อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม (จบแล้วค่ะ)
เป็นเรื่องราวของคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
แล้วต้องมาแต่งงานกัน...

เมื่่อต้อง "แต่งก่อนจีบ"...มิใช่ "จีบก่อนแต่ง"
อย่างเรื่องก่อนๆที่โยเคยเขียนมา...


...ดานีส...นายแพทย์หนุ่มรูปงาม ลูกผสมหลายเชื้อชาติ
ผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และความสามารถ

กับ

...นาดา...หรือน้ำค้าง...หญิงสาวที่แสนธรรมดา ผู้ที่ดานีสไม่เคยเห็นหน้า
แม้กระทั่งวันแต่งงาน เขาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวตัวเอง...

จวบจนต้องพาเธอข้ามน้ำข้ามทะเลสู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย

ที่นั่น...ทำให้น้ำค้างแข็งในฤดูหนาวต้องละลายเมื่อเจอกับ
แสงแห่งรุ่งอรุณแรก...


...'อะรูซะดี'...หญิงสาวท่องจำประโยคภาษาอาหรับ
ที่เขียนอยู่บนกล่องของขวัญวันแต่งงานที่เจ้าบ่าวมอบให้กับเธอ
โดยไม่อาจรู้ความหมายของมันเลย...

...เขาแต่งงานกับเธอ เพียงเพราะแม่ของเธอขู่เขา...

...ส่วนเธอแต่งงานกับเขา เพียงเพราะ...แม่ขอร้อง....

...เธอคงเป็นได้เพียงแค่เจ้าสาวของเขา...เท่านั้นสินะ...
...เป็นได้แค่เจ้าสาว...


Tags: แนวแต่งก่อนจีบ ดานีส นาดา น้ำค้าง โสภณพสุธ

ตอน: ตอนที่ 22 เมื่อหมอกสลายไป





วันนี้โยมาโพสทีเดียว 2 ตอนรวด คือ ตอนที่ 21 และ 22 (จุใจกันทีเดียว)
บอกนักอ่านเอาไว้ก่อน เดี๋ยวนักอ่านคลิกมาตอนล่าสุดตอนนี้
แล้วจะเผลอลืมอ่านตอนก่อนหน้านี้เสีย
แล้วจะงงๆเอา เอ...อยู่ๆตอนนี้มาได้ยังไงหว่า...
ทำไมอยู่ๆท่านหญิงอะมานีเพี้ยนไป๋...เฮะๆ

เพราะตอนก่อนหน้านี้ เป็นช่วงหักมุมของเรื่องค่ะ...

อย่างว่าล่ะค่ะ...เต่าโยไม่ได้โพสท์รวด 2 ตอนทีเดียวมาเนิ่นนานแว้ว...
กลัวแฟนๆจะงง...เฮะๆๆ






เมื่อหมอกสลายไป

ดานีสกำลังชื่นชมบุตรชายของตนที่เพิ่งลืมตาดูโลกด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขใจ
ข้างกายมีมารดาที่กำลังส่งเสียงทักทายหลานชายอย่างไม่หยุดปาก…
ก่อนจะหันไปทางแม่ของหลานชาย…

“หลานชายฉันมีชื่อรึยังน้ำค้าง…”นาดายิ้มพลางส่ายหน้า
ดานีสจึงเป็นฝ่ายตอบแทนภรรยาว่า

“เรารอให้ท่านหญิงอะมานีเป็นคนตั้งให้อยู่ครับ…”

“ได้ไงล่ะ…เดี๋ยวแม่ของน้ำค้างเขาจะหาว่าแม่ปาดหน้าเขาเอาได้…”

ว่าพลางก็หันไปทางมารดาของนาดาที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องคลอด
ทำเอานาดาถึงกับตกใจปนประหลาดใจที่เห็นมารดาของตนมายืนอยู่ต่อหน้า
ก่อนจะหันไปทางดานีสผู้เป็นสามี…ดานีสยิ้มบางขณะกล่าวว่า

“คุณแม่จะมาอยู่กับเรานะน้ำค้าง…น้องๆของเธอด้วย…
ฉันหาที่เรียนให้น้องๆของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
ต่อไปเธอก็จะไม่ต้องคอยแต่จะคิดถึงครอบครัวทางโน้นอีก…
เราจะหลอมรวมเป็นครอบครัวเดียวกัน เอาให้ครึกครื้นไปเลยดีมั้ย…”

พูดจบนาดาก็ได้เห็นน้องๆของเธอเดินเข้ามาในห้องพร้อมเสียงแจ้วๆ
ทำเอาคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงของผู้ป่วยถึงกับน้ำตาคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ…

นาดาลุกขึ้นกอดน้องๆเอาไว้แน่นก่อนจะกอดตอบมารดาที่เดินเข้ามาสวมกอดเธอ
ด้วยน้ำตาที่กำลังอาบแก้ม

“น้ำค้างคิดถึงแม่ที่สุดเลยค่ะ…ไม่คิดเลยว่าวันสำคัญเช่นนี้น้ำค้างจะได้แม่มาอยู่ข้างๆ…”
นาดากล่าวจบก็หันไปทางดานีสที่กำลังอุ้มลูกชายอยู่

“ขอบคุณคุณหมอมากๆเลยนะคะที่ทำเพื่อน้ำค้างมากมายขนาดนี้…”
ดานีสยิ้มกว้างก่อนจะหันไปทางมารดาของตน

“คนที่เธอควรจะขอบคุณน่ะคนนี้ต่างหาก…เพราะถึงฉันจะเป็นคนต้นคิด
แต่ท่านหญิงอะมานีต่างหากที่คอยเป็นคนช่วยจัดการทุกอย่างให้…”
นาดาหันไปทางท่านหญิงอะมานีแล้วยิ้มทั้งน้ำตา

“ขอบคุณนะคะที่เมตตาน้ำค้างและครอบครัวของน้ำค้าง…”

“ครอบครัวของเธอคนเดียวซะที่ไหน…ต่อไปนี้ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ…จำไว้…
แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนคำเรียกขานฉันด้วย…เรียกฉันว่าแม่เหมือนที่ดานีสเรียกนั่นแหล่ะ…
หลานชายของฉันจะได้ไม่สับสน…ว่าฉันน่ะเป็นย่าของเขาจริงๆรึเปล่า…”

ว่าพลางก็คว้าหลานชายมาจากอ้อมอกของลูกชายมาอุ้มเสียดื้อๆ…
ก่อนจะเอ่ยชมหลานชายว่า

“หน้าตาเหมือนแม่ไม่เหมือนพ่อเลยนะเนี่ย…
แต่ก็ดีแล้ว…จะได้หล่อๆให้สาวๆหลงใหล”

