สุดปลายฝัน
สุดปลายฝัน เรื่องราวของ ‘ณัฐญาณ์’ หญิงสาวที่ประสบเหตุไม่คาดฝัน เมื่ออุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกลงไปใจกลางพายุงวงช้าง ในช่วงเวลาเดียวกับประตูมิติที่เปิดออกนำพาเธอย้อนเวลามาสู่อดีตกาล

ณ สถานที่แห่งนี้ โชคชะตานำพาให้เธอได้มาพบรักกับ ‘กัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์’ ชายหนุ่มที่เข้ามาดูแลในวันที่เธอตัวคนเดียวในโลกอดีตแห่งนั้น

เมื่อความรักเกิดขึ้นท่ามกลางความแตกต่างของวัฒนธรรมและกาลเวลา เช่นนี้แล้วเรื่องราวความรักของทั้งคู่จะสุขสมหวัง หรือจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมของความรักที่ไม่อาจลืมเลือน !!!

โปรดติดตามได้ในนิยายรักโรแมนติก ‘สุดปลายฝัน’ นิยายที่จะทำให้คุณรู้สึกราวกับยังอยู่ในความฝันไปอีกแสนนาน แม้เรื่องราวจะจบลงไปแล้วก็ตาม
Tags: ย้อนอดีต, พีเรียดฝรั่ง, ออสเตรเลีย

ตอน: บทที่ ๒

วิลเลียม แคมพ์เบลล์ นั่งมองผู้หญิงที่ถูกคลื่นพัดขึ้นฝั่งบนชายหาดหน้าสถานีแปรรูปวาฬของเขาหลังจากพายุงวงช้างลูกย่อมเกิดขึ้นเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมาด้วยสายตากังขาและเป็นกังวล เธอดูแปลกประหลาดไปจากผู้คนที่เขารู้จัก หญิงสาวไม่ใช่คนผิวขาวอย่างเขา แต่ก็ไม่ใช่คนผิวดำอย่างชาวพื้นเมือง เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ก็ดูแปลกประหลาดอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ชายหนุ่มลงไปที่หน้าชายหาดในเช้าวันนี้เพราะทนการรบเร้าของโมราน หัวหน้าคนงานและหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของเขาที่สถานีแปรรูปวาฬแห่งนี้ไม่ไหว โมรานยืนยันกับเขาว่า เช้าวันนี้จะต้องมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับเรือล่าวาฬของบิดาที่เขาทำหน้าที่เป็นนายเรือล่มเมื่อสิบปีก่อน

“บรรพบุรุษของเราเล่าต่อกันมา ว่าในทะเลไม่ห่างจากชายหาดตรงนี้มากนัก จะมีพายุงวงช้างเกิดขึ้นทุก ๆ สิบปี และไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุที่จะหมุนเปิดประตูมิติทำให้สองมิติเชื่อมถึงกัน ประตูมิติจะเปิดขณะที่คลื่นน้ำถูกหมุนเป็นเกลียว หากมีอะไรหลงเข้าไปก็จะผ่านไปอีกมิติได้ เหมือนอย่างที่เรือของนายท่านหายไปต่อหน้าต่อตานั่นล่ะครับ”

โมรานเคยบอกกับเขาว่าอย่างนั้น แต่ถึงแม้จะเชื่อว่าพวกกูรี [1] อาจมีการบันทึกเหตุการณ์พายุที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้และพบว่าเกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ ในทุกสิบปี แต่จะให้เขาเชื่อว่าพายุที่ว่าเป็นการเปิดประตูมิติอย่างที่พวกกูรีเชื่อกัน เขาคิดว่ามันฟังดูเป็นนิทานมากเกินไป แม้เขาจะเห็นว่าเรือทั้งลำพร้อมทั้งลูกเรือของเขาทั้งหมดหายไปต่อหน้าต่อตาก็ตาม แต่นั่นอาจจะเป็นเพียงภาพหลอนของคนที่ชีวิตกำลังเฉียดใกล้ความตายก็เป็นได้ เรือของเขาอาจจะเพียงจมลง และลูกเรือทั้งหมดตายในทะเล ร่างกายสลายเป็นอาหารของสัตว์ทะเลไปหมด มีเขาที่โชคดีรอดชีวิตเพียงผู้เดียว

