ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 7 (3/3)



สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ ขอบพระคุณจากใจที่ยังติดตามอ่านม่านลวงกันนะคะ ขอบคุณทุกๆ คอมเม้นท์ที่แปะไว้ให้อ้อยได้อ่านแล้วยิ้มตามด้วยค่ะ ดีใจมากมาย

ช่วงนี้ก็เช่นเดิมค่ะ ยุ่งมากมาย โดยเฉพาะการเตรียมต้นฉบับเรื่องนี้เพื่อได้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด และรีไรท์ให้ได้ใกล้เคียงที่สุดกับตัวที่จะส่ง สนพ. เลยไม่ได้แว้บมาตอบเม้นท์บ่อยนัก แต่ยังไงก็รับรู้ทุกข้อความของท่าน และขอบคุณอีกครั้งค่ะที่รักกัน

รัก...
อ้อย/สุชาคริยา


----------------------------------------------------



“ไม่หรอก...เธอไม่เข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจ เธอจะคุยกับพี่ตรงๆ ไม่หลบ ไม่ซ่อนอะไรไว้แบบนี้ คนทำธุรกิจร่วมกันจะเอาแต่ใจตัวเองเหมือนที่เคยทำงานเดี่ยวๆ ไม่ได้หรอกนะ วิถีบางอย่างต้องเปลี่ยน มีอะไรก็ต้องคุยกับหุ้นส่วน”

ถิรมนนั่งฟังเงียบๆ พิจารณาไปด้วย

“รู้อะไรมั้ย... เวลาสี่ปีเหมือนนาน แต่จริงๆ ไม่ได้นานหรอก”

แผ่นหลังของถิรมนร้อนวาบทันที หนาวๆ ร้อนๆ ไม่หยุดกันเลยทีเดียว เขาต้องการจะพูดอะไร

“เรายังมีเวลาศึกษากันและกัน เธออาจรู้ประวัติของพี่มาแล้ว แต่ก็คงแค่คร่าวๆ จากกระดาษ ไม่ได้เจาะลึกนิสัยใจคอของพี่จริงจังว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่สไตล์ไหน”

ปรมัตถ์รู้หรือว่าเธอได้ประวัติของเขามา เขารู้หรือว่าเธอกำลังทำจะอะไร จึงพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำขนาดนั้น

ยิ่งคิด... ในท้องก็ยิ่งมวนวูบขยักขย้อนไม่หยุดเสียแล้ว

“ที่พี่พูดไม่ได้มีความหมายว่าจะกดดันเธอนะ” เขาพูดราวกับมานั่งอยู่ในความคิดของถิรมน

ปรมัตถ์ไม่พูดอะไรต่อจากนั้นอีก เว้นระยะให้ได้หายใจ ประหนึ่งจะทิ้งช่วงให้เธอผ่อนอารมณ์ที่เริ่มแปรปรวนมากขึ้นทุกที

ถิรมนคิดว่าแต้มต่อของเธอกับเขาช่างห่างชั้นกันเหลือเกิน เจอคนแบบนี้คงยากจะต่อกร ทบทวนในใจเงียบๆ จึงได้ข้อสรุปว่าอย่าปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของตัวเองอีกเลย เพราะทำอย่างไรเขาก็คงรู้ทันเป็นแน่ ขอเพียงแค่ระมัดระวังหัวใจให้มากเข้าไว้ และส่วนไหนที่จะไม่ทำให้ปรมัตถ์กับปภาวีมีปัญหากระทบกระทั่งกันก็ให้ยอมรับไปซะ

ปรมัตถ์หันมายิ้มให้ คล้ายส่งกำลังใจว่าอย่ากลัวเขา “พี่พร้อมคุยกับเธอตรงๆ นะ แล้วเธอพร้อมจะคุยกับพี่ตรงๆ มั้ย” เสียงนั้นอ่อนโยนไม่น้อย

“ค่ะ” ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาเป็นจังหวะอย่างระมัดระวังที่สุด

“ว่ามาสิ พี่รออยู่”

“ไม่มีอะไรค่ะ”

แล้วถิรมนก็เกร็งไปทั้งตัวทันทีเมื่อปรมัตถ์ถอดแว่นตากันแดดออกโดยยังถือเอาไว้ หันมามองเธออย่างจริงจัง ใบหน้าหล่อเหลาสงบนิ่งไม่แสดงความรู้สึก นั่นจึงทำให้ถิรมนเกรงว่าอาจเผลอทำอะไรที่ผิดพลาดออกไป โชคดีที่รถติดไฟแดงจึงไม่กังวลเรื่องอุบัติเหตุอีกอย่างหนึ่ง จึงอธิบาย...

