนต์คันงามของปรมัตถ์เข้าเทียบจอดที่หน้าตึก จึงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายใบย่อมของตนเองขึ้นมาทันที กดหมายเลขหาปภาวี

“น้องเลิฟว่าไงลูก” เสียงปลายสายดังมา

“อามุกจะให้น้องเลิฟไปทำธุระกับพี่มัตถ์เหรอคะ”

“น้องเลิฟมาถึงแล้วเหรอลูก มัตถ์มาแล้วใช่มั้ย”

ปภาวีไม่ตอบว่าใช่ แต่ความหมายของประโยคนี้คือการยืนยันว่าข้อความที่นันทิดาบอกเป็นเรื่องจริง

“ค่ะ”

“มีงานเลี้ยงอาทิตย์หน้าจ้ะ น้องเลิฟยังไม่มีชุดเลย อาเองมีธุระด่วน สุธาต้องไปกับอาด้วย เลยให้น้องเลิฟไปกับมัตถ์ก่อน จะได้ไม่เสียเวลากัน เพราะยังไงมัตถ์ก็ต้องออกไปหาลูกค้าแถวนั้นอยู่แล้ว อาเลยฝากไป ดูแลตัวเองด้วยนะน้องเลิฟ”

เกิดอาการพูดไม่เป็นเมื่อได้ยินประโยคนี้

และเหมือนปภาวีจะรับรู้ หล่อนเอ่ย... “อาเห็นว่าเป็นเรื่องดีที่จะเริ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน อย่างน้อยคนภายนอกจะได้เห็นว่าที่แต่งงานน่ะไม่ได้มีอะไรอยู่เบื้องหลัง อีกอย่าง...ถ้าสร้างความคุ้นเคยกันไว้จะได้ง่ายเวลาทำงาน มัตถ์เองก็จะได้ไว้ใจน้องเลิฟด้วย อ้อ...เรื่องไปดูงานช่วงเย็นที่อานัดไว้ น้องเลิฟไปกับมัตถ์ได้เลยนะลูก อาบอกไว้แล้ว ไปเจอกันที่นู่นเลย”

เหมือนโดนอะไรหนักๆ ทับลงมาอีกที หายใจไม่ค่อยจะออก ถิรมนมองนันทิดาครั้ง มองไปทางรถของปรมัตถ์ครั้ง และแอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ อีกครั้งโดยไม่ให้ใครรู้กริยานี้ของตนเอง ตอบปภาวีไปเพียง...

“ค่ะ”

“เท่านี้นะน้องเลิฟ สวัสดีจ้ะ” แล้วสัญญาณโทรศัพท์ก็ตัดไป

ถิรมนหันมายิ้มให้นันทิดา “ขอบคุณนะคะคุณนัน”

เลขานุการิณีของปรมัตถ์มองเหมือนจะถามว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ถิรมนจึงยิ้มกว้างสดใสที่สุดแทนการเอ่ยบอกว่าเรียบร้อย ไม่มีปัญหา

ทว่าในใจของเธอนะหรือ... ‘ยังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ ก็ต้องเผชิญหน้ากับปรมัตถ์เสียแล้ว’

นันทิดาแยกตัวออกไป ถิรมนแอบพ่นลมหายใจออกมา มองไปยังรถของปรมัตถ์ ไม่รู้ว่าสองคนพี่น้องตกลงกันไว้อย่างไร ปภาวีจึงยินยอมให้เธอไปกับอีกฝ่ายได้ง่ายดายแบบนี้

เริ่มแล้วสินะ... กับการทำตามข้อตกลงที่ให้กันไว้

ถิรมนเดินตรงไปที่รถของปรมัตถ์อย่างไม่ช้าและไม่เร็ว เปิดประตูรถโดยไม่รอเขาอนุญาต

“คิดถึงจัง”

ปากหวานตั้งแต่เธอยังไม่ทันได้โผล่หน้าเข้าไป แต่เสียใจ...วันนี้หัวใจเธอเข้มแข็งขึ้น ไม่หวั่นไหวเหมือนเดิมอีกแล้ว อาจเป็นเพราะได้ภูมิคุ้มกันจากประวัติของอินทุภาและจากท่าทีของปภาวีก็เป็นได้ แต่ก็ยังยิ้มให้ชายหนุ่มเมื่อนั่งบนเบาะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเสี้ยวหนึ่งของความคิดยังตะโกนย้ำถึงภาระที่ได้รับมอบหมาย ไม่ดีแน่ถ้าแสดงอะไรออกไปให้ปรมัตถ์รับรู้ถึงความผิดปกติ