เขาเป็นหนี้ชีวิตโมราน หัวหน้าเผ่าชาวกูรีที่อาศัยอยู่ลึกเข้าไปจากชายฝั่ง แต่จะเข้ามาตรวจตราชายหาดในทุก ๆ สิบปีที่เกิดเหตุการณ์พายุงวงช้าง และนั่นทำให้หัวหน้าเผ่าได้พบชายหนุ่มที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยหาดและช่วยชีวิตเขาเอาไว้

แม้ผู้คนในเผ่าจะกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเอาชีวิตเขา เพราะเป็นพวกผิวขาวที่เข้ามาบุกรุกผืนดินที่พวกเขาเจ้าของแผ่นดินอาศัยอยู่มาช้านาน แต่โมรานกลับเห็นต่าง หัวหน้าเผ่ามองว่าผืนดินแห่งนี้จะไม่มีความสงบสุขอีกต่อไปเพราะเริ่มมีผู้บุกรุกเข้ามา และหากต่อต้านด้วยความรุนแรง สิ่งที่จะได้รับกลับมาคือการสิ้นสูญของเผ่าพันธุ์ เพราะอานุภาพอาวุธของพวกผู้บุกรุกนั้นช่างร้ายแรงนัก ตามที่โมรานเคยรู้เห็นมาแล้วจากพื้นที่อื่น ๆ พี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ถูกตามล่าและฆ่าทิ้งราวกับสัตว์เดรัจฉาน โมรานจึงคิดว่าเผ่าของเขาจะต้องปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกันกับพวกผู้บุกรุกเหล่านี้ให้ได้ และนั่นก็ถือว่าเป็นโชคดีของชายหนุ่ม หาไม่แล้วป่านนี้เขาคงจะกลายเป็นผีเฝ้าป่าอยู่ที่นี่ แทนที่จะเป็นเจ้าของสถานีแปรรูปวาฬอย่างในปัจจุบัน

โมรานรับเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเผ่า สอนให้เขารู้จักการใช้ชีวิตในป่า ทำความรู้จักกับสัตว์ทุกตัว ต้นไม้ทุกต้น การอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างคนและธรรมชาติ เขารู้วิธีหาอาหารและน้ำด้วยมือเปล่าอย่างที่พวกกูรีสามารถทำได้ เวลาเกือบปีที่เขาอาศัยอยู่กับพวกกูรีภายใต้การคุ้มครองของโมราน ทำให้เขาได้สำรวจพื้นที่รอบ ๆ บริเวณ และพบว่าชายฝั่งบริเวณนี้เหมาะสมที่จะตั้งสถานีล่าวาฬขึ้นยิ่งนัก ด้วยน่านน้ำบริเวณนี้เป็นเส้นทางอพยพของวาฬ ทำให้ในฤดูล่าวาฬจะมีวาฬชุกชุม และอยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งจนเกินไป หากเขาสร้างสถานีแปรรูปวาฬตรงนี้จะช่วยร่นระยะเวลาเดินทางของเรือล่าวาฬทั้งหลาย ซึ่งแทนที่จะต้องเดินทางต่อไปจนถึงโบตานีย์เบย์ก็แวะส่งวาฬที่สถานีแปรรูปของเขาได้ นอกจากนี้บริเวณนี้ยังอยู่ห่างจากเมลเบิร์นเพียงเดินเรือหนึ่งวันเท่านั้น หากเขาต้องการซื้อหาสิ่งของที่จำเป็นก็ไม่ลำบากที่จะเดินทางเข้าสู่เมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของชายฝั่งบริเวณนี้