“แม่พูดเหมือนพ่อของเขาไม่หล่อเลยอย่างนั้นนั่นแหล่ะ…”
ดานีสทำเสียงกระเง้ากระงอด

“หล่อสิ…ก็เราน่ะได้หน้าแม่ไปนี่…จะไม่หล่อได้ไงล่ะดานีส…”
อะมานีกล่าวด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ…ทำเอาคนฟังถึงกับอมยิ้มกับถ้อยคำนั้น
แล้วค่อยๆส่งหลานชายของตนไปให้ยายของเขาได้ชื่นชมบ้าง…

“เธอจะยอมให้ฉันตั้งชื่อให้หลานรึเปล่า…”อะมานีถามราวกับจะขออนุญาตอีกฝ่าย
ทำเอาคนถูกถามถึงกับอมยิ้มก่อนจะพยักหน้า ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด…

“ฉันไม่ถนัดเรื่องตั้งชื่อหรอกค่ะ…ชื่อลูกๆทั้งหมดนั้นพ่อเขาเป็นคนตั้งให้ค่ะ…”
มารดาของนาดาออกตัว ทำเอาอะมานีถึงกับยิ้มอย่างมีความสุขที่งานนี้
เธอจะมีสิทธิ์ในการตั้งชื่อหลานชายคนแรกของตระกูล…

“งั้นฉันขอเรียกหลานชายของฉันว่า…ดารุสก็แล้วกันนะ…
จะได้เข้ากันกับช่ือพ่อและแม่ของเขาไงล่ะ…”
ทุกคนยิ้มรับทันทีเมื่อได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของสมาชิกใหม่…

“ถ้าได้หลานสาว…ฉันก็จะขอตั้งชื่อเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเลยว่า…ดารัล…
จะได้เป็นพี่ดารุสกับน้องดารัล…เป็นไง…”

อะมานีหันไปทางสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว
แล้วรอยยิ้มยินดีที่ได้รับกลับมาคือคำตอบที่ยอดเยี่ยมที่สุด

“ผมจะพยายามให้น้องดารัลรีบคลานตามพี่ดารุสมาให้ได้นะครับแม่”

ดานีสกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดหวังก่อนจะหันไปยิ้มให้กับคุณแม่หมาดๆอย่างนาดา…
แววตากรุ่มกริ่มนั้นทำเอานาดาถึงกับเขินอาย…
ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องเห็นเข้าก็ถึงกับหัวเราะออกมา…






แล้วก็เป็นจริงดังคำขอ…สามปีต่อมา…นาดาก็ให้กำเนิดบุตรสาว
ที่มีหน้าตาถอดเค้าโครงมาจากผู้เป็นบิดาด้วยชื่อที่อะมานีได้ตั้งเอาไว้ล่วงหน้้า…

ดารัลถือกำเนิดขึ้นในยามค่ำคืนที่มืดสนิทมีเพียงหมู่ดาวนับร้อยนับพัน
คอยส่องแสงสกาวอยู่บนท้องฟ้า…ปลุกหัวใจของผู้คนให้ตื่นขึ้นมาต้อนรับการมาของเธอ…


“…ดารัล…ดั่งดวงดาว…แสงดาวแห่งศรัทธา…ของพ่อ…”
ดานีสกล่าวขึ้นเมื่ออุ้มลูกสาวขึ้นแล้วอ่านคำอิกอมะห์ข้างหูซ้ายให้ลูกสาวฟัง…

“สมพรย่าแล้ว…ดารัลหลานรักของย่า”อะมานีกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ
ก่อนจะขออุ้มหลานสาวบ้าง

“ไหนเรียกน้องว่าน้องดารัลสิลูก…”ดานีสอุ้มลูกชายวัยสามขวบขึ้น
เพื่อจะได้ดูหน้าน้องสาวได้ถนัด…

“น้องดา-รัล…”เด็กชายดารุสที่พูดได้คล่องแล้วเรียกน้องสาวเสียงแจ้ว
แววตาบ่งบอกถึงความยินดี มือน้อยๆยกขึ้นแตะแก้มของน้องสาวเบาๆ
ทำให้นาดาที่นอนมองภาพนั้นถึงกับน้ำตารื้นก่อนจะหันไปบีบมือมารดา
ที่ยืนอยู่ข้างๆให้กำลังใจเธอจนผ่านพ้นความลำบากในการคลอดบุตรมาได้
น้องๆของเธอเองก็อดไม่ได้ที่จะขออุ้มหลานคนใหม่บ้าง…

…ลูกทั้งสองคือของขวัญจากพระเจ้า…เธอจะดูแลพวกเขาให้ดีที่สุด
เท่าที่แม่อย่างเธอจะทำได้…

“ลูกสาวผมเป็นไงบ้างครับแม่…”ดานีสเงยหน้าขึ้นถามความเห็นจาก
ผู้เป็นมารดาที่ดูจะยังไม่หายเห่อหลานสาว

“หน้าตาเหมือนพ่อเป๊ะมาก…หู ตา จมูก ปาก เหมือนหมด…”

“แสดงว่าหน้าตาดีมาก”ดานีสรีบสรุป…ทำเอานาดาถึงกับอมยิ้มกับคำตอบ
ที่แสนจะเข้าข้างตัวเองของคุณพ่อลูกสอง…

“ยิ้มอะไรจ๊ะน้ำค้าง…”ดานีสแอบหันไปเห็นภรรยาแสนดีกำลังอมยิ้มอยู่ก็เลยแหย่เล่น

“ยิ้มคนเข้าข้างตัวเองค่ะ…”

“หรือเธอจะเถียงว่าไม่จริง…”ดานีสเลิกคิ้วถามด้วยแววตายียวน…

วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นที่สุด โลกภายนอกจะมืดแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้
หัวใจสีชมพูของเขาหม่นได้เลย

“ว่าแต่แม่ลูกสองของเราโอเคมั้ยเนี่ย…”ดานีสวางมือลงบนศีรษะนาดา
แล้วลูบเบาๆด้วยแววตาห่วงใยรักใคร่…

“ยังไหวค่ะ…”

“ได้ยินอย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย…แสดงว่าถ้าขอสมาชิกเพิ่มอีกก็ยังไหวใช่มั้ยจ๊ะ…”
นาดาถึงกับตาโต เธอยังเหนื่อยกับการคลอดลูกอยู่เลย
พ่อลูกสองยังมีหน้ามาบอกว่าขอเพิ่มอีก…

“สงสัยคงต้องให้คุณหมอช่วยอุ้มท้องให้บ้างแล้วล่ะค่ะ…”