“น้องเลิฟแค่ไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไงค่ะ ความสัมพันธ์ของเราเป็นอะไรที่อธิบายยาก แล้วอามุกก็ให้น้องเลิฟเข้ามาศึกษางานกับพี่มัตถ์”

ปรมัตถ์มองมาด้วยแววตาที่บอกให้รู้ว่าเขากำลังรอและตั้งใจฟัง แทบจะกอดอกรอกันเลยทีเดียว การกระทำเช่นนี้ยืนยันสิ่งที่ถิรมนคิดไว้ว่าอย่าได้หลอกเขาเชียวนะ เพราะเขาน่ะนักจับผิดระดับเซลล์อณู ไม่ได้มองผ่านอะไรแบบหยาบๆ ให้รอดพ้นสายตาไปได้ง่ายๆ ส่วนที่เหลือเธอจะหลบหลีกอย่างไรนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งต้องไปหาวิธีเอาเอง แต่ตอนนี้คงต้องเอาตัวรอดแบบเลิฟๆ ไปก่อน

“น้องเลิฟต้องทำงานกับพี่มัตถ์ เลยทำตัวไม่ถูกค่ะ” พูดด้วยเสียงอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็น มองหน้าปรมัตถ์โดยไม่หลบสายตา “สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างอธิบายยาก” และสูดลมหายใจเข้าลึก บอกเขาไปตามความจริง “ประวัติของพี่มัตถ์น้องเลิฟได้รับมาเมื่อวานค่ะ เป็นรายละเอียดคร่าวๆ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร แต่จากที่รู้...คิดว่ายังไงระหว่างเราก็คงต้องมีระยะห่างกันไว้บ้าง จะได้ไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องส่วนตัวของพี่มัตถ์น้องเลิฟคงไม่ยุ่งค่ะ”

เหมือนใจจะเริ่มมา ถูไถแก้ตัวแบบเป็นตัวของตัวเองค่อยรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง หวังว่าเขาจะไม่

“อ้าว ถ้าอย่างนั้นพี่ก็แย่นะสิ” เขาทำท่าเหมือนจะโวยวาย

แต่เขาแย่ตรงไหนกัน... เธอไม่เห็นเข้าใจสักนิด ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้กำลังคิดอะไร แต่ความสงสัยของเธอคงแสดงออกไปชัดเจนทางหน้าตา เพราะปรมัตถ์เอ่ยว่า...

“เธอก็รู้ว่าพี่คิดกับเธอยังไง”

“แต่พี่มัตถ์มีคนรักแล้วนี่คะ” อดไม่ได้ที่จะพูดถึงประเด็นนี้

เขาหัวเราะนิดๆ ท่าทางใจเย็นมาก “แต่เธอคือภรรยาตามกฎหมายของพี่ ส่วนความสัมพันธ์ทางพฤติกรรมเราสองคนก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันไปถึงขั้นไหนแล้ว”

แทบจะอ้าปากค้างทันทีเมื่อได้ยิน ถิรมนมองปรมัตถ์ตาปริบๆ รู้สึกเหมือนมีอะไรติดอยู่ในลำคอทำให้พูดไม่ออก

“หรือจะเถียง”

เหมือนถูกขุดหลุมฝังไปเธอเลยคราวนี้

อยากขอร้องว่าช่วยใส่แว่นตากันแดดกลับไปได้ไหม อย่างน้อยเธอจะได้หายใจสะดวกมากขึ้น ไม่ต้องรับรู้และมองเห็นว่าดวงตาคู่สวยคมกริบของเขากำลังจ้องมองมา ท่าทางจริงจัง ความหมายลึกซึ้งที่ผ่านแววตานั้นบ่งบอกให้รู้ว่าเขาคิดอย่างที่พูด ไม่มีความหมายเป็นอื่นจริงๆ