ชายหนุ่มใช้เวลาที่เขามีเหลือเฟือถากถางพื้นที่เตรียมพร้อมสำหรับสร้างสถานีแปรรูปวาฬ พร้อมทั้งเก็บหาเศษไม้เตรียมพร้อมสำหรับสร้างอาคารสถานี ซึ่งไม้เหล่านี้มาจากเรือที่ล่มบริเวณใกล้ชายฝั่งซึ่งคลื่นจะพัดเศษไม้เข้าฝั่งเป็นจำนวนมากทีเดียว
เขาเตรียมความพร้อมในการสร้างสถานีอยู่เป็นปี จนกระทั่งฤดูกาลล่าวาฬหมุนเวียนมาอีกครั้ง ชายหนุ่มขอติดเรือล่าวาฬกลับซิดนีย์ไปหาบิดาและขอทุนมาสร้างสถานีล่าวาฬของเขาเอง ในตอนแรกบิดาไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเขายืนยันและมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจของเขาเองให้ได้ บิดาจึงต้องยอมแพ้ และยอมให้เงินในส่วนที่ควรจะเป็นของเขา ชายหนุ่มกลับมาสร้างสถานีและต่อเรือ โดยมีชนพื้นเมืองในเผ่าของโมรานเป็นคนงาน และโมรานก็ช่วยเขาทำงานที่สถานีตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จนตอนนี้ผ่านมาเก้าปี สถานีล่าวาฬของเขาเจริญก้าวหน้าและสร้างความมั่งคั่งให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว

เมื่อสถานีล่าวาฬของเขาเปิดทำการพร้อมทั้งท่าเรือเล็ก ๆ เพื่อเป็นท่าสำหรับเทียบเรือที่เข้ามารับซื้อน้ำมันวาฬจากสถานีของเขา ก่อให้เกิดเมืองเล็ก ๆ ขึ้นมา เมืองพอร์ทแคมพ์เบลล์ซึ่งตั้งชื่อตามนามสกุลของเขา เป็นเมืองขนาดเล็กตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งด้านทิศตะวันออกของออสเตรเลีย ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมลเบิร์นเล็กน้อย มีตลาดซื้อขายสินค้าที่ผู้คนในเมืองนำมาขาย มีพื้นที่การเกษตรอยู่เป็นส่วนใหญ่ มีโรงพยาบาลเล็ก ๆ ที่เขาสร้างขึ้นในบริเวณสถานี ทั้งนี้เพื่อที่จะได้มีที่รักษาคนงานของเขาในกรณีเจ็บป่วย โดยเขาชวน เออร์เนสท์ วิลสัน เพื่อนสนิทวัยเด็กที่เข้าโรงเรียนด้วยกันและเรียนต่อจนจบแพทย์ให้มาเป็นนายแพทย์ประจำโรงพยาบาลเล็ก ๆ แห่งนี้ แม้จะเป็นโรงพยาบาลที่เปิดขึ้นเพื่อรักษาคนงานในสถานี แต่ชายหนุ่มก็เปิดให้บริการต่อผู้คนในเมืองด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เขายังสร้างอาคารขนาดย่อมเพื่อเป็นสถานที่สอนเขียนอ่านและการเรือนให้กับเด็ก ๆ ลูกคนงาน รวมทั้งลูกของชาวเมืองที่ต้องการเข้ามาเรียนด้วย โดยมีเอลิซาเบธ ภรรยาของนายแพทย์เออร์เนสท์ ทำหน้าที่เป็นครูสอน

วิลเลียมมองดูผู้หญิงที่ยังคงหลับสนิทเพราะฤทธิ์ยาที่นายแพทย์เออร์เนสท์ฉีดให้พลางถอนหายใจ เออร์เนสท์เข้ามาตรวจดูอาการของหญิงสาวที่ไม่ได้หมดสติเสียทีเดียว แต่ก็ดูไม่มีสติรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้าง จนนายแพทย์หนุ่มเพื่อนสนิทของเขาฉีดยาให้ และบอกเขาว่ายาจะทำให้คนไข้ของเขาหลับไปอีกพักใหญ่ ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง เพียงดูแลให้หญิงสาวได้รับความอบอุ่นอย่างเพียงพอเท่านั้น และหลังอาหารเย็นเพื่อนของเขาจะเข้ามาดูอาการอีกครั้ง

“ผู้หญิงคนนี้มาจากต่างมิติ ดูเสื้อผ้าของนางสิ นายท่านเคยเห็นใครแต่งตัวแบบนี้บ้าง นางต้องหลุดเข้ามาที่มิติของเราตอนประตูมิติเปิดพร้อม ๆ กับพายุงวงช้างนั่นแน่ ๆ” โมรานบอกเขาหลังจากที่เขา โมราน และคนงานจำนวนหนึ่งไปพบหญิงสาวฟุบอยู่บนชายหาดหลังจากพายุงวงช้างสงบลง เขาไม่เถียงว่าเขาไม่เคยเห็นคนแต่งตัวประหลาดแบบนี้ แต่จะให้สรุปว่าเธอมาจากต่างมิติมันก็เหลือเชื่อเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้ คงต้องรอถามเอากับเจ้าตัวว่าเธอมาจากไหนกันแน่เมื่อเธอตื่นขึ้นมากระมัง