“ก็อยากช่วยอยู่นา…”ดานีสยิ้มตอบ…

“งั้นขอน้ำค้างเว้นวรรคพักหายเหนื่อยสักนิดนะคะคุณหมอคนเก่ง…”

นาดาไม่อยากบอกเลยว่า ที่ผ่านมาเธอไม่เคยกินยาคุมหรือว่าคุมกำเนิดเลย
เพราะคุณหมอคนเก่งบอกว่า เขาสามารถคุมได้
เลยไม่อยากให้คุณภรรยาต้องกินยาคุมให้ร่างกายเสียระบบ…

นี่จึงเป็นอีกหนึ่งความประทับใจในตัวคุณสามีที่มีให้กับเธอมาตลอด…

เขาเป็นคนคงเส้นคงวา…และที่สำคัญ เห็นความสุขของคนอื่นสำคัญกว่าของตัวเอง…
เขาจึงทำให้เธอและลูกๆมีความสุขอยู่เสมอๆ…

และเธอเองก็เลือกที่จะให้นมบุตรจนครบสองขวบ…
เมื่อลูกชายอายุครบสองขวบแล้วเธอได้หย่านม ปรากฏว่าอีกไม่กี่เดือน
ก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์…และน้องดารัลก็ถือกำเนิดขึ้นในวันนี้…

…เธอยอมรับว่าการเป็นแม่นั้นทั้งเหนื่อยและยุ่งยากลำบาก
แต่ในความเหน็ดเหนื่อยนั้นก็มีความหวานชื่นฉ่ำละมุนละไมอยู่ในหัวใจเช่นกัน…

“ชักจะเข็ดแล้วเหรอ…”ดานีสยังไม่วายแหย่ไม่เลิก…

“ไม่เข็ดง่ายๆหรอกค่ะ…กลัวว่าถ้ามีลูกให้คุณหมอน้อยไป
คุณหมอจะหาคนมาช่วยเพิ่มสมาชิกให้…คราวนี้น้ำค้างคงร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่”
นาดาแกล้งงอนสามีบ้าง

“ไม่หรอกหน่า…ฉันจะหาเหามาใส่หัวเพิ่มอีกทำไม…แค่เธอคนเดียว…
ก็ทำเอาฉันคันไปทั้งหัวแล้วนะ…ไหนจะเจ้าตัวยุ่งอีก…ซนอย่างกะลิง”

“เมื่อกี้คุณหมอบอกว่าน้ำค้างเป็นเหาเหรอคะ…”นาดาเริ่มทำหน้างอนๆอีกรอบ…

“ก็แค่เปรียบเปรยให้เห็นว่า คนนึงเป็นเหา คนนึงเป็นลิง แล้วชีวิตฉัน
จะคันและยุ่งขนาดไหนเท่านั้นเอง…คิดมากไปได้…ดูแม่เธอสิ…
ไม่เห็นจะบ่นเลย…มีลูกตั้งหลายคน…”ดานีสหันไปทางแม่ยายแล้วยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย

“น้ำค้างไม่ได้บ่นสักหน่อย…คุณหมอหาเร่ืองแล้ว…”

“พอๆๆ…พอทั้งสองคนเลย…”อะมานีขัดตาทัพเมื่อไฟเริ่มลามทุ่ง

“เอาเป็นว่า…ถ้ามีหลานให้แม่อีก…คราวนี้แม่จะยกให้เราสองคน
เป็นคนตั้งชื่อเอง…สนใจมั้ย…”ดานีสกับนาดาหันมามองตากันในทันที
แล้วเป็นดานีสที่ออกโรงดีใจเหมือนโดนส้มหล่น

“ในที่สุดก็ถึงคิวของเราแล้วน้ำค้าง…แม่ไม่ได้อำเราสองคนเล่นนะครับ”

“แน่สิ…”อะมานียิ้มพร้อมส่ายหน้าด้วยแววตาเอ็นดูลูกชายและลูกสะใภ้
ที่ดูจะตื่นเต้นเสียออกนอกหน้า…

“งั้นคนต่อไป…เราจะตั้งชื่อว่าไงดีน้ำค้าง…”แล้วดานีสก็หันไปปรึกษาภรรยาสุดที่รักทันที
ทำเอาคนอื่นๆที่ยืนดูอยู่ถึงกับยิ้มขันไปกับความตั้งใจของสองสามีภรรยา

“น้องไข่ต้มไม่เอาเด็ดขาด…”เสียงดานีสดังขัดออกมาทันที
ที่นาดากำลังจะเสนอชื่อลูก…

“น้ำค้างไม่ได้บอกว่าจะให้ชื่อไข่ต้มสักหน่อย…คุณหมอนี่ไม่เคยลืมอะไรๆเลยนะคะ…
ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว…”

“ก็จะให้ลืมได้ยังไง…”นั่นน่ะสิ จะให้ลืมได้ยังไงกัน…วันนั้นเป็นวันที่เขา
มีความสุขแค่ไหนไม่มีใครรู้หรอก…

“ถ้าเป็นผู้หญิง น้ำค้างอยากให้เขาชื่อว่าน้องนีลค่ะ…นีลแปลว่า…เมฆ…
น้องนีล นาดีญา ซึ่งนาดีญา ก็มาจากชื่อนาเดีย …
จะได้มีชื่อใกล้เคียงกับชื่อของน้ำค้าง…คุณหมอว่าไงคะ…”

นาดาเสนอชื่อลูกสาวขึ้นมาก่อน เพราะตั้งใจว่าหากเป็นชื่อลูกชาย
จะให้คุณหมอเป็นคนตั้งให้…

“เพราะมากเลยจ๊ะ…ฉันชอบนะ…ทุกคนว่าไงครับ…”ดานีสหันไป
ถามความเห็นของทุกคน จนได้ข้อสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่า

“เห็นชอบด้วยประการทั้งปวง…”





ทว่า…อีกสี่ปีต่อมา…ปรากฏว่านาดากลับให้กำเนิดลูกสาวซึ่งเป็นฝาแฝด…
ทำให้คุณพ่อลูกสี่ถึงกับคิดหาชื่อลูกสาวอีกคนที่คล้องจองกัน
จนได้ข้อสรุปว่า

“ลูกสาวของเราช่ือน้องนีล นาดีญา กับน้องฟ้า ดารีญ่า…นะครับ”
ดานีสสรุปก่อนจะอธิบายเสริมว่า

“ดารีญ่า แปลว่า ผู้มีความรู้รอบตัว…”