“แววตาเปลี่ยนไปนะเรา”

แทบจะหุบยิ้มทันทีที่ได้ยิน เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอเปลี่ยนไป ช่างสังเกตเสียจริง จึงหลบหน้าด้วยการหันมาดึงเข็มขัดนิรภัยคาดตัว

“เป็นไงบ้าง” ปรมัตถ์ถาม มองถิรมนที่ยังง่วนอยู่กับการกดเข็มขัดนิรภัยให้เข้าล็อกที่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จสักที

ถิรมนเงยหน้าขึ้นมา “ดีค่ะ” ซึ่งหญิงสาวไม่อาจล่วงรู้ว่าภายใต้แว่นตากันแดดบดบังใบหน้าหล่อเหลาเกือบครึ่งหนึ่งนั้นกำลังรู้สึกเช่นไรเพราะยังจ้องหน้าเธอไม่หันไปมองทางอื่น ถิรมนจึงพยายามยิ้มอย่างจริงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้

ริมฝีปากสวยได้รูปของอีกฝ่ายโค้งขึ้น ยิ้มสดใสเป็นกันเอง “พี่โดนอัดเป็นชุดเรื่องล้ำเส้น” พูดแค่นั้นก็หันหน้าออกไป ปลดเบรก เข้าเกียร์ ออกรถทันที

ในใจของถิรมนคิดเพียงว่าปรมัตถ์พูดตรงดีจริง แต่เธอก็ได้แค่ยิ้มและเงียบ ไม่ต่อปากต่อคำ

“ไม่ดีอย่างที่พูดแล้วมั้ง” ปรมัตถ์เอ่ยหลังจากขับรถออกมาได้ครู่หนึ่ง “โดนดุท่าไหนมาล่ะ ถึงได้เงียบกริบ”

ถิรมนยิ้มให้ “ไม่โดนดุค่ะ แค่ไม่อยากทำให้พี่มัตถ์โลเล”

“หืม?” เขามองถิรมนเร็วๆ ก่อนจะหันไปมองถนน หัวเราะในลำคอ “คนอย่างพี่ไม่เคยโลเลนะ ความหมายที่เธอจะสื่อคือลังเลหรือเปล่า ถ้าอย่างหลังนี่พอยอมรับได้หน่อย แต่พี่ไม่มีนิสัยโลเลแน่ๆ”

ถิรมนยังไม่ทันคิดอะไรมากกว่านั้น ก็ได้ยินปรมัตถ์พูดว่า

“จะโลเลหรือลังเลก็ช่าง พี่รู้แค่ว่าเคมีเราก็เข้ากัน...จบมั้ย มันเพอร์เฟ็กต์ตั้งแต่แรกเจอแล้ว ไม่เห็นต้องกังวลอะไรนี่ ยิ่งตอนนี้แทบไม่มีผลอะไรด้วย” เขาหันมามองนิดหนึ่ง

ทว่าในใจของถิรมนคิดเพียงว่าสำหรับเขาอาจไม่มีผลกระทบ แต่สำหรับเธอมีแน่นอนไม่มากก็น้อย

และคำพูดที่ได้ยินนั้น... หากเป็นเมื่อวานเธอคงได้ละลายกองอยู่แถวนี้เป็นแน่ เพราะความหมายที่ปรมัตถ์จะบอกคือ ‘แน่ใจแล้วกับสิ่งที่เลือก โดยเฉพาะเรื่องของเธอและการแต่งงานหลอกๆ ซึ่งตอนนี้เขาเต็มใจรับ’

แต่เธอจะไม่หลงคารมของเขาอีกครั้ง การพาหัวใจไปให้ไกลจะช่วยให้เจ็บช้ำน้อยที่สุด การมีระยะห่างในใจและระยะห่างระหว่างความสัมพันธ์ย่อมเป็นกำแพงป้องกันเธอได้ ช่วยลดอัตราความเสี่ยงกับอารมณ์ที่เธอรู้ดีว่าตัวเองเป็นเช่นไร ซึ่งนั่นหมายความว่าต่อให้โดนแทะเล็มมากแค่ไหน เธอก็จะต้องยืนหยัดแข็งแกร่งให้ได้มากเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

และกว่าจะครบสัญญาสี่ปี เธอก็คงจะรอดพ้นได้อย่างสวยงาม หัวใจยังแข็งแรง ไม่เสียหายนักเมื่อต้องจากกัน

ถิรมนไม่ได้ตอบอะไร นั่งเงียบและรับฟังอย่างเดียว

“เธอทำพี่เกร็งไปด้วยนะเลิฟ”

ถิรมนมองเขานิดหนึ่ง หันกลับไปมองถนนเรื่อยเปื่อยไม่พูดอะไร ปล่อยความเงียบโอบล้อมเอาไว้ กระทั่ง...