ทว่านั่นไม่ได้แตกต่างจากมีดคมกริบกำลังสลักชื่อของเขาไว้ในหัวใจของเธอ สลักลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาคือคนที่ผ่านเข้ามาและอย่าได้บังอาจผลักไสให้เป็นอื่นหรือลืมเลือนเขาไปจากใจ

ถิรมนทำได้เพียงแค่นั่งนิ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก

“พี่อาจพูดแรง แต่มันคือความจริงนะ พี่รู้...ว่าเธอก็รู้สึกเหมือนกันว่าระหว่างเรามันมีบางอย่างที่ใช่ ตอนไม่รู้จักกันยังชอบกันได้เลย ไม่อย่างนั้นจะยอมขึ้นเตียงกันได้ยังไง”

เหมือนวิญญาณจะหลุดลอยไปเสียแล้ว แทบหาเสียงของตัวเองไม่เจอ ความร้อนแล่นลิ่วแผ่ซ่านทั่วใบหน้า แต่ละคำของเขาทำให้เธอเหมือนจมน้ำชนิดไม่ต้องหวังจะโผล่ขึ้นมาให้ได้อากาศหายใจ

“พี่มุกไม่ควรเอาไม้บรรทัดของตัวเองไปวัดคนอื่น หรือทำให้คนอื่นคิด ให้คนอื่นทำตามบรรทัดฐานที่ตัวเองต้องการหรือวางเอาไว้ การอยู่เมืองนอกมานานไม่ช่วยเธอให้เข้าใจเรื่องพวกนี้เหรอ ทำไมถึงคล้อยตามพี่มุกกับพี่รองไปได้”

ถิรมนกัดริมฝีปากตัวเองแน่น เบือนหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างทันที มันบ้ามากที่เธอเข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสาร แต่การถูกเลี้ยงดูในภาวะที่ผ่านมากลายเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจ คือตัวตนที่หล่อหลอมเป็นเธอในวันนี้ จึงตอบไปว่า...

“ทุกอย่างที่อามุกกับอารองสอนมาคือสิ่งที่ดีที่สุดค่ะ สอนให้รู้คุณค่าของตัวเอง อาจดูงี่เง่าสำหรับคนอื่น แต่มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่คะ อย่างน้อยน้องเลิฟก็ไม่ได้ไปนอนกับใครมั่วๆ หรือเอาตัวเองไปเสี่ยงติดโรคเพราะสนุกชั่วครั้งชั่วคราว หรือยอมไปนอนกับใครเพราะคิดว่าเขารักซึ่งมันโง่มากที่เอาชีวิตไปเสี่ยงกับความไม่แน่นอนเหล่านั้น น้องเลิฟมีความภูมิใจที่น้องเลิฟเป็นแบบนี้ ส่วนเรื่องของพี่มัตถ์ ยิ่งรู้ก็ยิ่งไม่ควรทำค่ะ” เพิ่งรู้ตัวว่าเสียงตัวเองสั่นก็ตอนนี้นี่เอง

“เลิฟ... หันมามองพี่” เขาพูด เสียงนั้นกึ่งสั่งกึ่งร้องขอ

ถิรมนแทบกลั้นหายใจ หลับตาลง พยายามเก็บความรู้สึกทุกอย่างเอาไว้ในส่วนลึก แน่ใจแล้วว่าไม่แสดงความรู้สึกหรืออาการใดให้ปรมัตถ์เห็นจึงหันกลับมามองเขา

“ถ้าไม่เสียหายอะไรอย่างที่เธอพูดมา เธอจะไม่คิดมาก ไม่มีท่าทางแบบนี้หรอก” แววตาของเขาบ่งบอกว่ารู้ทัน และหันหน้าไปมองเส้นทางเพราะรถเริ่มเคลื่อนตัว

คำพูดและการแสดงออกของปรมัตถ์ถิรมนย่อมรู้ดีว่าเขาไม่ต้องการกดดันเธอ ไม่มีการทับถมหรือต่อว่า โดยเฉพาะคำพูดต่อมา...