“เพอร์เฟค…”อะมานีเอ่ยชม…

“แม่ชอบมากๆเลยน้ำค้าง…”
มารดาของนาดาเองก็เอ่ยปากชมชื่อทั้งสองของหลานสาวฝาแฝด…

“การที่เธอสามารถมีลูกฝาแฝดได้นั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่า
เธอเป็นแม่ที่แข็งแรงมากนะน้ำค้้าง ผู้หญิงที่ไม่แข็งแรง
จะไม่สามารถให้กำเนิดลูกแฝดได้…รู้มั้ย…”ดานีสกล่าวพร้อมกับ
ลูบศีรษะนาดาด้วยความรักใคร่เอ็นดู…เพราะถึงแม้จะกี่ปีผ่านไป
เขาก็ยังคงรักใคร่เอ็นดูแม่ของลูกของเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย…

ซ้ำยิ่งนานวันก็ยิ่งรักมากขึ้น…และที่เหนือกว่าความรักก็คือ
สายใยแห่งความผูกพันธ์…






แล้วภาพของเด็กชายอายุสิบขวบ กับน้องสาวอายุเจ็ดขวบ
ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในฟาร์มสมุนไพรพร้อมด้วยน้องสาวฝาแฝด
ที่เพิ่งอายุครบสามขวบนั้นได้สร้างรอยยิ้มให้ปรากฎอยู่บนใบหน้าของ
ดานีสและนาดาที่เฝ้ามองดูอยู่ไม่ห่าง ทั้งสองนั่งปูเสื่ออยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่
ที่มีอาหาร เครื่องดื่มและขนมวางพร้อมเสริฟตลอดเวลา…

ดานีสเปลี่ยนจากท่านั่งชันเข่าหันมาเอนหลังนอนลงบนตักของนาดา
แล้วจับผมยาวสลวยที่โผล่พ้นออกมานอกผ้าคลุมเล่น…


ไม่ว่าจะมีลูกด้วยกันถึงสี่คนแล้วก็ตาม แต่ภรรยาของเขาก็ยังคง
ดูแลตัวเองให้ดูดี สะอาดสะอ้านตา ความงดงามในดวงหน้ายังคง
ฉายชัดไม่เสื่อมคลาย ยิ่งไปกว่านั้นเสน่ห์ของความเป็นแม่
ที่แสนอดทนและเข้มแข็งของเธอนั้นยังจับจิตจับใจเขายิ่งนัก…

จึงไม่มีเลยที่เธอจะทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายในตัวเธอ…

เมื่อก่อนเคยหลงใหลในรูปกายภายนอกและความดีงามภายในของเธอ
แต่บัดนี้เขาได้รู้เพิ่มแล้วว่า…ความเป็นแม่ของลูกนั้นสร้างความสุขใจให้เขา
ได้มากมายขนาดไหน…ไออุ่นจากความรักที่เธอมอบให้ลูก
ผ่านเข้าสู่หัวใจของเขาจนเขาเองแทบไม่อยากชายตามองหญิงใดอีกเลย

“เรามีลูกด้วยกันสี่คนแล้วนะน้ำค้าง…”ดานีสเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียง
และแววตาภาคภูมิใจ…นาดาก้มมองสามีแล้วปัดปอยผมที่ปรกหน้าเขาออกให้
อย่างทะนุถนอมขณะที่ดวงตาก็จับจ้องไปที่ใบหน้าคมเข้ม
คงความหล่อเหลาเอาไว้ไม่จืดจางของเขาด้วยแววตารักใคร่

ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เขาก็ยังคงเส้นคงวา เคยพูดหวาน เคยหยอกล้อ
เคยทำให้เธอยิ้มได้และเอาใจเธออย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น…

“ใครบอกว่าสี่คนละคะ…”ดานีสลืมตาโพลงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น…

“นี่เธออย่าบอกนะว่า…”นาดาระบายยิ้มออกมาพร้อมกับเฉลยข่าวดีให้คุณสามีฟังว่า

“ค่ะ…น้ำค้างกำลังจะมีสมาชิกเพิ่มให้คุณหมออีกคนค่ะ…”
ดานีสลุกขึ้นทันทีพร้อมกับกุมมือของนาดาเอาไว้ก่อนจะถามซ้ำอีกครั้งให้แน่ใจ

“นี่เธอไม่ได้หลอกฉันเล่นนะน้ำค้าง…”นาดาส่ายหน้า

“ไม่เลยค่ะ…เรากำลังจะมีลูกคนที่ห้าด้วยกันจริงๆ…”นาดายืนยัน

“ฉันคงทำให้เธอเหนื่อยอีกแล้ว…”นาดาส่ายหน้า

“ไม่เลยค่ะ…น้ำค้างอยากมีลูกหลายๆคนเหมือนๆที่คุณหมอเองก็อยากมี…
คุณหมอบอกน้ำค้างเองว่า…อยากให้เรามีลูกด้วยกันหลายๆคน
จะได้มีคนมาช่วยดูแลธุรกิจของคุณหมอต่อไป…น้ำค้างไม่อยากให้ลูก
ต้องเหนื่อยเหมือนคุณหมอ…ที่แบกรับภาระหนักอยู่เพียงคนเดียว
เพราะเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล…น้ำค้างเห็นด้วยกับคุณหมอ…

เพราะคุณหมอเหนื่อยกับงานเหลือเกิน…น้ำค้างอยากเห็นคุณหมอได้พักผ่อนบ้าง…
ต่อไปเมื่อลูกเราโตขึ้น…เขาก็จะได้เป็นความหวังใหม่ของเรา…
เป็นความหวังของครอบครัวไงล่ะคะ…”
ดานีสจับจ้องดวงตาของคนพูดแล้วรู้สึกตื้นตันใจ

“นี่เธอทำเพื่อฉันขนาดนี้เลยเหรอน้ำค้าง…”

“ก็น้ำค้างรักคุณหมอนี่คะ…อะไรที่เป็นความสุขความพึงพอใจของคุณหมอ…
น้ำค้างก็อยากจะทำให้เท่าที่จะสามารถทำได้…
และสำหรับเรื่องนี้…น้ำค้างไหวอยู่แล้วค่ะ…การคลอดลูกแม้จะเป็นภาระหนัก
แต่เมื่อผ่านไปได้ เราก็จะได้รับความชื่นบานในหัวใจค่ะ
ทุกครั้งที่ได้มองดูลูกที่ออกมาลืมตาดูโลก ความเหน็ดเหนื่อย
และความเจ็บปวดทางกายก็เลือนหายไปเลยค่ะ”

นาดาตอบดานีสออกไปด้วยแววตาจริงใจ ทำให้คนมองอดซาบซึ้งใจไม่ได้
เขาจึงสวมกอดนาดาเอาไว้พร้อมกับกล่าวว่า…