วิลเลียมขยับเข้าไปใกล้เตียงเมื่อมองเห็นคนที่นอนหลับสนิทขยับตัวพร้อมพึมพำเบา ๆ

“น้ำ ขอน้ำ” หญิงสาวพึมพำเป็นภาษาที่เขาไม่เข้าใจ

“คุณว่าอะไรนะครับ” ชายหนุ่มถามคนที่ยังคงหลับตาและส่ายหน้าไปมาอยู่บนเตียง

“น้ำค่ะ ขอน้ำหน่อย ฉันหิวน้ำ” หญิงสาวยังคงพูดด้วยสำเนียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่เขาไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง

“คุณพูดภาษาของเราได้ไหม” ชายหนุ่มถาม เพราะดูเหมือนหญิงสาวจะพูดภาษาของเธอ ซึ่งเป็นภาษาที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ทำให้ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดอะไรอยู่

“ขอน้ำค่ะ” ณัฐญาณ์เปลี่ยนภาษาพูดอัตโนมัติเมื่อได้ยินเสียงทุ้มตอบกลับมา เพราะเรียนอยู่ประเทศอังกฤษหลายปีและทำงานที่ต้องใช้ภาษาตลอดเวลา ทำให้หญิงสาวสามารถสลับกลับไปมาระหว่างสองภาษาได้โดยไม่ต้องหยุดคิด

วิลเลียมเดินไปหยิบเหยือกน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะรินใส่แก้วและเดินเข้าไปหาคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้นนั่งและจ่อแก้วตรงริมฝีปาก

“ค่อย ๆ จิบ” บอกเสียงนุ่ม ณัฐญาณ์จิบน้ำช้า ๆ ตามคำบอกของคนที่ประคองอยู่ ก่อนจะกล่าวเสียงเบา

“ขอบคุณค่ะ”

หญิงสาวมองชายหนุ่มที่แต่งตัวดูเป็นทางการในเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวในสีขาว เสื้อกั๊กสีเดียวกัน ติดโบว์ไทด์สีดำ กางเกงสีเดียวกับโบว์ และรองเท้าหนังสีดำแบบมีส้นปลายแหลมขัดมันเงาวับ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสังเกตเครื่องเรือนที่อยู่ในห้อง การตกแต่งห้องเหมือนกับห้องพักในโรงแรมและพิพิธภัณฑ์แคมพ์เบลล์ที่เธอพักอยู่ หรือว่าเธอกลับมาที่โรงแรมหลังจากเฮลิคอปเตอร์ตก แต่เธอไม่เห็นรู้ว่าพนักงานของโรงแรมจะแต่งตัวให้เข้ากับธีมของโรงแรมด้วย

“ฉันอยู่ที่ไหนคะ” ตัดสินใจถาม

“สถานีแปรรูปวาฬแคมพ์เบลล์” ชายหนุ่มตอบ คนถามขมวดคิ้ว ถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ

“โรงแรมและพิพิธภัณฑ์ ซึ่งในอดีตเคยเป็นสถานีแปรรูปวาฬ ใช่ไหมคะ”

“ไม่มีอดีต ที่นี่คือสถานีแปรรูปวาฬของผม ไม่มีโรงแรมหรือพิพิธภัณฑ์อย่างที่คุณว่า” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงปรานี คงเป็นเพราะเพิ่งประสบอุบัติเหตุรุนแรงและตื่นขึ้นมาในสถานที่แปลกตากับคนแปลกหน้ากระมัง จึงทำให้หญิงสาวสับสนและพูดอะไรแปลก ๆ ออกมา

ณัฐญาณ์คิดตามคำพูดของชายหนุ่ม สถานีแปรรูปวาฬ... สถานีแปรรูปวาฬของเขา... ถ้าอย่างนั้นเขาก็คือ...

