เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 29
สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน^_^
หอบแฮ่ก ๆ เอานิยายมาส่งค่ะ ช่วงนี้ต้องบอกว่าปั่นนิยายหางจุกตูดดึกดื่นเที่ยงคืนค่ะ เพราะว่าแต่งเอาไว้มาถึงตอนนี้ กลัวว่ากว่าตอนหน้าจะมาลงให้ได้ก็คงอีกสักพัก คาดว่าน่าจะเป็นอาทิตย์ละบทนะคะ แต่ยังไงจะพยายามไม่ให้ทิ้งช่วงไปนานค่ะ
ถ้ามีอะไรขาดตกบ่กพร่องเนื้อเรืองไม่เคลียร์บอกกล่าวกันได้เลยนะคะ
แล้วเจอกันอาทิตย์หน้า อ่านนิยายให้สนุกนะคะ!! ^v^
เพียงใจปรารถนา ตอน 29
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงประตูห้องนอนเปิดออกทำให้ปริญดาที่กำลังตาปรือเคลิ้มหลับลืมตาตื่นเต็มที่ แต่ยังแกล้งทำเป็นนอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“ปริม คุณหลับแล้วเหรอ” เวหาลองกระซิบเรียก ลดฝีเท้าให้เบาลงขณะเดินเข้าไปใกล้ที่เตียง ชะโงกหน้าไปมองหญิงสาวที่นอนตะแคงข้างหันหลังให้เขา เห็นเปลือกตาเธอปิดสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ จึงคิดว่าเธอหลับไปแล้วเลยเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง จากนั้นก็เดินย้อนไปที่ประตู ปิดสวิตซ์ไฟข้าง ๆ เหลือแต่แสงไฟสลัว ๆ ให้เขาได้ทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ
ปริญดายังคงนอนไม่ไหวติงขณะได้ยินเสียงเดินซวบซาบไปมาของเวหา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องแกล้งหลับ แต่ในเมื่อทำไปแล้วเธอก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำไปจนจบ พยายามบอกตัวเองให้หลับเสียจะได้ไม่ต้องนอนเกร็งเผยไต๋ให้เขาจับได้
สักพักใหญ่ ปริญดาก็รู้สึกถึงเตียงที่อ่อนยวบลงข้างกาย ตาที่ปิดแต่ไม่สนิทดีนักเห็นเงาใหญ่ที่ชะโงกอยู่เหนือใบหน้าเธอ แม้จะไม่ได้เห็นชัดเจน แต่รับรู้ได้ถึงสายตาคมเข้มที่ก้มมองลงมา หมอนของเธอขยับไหวเมื่อท่อนแขนแข็งแรงของเขาวางนาบด้านบน
หัวใจหญิงสาวเต้นระส่ำอยู่ในอก เมื่อลมหายใจอุ่นเป่ารดแก้มผสมกับกลิ่นหอมจาง ๆ ของโลชั่นหลังโกนหนวดของเขาที่โชยมาเข้าจมูกทำเอาเธอต้องกำมือที่อยู่ใต้ผ้าห่มไว้แน่น
และแล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนของเวหาประทับจูบลงมาบนแก้มของเธอแผ่วเบาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ช่องท้องเกร็งเครียดเขม็งขึ้นมาครามครัน ความหวาบหวิวพุ่งพล่านปราดขึ้นมาตามสันหลังเมื่อเขายังไม่หยุด กดปลายจมูกโด่งลงบนหน้าผากของเธอแล้วค้างอยู่นานก่อนจะผละออกห่าง จากนั้นเขาก็ขยับตัวลงนอนข้างกายเธอ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้หายใจหายคอดี เธอก็ต้องสะดุ้งผวาอีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้านเมื่อเขาสอดแขนเข้ามาใต้คอเธอแล้วดึงร่างเข้าไปแนบชิดกับตัวเขา มืออีกข้างก็ยื่นมาจากใต้ผ้าห่มวางพาดลงบนตัวแล้ววางท่อนแขนเขาบนแขนเธอ ประสานนิ้วมือเข้ากับเธอ
“ผมรู้นะว่าคุณยังไม่นอนน่ะปริม” เวหากระซิบเสียงพร่าข้างหู กระชับอ้อมกอดแน่น
“ผมขอนอนกอดคุณไว้แบบนี้ได้ไหม”
สมองของเธอกระเจิดกระเจิงหลังจากได้ยินคำขอของเขา ไออุ่นจากร่างใหญ่ที่ส่งผ่านมายังแผ่นหลังทำให้ร่างกายเธอร้อนระอุแทบลุกเป็นไฟ มือที่ประสานกันไว้สร้างความสุขสมอิ่มเอมก่อให้เกิดความผูกพันลึกซึ้งในจิตใจ
ปริญดาไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแต่พยักหน้ารับช้า ๆ จากนั้นริมฝีปากเขาก็จูบลงบนกระหม่อมของเธอเป็นเชิงขอบคุณ และดูเหมือนว่าเขาตั้งท่าจะนอนหลับไปสบายใจเชิบ แต่เธอสิ นอนตาค้างหลับไม่ลงเมื่อมีร่างอบอุ่นของเขาตระกองกอดเอาไว้ หญิงสาวถอนหายใจดังเฮือก แล้วพยายามข่มตาข่มใจให้หลับ
“นอนไม่หลับเหรอปริม หรือคุณอึดอัดที่ผมกอดคุณไว้แบบนี้” พูดพลางปล่อยมือที่ประสานกับมือเธอเอาไว้ คลายอ้อมกอด แล้วขยับตัวออกห่าง
ความอบอุ่นพลันจางหายและความเย็นวาบเข้ามาแทนที่ทันทีที่ร่างใหญ่ของเวหาผละห่างตัว ทุกอณูในเรือนกายเธอประท้วงร้องเรียกหาความอบอุ่นนั้นกลับคืนมา ทำให้ปริญดาลืมตัว พลิกร่างหันไปทางเขา เขยิบเข้าไปใกล้แล้วสวมกอดซุกหน้าแนบอกกว้างของชายหนุ่ม
“ฉันชอบที่คุณกอดฉันไว้แบบนี้ค่ะ” พูดไปก็เขินไป แต่ทำอย่างไรได้ ทั้งใจทั้งร่างกายเธอโหยหาต้องการแต่เขาเท่านั้น
เวหาแย้มยิ้ม หัวใจเขาเบิกบานเป็นสุขกับประโยคธรรมดา ๆ ที่เธอบอก แขนของเขาตวัดรัดร่างเธอแนบชิดอีกครั้ง มือที่ยังคงรองหนุนศีรษะเธอเอาไว้อยู่เลื่อนขึ้นมาลูบผมเธอเล่นไปมา
“คุณว่าลูกของเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ปริญดาแปลกใจที่อยู่ ๆ เขาก็อยากจะคุยเรื่องลูกขึ้นมา เธอผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าเขา ตอนนี้เห็นใบหน้าเขาชัดเจนขึ้นเมื่อสายตาปรับเข้ากับความมืดในห้องได้แล้ว
“ไม่รู้สิคะ แต่ฉันอยากได้ผู้หญิง เวลาโตขึ้นจะได้ไปช็อปปิ้งดูของสวย ๆ งาม ๆ ด้วยกัน”
เวหาหัวเราะ “แต่ผมอยากได้ลูกชายมากกว่า โตมาจะได้หล่อเหมือนพ่อ” เขาทำเสียงภูมิใจเต็มที่
ปริญดาทำเบะปาก แต่ก็แอบซ่อนยิ้มเมื่อตอบ “แต่ถ้าฉันได้ลูกชายฉันก็ไม่อยากให้หล่อเหมือนคุณหรอค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ หล่ออย่างผมมันไม่ดีตรงไหน” เขารีบค้าน
หญิงสาวหัวเราะคิก พูดกระทบความหล่อหน่อยไม่ได้เลยนะ เธอประชดประชันเขาอยู่ในใจก่อนตอบ
“ก็ถ้าหล่ออย่างคุณ ฉันว่าสาว ๆ ก็คงมาติดพันกันให้วุ่นวาย อีกอย่างฉันก็หวงลูกชายค่ะ ไม่อยากให้เขารักสาว ๆ มากกว่าแม่”
ชายหนุ่มอมยิ้มกับเหตุผลของเธอ ยื่นมือไปไล้แนวกรามนุ่มละมุนแล้วพูดว่า “แต่ผมกลัวว่าลูกชายจะแย่งความรักของแม่ไปจากพ่อมากกว่าน่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่ยอมจริง ๆ ด้วย”
จบประโยค มือเวหาที่เคลื่อนไหวบนแก้มเธอก็ชะงักค้าง ตกใจกับคำพูดของตัวเองที่ออกไปทางหึงลูกในท้องที่แม้แต่ยังไม่ลืมตาขึ้นมาดูโลกและยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายเสียด้วยซ้ำ
เดี๋ยวนี้เขาละเมอเพ้อพกเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้เชียวเหรอนี่ เวหาก่นบ่นตัวเองในใจ
ผิดจากปริญดาที่ดูจะประหลาดใจมากกว่า ยิ่งเห็นท่าทางเงอะงะ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เธอก็ยิ่งนึกขบขันเขาในใจ คิดไม่ถึงว่าผู้ชายอย่างเวหาจะมีมุมน่ารักเขอะเขินกับเขาก็เป็นด้วย
หญิงสาววางมือเธอบนมือใหญ่อบอุ่นที่อยู่บนแก้มเธอแล้วส่งยิ้มให้เขา “ความรักของฉันที่มีให้คุณจะไม่มีวันลดลงค่ะเวย์”
ปริญดามองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาผ่านความมืดสลัว จากนั้นก็ดึงมือเขามาใกล้ริมฝีปากของตนโดยที่ไม่ละสายตาไปจากเขา แล้วจรดกลีบปากลงบนฝ่ามือด้านในของชายหนุ่มเนิ่นนาน ก่อนจะดึงมือเขามาวางที่แก้ม เอียงคอซบคลอเคลียแล้วกับแมวน้อยออดอ้อนเจ้านาย พลางถอนหายใจเป็นสุข
“ฉันรักคุณจังเลยค่ะ” เธอบอกเขาไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไร และไม่เบื่อเลยที่จะพูดคำนี้ซ้ำ ๆ ให้เขาฟัง
ความรู้สึกของเวหาขณะนี้ราวกับกำลังมีประทัดระเบิดตูมตามอยู่ในอก ดวงตาของเขาพร่าพรายหรี่ปรือกับสัมผัสอ่อนนุ่มและคำบอกรักผ่านเสียงหวานใสของหญิงสาว
เขาพยายามควบคุมอารมณ์ที่กำลังหมุนคว้างให้กลับเข้าที่เข้าทาง
“ผม...” คำพูดค้างติดอยู่ที่ริมฝีปาก เมื่อเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะพูดอะไร
“คือผม...”