“ฉันรักเธอเหลือเกินน้ำค้าง…ขอบใจนะสำหรับทุกอย่างที่เธอทำเพื่อฉัน”

“วันนั้นน้ำค้างบอกว่ารักคุณหมอเพื่อพระเจ้า…มาวันนี้น้ำค้างก็ยัง
ยืนยันคำเดิมค่ะ…ว่าน้ำค้างรักคุณหมอเพื่อพระเจ้า…”
นาดาโอบกอดดานีสตอบ และเมื่อลูกๆเห็นพ่อแม่สวมกอดกัน
ก็ชวนกันให้วิ่งกลับมายังเสื่อที่พ่อกับแม่นั่งกอดกันอยู่ก่อนจะพร้อมใจกัน
โผเข้ากอดทั้งสองแน่น…เสียงหัวเราะสดใสดังก้องไปทั่วทั้งฟาร์ม
ทำให้สองสาวสูงวัยที่ยืนมองอยู่ตรงระเบียงบ้านสีฟ้ารั้วสีขาวถึงกับหันมายิ้มให้กัน…

“ขอบคุณมากนะอะมานีสำหรับของขวัญอันล้ำค่าที่เธอมอบให้น้ำค้าง”
มารดาของนาดากล่าวขึ้นด้วยความจริงใจ…

“ฉันเองก็ต้องขอบคุณเธอเหมือนกัน…ที่มอบลูกสาวที่แสนดีให้กับลูกชายของฉัน…
นาดาคือน้ำค้างกลางใจของฉันกับดานีสจริงๆ…”

“ดานีสโชคดีที่ได้ภรรยาที่ไม่เคยเหนื่อยหน่ายกับการอุ้มท้อง คลอดลูก
และยุ่งวุ่นวายอยู่แต่กับเด็กๆ…มันเป็นงานที่ไม่ได้ทำรายได้อะไร
ให้งอกเงยเลยก็จริงนะ แต่มันเป็นงานที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรเล็กๆ
ให้มีคุณภาพเพื่อก้าวไปสู่องค์กรใหญ่ในอนาคตได้ไม่น้อยเลย…

บ้านคืออาณาจักรที่นาดาได้ใช้เป็นฐานทัพลับอย่างแท้จริง…
ฉันเห็นนักรบน้อยๆกำลังโตขึ้นเรื่อยๆและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ…
จนวันนี้ฉันอดยอมรับไม่ได้ว่าลูกชายฉันโชคดีจริงๆ…

มันพลอยทำให้ฉันเห็นข้อบกพร่องของตัวเองที่ไม่สามารถมีน้องๆ
ให้ดานีสได้ชัดขึ้นด้วย…ฉันไม่สามารถสร้างฐานทัพลับได้เหมือนที่
ลูกสาวของเธอทำอยู่ได้…ทุกวันนี้ดานีสถึงต้องแบกรับภาระทุกอย่าง
ในครอบครัวอยู่คนเดียว…ถ้าฉันแข็งแรงพอและมีความอดทนได้อย่างที่นาดามี
ดานีสก็คงมีน้องๆมาช่วยแบ่งเบาภาระเขาได้…
นาดาเป็นผู้หญิงที่เหมาะจะเป็นแม่คนจริงๆ”

อะมานีพูดขณะนึกไปถึงภาระต่างๆที่ลูกชายของเธอแบกเอาไว้…

ในความเห็นอกเห็นใจก็อดภูมิใจไม่ได้ที่ว่าลูกชายของเธอไม่เคยเอ่ยปากบ่นเลย…
อีกทั้งยังภูมิใจที่ได้นาดามาเป็นลูกสะใภ้…ผู้ที่เป็นแสงแห่งความหวังใหม่ของเธอ…

“หมอดานีสก็มีคุณสมบัติการเป็นผู้นำที่ทรงคุณภาพมากๆด้วยค่ะ…
เขาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงที่ไม่เคยย่อท้อ…”มารดาของนาดากล่าวชมลูกเขย
จากความรู้สึกข้างใน มิใช่การยกยอปอปั้น
แต่เธอรู้สึกเช่นนั้นต่อลูกเขยอย่างแท้จริง…

แล้วทั้งสองก็เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะมีการเปิดบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้ง

“เธออยากอยู่ที่ไหนมากที่สุดเหรอ…”อะมานีถามมารดาของนาดา

“ที่ไหนก็ได้อะมานี ขอให้สามารถมองเห็นลูกหลานได้ก็พอ…”

“ฉันเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน…”

“ตอนที่พ่อของดานีสเสีย ฉันรู้สึกได้ถึงความสูญเสียจนแทบเสียศูนย์
ฉันจึงออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาบางอย่างให้กับชีวิตที่ขาดหาย…
แต่ฉันกลับได้ค้นพบว่า…บางอย่างที่ฉันต้องการไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มันอยู่ที่บ้าน…”

อะมานีกล่าวขณะที่ดวงตาทอดมองไปยังภาพของ
ลูกชายกับลูกสะใภ้ที่กำลังเล่นอยู่กับหลานๆของเธอ…

“บางคนอาจจะเดินทางล่วงหน้าเราไปแล้วก็จริง…แต่เขาไม่ได้ไปไหนไกล
ตราบเท่าที่คำขอพรของเรายังส่งผ่านไปถึงเขาได้…”

มารดาของนาดากล่าวขณะวางมือลงบนหลังมือของอะมานี
ราวกับจะปลอบใจอีกคน…

เธอเองก็สูญเสียสามีอันเป็นที่รักไป ทำไมจะไม่เข้าใจว่าอะมานีรู้สึกเช่นไร
อะมานีจึงวางมืออีกข้างนึงลงบนหลังมือของอีกฝ่ายพร้อมกับยิ้มบาง
ขณะกล่าวว่า

“เธอรู้แล้วใช่มั้ยว่าน้ำค้างกำลังจะมีสมาชิกเพิ่มให้ครอบครัวเรา…”
มารดาของนาดาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม…

“สงสัยฉันคงต้องเดินทางไปอียิปต์เพื่อสั่งซื้อเจ้าหมากฝรั่งยี่ห้อ
อะรูซะตีอีกสักโหลสองโหลแล้วล่ะงานนี้…กะจะซื้อมาเผื่อหนูอะมีร่าด้วย
เห็นดานีนโทรมาบอกว่า เจ้าดาวิดกำลังจะได้เป็นพ่อคนแล้ว…หลังจาก
เป็นพ่อแมวมาหลายปี…ดูสิ…เพิ่งจะได้ข่าวดีนี่เอง…”