“ความสัมพันธ์เราสองคนจะไม่ยุ่งเหยิงถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่เธออึดอัดเพราะถูกเลี้ยงจากคนหัวโบราณ เลยทำให้กลายเป็นกุหลาบแดงที่บานกลางกองหิมะ” พูดโดยไม่หันมามองหน้าถิรมน

เขาช่างเปรียบนัก จึงตอบไปว่า “ไม่ค่ะ น้องเลิฟไม่แคร์ครั้งแรกอะไรนั่นเลย” เพราะเธอไม่ได้แคร์จริงๆ ถึงจะรู้สึกนิดๆ แต่ไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไปให้ดีที่สุด “แต่ที่น้องเลิฟแคร์คือความรู้สึกอามุกค่ะ น้องเลิฟไม่อยากให้อามุกเสียใจหากรู้ว่าน้องเลิฟทำตัวแบบนั้น”

“ทำตัวแบบไหน”

ถิรมนมองอีกฝ่ายนิ่งๆ เขาไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้กันแน่

ทว่าปรมัตถ์ไม่รอให้ถิรมนตอบ เพราะเขาพูดว่า “น่าดีใจแทนพี่มุกนะ ที่เธอแคร์ความรู้สึกมากขนาดนั้นจนไม่คิดถึงตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือพี่แค่ต้องการรู้ว่าทำไมเธอถึงเปลี่ยนไป ทำไมต้องทำตัวห่างเหิน ทั้งที่มันก็เริ่มจะดีอยู่แล้ว”

และเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอก็คงต้องพูดตรงๆ “ไม่มีอะไรค่ะ แค่คิดถึงใจคุณอินทุภา เลยไม่แฮปปี้”

“แล้วเธอรู้เหรอว่าความจริงระหว่างพี่กับอินทุภามันคืออะไร หรือความจริงระหว่างพี่กับผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมาในชีวิตมันเป็นยังไง”

“ไม่ค่ะ น้องเลิฟไม่เคยรู้”

เขายิ้มเหยียด “อย่าโกหกตัวเอง...เลิฟ เพราะถึงเธอรู้ เธอก็ถอยห่างจากพี่อยู่ดี เพราะศีลธรรมบ้าๆ ฝังหัวว่าอย่าแย่งพี่จากใคร นั่นใช่ไหมที่อยู่ในใจของเธอ”

‘บ้าจริง! เขารู้ได้ยังไงกัน’ คิดแบบนั้นก็ยิ่งนิ่งเงียบมากขึ้น

‘บางทีพี่มัตถ์อาจแค่เดาถูกก็ได้’ อยากขอบคุณจากใจที่ความคิดนี้โผล่ขึ้นปลอบประโลม แต่ความจริงจะใช่สักกี่มากน้อยกันที่ว่าเขาเดาถูกน่ะ

“พี่อยากจะถาม... เธอเชื่อข้อความแค่ไม่กี่บรรทัดในกระดาษที่ได้ไป เชื่อประวัติพี่ไม่กี่หน้าโดยไม่คิดศึกษาพี่จริงจังทั้งที่พี่อยู่ต่อหน้าเธอ เธอไม่เคยมองความรู้สึกของพี่ที่มีต่อเธอ แบบนั้นมันยุติธรรมกับพี่เหรอ เชื่ออะไรแบบนั้นเหรอ ทั้งที่พี่พยายามคุยกับเธอตรงๆ นะ”

ไม่มีคำตอบจากถิรมน

“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอถามบางอย่าง... เธอจะตอบความจริงพี่ได้ไหม” เสียงนั้นฟังชัดว่าอ้อนวอน ขอให้มีความจริงใจแก่เขาบ้าง

“ค่ะ”

“ถ้าเรื่องระหว่างเราที่คลับกับโรงแรมไม่ได้เกิดขึ้น เธอจะทำยังไงกับตอนนี้ ที่เราแต่งงานกันไปแล้ว”

“ทำหน้าที่ภรรยาในนามให้ดีที่สุดค่ะ ไม่เกินขอบเขตที่ตกลง”

“ไม่มีความรู้สึกอย่างอื่นเลยเหรอ ”

“ยังไม่รู้จักนิสัยดีค่ะ เลยตอบยาก”

“แล้วถ้าหากข้อตกลงของอีกฝ่ายคือแต่งเพราะผลประโยชน์จริง แต่ยังไงเขาก็ยกย่องให้เกียรติเธอ และรู้ตัวว่าชอบเธอ คุยกับคนตั้งเงื่อนไขว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปนะ และคนตั้งเงื่อนไขก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกแค่อยู่ที่คนสองคนจะคุยกัน ขอแค่ดูแลเธอให้ดี ให้เกียรติเธอ ไม่ทิ้งขว้าง เธอจะชอบเขาไหม”