เสียงของเขาขาดหายเมื่อริมฝีปากถูกปิดกั้นด้วยจุมพิตจากหญิงสาว สมองของเขามึนงงไปชั่วขณะ แต่แล้วความอุ่นซ่านก็ปกคลุมไปทั่วกาย ริมฝีปากที่ไม่ชำนาญการของปริญดาขยับจูบเขาเชื่องช้าทำให้นึกย้อนไปถึงคืนวันนั้นที่เขาได้ตัวเธอ และเธอเป็นฝ่ายเริ่มรุกเขาก่อน ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้มันช่างเทียบกันไม่ได้เลยจริง ๆ
มือของเวหาเลื่อนไปจับท้ายทอยเธอพลางสอดนิ้วไปตามเส้นผมนุ่มมือของหญิงสาว ดึงศีรษะเธอให้หงายไปข้างหลังเล็กน้อยเบา ๆ เพื่อให้เธอรับจุมพิตที่เขากำลังจะเป็นฝ่ายเริ่มบรรเลงได้ถนัดถนี่ยิ่งขึ้น ก่อนจะแทรกลิ้นสู่ปากของเธอ ควานหาความหวานล้ำที่เขาต้องการลิ้มรส
เพียงไม่นาน จุมพิตที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงเมื่อเขาบดริมฝีปากคลึงเคล้าเข้ากับเธอ เสียงครางของเธอที่ดังลอดออกมาให้ได้ยินทำเอาร่างกายเวหาร้อนระอุ ครางตอบรับ สอดลิ้นดุดันครอบครองเธอ หลงดื่มด่ำกับรสจูบเย้ายวนใจจนไม่อยากผละห่าง
ปริญดาเองก็แทบจะอ่อนระทวยในอ้อมกอดของเวหา กลิ่นโลชั่นหลังโกนหนวดของเขาที่ยังคงลอยอบอวลบริเวณรอบกายทำให้เธอหัวหมุน จูบตอบเขาชนิดที่เธอเองก็คาดไม่ถึงว่าจะมีความกล้าได้ขนาดนี้
อาจจจะเป็นเพราะตอนนี้เธอติดอยู่ในวังวนแห่งความพิศวาสของเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น เลิกสนใจไปนานแล้วว่าเขาจะรักเธอหรือไม่ รู้แต่เพียงว่าขณะนี้เธอมีความสุขเหลือเกินที่มีเขาอยู่เคียงข้าง ได้อยู่ในอ้อมกอดเขา จูบเขา สัมผัสเขาได้ตามที่ใจเธอต้องการ
ยิ่งคิดถึงอนาคตที่จะได้แต่งงานอยู่กินกับเขาฉันท์สามีภรรยา มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ หัวใจเธอก็ซาบซ่านผลิบานจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดจะต้านทานไหว
เวหาถอนริมฝีปากจากหญิงสาว หายใจหอบถี่ “ผมเคยบอกคุณแล้ว” เสียงเขาพร่าจางเต็มที
“ถ้าผมได้จูบคุณ...ผมจะหยุดไม่ได้...เข้าใจใช่ไหมปริม...”
เธอรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าอยากให้เขาหยุดยั้งหรือไม่ หัวใจของเธอเต้นรัวแรงเกินไป ผิวกายร้อนรุ่มก็ไวต่อสัมผัส เกินที่เธอจะหักห้ามใจเหลือเกิน
“ฉันรู้ค่ะ” เสียงเธอแผ่วพร่าไม่แพ้กัน แก้มของเธอร้อนวูบวาบ สะท้านไปทั่วทั้งกายเมื่อรู้สึกถึงอาการแข็งขึงของเขาที่แนบชิดอยู่ที่ต้นขา
เธอเอื้อมมืออันสั่นเทาไปจับแก้มของเขาแล้วเอ่ยว่า “แต่ฉันเต็มใจเป็นของคุณ....”
เวหาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในใจรุ่มร้อนอย่างบ้าคลั่ง “แต่คุณกำลังท้อง...” พูดพลางเลื่อนมือไปสัมผัสที่หน้าท้องของหญิงสาว
ปริญดาวางมือเธอลงบนมือเขา สอดนิ้วของเธอเข้ากับนิ้วเรียวยาวนั้นแล้วยิ้มอ่อนละมุน
“คุณก็ทะนุถนอมฉันหน่อยสิคะ...”
เวหาครางกระหึ่มกับคำตอบนั่น ความต้องการแล่นปราดไปทั่วร่าง กระหายหิวในตัวเธออย่างแรงกล้าจนห้ามใจไว้ไม่อยู่อีกต่อไป กระชากผ้าห่มที่คลุมกายทั้งคู่ออกอย่างแรง แล้วตวัดร่างบางให้ขึ้นมาอยู่บนตัวเขา
“ผมจะถามซ้ำอีกครั้ง คุณแน่...”