อะมานีเอ่ยพลางนึกถึงหญิงสาวที่เธอเอ็นดูนักเอ็นดูหนากับหลานชาย
ที่ได้ลงเอยกันในที่สุดเมื่อหลายปีก่อน…

ทำไมเธอจะดูไม่ออกว่าดาวิดหลานชายนั้นรักมั่นอยู่กับอะมีร่า…
สายตาของเจ้าหลานชายไม่เคยรอดพ้นสายตาของเธอไปได้หรอก…

“รอบนี้ฉันขอไปด้วยคนสิ…ยังไม่เคยเดินทางไปอียิปต์เลย…
ลูกๆของฉันเขาก็โตๆกันหมดแล้ว…”มารดาของนาดาอาสา

“ดีสิ…ฉันเองก็อยากมีเพื่อนร่วมเดินทางเหมือนกัน…ได้เธอไปด้วย
รับรองว่าฉันจะพาขี่อูฐชมเมืองและพีระมิด…ไม่รู้ว่าดานีนสนใจ
จะไปกับเราด้วยรึเปล่านะ…เธอชอบมั้ยละขี่อููฐน่ะ…”

“ไม่ไหวมั้งอะมานี…ฉันแก่แล้วนะ…”

“แก่อะไรกัน…อย่างเราน่ะเขาไม่เรียกว่าแก่หรอก…ไฟยังลุกโชนขนาดนี้”

“ว่าแต่หมากฝรัั่งยี่ห้ออะรูซะตีที่เธอว่าน่ะ…มันมีดียังไงเหรอ…”

“ก็มันช่วยทำให้ฉันมีทายาทหน้าตาดีมาช่วยสืบสกุลหลายคนไงล่ะ…”
ว่าพลางอะมานีก็หัวเราะนิดๆในลำคอ…

“อ้อ…ยังมีสมุนไพรอื่นๆอีกมากมายเลยล่ะ…ที่ดีต่อสาวน้อยอย่างเรา
เอาไว้ฉันจะพาเธอไปแวะชมและหาซื้อด้วยกัน…”

“จริงนะ…ไม่ใช่ว่าเธอจะพาฉันไปทิ้งเอาไว้ที่โน่นนะ…”

“จะบ้าเหรอ…ใครจะทำเธอได้ลง…”อะมานีวางมือบนบ่าของอีกฝ่าย
แล้วชวนกันเดินไปหาลูกๆหลานๆด้วยกัน…




…ไม่มีใครรู้หรอกว่าเราจะได้เวลาชีวิตมากี่นาทีกี่วันกี่เดือนกี่ปี…
หรือจะเหลือเวลาชีวิตอีกกี่วินาที…แต่จะสำคัญอะไรในเมื่อเรารู้ว่า
ต่อจากนี้ไป…เรากำลังจะไปที่ไหน และจุดหมายปลายทางของเราคืออะไร
จะโกรธ เกลียด เคียดแค้นพยาบาท แย่งชิง เข่นฆ่ากันไปเพื่ออะไร…

ในเมื่อท้ายที่สุดแล้ว…เราก็ต้องทิ้งทุกอย่างเอาไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ
เกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ทรัพย์สมบัติ พ่อแม่ พี่น้อง ผองเพื่อน
แม้แต่ความรู้ความสามารถหรือกระทั่งผลงานที่เคยสร้างสรรเอาไว้
เราก็ต้องทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วก็เดินทางไปพบกับความตายเพียงลำพัง…

ถึงตอนนั้น เรายังจะกล้าประกาศอีกหรือว่าเราคือเจ้าของของสิ่งนั้นสิ่งนี้…
ในเมื่อไม่เหลืออะไรติดตัวเราไปเลยนอกจากบาปกับบุญ…

สิ่งที่เราต่างก็ขวนขวายและเก็บสะสมมาทั้งชีวิตยังจะมีความหมายต่อเราอีกหรือ
เมื่อทูตแห่งความตายมาเคาะประตูบ้านเรา











“ตอนนี้เธอพร้อมจะตายแล้วหรือยังนาดา…”
ดานีสถามนาดาขึ้นเมื่อทั้งสองละหมาดในยามเช้าเสร็จ
แล้วออกมายืนมองหมอกหนาในยามเช้าตรู่ด้วยกันตรงระเบียงบ้าน
เห็นภาพของฟาร์มสมุนไพรเลือนลาง

“ยังเลยค่ะ…น้ำค้างยังสั่งสมสะเบียงเพื่อโลกหน้าได้ไม่มากพอ…
บุญคุณมากมายที่พระเจ้ามีต่อน้ำค้าง น้ำค้างยังตอบแทนพระองค์ได้น้อยเหลือเกิน…
ถ้าคุณหมอไม่ว่าอะไร น้ำค้างอยากจะถือศีลอดในทุกๆวันจันทร์กับวันพฤหัส
เหมือนเมื่อตอนที่น้ำค้างยังไม่ได้แต่งงานนะคะ…”

นาดาหันมาออดอ้อนคุณสามีด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
เพราะหลังจากแต่งงานแล้ว เธอก็มิได้ถือศีลอดในวันดังกล่าวอีก
ยิ่งมีลูกเธอก็ยิ่งไม่อาจทำได้สะดวกมากนัก…ซึ่งการถือศีลอด
ในทุกๆวันจันทร์กับวันพฤหัสบดีนั้นมิใช่การถือศีลอดภาคบังคับ
เหมือนอย่างการถือศีลอดในเดือนรอมาฎอนของทุกๆปี…

แต่เป็นการถือศีลอดที่ส่งเสริมให้กระทำ หากไม่กระทำก็ไม่บาปแต่อย่างใด
แต่ถ้ากระทำก็จะได้รับผลบุญ…เมื่อนาดาอยากจะกลับไปถือศีลอด
ในวันดังกล่าวแล้วดานีสจะปฏิเสธสิ่งดีงามที่เธอขอปฏิบัติได้อย่างไร…

“ฉันจะห้ามเธอได้อย่างไร ในเมื่อฉันเองยังถือศีลอดทุกวัน
นับตั้งแต่วันที่ฉันได้เป็นพ่อคน…”นาดาถึงกับตกใจอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า
สามีของเธอจะถือศีลอดทุกวันมาตลอดระยะเวลาหลายปีโดยที่เธอเอง
ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลย…ทำไมเขาต้องกระทำถึงขนาดนั้นนะ!