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเพื่อมองชายหนุ่มที่อยู่กับเธอตลอดเวลานับตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ก่อนจะตาเบิกกว้างเมื่อจำได้ว่าเขาคือชายหนุ่มในรูปในหนังสือแนะนำและประวัติของโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ที่เธอเข้าพัก อีกทั้งเป็นคนเดียวกับที่เธอฝันถึงก่อนที่จะสะดุ้งตื่นเมื่อเช้านี้ ทั้งรูปถ่ายและภาพในฝันดูไม่ชัดเจนนัก หากแต่ผู้ชายตรงหน้านี้มองดูเหมือนจริง... จนเธอกลัว...

“วิลเลียม แคมพ์เบลล์” ชายหนุ่มแนะนำตัวพร้อมโค้งให้แสดงการทักทาย

“ไม่จริง เราต้องฝันไปแน่ ๆ” คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงพึมพำกับตนเอง พยายามหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นใหม่ โดยหวังว่าทุกอย่างตรงหน้าจะเป็นเพียงความฝัน หากคนในฝันกลับยืนยันเสียงหนักแน่น

“ทุกอย่างเป็นความจริง แต่ไม่ต้องกังวลไป คุณจะอยู่ที่นี่อย่างสุขสบายในฐานะแขกของผม ผมจะดูแลคุณอย่างดีที่สุด จนกว่าเราจะติดต่อครอบครัวของคุณได้และส่งคุณกลับไปหาพวกเขาอย่างปลอดภัย”

“ถ้าทุกอย่างเป็นความจริงอย่างที่คุณว่า แล้วฉันจะกลับไปได้อย่างไรคะกัปตัน” หญิงสาวพึมพำ พูดกับตนเองมากกว่าที่จะถามคนตรงหน้า มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ชายที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือกัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์ เจ้าของสถานีล่าวาฬซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นโรงแรมและพิพิธภัณฑ์ที่เธอเข้าพักขณะเดินทางมาท่องเที่ยวที่ออสเตรเลีย นี่คือชีวิตจริง เธอจะย้อนเวลากลับมาพูดคุยอยู่กับเจ้าของสถานีล่าวาฬในอดีตได้อย่างไร เรื่องราวเหลือเชื่อแบบนั้นมีแต่ในนิยายเท่านั้นล่ะ ตื่นเสียที ณัฐญาณ์ หญิงสาวบอกตนเองในใจ

ผู้ที่ถูกเรียกว่ากัปตันขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ เธอรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นกัปตันทั้ง ๆ ที่เขายังไม่เคยกล่าวถึงตำแหน่งนั้นแม้เพียงครั้งเดียว และเมื่อเห็นสีหน้าแสดงความไม่เข้าใจของชายหนุ่ม คนที่ยังนอนอยู่บนเตียงก็ตอบน้ำเสียงสะบัด เพราะความรู้สึกอัดอั้นภายใน

“สงสัยหรือคะ ทำไมฉันรู้จักคุณ เอาเป็นว่าฉันรู้จักคุณมากกว่าที่คุณจะคาดถึงเชียวล่ะค่ะ” จากหนังสือประวัติของคุณอย่างไรเล่า กัปตันวิลเลียม แคมพ์เบลล์

“คุณรู้จักผมแล้ว จะไม่ให้เกียรติผมได้รู้จักแขกของผมบ้างหรือครับ” เป็นวิธีการถามชื่อของชายหนุ่ม

“ฉันชื่อณัฐค่ะ ณัฐญาณ์” หญิงสาวตอบ

“แนท นาทาย่าห์” ชายหนุ่มทวนชื่อหญิงสาวด้วยสำเนียงภาษาของตน โดยไม่รู้เลยว่า ชื่อที่เขาเรียกนั้นกระแทกใจคนที่ถูกเรียกเข้าอย่างจัง

[1] กูรี: ชื่อที่ชนเผ่าอะบอริจินในเขตนิวเซาธ์เวลส์และวิคตอเรียเรียกตนเอง



รุ่งธิวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ย. 2557, 06:52:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ย. 2557, 06:52:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 860





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
แว่นใส 1 ก.ย. 2557, 11:39:44 น.
เจอกันซะทีนะ


Liez 1 ก.ย. 2557, 18:38:54 น.
ตามไปอ่านเด็กดี ค้าง สงสัยต้องรอที่นี่แหละ


รุ่งธิวา 1 ก.ย. 2557, 19:30:07 น.
@Leiz ฮ่า ๆ อดทนนิดนึงค่ะ อีกไม่นานก็จบเนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account