“ไปทำอะไรมา” เสียงนั้นแสดงความเคร่งขรึมจริงจัง

“ไม่ได้ทำอะไรค่ะ” ถิรมนบอกด้วยเสียงปกติ ไม่แข็งกระด้าง เพียงแค่ไม่หันหน้าไปมองชายหนุ่ม

ปรมัตถ์ส่งเสียง “หึ” ในลำคอ ปรับแอร์ให้เย็นขึ้นทั้งที่เย็นอยู่แล้ว “พี่มุกบอกหรือเปล่า ว่าเสาร์หน้าเราต้องออกงานคู่กัน”

“บอกแล้วค่ะ แต่เพิ่งรู้ว่าเป็นวันเสาร์ตอนที่พี่มัตถ์พูดนี่เอง เลิฟจะทำให้ดีที่สุดค่ะ”

ปรมัตถ์ถอนหายใจออกมา “เมื่อวานยังแทนตัว ‘น้องเลิฟ’ อยู่เลย ห่างกันไม่เท่าไหร่กลายเป็น ‘เลิฟ’ ไปซะแล้ว โลเลชะมัด”

เขาช่างยอกย้อนทันใจนัก กำลังบอกเป็นนัยว่าการกระทำของเธอต่างหากที่เรียกว่าโลเล ยังดีที่อาการหันมายิ้มแล้วยักคิ้วหลิ่วตาน่ารักๆ ช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดที่คำพูดของเขาเหมือนจะต่อว่าเธอกลายๆ แบบนั้น

ถิรมนยอมรับว่าตัวเองเปลี่ยนไป โดยเฉพาะจุดยืนที่ตั้งหลักได้แล้วหลังจากทราบประวัติของเขากับอินทุภา

“สรุปว่าเป็นอะไร” เขาถาม

ถิรมนคิดว่าท่าทางสบายๆ ของเขาอาจเปลี่ยนแปลงกะทันหันหากรู้ว่าเธอไม่เหมือนเดิมอย่างที่ว่ามาจริงๆ แต่นั่นจะเป็นผลดีหรือเสียต่อเธอก็ต้องคิดให้หนัก

“สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนค่ะ” ตอบด้วยความอ่อนโยนมากกว่าที่เคยเป็นนิดหนึ่ง

ปรมัตถ์พยักหน้ารับรู้ ไม่พูดอะไรต่อ

แต่ความเงียบที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะปรมัตถ์คงไม่เป็นผลดีต่อเธอแน่หากปล่อยให้เรื้อรังหรือไม่แก้ไข อย่างน้อยก็ควรลดความเหินห่างที่ปรมัตถ์รู้สึกได้และแสดงออกเช่นนี้ จึงตัดสินใจ...

“พี่มัตถ์ไม่โกรธน้องเลิฟใช่มั้ยคะ” โดยใช้คำแทนตัวที่เขาต้องการได้ยิน

ปรมัตถ์หันมามอง “พี่จะโกรธเธอเรื่องอะไร แต่เธอพูดแบบนี้ พี่ว่ามันมีอะไรแปลกๆ อีกแล้ว”

เขาจะช่างสังเกตเกินไปไหม จับทางได้ทุกประโยคที่เธอพูดเลยเชียวหรือ

ถิรมนแอบสูดลมหายใจเข้าลึก ย้ำในใจว่าอย่ากลัว อย่ากดดัน ควรเป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด พึงมีสติเข้าไว้ อย่าได้แสดงกริยาว่าผลักไสเกินงาม หรือยอมอ่อนข้อให้เขาอย่างผิดปกติ เพียงแค่นี้ปรมัตถ์ก็จับได้ถึงความเปลี่ยนแปลงชนิดฉ็อทต่อฉ็อท