“ตอบยากค่ะ”

“แล้วถ้าหากผู้ชายคนนั้นเธอชอบแน่นอนล่ะ”

“ก็ขึ้นอยู่กับประวัติด้วยค่ะว่ารักใครไปหรือยัง”

“ทำไม”

“เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ยุ่งค่ะ คิดว่าถ้าตัวเองโดนบ้าง คงไม่ไหวค่ะ สงสารผู้หญิง ต่างคนต่างอยู่ในขอบเขตของตัวเองน่าจะแฟร์กว่า ไม่ยุ่งกันก็ไม่มีใครเจ็บ”

“ยังไงก็ไม่ยุ่งด้วยอย่างนั้นเถอะ”

“ค่ะ”

“ไม่คิดจะชอบเพิ่มหรือใจอ่อนเลย”

“ไม่ค่ะ”

“แต่พี่ชอบเธอ... จำได้ไหม พี่บอกอย่างนี้ตลอด และตอนนี้ก็ยืนยันคำเดิม ว่าต่อให้เราไม่เจอกันที่นิวยอร์ก พี่ก็ยังชอบเธอ”

“น้องเลิฟจำได้ค่ะ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปค่ะพี่มัตถ์” ถิรมนหยุดพูดเพียงเท่านั้น เพราะในใจมีเสียงที่ดังขึ้นมาว่าเธอไม่ต้องการคำว่า ‘ชอบ’ จากเขา แต่เธออยากได้ยินคำว่า ‘รัก’ มากกว่า แม้จะรู้ว่าบ้ามากที่กล้าคิดเช่นนี้ แต่นี่ก็คือความรู้สึกแท้จริงของเธอที่เกิดขึ้น

ทว่าหากคิดอีกมุมหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดี... อย่างน้อยหัวใจของเธอยังพอมีที่ว่างให้ยืนอย่างไม่อ่อนแอจนเกินไป

ระหว่างที่คิด ปรมัตถ์ก็เอ่ยประโยคต่อมา...

“พี่ขอถาม ว่าถ้าไม่เคยมีการแต่งงานเกิดขึ้น แต่เราพบกัน ได้คุยกันเหมือนตอนนี้ ไม่มีเรื่องราวที่นิวยอร์ก ไม่มีประวัติของพี่เรื่องผู้หญิง เธอจะชอบพี่ไหม”

“คิดว่าเร็วเกินไปที่จะตอบค่ะ” นั่นก็เพราะคำตอบของเธอแน่ชัดอยู่ในใจว่า ‘ใช่... เธอชอบเขา’ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหนเธอก็ชอบเขา แต่จะให้ยอมรับอย่างนั้นหรือ

ทว่าปรมัตถ์ไม่รู้สิ่งที่ถิรมนคิด เพราะเขาเอ่ยว่า...

“งั้นไม่เป็นไร ทีนี้พี่ถามเธอ... ว่าถ้าเรื่องคืนนั้นในโรงแรมเป็นเรื่องจริง ผู้ชายคนนั้นตามหาเธอจริง ไม่มีเรื่องการแต่งงาน ไม่มีทะเบียนสมรส ไม่มีเงื่อนไขเฮงซวยมาผูกมัดให้ลังเลสับสน และตอนนี้ผู้ชายคนนั้นกำลังอยู่ตรงหน้าเธอ มาพูดคุยเพราะใจอยากมาหาเธอ เธอจะคิดยังไงกับเขา จะให้โอกาสเขาหรือเปล่า”

เจอหมัดนี้ของปรมัตถ์เข้าไปทำให้ถิรมนแทบตั้งตัวไม่อยู่

“ให้โอกาสค่ะ” แต่ก็ตอบด้วยความจริงและหนักแน่นเช่นกัน

“แล้วถ้าหากผู้ชายคนนั้น”

“พอทีเถอะค่ะพี่มัตถ์” ถิรมนมองเขาตรงๆ “พี่มัตถ์ต้องการอะไรคะ”

“พี่แค่ต้องการให้เธอยอมรับความจริงเท่านั้นเลิฟ ยอมรับปัจจุบัน ไม่ใช่เอาเรื่องอื่นมาเป็นเงื่อนไขจนลืมว่าหัวใจตัวเองต้องการอะไรกันแน่”