ปริญดารีบเอามือปิดปากเขาแล้วยิ้มกลั้วหัวเราะ
“คุณนี่พูดมากจัง”
และเธอไม่รอให้เขาตอบโต้ ก้มลงจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากปิดกั้นคำพูด ซึ่งเขาก็เผยอตอบรับ จูบอ้อยอิ้ง อ่อนโยน
ท่อนแขนของเวหาโอบรัดรอบแผ่นหลังปริญดา อารมณ์ปรารถนาในตัวเธอพลุ่งพล่านฟาดฟันใส่เขาจนแทบจะอดทนอ่อนโยนต่อไปไม่ไหว บดเคล้าเรียวปากเข้ากับเธออย่างหนักหน่วงรุนแรง สอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดจูบดูดดื่มคลั่งไคล้ หลงใหลในกลิ่นกายเนื้อสาวจนต้องไล่จูบลงมาตามแอ่งลำคอที่เธอเงยหน้ารับจุมพิต เสียงครางด้วยความสุขสมของทั้งคู่สอดประสานกัน อิ่มเอมเปรมปรีย์เพียงแค่ได้สัมผัสจูบกันเท่านั้น
เมื่อเวหาเห็นว่าหญิงสาวเองก็ตอบสนองรับเขาอย่างเต็มใจ เขาก็ยิ่งได้ใจ มือใหญ่เลื่อนมาที่เอวบาง ขยับให้เธอลุกขึ้นนั่ง แล้วเขาก็ลุกตามโดยที่เธอยังคงนั่งตักเขาเอาไว้ มองสบตาเธอด้วยความหวามไหวร้อนแรง แล้วดึงเสื้อชุดนอนผ้าซาตินของเธอออกช้า ๆ แม้ภายในห้องจะมืดสลัว แต่เขาก็เห็นทั่วใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยกมือขึ้นปิดบังร่างกาย
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ค่อย ๆ ดึงมือเธอลดลงข้างกาย ขยับตัวกอดเธอไว้ ใช้มือลูบไล้แผ่นหลังเปล่าเปลือยอุ่นร้อนของเธอไปมาแล้วเอียงคอกระซิบที่ข้างหูเธอ
“ขอให้ผมได้เห็นคุณนะ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน....” เสียงแหบแห้งพร่าขณะเลื่อนมือไปปลดตะขอชุดชั้นใน ดึงมันออกช้า ๆ รับรู้ถึงร่างอันสั่นสะท้านที่กำลังซุกหน้าอยู่กับซอกคอเขา
เวหาดันตัวเธอออกห่างเพื่อมองเธอให้ชัด ๆ ดวงตาเบิกกว้าง ร้อนระอุราวกับมีเพลิงไฟสุมอยู่จนล้นปรี่รอการปะทุระเบิด ยามทอดมองปทุมถันที่คัดเครียดเบ่งบานอยู่ตรงหน้า
“ผมเคยบอกคุณหรือเปล่า...ว่าคุณน่ะสวยแค่ไหน” น้ำเสียงราวกับละเมอ จากนั้นก็ยื่นสองมือมาข้างหน้า สัมผัสความอ่อนนุ่มพอดิบพอดีมือ นวดคลึงคลอเคลียไม่ห่าง
ร่างกายปริญดาแอ่นเอนไปด้านหลังโดยอัตโนมัติทันทีที่มือหนาใหญ่ของเขาแตะต้องทรวงอกกของเธอ ดวงตาหรี่ปรือหัวใจเต้นระส่ำเมื่อนิ้วเรียวยาวค่อย ๆ ฟอนเฟ้นเชื่องช้า ยอมให้เขาแตะต้องตัวเธออย่างที่ใจเขาต้องการ
ประสบการณ์ของเวหานั้นเหนือชั้นกว่าเธอเยอะ ร่างกายเธอได้แต่อ่อนปวกเปียกยอมให้เขาสัมผัสไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่เกี่ยงงอน และปฎิกิริยาตอบสนองอันร้อนแรงของเขาต่อเธอยิ่งทำให้เธอปลาบปลื้มในความเป็นหญิงของตัวเองยิ่งนัก
เมื่อความคิดที่เคยแจ่มแจ้งชัดเจนถูกสัมผัสอันแสนเร่าร้อนของเวหาครอบงำจนสมองมึนงงพร่าเลือน เลยไม่รู้ตัวเองว่าเขาได้จัดการกำจัดเสื้อผ้าของเธอและของเขาออกไปหมดสิ้น จนตอนนี้ร่างกายของทั้งคู่เปลือยเปล่าไปทั้งร่าง ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดผ่านกระทบผิวกาย แต่เพียงเสี้ยววินาที ความอบอุ่นก็เข้ามาแทนที่ เมื่อมีร่างใหญ่ของเขามาแนบชิดโดยที่มีมือเขาคลอเคลียสัมผัสร่างกายเธอไม่ห่าง ริมฝีปากก็ประพรมตามลำคอและใบหน้าเธอไม่หยุด
“เวย์....”
เธอลากเสียงยาวหวีดหวิว เมื่อความแข็งแกร่งดุดันของเขาเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเรียวขา ต้นขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาดันขาเธอให้แยกกว้างเบียดเสียดเลียดไล้กับความอ่อนนุ่มของเธอ
“รู้สึกถึงผมไหม...ปริม...” กระซิบชิดริมฝีปาก ขยับร่างหนาของตนเสียดไล้เข้ากับเธอ
เธอพยักหน้า “ค่ะ”
เวหาพลิกร่างให้เธอนอนตะแคง มีเขาแนบซ้อนกอดไว้จากทางด้านหลัง ลูบไปตามแขนเล็กเรียวไล่ลงไปยังต้นขา ผิวเนื้อของเธอเนียนละเอียดนุ่มละมุนราวกับผ้าไหม บอบบางชวนสัมผัส ร่างบางกระตุกสั่นสะท้านทุกครั้งที่มือเขาแตะต้องไปถึง
ชายหนุ่มยกตัวขึ้นมาใช้ศอกยันที่นอนเอาไว้ ปัดผมที่ปรกหน้าผากเธอออกแล้วจูบหนัก ๆ ที่ขมับ ขยับร่างเข้าไปชิดก่อนจะยกเรียวขาของเธอเล็กน้อยเตรียมพร้อมสำหรับบทรักที่กำลังจะตามมา
“มองผมสิปริม...มองผมในขณะที่เรากำลังมีความสุขด้วยกัน...”
เปลือกตาที่หนักอึ้งของปริญดาลืมขึ้นสบกับเขา เพลิงพิสวาสรุ่มร้อนในดวงตาเวหาสะท้อนกลับมาที่เธอในความมืดสลัวเพิ่มไฟรักในตัวเธอให้กระพือโหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเขาค่อย ๆ แทรกความแข็งแกร่งเข้าสู่กายเธอ ความหวามไหวแห่งรสรักที่เธอไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างเขากับเธอ ทำเอาร่างกายเธอแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ การขยับกายเชื่องช้าอย่างอ่อนโยนค่อยเป็นค่อย ๆ มือของเขาก็ไม่ปล่อยให้ว่างงาน เลื่อนมาจับทรวงอกเธอ คอยลูบไล้ไปตามความอวบยุ่นอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“เวย์...รักคุณ...ฉันรักคุณ...” เธอเปล่งเสียงร้องลอดไรฟัน
การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะแรงร้อนแต่อ่อนโยนทะนุถนอมสร้างความเสียวซ่านแผ่กระจายเป็นริ้ว ๆ แทรกซอนทุกรูขุมขนของเธออย่างรวดเร็ว ดวงตาที่สบมองกันขณะบรรเลงเพลงรักก็ช่างฉ่ำหวานทำเอาหัวใจเธอเต้นแรงสะท้อนในอก ผิวกายร้อนฉ่าราวกับมีเหล็กเผาร้อนแนบอัง ท้องไส้ของเธอบิดเป็นเกลียวมากยิ่งขึ้นเมื่อเวหาเร่งจังหวะแห่งรักให้เร็วกว่าเดิม มือของเธอจิกผ้าปูที่นอนแน่น เรือนกายชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อเมื่อเธอและเขาใกล้จะถึงเส้นทางแห่งการปลดปล่อยเต็มที
เวหาก้มลงจูบเธอ ขบเม้มกลีบปากที่เห่อบวม ปรนเปรอเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลมหายใจเริ่มหอบระรัว เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งไปประสานกับมือเธอไว้ สอดแทรกนิ้วแล้วบีบกันแน่น และเพียงขยับกายเข้าสู่เธอเป็นครั้งสุดท้าย ความสุขสุดขีดก็พุ่งทะยานกระจายพร่างพรายไปทั่วร่างของคนทั้งคู่
หลังจากนั้นอีกนานแสนนานกว่าที่เวหาจะรู้สึกตัว เขากระซิบเรียกชื่อเธอแผ่วเบา แต่ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเธอ และรับรู้ได้ว่าหญิงสาวผล็อยหลับไปแล้วทั้งที่ร่างกายยังเปลือยเปล่านอนก่ายกอดกันอยู่ เขาค่อย ๆ ขยับตัวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายทั้งคู่ไว้ ดึงเธอเข้ามาแนบชิด แล้วถอนหายใจอย่างเป็นสุข
ไม่รู้ทำไม...เธอช่างให้ความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน และเธอเป็นของเขา ทั้งตัวและหัวใจ เธอมอบให้เขาเพียงคนเดียว ไม่ใช่ของใครหน้าไหนทั้งนั้น
เวหาบรรจงจูบแก้มเนียนของเธอแผ่วเบา เลื่อนมือไปลูบหน้าท้องแบนราบเปลือยเปล่าของเธอด้วยความรู้สึกหวงแหน
นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าความรัก...เขาถามตัวเองซ้ำ ๆ ในหัว รักเธอโดยที่ไม่มีเงื่อนไข รักเธอในแบบที่เธอเป็น มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้...