‘หากไม่ชอบอะไร หรือไม่ถูกใจอะไรก็ให้เก็บเอาไว้ อย่าแสดงออกเกินพอดี โดยเฉพาะคนร่วมงาน ต้องดูความเหมาะสมและวางตัวให้ดี จะรัก จะชอบ หรือจะชัง ก็อยู่ที่ใจทั้งนั้น ต้องป้องใจตัวเองที่ใจ ไม่ใช่การกระทำให้คนอื่นเห็น เพราะนั่นจะเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว’ คำพูดของบิดาดังมาตอกย้ำ ท่านเพิ่งเตือนเธอเมื่อเช้านี้หลังจากเล่าว่าเริ่มทำงานและเรียนรู้อะไรไปบ้างแล้ว

ถิรมนคิดว่าควรทำตัวเหมือนเดิมน่าจะดีที่สุด คงไม่ดีหากปรมัตถ์รู้สึกแคลงใจ และหลังจากนี้เป็นต้นไปก็ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน จึงควรทำให้เขาเชื่อใจดังที่ปภาวีว่ามา

“เราจะไปไหนกันคะพี่มัตถ์”

“โอเค... น้องเลิฟคนเดิมกลับมาแล้ว”

นั่นเขามีเครื่องมืออะไรเป็นตัวชี้วัดกันนะ ถึงรู้ว่าเธอจริงใจหรือไม่จริงใจมากแค่ไหน เรดาร์จับความรู้สึกอย่างนั้นหรือ ชักน่ากลัวเสียแล้วสิ

ถิรมนรีบพูดกลบเกลื่อน “เราจะคุยเรื่อยเปื่อยไม่มีสาระตลอดทางเลยหรือคะ”

“ไม่มีสาระบ้างก็ดี ชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องฉลาดหรือต้องเก๊กตลอดเวลา”

ถิรมนไม่เอ่ยอะไร ยิ่งพูดกับเขามากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกแพ้ทาง สัญชาตญาณของเธอตอบรับการสนทนาของเขาอย่างตื่นตัวทุกครั้ง ซึ่งเป็นตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันก็ว่าได้

‘คงต้องต้องค่อยๆ ฝึกไปแล้วล่ะเลิฟ เข้มแข็งไว้นะ...เข้มแข็ง เราทำได้...ทำได้ ไม่ต้องบังคับตัวเองมากเกินเราก็ทำได้ ใจแข็งได้’ ให้กำลังใจตัวเองแบบนั้นแล้วจึงพอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

“กินข้าวมาหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วค่ะ เพิ่งทานก่อนเข้ามานี่เอง”

ปรมัตถ์หันมามองแวบหนึ่งและหันกลับไป “พี่โทรฯ หาลุงจา ทำไมแกบอกว่ายังไม่ได้กินข้าวเลย”

“ลุงจาลืมบอกหรือเปล่าคะว่าน้องเลิฟซื้อขนมปังจากร้านสะดวกซื้อตอนขากลับ กินบนรถแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาทำงาน”

“แล้วตอนเช้ากินข้าวหรือยัง”

“แต่ตอนเที่ยงกินอิ่มไปแล้วค่ะ”

“เธองอนอะไรพี่หรือเปล่าเลิฟ” เขาถามด้วยอาการของผู้ใหญ่ที่หาความจริงจากเด็กโกหกทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเด็กไปทำอะไรมา เพียงแต่ไม่ไล่เบี้ยให้ได้อับอาย

แผ่นหลังของถิรมนร้อนวาบเมื่อได้ยิน เม้มปากอย่างไม่ตั้งใจ เขารู้จริงๆ ว่าเธอมีบางอย่างเปลี่ยนแปลง แต่กระนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังแสดงความอ่อนข้อให้ แฝงความเข้าใจ ไม่คาดคั้น ถิรมนคิดหนักว่าควรทำตัวอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ทั้งที่พยายามปรับปรุงน้ำเสียงกริยาอาการแล้วกลับปิดเขาไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วงานที่รับมาจากปภาวีล่ะ...เธอจะทำอย่างไร จะมีวิธีไหนที่เป็นทางออกดีที่สุด

คิดไปก็แอบมองปรมัตถ์ไป โชคดีที่ว่าเขาตั้งใจขับรถ ไม่ได้มองมาทางเธอ จึงพอหายใจได้สะดวกนิดหนึ่ง

“พี่บอกแล้วว่าเคมีเราสองคนเข้ากัน แค่คำพูดเธอไม่เหมือนเดิมพี่ยังรู้เลย”

แทบสะดุ้งเมื่อเขาเอ่ยทะลุกลางปล้องขึ้นมา อยากกรีดร้องให้ก้องโลก เขาจะรู้มากเกินไปแล้ว