“แสดงว่าการที่คุณหมอตื่นแต่เช้ามาทานข้าวก่อนเข้าเวลาละหมาด
แล้วกลับบ้านมืดค่ำมาทานข้าวกับน้ำค้างนั้น…คือการถือศีลอด

นี่คุณหมอไม่กินและดื่มอะไรเลยในช่วงกลางวันเป็นกิจวัตรประจำวันเลยหรือคะ…”
นาดาถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าเธอนั้นเข้าใจไม่ผิด
เนื่องจากการถือศีลอดนั้น มิใช่เพียงแค่อดอาหารและน้ำเท่านั้น
แต่คนที่ถือศีลอดต้องงดเว้นการกระทำที่ไม่ดีด้วย เช่นการโกหก
การนินทาให้ร้ายผู้อื่น การเข่นฆ่าผู้อื่น และอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้ว
แต่เป็นการงดเว้นในสิ่งที่อารมณ์ด้านลบของมนุษย์ปรารถนาด้วยทั้งนั้น
มันสวนทางกับสิ่งที่กิเลศสั่งให้ทำ…

นาดาจึงหวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา จึงพบว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา
คุณหมอจะตื่นไวมาก จนเธอต้องลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าให้เขาตั้งแต่ตีสาม…
เมื่อทานข้าวเสร็จเขาก็เข้าห้องละหมาดแล้วก็นั่งละหมาดในช่วงท้ายของค่ำคืน
เขายอมละทิ้งเบาะอันแสนนุ่มน่านอนกับภรรยาที่น่ากอดในเช้าอันเหน็บหนาว
เพื่อตื่นขึ้นมาทานข้าวซุโอรฺและละหมาดเพื่อถือศีลอดในทุกๆวัน

เมื่อเสร็จจากละหมาดตะฮัจยุดอันยาวนานของเขา
เธอมักจะได้ยินเขาอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่านด้วยน้ำเสียงอันไพเราะในทุกๆเช้า
จนลูกๆตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันแล้วเดินเข้าไปตามเสียงของผู้เป็นพ่อ
ซึ่งลูกๆทุกคนก็จะขลุกอยู่กับพ่อของเขาในห้องละหมาด แม้แต่ลูกคนเล็กที่เพิ่งรู้คลานได้
เขาก็อุ้มไปนั่งร่วมวงกับพี่ๆด้วย…สอนให้ออกเสียงตาม

ดังนั้น…ทุกๆเช้าตรู่ก่อนแสงอรุณรุ่งของแสงแดงที่ขอบฟ้าจะมาเยือน
ก็จะมีเสียงน้อยๆหัดอ่านอัลกุรอ่านตามผู้เป็นพ่อดังออกมาเป็นระยะๆ…

ซึ่งเป็นเสียงที่สร้างความสุขให้กับเธอที่กำลังจัดแจงเรื่องอาหารเช้า
ให้ลูกๆอยู่ในครัวไม่รู้เบื่อ จนเมื่อเข้าสู่เวลาละหมาดซุบฮิในยามเช้า
เธอก็จะเดินเข้าไปสมทบและร่วมละหมาดพร้อมกัน
น้องๆของเธอกับมารดาของเขาและมารดาของเธอเองก็จะมาสมทบ
เพื่อละหมาดร่วมกันโดยมีคุณหมอดานีสเป็นผู้นำละหมาดในทุกๆเช้า…

โดยที่เขาก็จะออกไปทำงาน แล้วกลับเข้าบ้านก่อนตะวันจะตกดินเพียงนิด
จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาตะวันตกดินเธอจะสังเกตเห็นเขาหยิบผลอินทผาลัม7ผลมารับประทาน ตามด้วยน้ำเปล่า 1 แก้วแล้วก็ชวนทุกคนในบ้านให้ขึ้นไปละหมาดมัฆริบด้วยกัน

เมื่อละหมาดเสร็จจึงจะลงมาร่วมรับประทานอาหารค่ำพร้อมกับทุกๆคน
เฉกเช่นปกติธรรมดาทั่วไป

เขาทำเช่นนี้เป็นกิจวัตร เสมอต้นเสมอปลาย
จนเธอไม่เคยเอะใจเลยว่าเขาได้ทำการถือศีลอดในทุกๆวันด้วย…

เมื่อได้รู้จากปากของเขาในวันนี้ยิ่งทำให้เธออดรู้สึกซาบซึ้ง
ในความยำเกรงที่เขามีต่อพระเจ้าอย่างจริงใจไม่ได้…

เขาไม่เคยพูดหรือบอกใครให้ทราบในเรื่องนี้ เขาถือศีลอดเพื่อพระเจ้าโดยแท้…
เพราะแม้แต่มนุษย์คนใดก็ไม่อาจล่วงรู้ได้…จนวันนี้ที่เป็นเธอที่ได้รู้คนแรก

“ฉันไม่ได้อดเพื่อใครเลยนะน้ำค้าง…ที่ฉันทำก็เพื่อพระเจ้าและเพื่อตัวฉันเอง…
เธอเองก็เช่นกัน…เธอควรทำเพื่อพระเจ้า เพื่อตัวเธอเองด้วย…
เพราะถึงมนุษย์ทั้งโลกจะไม่แยแสเราหรือไม่ได้รักใคร่ใยดีเรา
เราก็ควรรักและเป็นห่วงตัวเองให้มากๆ…

ไม่ใช่แค่รักร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องรักและสงสารวิญญาณของเราด้วย
รักที่ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว…แต่รักตัวเองเพื่อพระเจ้า…
เพื่อวันที่เราต้องกลับไปหาพระองค์เพียงลำพัง ไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเราด้วยนั้น
เราจะได้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้เสียใจในภายหลัง…

เพราะสิ่งที่เราทำไว้ในโลกนี้ คือการหว่านพืช เพื่อที่เราจะได้เดินทาง
ไปเก็บเกี่ยวผลของมันในโลกหน้า…ยิ่งทำไว้มากและพากเพียร
อดทนไว้มากเท่าไหร่…ผลที่จะได้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น…

เพราะถ้าจะคำนวณถึงความเมตตาของพระเจ้าแล้ว…เราไม่อาจคำนวณได้หรอก…”
ดานีสกล่าวขณะลูกผมของนาดาด้วยความรักใคร่เอ็นดู…

“ค่ะ…น้ำค้างจะหมั่นทำดีเอาไว้ให้มากๆ…แต่น้ำค้างไม่เข้าใจว่าทำไม
คุณหมอถึงต้องทำขนาดนี้ด้วยคะ…การถือศีลอดในทุกๆวันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย…
และพระเจ้าก็ไม่ได้บังคับให้เราทำถึงขนาดนี้ด้วย
พระองค์จะไม่บังคับอะไรที่เกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้”นาดาแย้ง