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ในที่สุดเขาก็กล้ายอมรับกับตนเองว่าเขารักปริญดาจริง ๆ เป็นรักบริสุทธิ์เฉกเช่นเดียวกับเธอ ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแอบแฝง เป็นความรักจริงใจล้วน ๆ ที่เขามอบให้เธอ
แต่เขาจะไม่ยอมรับกับเธอเร็ว ๆ นี้หรอกนะ เพราะเขามันเหย่อหยิ่งเกินไป ถือตัวเกินไปที่จะยอมรับรักเธอง่ายดายแบบนั้น
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาขี้ขลาด...ก็ไม่แน่ใจนัก แต่ถึงยังไง ความรู้สึกนี้ก็ต้องส่งผ่านบอกให้เธอรู้ เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น รอให้เขาแน่ใจ มั่นใจกว่านี้อีกสักนิด ถึงวันนั้น...เขาจะบอกรักเธอจนเธอเบื่อที่จะฟังคำ ๆ นี้กันเลยทีเดียว
/
/
/
ตอนเย็นของวันถัดมา เวหาขับรถมาส่งปริญดาที่บ้านของเธอหลังจากขับกลับมาจากกาญจนบุรี และก่อนมาส่งเธอที่หน้าบ้าน ทั้งคู่ก็พากันไปกินข้าวเย็น เวหาชวนเธอไปเลือกซื้อของเข้าบ้านเขาเกือบพักใหญ่ กว่าจะมาถึงบ้านของหญิงสาวได้ก็ปาเข้าไปดึกดื่น
รถเฟอร์รารี่คันหรูจอดที่หน้าประตูบ้านหญิงสาว เป็นครั้งแรกที่เขามาส่งเธอถึงบ้าน ประตูอัลลอยบานใหญ่ที่ปิดทึบทำให้เขามองไม่เห็นด้านใน
“ให้ผมเข้าไปคุยกับครอบครัวคุณตอนนี้เลยก็ได้นะ คุณจะได้ไมต้องคุยหลายรอบ แล้วพ่อแม่ผมก็ต้องมาสู่ขอคุณกับพวกท่านอีก” เวหาออกความเห็น
ปริญดาทำหน้าลังเล “ให้ฉันคุยก่อนดีกว่าค่ะ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณย่าฉันเป็นยังไง ถ้าคุณเข้าไปปุบปับแบบนี้ท่านอาจจะอารมณ์เสียเอาได้”
แต่เธอไม่ได้บอกเขาว่าความจริงแล้วเธอกลัวว่าคุณย่าจะโมโหจนลงไม้ลงมือกับเธออีก และเธอก็อับอายเกินกว่าจะให้เขาเห็นเธอถูกทำร้ายแบบนั้น
สีหน้าเธอหม่นลงเล็กน้อย “อีกอย่างพ่อฉันก็อยู่โรงพยาบาล ต้องดูอาการของพ่อก่อนว่าสภาพจิตใจตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เพราะอย่างนั้นฉันเลยคิดว่าให้ฉันคุยกับคนในครอบครัวของฉันก่อนเป็นดีที่สุดค่ะ”
เวหายื่นมือไปจับแก้มของเธอแผ่วเบา ใช้นิ้วโป้งลูบไล้ไปมา ในงานเลี้ยงวันนั้นเธอก็เล่าให้ฟังว่าบิดาของเธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประสาท และพักอยู่ในโรงพยาบาลมาหลายปี ทั้งที่อาการดีขึ้นแต่ก็กลับมาอยู่ที่บ้านไม่ได้เพราะอารมณ์ที่แปรป่วนโมโหร้ายของคุณย่าของเธอ พอได้ฟังก็สงสารเธอจับใจ
“โอเคจ้ะ แล้วแต่คุณแล้วกัน คุณพร้อมให้ผมไปคุยกับครอบครัวคุณเมื่อไรก็บอกมานะ” คลี่ยิ้มใจเย็น ก่อนจะจับคางเธอมั่น สบตาเธอนิ่ง
“แต่อย่าให้ชักช้านักนะ ผมน่ะอยากเห็นคุณเป็นเจ้าสาวจะแย่อยู่แล้ว”
ปริญดาหน้าแดงขึ้นมาทันควัน ยิ้มแก้มแทบปริ แววตาสว่างไสวเจิดจ้า
เวหาเห็นเธออายก็ยิ้มกว้าง กระเถิบเข้าไปใกล้ สบสายตาหวานกับธอนิ่งนาน “คืนนี้ต้องนอนคนเดียว ผมคงคิดถึงคุณแย่” เขาพูดสองแง่สองง่าม ทำตีสีหน้าเศร้า ไล้หลังมือไปตามแนวกรามเธอ
หญิงสาวกลั้นยิ้ม ก่อนจะทำน้ำเสียงดุดัน “หึ อย่าให้ฉันรู้นะว่าพาผู้หญิงคนไหนมาที่คอนโด”
“โธ่ ปริม ผมเหรอจะกล้า” ทำทีว่ากลัวคำขู่เธอ พอเห็นตาเธอเป็นประกายมีชัยชนะเหนือเขา ริมฝีปากก็หยักยิ้ม
เธอขมวดคิ้ว “ยิ้มอะไรคะเวย์”
“ก็คุณหึงผมแล้วน่ารัก...ผมชอบ” น้ำเสียงออดอ้อนหว่านเสน่ห์ แววตาพราวระยิบ
“บ้า ฉันน่ะเหรอจะหึงคุณ” เธอสะบัดคางหนี แต่ใบหน้าร้อนผ่าว ๆ เพราะความเขิน แล้วหยิบกระเป๋าถือมาสะพาย
“ฉันเข้าบ้านดีกว่า” เธอทำท่าจะเปิดประตูรถ
เวหารีบคว้ามือเธอไว้ “อ้าว เดี๋ยวสิ จะไปโดยไม่ร่ำลากันสักคำเลยเหรอปริม”
ปริญดาที่มัวแต่อายทำปากพยักเพยิด แล้วรีบพูดเร็ว ๆ “แล้วเจอกันนะคะ ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”
“แค่นี้อ่ะนะ” เขาโวย
เธอเลิกคิ้วถาม “ก็แค่นี้น่ะสิคะ”
เวหาแสร้งถอนใจ “จะไม่จูบลาผมหน่อยเหรอ” เขาหันข้างใช้นิ้วเคาะแก้มตัวเอง
หญิงสาวมองเขาด้วยความหมั่นไส้ระคนเขินอาย เธอเม้มปากลังเล ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มของเขาเร็ว ๆ ทีนึง
“อะไรกัน นี่จูบแล้วเหรอ” เขาท้วง ยื่นหน้า หันแก้มเข้าไปใกล้เธออีก
ปริญดาส่งค้อนให้วงใหญ่ ถอนหายใจ แล้วยื่นหน้าจะหอมแก้มเขา แต่เวหากลับหันแก้มหนีเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นริมฝีปากที่มาจ่อหน้าเธอจนริมฝีปากชนเข้ากับเขาเต็ม ๆ และเวหาไม่ปล่อยให้เธอได้ขัดขืน เขายกมือขึ้นจับท้ายทอยเธอ ดึงให้เข้ามาชิด แล้วเคล้าคลึงบรรจงจูบเธออ่อนโยน