ถิรมนหันไปมองปรมัตถ์จริงจังเลยคราวนี้ ไม่แอบดูเหมือนเดิมอีก “น้องเลิฟวางตัวไม่ถูกค่ะ” เอ่ยอย่างอ่อนน้อมและเลือกคำพูดที่เป็นจริงมากที่สุด ในใจคิดว่าบางทีอาจต้องไปเรียนการแสดงเพื่อจะได้แสดงบทบาทได้สมจริงบ้าง ไม่อย่างนั้นงานที่รับปากปภาวีอาจล่มมากกว่าลุล่วง แค่นี้เขาก็มองเธอทะลุปรุโปร่งไปถึงไหนต่อไหน

“เรื่องอินทุภาด้วยใช่มั้ย”

เหมือนโดนหมัดอะไรต่อยหน้าจนมึน แน่นอกและจุกเสียดจนพูดไม่ออก ได้แต่มองเขาปริบๆ

และเงียบ...เท่านั้นที่ครองโลก

ถิรมนไม่พูดอะไร

ปรมัตถ์ถอนหายใจออกมา “ธุรกิจคือธุรกิจ เรื่องส่วนตัวคือเรื่องส่วนตัว อดีตกับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ก่อนแต่งงานต่างก็มีชีวิตของตัวเอง แต่พอแต่งงานแล้วบางอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนไป ไม่มีอะไรเป็นเหมือนเดิม ถึงจะแต่งแบบไม่รัก หรือแต่งเพราะผลประโยชน์ หรือจะแต่งเพราะอะไรก็ช่าง แต่เราสองคนรู้ดีว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น แต่ถ้าเธอยังทำใจลำบากก็ให้คิดซะว่าระหว่างเธอกับพี่...เราคือคู่ค้าที่มีผลประโยชน์ร่วม” เขาพูดโดยไม่หันมา

“เข้าใจค่ะ” ถิรมนก้มหน้า ครุ่นคิดอยู่ในใจ

ปรมัตถ์ยิ้มนิดๆ ส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางของถิรมน เขาพูดขณะที่ยังมองเส้นทางต่อไป “ไม่หรอก...เธอไม่เข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจ เธอจะคุยกับพี่ตรงๆ ไม่หลบ ไม่ซ่อนอะไรไว้แบบนี้”



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2557, 21:47:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2557, 22:12:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1618





<< บทที่ 7 (1/3)   บทที่ 7 (3/3) >>
แล่นแต๊ 8 ส.ค. 2557, 22:22:45 น.
โอยยย เครียดแทนน้องเลิฟ พี่มัตถ์จะฉลาดรู้ทันไปหนายยยยย


คิมหันตุ์ 9 ส.ค. 2557, 00:06:47 น.
ให้คิดว่าเป็นคู่ค้า. โอ่วใครจะทำได้พี่มัตถ์ก็พูดสิผุ้ชายเย็นชา. ชิส์


แว่นใส 9 ส.ค. 2557, 04:24:28 น.
นายจะเอายังไงแน่นายมัตถ์


ใบบัวน่ารัก 9 ส.ค. 2557, 08:09:56 น.
เคมีเข้ากัน สุดๆๆ จะผสมเคมีอีกเมือไรดี
ฉลาดและแสนรู้จริงพี่มัต เลิฟวางตัวไม่ถูกแล้วนะ
แต่ละคนก็มีความคิดสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำ และความลับเยอะจัง
โถ่แอบเสียใจหรือเปล่าที่ต้องแต่งงานอะพี่มัต


konhin 9 ส.ค. 2557, 10:39:08 น.
ยังปีกอ่อนนักน้องเลิฟ หัดบินเข้าไว้จะได้สู้ได้ซักวันนนนน


OhLaLa 9 ส.ค. 2557, 11:19:07 น.
น้องเลิฟสู้ๆ น้องเลิฟต้องใช้การ์ดป้องกัน ไม่งั้นจะเสียเมืองไป อ่ะ เรื่องเดียวกันมั้ยนี่ โฮะโฮะ หมั่นไส้พี่มัตถ์คนอะไรแสนรู้ไปหมด ให้น้องเลิฟคิดกับตัวเป็นคู่ค้า ถ้าเป็นคู่ค้าก็คงเคี่ยวน่าดู


นักอ่านเหนียวหนึบ 11 ส.ค. 2557, 12:21:19 น.
น้องเลิฟดูเด็กมาๆ ไปเลย
บางที พี่มัตถ์ก็พูดอะไรเข้าใจยากไปนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account