“เธอจะไม่ให้ฉันตอบแทนบุญคุณของพระเจ้าเลยหรือน้ำค้าง…
สิ่งที่ฉันทำน่ะมันน้อยนิดหากเทียบกับความเมตตาของพระองค์…
ต่อให้ฉันละหมาดตลอดเวลาหรือถือศีลอดทั้งปีจนกว่าจะหมดลมหายใจ
ก็ไม่อาจตอบแทนบุญคุณในความเมตตาของพระองค์หมด…

เพราะแค่ลมหายใจ แค่พระองค์ให้ฉันได้หายใจคล่องไม่ติดขัดมาหลายปี
จนถึงตอนนี้ มันก็ไม่อาจเทียบค่าได้แล้ว…

เธอรู้มั้ยว่าออกซิเจนในถังซึ่งโรงพยาบาลมีไว้สำหรับคนป่วย
ที่ไม่สามารถหายใจได้ด้วยตัวเองจนต้องช่วยเครื่องหายใจน่ะ มันมีราคามากแค่ไหน…

แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์กลับไม่ได้คิดราคาลมหายใจที่ให้เรามา
ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้เลยแม้แต่นิด

ไฟฟ้าราคาก็แพงขึ้นทุกวันแต่ดวงอาทิตย์ที่ให้แสงสว่างกับเราดวงโตนั่นล่ะน้ำค้าง…
เธอไม่เห็นหรือว่าเราไม่ต้องทำงานเพื่อจ่ายค่าแสงสว่างจากดวงอาทิตย์
อย่างที่เราจ่ายค่าไฟฟ้าในทุกๆเดือน…

แค่ที่พูดมาเท่านี้นั้นมันก็มากเกินจะตอบแทนผู้สร้างได้หมดแล้ว”

นาดาระบายยิ้มออกมาอย่างเข้าใจในสิ่งที่เขากล่าว…

“จำไว้นะน้ำค้างว่าทรัพย์ที่เราได้มาแล้วใช้จ่ายไปคือสะเบียงสำหรับโลกนี้ของเรา
แล้วที่เราได้หยิบยื่นให้ผู้อื่นหรือบริจาคไปในหนทางของพระเจ้า
นั้นคือสะเบียงในโลกหน้าของเรา…
ส่วนสิ่งที่เหลือเก็บไว้นั้นเราไม่มีทางรู้ได้ว่ามันจะกลายเป็นของๆใครต่อไป…

การตระหนี่ไม่ช่วยให้เรารวยในโลกหน้าได้…
ถ้าเธออยากมั่งมีในโลกหน้าเธอก็ต้องขยันในการเป็นผู้ให้…
แม้แต่รอยยิ้มของเธอก็คือการให้เช่นกัน…”

นาดาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เธอไม่เคยเบื่อหน่ายเลยกับการรับฟัง
คำตักเตือนและการสั่งสอนเรื่องจริยธรรมจากเขา ซ้ำยังเพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ
นับวันเขาก็ดูจะเคร่งศาสนามากขึ้น จนเธออดภูมิใจไม่ได้…

“วันนี้เป็นวันอีดอิฎิ้ลฟิตรี…เป็นวันละศีลอดพร้อมกันของมุสลิมทั่วทุกมุมโลก…
ตอนละหมาดซุบฮิเสร็จน้ำค้างได้ขอต่อพระเจ้าให้เรายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพื่อทำสิ่งดีๆด้วยกันอีกนานๆ…”

ดานีสได้ฟังจึงหันมายิ้มให้หญิงสาวแล้วโอบบ่าของเธอเอาไว้
นาดาจึงเอียงคอซบไหล่ของเขา…

“ปีน้ีเราจะไปทำฮัจย์ด้วยกันที่มักกะฮฺนะ…”ดานีสเอ่ยชวน

“ไปกันทุกคนรึเปล่าคะ…”

“ไปกันหมดทุกคนสิ…เอาลูกๆไปด้วย…ญาติๆของฉันที่อยู่ทางโน้น
คงตื่นเต้นดีใจที่จะได้พบลูกๆของเรา…ตอนนี้น้องนาบีลก็สองขวบแล้ว”

ดานีสเอ่ยถึงลูกชายคนที่ห้าที่เพิ่งครบสองขวบไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

“แล้วแม่ของน้ำค้างกับแม่ของคุณหมอล่ะคะ…”นาดาถามถึงบุพการี

“ก็คงไม่พลาดอยู่แล้วล่ะ…เห็นได้ข่าวว่าท่านอากับครอบครัวเจ้าดาวิด
ก็จะไปกับเราด้วยนะ…”นาดาได้ฟังถึงกับยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้น

“ช่างเป็นการแสวงบุญที่ฟังดูอบอุ่นจังเลยนะคะ…”

“นี่ล่ะคือสิ่งที่ฉันฝันมาตลอด…”ดานีสกล่าวด้วยแววตาแพรวพราว
เป็นประกายระยิบระยับแห่งความสุขใจ

“เราไปเตรียมพร้อมสำหรับการไปละหมาดวันอีดที่มัสยิดกันเถอะ
เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอแต่งตัวให้ลูกๆด้วย…ป่านนี้คงป่วนคนแก่ให้ปวดหัวเล่นกันแล้วล่ะ
ได้ยินเสียงแล้วใช่มั้ย”

ดานีสอาสาพลางโอบนาดาให้เดินเข้าไปยังด้านในกับเขา…
ปล่อยให้หมอกหนาที่กำลังจางหายไปเรื่อยๆ
เพื่อเผยความงามของธรรมชาติไว้เป็นฉากหลัง…





......โปรดติดตามตอนต่อไป........



ตอนหน้า ตอนจบแล้วนะคะ...แล้วต่อจากนั้นจะมีบทส่งท้ายให้ระทึกใจกันด้วยแหล่ะ...เฮะๆ



yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ส.ค. 2557, 00:18:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ส.ค. 2557, 00:28:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 5192





<< ตอนที่ 19 สำรับจากฟากฟ้า   ตอนที่ 23 เจ้าสาวของผม (ตอนจบ) >>
คิมหันตุ์ 30 ส.ค. 2557, 01:58:49 น.
ถือศิลอด มาโดยตลอด เก่งจัง และเก่งมากกกกกกที่มีลูกได้ตั้งคนนะคะคุณหมอ


แว่นใส 30 ส.ค. 2557, 07:46:30 น.
สามารถมากเลย


aom 30 ส.ค. 2557, 10:44:59 น.
คุณหมอสุดยอดดด


supayalak 30 ส.ค. 2557, 22:59:31 น.
น่าร้ากกกกที่สุดเลยค่ะ ร้อรอตอนต่อไปด้วย้รอยยิ้มแกมอิจฉาน้าค้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account