เมื่อได้สัมผัสความอุ่นซ่านจากริมฝีปากเขา ปริญดาก็อ่อนระทวยอีกตามเคย ยกมือขึ้นโอบรอบคอแข็งแรง เอียงหน้าเล็กน้อยให้เขาได้จูบเธอง่ายขึ้น เขาค่อย ๆ ครอบครองริมฝีปากเธออย่างหนักหน่วงลึกล้ำ ลิ้นของเขาแทรกเข้ามา เธอตอบโต้ด้วยการตวัดรับ รัดคอเขาแน่น จิกเล็บลงบนเนื้อนุ่ม ๆ ของเขายามเมื่อเขารุกร้ำเธอดูดดื่ม
เวหาตัดใจถอนจุมพิต มองกลีบปากแดงเรื่อเห่อบวมอย่างอาลัยอาวรณ์ หอบหายใจถี่ ร่างของเขาเกร็งสะท้านปวดร้าวเพราะความปรารถนาในตัวเธอ
“ถึงบ้านแล้วผมจะโทรหา” บอกเสียงแผ่ว จุมพิตหน้าผากเธออีกหน ก่อนจะผละออกห่าง
“คิดถึงผมด้วยนะ”
เธอยังคงมึนงงเกินกว่าจะตอบรับ จึงได้แต่พยักหน้าเบา ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขณะเปิดประตูก้าวลงจากรถ เดินขาสั่นไปยืนรอส่งเขาที่หน้าประตูบ้าน มองผ่านกระจกหน้ารถเห็นเขาโบกมือมาให้เธอจึงโบกมือตอบ จากนั้นเวหาก็เร่งเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขับรถกลับออกไป
/
/
/
“กลับมาแล้วเหรอลูก” ปวราทักทายลูกสาวเมื่อเห็นเธอเดินผ่านห้องรับแขก วางนิตยสารที่กำลังอ่านในมือแล้วเดินเข้าไปหาปริญดา
“อ้าว แม่ยังไม่นอนอีกเหรอคะ นี่ดึกแล้วนะคะเนี่ย” เธอบอกพลางดูเวลาที่ข้อมือ
“ก็ปริมบอกว่าจะกลับวันนี้ค่ำ ๆ แม่ก็มารอเผื่อว่าปริมจะหิว แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังล่ะเรา”
“ปริมลืมโทรบอกแม่ไปเลยค่ะว่าจะหาอะไรกินก่อนกลับบ้าน” เธอทำหน้าสำนึกผิด “ปริมขอโทษทีนะคะ แม่เลยต้องรอปริมซะดึกเลย”
ปวรายิ้ม เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไร แล้วนี่งานเรียบร้อยดีไหมลูก ตอนแรกบอกจะไปค้างวันเดียว นี่สองวันคงจะงานยุ่งมากล่ะสิ”
ปริญดาปั้นยิ้มฝืด ๆ รู้สึกผิดที่โกหกมารดา “ก็นิดหน่อยน่ะค่ะแม่ ช่วงนี้มีปรับเนื้อหาในนิตสารเลยต้องแก้กันนานหน่อย”
หล่อนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอยห่างแล้วเอียงคอมอง ขมวดคิ้วสงสัย “หน้าตาปริมทำไมดูสดใสเปล่งปลั่งจัง วันก่อนแม่ยังเห็นหนูดูเคร่งเครียดหน้าตาซีดเซียดไม่สดชื่นเอาซะเลย”
เธอจับแก้มตนเอง เลิกคิ้วมองมารดา “เหรอคะ”
ปวรายิ้ม ยื่นมือไปลูบผมหญิงสาว “ก็ใช่น่ะสิ หน้าตาเหมือนคนมีความสุข” ว่าแล้วก็มองปราดไปทั่วใบหน้าปริญดา
“นี่มีเรื่องอะไรดี ๆ แล้วไม่บอกแม่ใช่ไหม หืมม”
“เอ่อ...ปริม” ปริญดาอึกอัก หัวใจเต้นตุบตับเมื่อถูกมารดาถามดักคอ
“นั่นไง แม่คิดไว้ไม่มีผิด” หล่อนหรี่ตามองปริญดา ไม่ต้องรอให้ลูกสาวพูดจบ แค่ดูท่าทางอ้ำๆ อึ้ง ๆ หล่อนก็รู้แล้วว่าต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่ ๆ
เธอทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “อะไรกันคะแม่ ปริมยังไมได้พูดอะไรแม่ก็รู้แล้วเหรอคะ”
ปวรากอดอก ยิ้มอย่างรู้ทัน “แม่เป็นแม่เรานะ เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กมีเหรอที่แม่จะไม่รู้ว่าปริมกำลังคิดอะไร”
ปริญดายิ้มเจื่อน พลางถอนใจ นี่แหล่ะคือปัญหาของเธอเวลาอยู่กับมารดา ถ้ามีเรื่องปิดบังอะไรจะไม่สามารถตบตาท่านได้เลยสักครั้ง
“ก็ได้ค่ะ ปริมยอมแพ้แม่แล้ว” เธอบอกเสียงอ่อย
“งั้นบอกแม่ซิว่ามีเรื่องอะไรถึงทำให้ปริมดูสดใสหน้าตามีความสุขได้ขนาดนี้”
หญิงสาวทำหน้าหนักใจเล็กน้อย เพราะยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะบอกเรื่องท้องกับเวหาให้มารดาฟัง แต่พอถูกจับพิรุตได้และคิดว่าไหน ๆ มารดาเธอก็ต้องทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว บอกช้าหรือเร็วก็มีค่าเท่ากัน
ปริญดาปรับสีหน้า เข้าไปโอบรอบเอวมารดาแล้วยิ้มบอก “เราเข้าไปคุยในห้องรับแขกกันดีกว่าไหมคะ ปริมมีเรื่องต้องสารภาพกับแม่เยอะเลยค่ะ”
ปวรามองใบหน้ายิ้มแย้มที่มีแววตากังวลแล้วก็นึกสงสัยว่าเรื่องที่ปริญดาอยากจะคุยนั้นคืออะไร แล้วทำไมต้องสารภาพด้วย แต่หล่อนก็เก็บความสงสัยนั้นไว้ จับมือปริญดาที่เย็นเฉียบซึ่งเธอยื่นมาให้ แล้วจูงหล่อนไปยังห้องรับแขก
เมื่อทั้งคู่นั่งลงบนโซฟาหลุยส์ ปาวราก็เอ่ยปากถามทันที “ไหนปริมมีอะไรจะบอกแม่ก็ว่ามา”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
จบตอน
K.Nandii ไม่กล้ายอมรับความจริงก็เป็นแบบนายเวย์นี่แหล่ะค่ะ อิอิ
K.lamyong เก๊กมาก ๆ ค่ะ แต่ตอนนี้ก็รู้ใจตัวเองแล้วเนอะ ^^
K.pkka รักแล้วรักเลยด้วยนะคะคราวนี้ ^_^
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และจิ้มชอบรวมถึงนักอ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานของเปลวหอมด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ!