ถิรมนถอนหายใจยาว ตั้งสติ และบอกความรู้สึกของเธอให้เขาได้ทราบ “พี่มัตถ์คะ... ความรู้สึกของ ‘ชอบ’ กับ ‘รัก’ ไม่เหมือนกันค่ะ ถึงน้องเลิฟจะโตเมืองนอก แต่ก็ถูกเลี้ยงอย่างคนไทย มีความคิดว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เพราะถึงจะชอบแต่ก็หยุดได้เพราะมันไม่ใช่ ‘รัก’ และตอนนี้สำหรับเราไม่มีเหตุการณ์สมมติ มีแต่เหตุการณ์จริง เพราะฉะนั้นน้องเลิฟต้องอยู่กับความจริงค่ะ”

“พี่บอกตามตรงว่าพี่โกหกตัวเองไม่เป็น” เขาพูดขัดขึ้นมา ถอนหายใจรุนแรง และพูด... “ถ้าเธออยู่กับความจริงที่พูดมา การที่เราคุยกันตรงๆ ตอนนี้เธอยังจะหลีกเลี่ยงพี่ทำไม สร้างกำแพงทำไม หลบเลี่ยงทำไม ในเมื่อเรื่องพี่กับผู้หญิงคนอื่นมันคืออดีตไม่ใช่ปัจจุบัน พี่เป็นผู้ชายนะ...เจอใครชอบใจก็นอนด้วยได้ทั้งนั้นแหละ แต่นั่นก็ก่อนจะเจอเธอ ก่อนจะแต่งงาน ถึงตอนแต่งกับจดทะเบียนสมรสจะไม่รู้อะไรเป็นอะไรก็เถอะ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ พี่รู้ว่าเธอเป็นใคร พี่รู้ใจตัวเอง และปัจจุบันของพี่คือตอนนี้... นี่...ตอนที่เรากำลังคุยกันอยู่นี่ เป็นสามีภรรยากันทั้งนิตินัยและพฤตินัยแล้ว”

“มันพูดยากค่ะพี่มัตถ์”

“เธอเริ่มรวนแล้วนะเลิฟ” เขาพูดอย่างใจเย็น “ถึงตอนแรกเราอาจจะแต่งงานเพราะผลประโยชน์หรือไม่ได้รัก แต่นั่นก็เพราะเราไม่เคยรู้ว่าใครเป็นใคร แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าเธอคือผู้หญิงคนนั้นที่พี่ตามหา คือคนที่พี่ชอบ และปัจจุบันของพี่ก็คือชีวิตของเรา มันไม่ใช่แค่เรื่องงาน ไม่ใช่แค่ผลประโยชน์ ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขบ้าบออะไรนั่น แต่เป็นทุกอย่างที่จะผูกพันต่อเนื่องไปถึงอนาคตของชีวิตเราทั้งคู่ เธอไม่เข้าใจเหรอ”

ถิรมนไม่ตอบ

ปรมัตถ์ถอนหายใจ พูดอย่างใจเย็นที่สุด “ที่พี่คุยกับเธอก็เพราะพี่ให้เกียรติเธอนะ ไม่ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง ถ้าพี่เห็นแก่ตัวมากกว่านี้พี่คงพูดกับพี่มุกไปตรงๆ แล้วว่าเรื่องของเรามันเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหนตั้งแต่ยังไม่มีงานแต่งเลยด้วยซ้ำ ไม่สนเลยว่าใครคิดยังไง หรือเธอจะถูกพี่มุกมองยังไง หรือใครจะคิดกับเธอยังไงถ้ารู้เรื่องของเราก่อนนี้ ซึ่งพี่ไม่แคร์ว่าใครจะมองพี่ด้วยความคิดแบบไหน เพราะพี่ไม่ได้ไปใช้ชีวิตกับเขา แต่พี่ให้เกียรติเธอ...ถึงไม่พูด ถึงได้พยายามคุยกับเธอนอกรอบตลอด แต่เธอกลับปฏิเสธสิ่งที่พี่พยายามทำให้ดีที่สุดสำหรับเราทำไม”