หอบแฮ่ก ๆ เอานิยายมาส่งค่ะ ช่วงนี้ต้องบอกว่าปั่นนิยายหางจุกตูดดึกดื่นเที่ยงคืนค่ะ เพราะว่าแต่งเอาไว้มาถึงตอนนี้ กลัวว่ากว่าตอนหน้าจะมาลงให้ได้ก็คงอีกสักพัก คาดว่าน่าจะเป็นอาทิตย์ละบทนะคะ แต่ยังไงจะพยายามไม่ให้ทิ้งช่วงไปนานค่ะ
ถ้ามีอะไรขาดตกบ่กพร่องเนื้อเรืองไม่เคลียร์บอกกล่าวกันได้เลยนะคะ
แล้วเจอกันอาทิตย์หน้า อ่านนิยายให้สนุกนะคะ!! ^v^
เพียงใจปรารถนา ตอน 29
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ที่ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงประตูห้องนอนเปิดออกทำให้ปริญดาที่กำลังตาปรือเคลิ้มหลับลืมตาตื่นเต็มที่ แต่ยังแกล้งทำเป็นนอนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน
“ปริม คุณหลับแล้วเหรอ” เวหาลองกระซิบเรียก ลดฝีเท้าให้เบาลงขณะเดินเข้าไปใกล้ที่เตียง ชะโงกหน้าไปมองหญิงสาวที่นอนตะแคงข้างหันหลังให้เขา เห็นเปลือกตาเธอปิดสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ จึงคิดว่าเธอหลับไปแล้วเลยเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟหัวเตียง จากนั้นก็เดินย้อนไปที่ประตู ปิดสวิตซ์ไฟข้าง ๆ เหลือแต่แสงไฟสลัว ๆ ให้เขาได้ทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ
ปริญดายังคงนอนไม่ไหวติงขณะได้ยินเสียงเดินซวบซาบไปมาของเวหา ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องแกล้งหลับ แต่ในเมื่อทำไปแล้วเธอก็ต้องเสแสร้งแกล้งทำไปจนจบ พยายามบอกตัวเองให้หลับเสียจะได้ไม่ต้องนอนเกร็งเผยไต๋ให้เขาจับได้
สักพักใหญ่ ปริญดาก็รู้สึกถึงเตียงที่อ่อนยวบลงข้างกาย ตาที่ปิดแต่ไม่สนิทดีนักเห็นเงาใหญ่ที่ชะโงกอยู่เหนือใบหน้าเธอ แม้จะไม่ได้เห็นชัดเจน แต่รับรู้ได้ถึงสายตาคมเข้มที่ก้มมองลงมา หมอนของเธอขยับไหวเมื่อท่อนแขนแข็งแรงของเขาวางนาบด้านบน
หัวใจหญิงสาวเต้นระส่ำอยู่ในอก เมื่อลมหายใจอุ่นเป่ารดแก้มผสมกับกลิ่นหอมจาง ๆ ของโลชั่นหลังโกนหนวดของเขาที่โชยมาเข้าจมูกทำเอาเธอต้องกำมือที่อยู่ใต้ผ้าห่มไว้แน่น
และแล้วเธอก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนของเวหาประทับจูบลงมาบนแก้มของเธอแผ่วเบาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ช่องท้องเกร็งเครียดเขม็งขึ้นมาครามครัน ความหวาบหวิวพุ่งพล่านปราดขึ้นมาตามสันหลังเมื่อเขายังไม่หยุด กดปลายจมูกโด่งลงบนหน้าผากของเธอแล้วค้างอยู่นานก่อนจะผละออกห่าง จากนั้นเขาก็ขยับตัวลงนอนข้างกายเธอ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้หายใจหายคอดี เธอก็ต้องสะดุ้งผวาอีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้านเมื่อเขาสอดแขนเข้ามาใต้คอเธอแล้วดึงร่างเข้าไปแนบชิดกับตัวเขา มืออีกข้างก็ยื่นมาจากใต้ผ้าห่มวางพาดลงบนตัวแล้ววางท่อนแขนเขาบนแขนเธอ ประสานนิ้วมือเข้ากับเธอ
“ผมรู้นะว่าคุณยังไม่นอนน่ะปริม” เวหากระซิบเสียงพร่าข้างหู กระชับอ้อมกอดแน่น
“ผมขอนอนกอดคุณไว้แบบนี้ได้ไหม”
สมองของเธอกระเจิดกระเจิงหลังจากได้ยินคำขอของเขา ไออุ่นจากร่างใหญ่ที่ส่งผ่านมายังแผ่นหลังทำให้ร่างกายเธอร้อนระอุแทบลุกเป็นไฟ มือที่ประสานกันไว้สร้างความสุขสมอิ่มเอมก่อให้เกิดความผูกพันลึกซึ้งในจิตใจ
ปริญดาไม่ได้ตอบคำถามเขา เพียงแต่พยักหน้ารับช้า ๆ จากนั้นริมฝีปากเขาก็จูบลงบนกระหม่อมของเธอเป็นเชิงขอบคุณ และดูเหมือนว่าเขาตั้งท่าจะนอนหลับไปสบายใจเชิบ แต่เธอสิ นอนตาค้างหลับไม่ลงเมื่อมีร่างอบอุ่นของเขาตระกองกอดเอาไว้ หญิงสาวถอนหายใจดังเฮือก แล้วพยายามข่มตาข่มใจให้หลับ
“นอนไม่หลับเหรอปริม หรือคุณอึดอัดที่ผมกอดคุณไว้แบบนี้” พูดพลางปล่อยมือที่ประสานกับมือเธอเอาไว้ คลายอ้อมกอด แล้วขยับตัวออกห่าง
ความอบอุ่นพลันจางหายและความเย็นวาบเข้ามาแทนที่ทันทีที่ร่างใหญ่ของเวหาผละห่างตัว ทุกอณูในเรือนกายเธอประท้วงร้องเรียกหาความอบอุ่นนั้นกลับคืนมา ทำให้ปริญดาลืมตัว พลิกร่างหันไปทางเขา เขยิบเข้าไปใกล้แล้วสวมกอดซุกหน้าแนบอกกว้างของชายหนุ่ม
“ฉันชอบที่คุณกอดฉันไว้แบบนี้ค่ะ” พูดไปก็เขินไป แต่ทำอย่างไรได้ ทั้งใจทั้งร่างกายเธอโหยหาต้องการแต่เขาเท่านั้น
เวหาแย้มยิ้ม หัวใจเขาเบิกบานเป็นสุขกับประโยคธรรมดา ๆ ที่เธอบอก แขนของเขาตวัดรัดร่างเธอแนบชิดอีกครั้ง มือที่ยังคงรองหนุนศีรษะเธอเอาไว้อยู่เลื่อนขึ้นมาลูบผมเธอเล่นไปมา
“คุณว่าลูกของเราจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย”
ปริญดาแปลกใจที่อยู่ ๆ เขาก็อยากจะคุยเรื่องลูกขึ้นมา เธอผงกศีรษะขึ้นมามองหน้าเขา ตอนนี้เห็นใบหน้าเขาชัดเจนขึ้นเมื่อสายตาปรับเข้ากับความมืดในห้องได้แล้ว
“ไม่รู้สิคะ แต่ฉันอยากได้ผู้หญิง เวลาโตขึ้นจะได้ไปช็อปปิ้งดูของสวย ๆ งาม ๆ ด้วยกัน”
เวหาหัวเราะ “แต่ผมอยากได้ลูกชายมากกว่า โตมาจะได้หล่อเหมือนพ่อ” เขาทำเสียงภูมิใจเต็มที่
ปริญดาทำเบะปาก แต่ก็แอบซ่อนยิ้มเมื่อตอบ “แต่ถ้าฉันได้ลูกชายฉันก็ไม่อยากให้หล่อเหมือนคุณหรอค่ะ”
“อ้าว ทำไมล่ะ หล่ออย่างผมมันไม่ดีตรงไหน” เขารีบค้าน
หญิงสาวหัวเราะคิก พูดกระทบความหล่อหน่อยไม่ได้เลยนะ เธอประชดประชันเขาอยู่ในใจก่อนตอบ
“ก็ถ้าหล่ออย่างคุณ ฉันว่าสาว ๆ ก็คงมาติดพันกันให้วุ่นวาย อีกอย่างฉันก็หวงลูกชายค่ะ ไม่อยากให้เขารักสาว ๆ มากกว่าแม่”
ชายหนุ่มอมยิ้มกับเหตุผลของเธอ ยื่นมือไปไล้แนวกรามนุ่มละมุนแล้วพูดว่า “แต่ผมกลัวว่าลูกชายจะแย่งความรักของแม่ไปจากพ่อมากกว่าน่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมไม่ยอมจริง ๆ ด้วย”
จบประโยค มือเวหาที่เคลื่อนไหวบนแก้มเธอก็ชะงักค้าง ตกใจกับคำพูดของตัวเองที่ออกไปทางหึงลูกในท้องที่แม้แต่ยังไม่ลืมตาขึ้นมาดูโลกและยังไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายเสียด้วยซ้ำ
เดี๋ยวนี้เขาละเมอเพ้อพกเป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้เชียวเหรอนี่ เวหาก่นบ่นตัวเองในใจ
ผิดจากปริญดาที่ดูจะประหลาดใจมากกว่า ยิ่งเห็นท่าทางเงอะงะ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เธอก็ยิ่งนึกขบขันเขาในใจ คิดไม่ถึงว่าผู้ชายอย่างเวหาจะมีมุมน่ารักเขอะเขินกับเขาก็เป็นด้วย
หญิงสาววางมือเธอบนมือใหญ่อบอุ่นที่อยู่บนแก้มเธอแล้วส่งยิ้มให้เขา “ความรักของฉันที่มีให้คุณจะไม่มีวันลดลงค่ะเวย์”
ปริญดามองลึกเข้าไปในดวงตาของเขาผ่านความมืดสลัว จากนั้นก็ดึงมือเขามาใกล้ริมฝีปากของตนโดยที่ไม่ละสายตาไปจากเขา แล้วจรดกลีบปากลงบนฝ่ามือด้านในของชายหนุ่มเนิ่นนาน ก่อนจะดึงมือเขามาวางที่แก้ม เอียงคอซบคลอเคลียแล้วกับแมวน้อยออดอ้อนเจ้านาย พลางถอนหายใจเป็นสุข
“ฉันรักคุณจังเลยค่ะ” เธอบอกเขาไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไร และไม่เบื่อเลยที่จะพูดคำนี้ซ้ำ ๆ ให้เขาฟัง
ความรู้สึกของเวหาขณะนี้ราวกับกำลังมีประทัดระเบิดตูมตามอยู่ในอก ดวงตาของเขาพร่าพรายหรี่ปรือกับสัมผัสอ่อนนุ่มและคำบอกรักผ่านเสียงหวานใสของหญิงสาว
เขาพยายามควบคุมอารมณ์ที่กำลังหมุนคว้างให้กลับเข้าที่เข้าทาง
“ผม...” คำพูดค้างติดอยู่ที่ริมฝีปาก เมื่อเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะพูดอะไร
“คือผม...”
เสียงของเขาขาดหายเมื่อริมฝีปากถูกปิดกั้นด้วยจุมพิตจากหญิงสาว สมองของเขามึนงงไปชั่วขณะ แต่แล้วความอุ่นซ่านก็ปกคลุมไปทั่วกาย ริมฝีปากที่ไม่ชำนาญการของปริญดาขยับจูบเขาเชื่องช้าทำให้นึกย้อนไปถึงคืนวันนั้นที่เขาได้ตัวเธอ และเธอเป็นฝ่ายเริ่มรุกเขาก่อน ความรู้สึกตอนนั้นกับตอนนี้มันช่างเทียบกันไม่ได้เลยจริง ๆ
มือของเวหาเลื่อนไปจับท้ายทอยเธอพลางสอดนิ้วไปตามเส้นผมนุ่มมือของหญิงสาว ดึงศีรษะเธอให้หงายไปข้างหลังเล็กน้อยเบา ๆ เพื่อให้เธอรับจุมพิตที่เขากำลังจะเป็นฝ่ายเริ่มบรรเลงได้ถนัดถนี่ยิ่งขึ้น ก่อนจะแทรกลิ้นสู่ปากของเธอ ควานหาความหวานล้ำที่เขาต้องการลิ้มรส
เพียงไม่นาน จุมพิตที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงเมื่อเขาบดริมฝีปากคลึงเคล้าเข้ากับเธอ เสียงครางของเธอที่ดังลอดออกมาให้ได้ยินทำเอาร่างกายเวหาร้อนระอุ ครางตอบรับ สอดลิ้นดุดันครอบครองเธอ หลงดื่มด่ำกับรสจูบเย้ายวนใจจนไม่อยากผละห่าง
ปริญดาเองก็แทบจะอ่อนระทวยในอ้อมกอดของเวหา กลิ่นโลชั่นหลังโกนหนวดของเขาที่ยังคงลอยอบอวลบริเวณรอบกายทำให้เธอหัวหมุน จูบตอบเขาชนิดที่เธอเองก็คาดไม่ถึงว่าจะมีความกล้าได้ขนาดนี้
อาจจจะเป็นเพราะตอนนี้เธอติดอยู่ในวังวนแห่งความพิศวาสของเขาจนถอนตัวไม่ขึ้น เลิกสนใจไปนานแล้วว่าเขาจะรักเธอหรือไม่ รู้แต่เพียงว่าขณะนี้เธอมีความสุขเหลือเกินที่มีเขาอยู่เคียงข้าง ได้อยู่ในอ้อมกอดเขา จูบเขา สัมผัสเขาได้ตามที่ใจเธอต้องการ
ยิ่งคิดถึงอนาคตที่จะได้แต่งงานอยู่กินกับเขาฉันท์สามีภรรยา มีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ หัวใจเธอก็ซาบซ่านผลิบานจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดจะต้านทานไหว
เวหาถอนริมฝีปากจากหญิงสาว หายใจหอบถี่ “ผมเคยบอกคุณแล้ว” เสียงเขาพร่าจางเต็มที
“ถ้าผมได้จูบคุณ...ผมจะหยุดไม่ได้...เข้าใจใช่ไหมปริม...”
เธอรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่เธอไม่รู้จริง ๆ ว่าอยากให้เขาหยุดยั้งหรือไม่ หัวใจของเธอเต้นรัวแรงเกินไป ผิวกายร้อนรุ่มก็ไวต่อสัมผัส เกินที่เธอจะหักห้ามใจเหลือเกิน
“ฉันรู้ค่ะ” เสียงเธอแผ่วพร่าไม่แพ้กัน แก้มของเธอร้อนวูบวาบ สะท้านไปทั่วทั้งกายเมื่อรู้สึกถึงอาการแข็งขึงของเขาที่แนบชิดอยู่ที่ต้นขา
เธอเอื้อมมืออันสั่นเทาไปจับแก้มของเขาแล้วเอ่ยว่า “แต่ฉันเต็มใจเป็นของคุณ....”
เวหาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในใจรุ่มร้อนอย่างบ้าคลั่ง “แต่คุณกำลังท้อง...” พูดพลางเลื่อนมือไปสัมผัสที่หน้าท้องของหญิงสาว
ปริญดาวางมือเธอลงบนมือเขา สอดนิ้วของเธอเข้ากับนิ้วเรียวยาวนั้นแล้วยิ้มอ่อนละมุน
“คุณก็ทะนุถนอมฉันหน่อยสิคะ...”
เวหาครางกระหึ่มกับคำตอบนั่น ความต้องการแล่นปราดไปทั่วร่าง กระหายหิวในตัวเธออย่างแรงกล้าจนห้ามใจไว้ไม่อยู่อีกต่อไป กระชากผ้าห่มที่คลุมกายทั้งคู่ออกอย่างแรง แล้วตวัดร่างบางให้ขึ้นมาอยู่บนตัวเขา
“ผมจะถามซ้ำอีกครั้ง คุณแน่...”
ปริญดารีบเอามือปิดปากเขาแล้วยิ้มกลั้วหัวเราะ
“คุณนี่พูดมากจัง”
และเธอไม่รอให้เขาตอบโต้ ก้มลงจูบเบา ๆ ที่ริมฝีปากปิดกั้นคำพูด ซึ่งเขาก็เผยอตอบรับ จูบอ้อยอิ้ง อ่อนโยน
ท่อนแขนของเวหาโอบรัดรอบแผ่นหลังปริญดา อารมณ์ปรารถนาในตัวเธอพลุ่งพล่านฟาดฟันใส่เขาจนแทบจะอดทนอ่อนโยนต่อไปไม่ไหว บดเคล้าเรียวปากเข้ากับเธออย่างหนักหน่วงรุนแรง สอดลิ้นเกี่ยวกระหวัดจูบดูดดื่มคลั่งไคล้ หลงใหลในกลิ่นกายเนื้อสาวจนต้องไล่จูบลงมาตามแอ่งลำคอที่เธอเงยหน้ารับจุมพิต เสียงครางด้วยความสุขสมของทั้งคู่สอดประสานกัน อิ่มเอมเปรมปรีย์เพียงแค่ได้สัมผัสจูบกันเท่านั้น
เมื่อเวหาเห็นว่าหญิงสาวเองก็ตอบสนองรับเขาอย่างเต็มใจ เขาก็ยิ่งได้ใจ มือใหญ่เลื่อนมาที่เอวบาง ขยับให้เธอลุกขึ้นนั่ง แล้วเขาก็ลุกตามโดยที่เธอยังคงนั่งตักเขาเอาไว้ มองสบตาเธอด้วยความหวามไหวร้อนแรง แล้วดึงเสื้อชุดนอนผ้าซาตินของเธอออกช้า ๆ แม้ภายในห้องจะมืดสลัว แต่เขาก็เห็นทั่วใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำด้วยความเขินอาย ยกมือขึ้นปิดบังร่างกาย
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ค่อย ๆ ดึงมือเธอลดลงข้างกาย ขยับตัวกอดเธอไว้ ใช้มือลูบไล้แผ่นหลังเปล่าเปลือยอุ่นร้อนของเธอไปมาแล้วเอียงคอกระซิบที่ข้างหูเธอ
“ขอให้ผมได้เห็นคุณนะ ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน....” เสียงแหบแห้งพร่าขณะเลื่อนมือไปปลดตะขอชุดชั้นใน ดึงมันออกช้า ๆ รับรู้ถึงร่างอันสั่นสะท้านที่กำลังซุกหน้าอยู่กับซอกคอเขา
เวหาดันตัวเธอออกห่างเพื่อมองเธอให้ชัด ๆ ดวงตาเบิกกว้าง ร้อนระอุราวกับมีเพลิงไฟสุมอยู่จนล้นปรี่รอการปะทุระเบิด ยามทอดมองปทุมถันที่คัดเครียดเบ่งบานอยู่ตรงหน้า
“ผมเคยบอกคุณหรือเปล่า...ว่าคุณน่ะสวยแค่ไหน” น้ำเสียงราวกับละเมอ จากนั้นก็ยื่นสองมือมาข้างหน้า สัมผัสความอ่อนนุ่มพอดิบพอดีมือ นวดคลึงคลอเคลียไม่ห่าง
ร่างกายปริญดาแอ่นเอนไปด้านหลังโดยอัตโนมัติทันทีที่มือหนาใหญ่ของเขาแตะต้องทรวงอกกของเธอ ดวงตาหรี่ปรือหัวใจเต้นระส่ำเมื่อนิ้วเรียวยาวค่อย ๆ ฟอนเฟ้นเชื่องช้า ยอมให้เขาแตะต้องตัวเธออย่างที่ใจเขาต้องการ
ประสบการณ์ของเวหานั้นเหนือชั้นกว่าเธอเยอะ ร่างกายเธอได้แต่อ่อนปวกเปียกยอมให้เขาสัมผัสไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่เกี่ยงงอน และปฎิกิริยาตอบสนองอันร้อนแรงของเขาต่อเธอยิ่งทำให้เธอปลาบปลื้มในความเป็นหญิงของตัวเองยิ่งนัก
เมื่อความคิดที่เคยแจ่มแจ้งชัดเจนถูกสัมผัสอันแสนเร่าร้อนของเวหาครอบงำจนสมองมึนงงพร่าเลือน เลยไม่รู้ตัวเองว่าเขาได้จัดการกำจัดเสื้อผ้าของเธอและของเขาออกไปหมดสิ้น จนตอนนี้ร่างกายของทั้งคู่เปลือยเปล่าไปทั้งร่าง ลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศพัดผ่านกระทบผิวกาย แต่เพียงเสี้ยววินาที ความอบอุ่นก็เข้ามาแทนที่ เมื่อมีร่างใหญ่ของเขามาแนบชิดโดยที่มีมือเขาคลอเคลียสัมผัสร่างกายเธอไม่ห่าง ริมฝีปากก็ประพรมตามลำคอและใบหน้าเธอไม่หยุด
“เวย์....”