คำพูดนี้ของปรมัตถ์ทำเอาถิรมนพูดไม่เป็น เขาจะตรงประเด็นจนไม่ให้เธอตั้งตัวเลยหรืออย่างไรกัน

ปรมัตถ์ยังพูดต่อ... “เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่คนสองคนนะเลิฟ พี่ยืนยันว่าพี่ไม่เอาชีวิตของตัวเองไปแขวนไว้กับความพึงพอใจของใครหรือคำพูดของใคร แต่เพราะเป็นเธอ...พี่ถึงพูดตรงๆ ว่าหลังจากนี้ชีวิตของเรามันควรจะไปทางไหน ควรหันหน้ามาคุยกันดีๆ มั้ย เพราะถึงจะเริ่มต้นชีวิตคู่กันแบบผิดที่ผิดทาง แต่เราก็ทำที่เหลือให้มันดีที่สุดได้ไม่ใช่เหรอ”

วาจาของปรมัตถ์ฉะฉาน ยืนยันความหมายที่เขาต้องการจะสื่อ ซึ่งเป็นแบบนั้นตั้งแต่ต้น ไม่มีความลังเลให้เห็น

ใช่... ถิรมนยอมรับว่ากำลังโกหกตัวเอง แต่จากภาพที่เห็น จากข้อมูลที่รู้ เธอก็อาจเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งที่โง่หลงคารมของเขาก็เป็นได้ เพราะหากเผลอใจไปมากกว่านี้... ก็แทบมองอนาคตของตัวเองไม่ออกว่าจะเป็นเช่นไร

“ขอเวลาน้องเลิฟหน่อยนะคะ”

“เท่าที่พี่จะทนไหวและอยู่ในขอบเขตที่พี่รับได้ แต่ถ้าไม่ไหว พี่ก็คงต้องบอกเรื่องของเรากับพี่มุกว่าเลิกหวงเธอได้แล้ว ลูกตัวก็ไม่ใช่ จะหวงอะไรกันนักกันหนา เลี้ยงอย่างกับไข่ในหิน ใครแตะก็ไม่ได้ สังคมเมืองนอกเขากล้า เขาฟรีกันยังไง แต่ดันเลี้ยงเธอให้มีความคิดแบบผู้หญิงไทยสมัยโบราณได้นี่ก็สุดๆ แล้ว ทั้งพี่มุกพี่รองนั่นแหละ” ปรมัตถ์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แต่แบบนั้นก็ดี เพราะคนได้ประโยชน์คือพี่ ไม่ใช่ใคร”

ถิรมนยิ่งพูดอะไรไม่ออกกับประโยชน์ล่าสุดที่ปรมัตถ์พูดมา

เขาหายใจเข้าลึก และพูดด้วยเสียงปกติว่า “ที่พี่ไม่พูดก็เพราะห่วงเธอหรอก ไม่งั้นพูดไปนานแล้ว จะมานั่งทนทำไม เธอเองก็ควรจะเลิกห่วงความรู้สึกพี่มุกซะทีแล้วหันมาดูความรู้สึกพี่บ้าง”

และเมื่อถิรมนยังเงียบ ปรมัตถ์จึงเอ่ย...

“สรุปตรงนี้... พี่ยืนยันคำเดิมในส่วนของพี่ คือทำได้เท่าที่ทำ รอได้เท่าที่รอ ปัจจุบันกับอดีตไม่เหมือนกัน ส่วนพี่มุกอยากได้อะไร หรือเธอจะทำอะไรก็บอกพี่มาตรงๆ ให้ได้....พี่จะให้ ทำได้...พี่จะทำ พี่จะรอและไม่บังคับฝืนใจ แต่ขออย่างเดียวว่าอย่าให้พี่รู้อะไรทีหลัง พี่เกลียดคนทรยศที่สุด” เสียงนั้นบ่งบอกถึงความเด็ดขาดและจบการสนทนาเรื่องทั้งหมดแทบจะทันที

แต่ทำไมถิรมนถึงรู้สึกว่ามันบาดหัวใจของเธอให้เจ็บลึกจนพูดไม่ออก เจ็บหน่วงๆ ในอกอย่างที่ไม่อาจจะบอกได้ รู้สึกเหมือนตัวเองถูกต้อนตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มด้วยซ้ำ แล้วภาระของเธอที่มีต่อปภาวีล่ะ...

ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง

ทุกอย่างอยู่ในความเงียบงัน

กว่าครู่หนึ่งปรมัตถ์จึงเป็นฝ่ายทำลายกำแพงความเงียบนั้นเสียเอง “เรื่องของพี่กันอินทุภาเป็นแค่ธุรกิจ หรือต่อให้มากกว่านั้นพี่ก็รู้ขอบเขตว่ามันควรจบลงที่ไหน อย่างน้อยเธอจะได้สบายใจว่าไม่ได้แย่งใครมา เพราะพี่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ถ้าจะยึดทะเบียนสมรส ก็มีเธอแค่คนเดียว”

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ส.ค. 2557, 20:31:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ส.ค. 2557, 22:45:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1837





<< บทที่ 7 (2/3)   บทที่ 8 (1/2) >>
คิมหันตุ์ 13 ส.ค. 2557, 21:13:22 น.
โอ่ะโห้วววววตรงเนอะ. เลิฟก็ดีเกิ๊น ถูกอย่างที่พี่มัตถ์พูดเลยถูกเลี้ยงที่เมืองนอกแต่วางตัวดีกว่าเด็กไทยอีกแฮะ.


แว่นใส 13 ส.ค. 2557, 21:22:18 น.
ก็แฟร์ดีนะ ยังไงก็แต่งกันแล้ว


สุชาคริยา 13 ส.ค. 2557, 21:36:31 น.
@คิมหันต์ = ^^

@แว่นใส = ^^


kraten 13 ส.ค. 2557, 22:23:39 น.
ชอบค่ะ ชัดเจน เป็นคนจริงๆไม่น่าเบื่อเหมือนละครบางเรื่อง ชอบจริงๆ รอออกเป็นเล่มค่ะ ^_^


supayalak 13 ส.ค. 2557, 22:47:37 น.
ตรึงงงงงง หมัดตรงหมัดนี้ของพี่มัตถ์น้องเลิฟของเราถึงกับหงายหลังตั้งหลักไม่ตรงเลยทีเดียว
เอาไงหล่ะทีเนี่ยเหมือนพีมัตถ์เป็นต่อน้องเลิฟเลยอ่ะ แล้วเราจะแก้ลำยังไงต่อหล่ะที่เนี่ย


แล่นแต๊ 13 ส.ค. 2557, 22:50:12 น.
โอ๊ยยยยยย พี่มัตถ์จะแน่วแน่ในความต้องการของตัวเองไปหนายยยย เป็นผู้ชายที่น่ากลัวมาก สงสารน้องเลิฟ แต่ละดอกที่โดนจากพี่มัตถ์ไปนี่...ฉึกๆเลย


สุชาคริยา 13 ส.ค. 2557, 22:52:57 น.
@kraten = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ ^^
@supayalak = นั่นสิคะ น่าคิดหนักจริงๆ
@แล่นแต๊ = 5555 อ้อยชอบฉากนี้มากเลยค่ะ ยิ่งถ้าอ่านรวดเดียวแล้วยิ่งชอบจริงๆ ดูแบบว่า พี่มัตถ์เป็นพระเอกที่ไม่โง่ 5555


นักอ่านเหนียวหนึบ 13 ส.ค. 2557, 23:57:32 น.
อืม พี่มัตถ์ไม่โง่จริงๆ คะ พี่แกฉลาด ถึงฉลาดมาก ต่อยเข้าเป้า เตะตุงตาข่ายตลอดๆ เหมือนกำลังฟังคนสองรนทะเลาะกันอยู่จริงๆ เลย เดาไม่ถูกเลยว่า หลังจากนี้ เรื่องราวจะดำเนินไปทางไหน หนูเลิฟจะเป็นคนดีเอาโล่ หรือจู่ๆ พี่มัตถ์จะเกิดอาการแกล้งโง่แทน 555


pseudolife 13 ส.ค. 2557, 23:57:45 น.
ชอบความคิดพี่มัตถ์จัง


ใบบัวน่ารัก 14 ส.ค. 2557, 06:27:33 น.
อธิบายเยอะจัง เอาง่ายๆ แค่ พี่มัตรักน้องเลิฟ
ก็บอกไป ยากนักเด๋วเจ้จะจับพี่มัตลากลงน้ำไปกินเองนะเลิฟ
คนหล่อ เจ้ชอบบบบบ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account