เธอลากเสียงยาวหวีดหวิว เมื่อความแข็งแกร่งดุดันของเขาเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างเรียวขา ต้นขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของเขาดันขาเธอให้แยกกว้างเบียดเสียดเลียดไล้กับความอ่อนนุ่มของเธอ
“รู้สึกถึงผมไหม...ปริม...” กระซิบชิดริมฝีปาก ขยับร่างหนาของตนเสียดไล้เข้ากับเธอ
เธอพยักหน้า “ค่ะ”
เวหาพลิกร่างให้เธอนอนตะแคง มีเขาแนบซ้อนกอดไว้จากทางด้านหลัง ลูบไปตามแขนเล็กเรียวไล่ลงไปยังต้นขา ผิวเนื้อของเธอเนียนละเอียดนุ่มละมุนราวกับผ้าไหม บอบบางชวนสัมผัส ร่างบางกระตุกสั่นสะท้านทุกครั้งที่มือเขาแตะต้องไปถึง
ชายหนุ่มยกตัวขึ้นมาใช้ศอกยันที่นอนเอาไว้ ปัดผมที่ปรกหน้าผากเธอออกแล้วจูบหนัก ๆ ที่ขมับ ขยับร่างเข้าไปชิดก่อนจะยกเรียวขาของเธอเล็กน้อยเตรียมพร้อมสำหรับบทรักที่กำลังจะตามมา
“มองผมสิปริม...มองผมในขณะที่เรากำลังมีความสุขด้วยกัน...”
เปลือกตาที่หนักอึ้งของปริญดาลืมขึ้นสบกับเขา เพลิงพิสวาสรุ่มร้อนในดวงตาเวหาสะท้อนกลับมาที่เธอในความมืดสลัวเพิ่มไฟรักในตัวเธอให้กระพือโหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเขาค่อย ๆ แทรกความแข็งแกร่งเข้าสู่กายเธอ ความหวามไหวแห่งรสรักที่เธอไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งระหว่างเขากับเธอ ทำเอาร่างกายเธอแทบแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ การขยับกายเชื่องช้าอย่างอ่อนโยนค่อยเป็นค่อย ๆ มือของเขาก็ไม่ปล่อยให้ว่างงาน เลื่อนมาจับทรวงอกเธอ คอยลูบไล้ไปตามความอวบยุ่นอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
“เวย์...รักคุณ...ฉันรักคุณ...” เธอเปล่งเสียงร้องลอดไรฟัน
การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะแรงร้อนแต่อ่อนโยนทะนุถนอมสร้างความเสียวซ่านแผ่กระจายเป็นริ้ว ๆ แทรกซอนทุกรูขุมขนของเธออย่างรวดเร็ว ดวงตาที่สบมองกันขณะบรรเลงเพลงรักก็ช่างฉ่ำหวานทำเอาหัวใจเธอเต้นแรงสะท้อนในอก ผิวกายร้อนฉ่าราวกับมีเหล็กเผาร้อนแนบอัง ท้องไส้ของเธอบิดเป็นเกลียวมากยิ่งขึ้นเมื่อเวหาเร่งจังหวะแห่งรักให้เร็วกว่าเดิม มือของเธอจิกผ้าปูที่นอนแน่น เรือนกายชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อเมื่อเธอและเขาใกล้จะถึงเส้นทางแห่งการปลดปล่อยเต็มที
เวหาก้มลงจูบเธอ ขบเม้มกลีบปากที่เห่อบวม ปรนเปรอเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลมหายใจเริ่มหอบระรัว เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งไปประสานกับมือเธอไว้ สอดแทรกนิ้วแล้วบีบกันแน่น และเพียงขยับกายเข้าสู่เธอเป็นครั้งสุดท้าย ความสุขสุดขีดก็พุ่งทะยานกระจายพร่างพรายไปทั่วร่างของคนทั้งคู่
หลังจากนั้นอีกนานแสนนานกว่าที่เวหาจะรู้สึกตัว เขากระซิบเรียกชื่อเธอแผ่วเบา แต่ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเธอ และรับรู้ได้ว่าหญิงสาวผล็อยหลับไปแล้วทั้งที่ร่างกายยังเปลือยเปล่านอนก่ายกอดกันอยู่ เขาค่อย ๆ ขยับตัวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกายทั้งคู่ไว้ ดึงเธอเข้ามาแนบชิด แล้วถอนหายใจอย่างเป็นสุข
ไม่รู้ทำไม...เธอช่างให้ความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน และเธอเป็นของเขา ทั้งตัวและหัวใจ เธอมอบให้เขาเพียงคนเดียว ไม่ใช่ของใครหน้าไหนทั้งนั้น
เวหาบรรจงจูบแก้มเนียนของเธอแผ่วเบา เลื่อนมือไปลูบหน้าท้องแบนราบเปลือยเปล่าของเธอด้วยความรู้สึกหวงแหน
นี่ใช่ไหมที่เรียกว่าความรัก...เขาถามตัวเองซ้ำ ๆ ในหัว รักเธอโดยที่ไม่มีเงื่อนไข รักเธอในแบบที่เธอเป็น มีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้...
รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก ในที่สุดเขาก็กล้ายอมรับกับตนเองว่าเขารักปริญดาจริง ๆ เป็นรักบริสุทธิ์เฉกเช่นเดียวกับเธอ ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรแอบแฝง เป็นความรักจริงใจล้วน ๆ ที่เขามอบให้เธอ
แต่เขาจะไม่ยอมรับกับเธอเร็ว ๆ นี้หรอกนะ เพราะเขามันเหย่อหยิ่งเกินไป ถือตัวเกินไปที่จะยอมรับรักเธอง่ายดายแบบนั้น
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาขี้ขลาด...ก็ไม่แน่ใจนัก แต่ถึงยังไง ความรู้สึกนี้ก็ต้องส่งผ่านบอกให้เธอรู้ เพียงแต่ยังไม่ใช่ตอนนี้เท่านั้น รอให้เขาแน่ใจ มั่นใจกว่านี้อีกสักนิด ถึงวันนั้น...เขาจะบอกรักเธอจนเธอเบื่อที่จะฟังคำ ๆ นี้กันเลยทีเดียว
/
/
/
ตอนเย็นของวันถัดมา เวหาขับรถมาส่งปริญดาที่บ้านของเธอหลังจากขับกลับมาจากกาญจนบุรี และก่อนมาส่งเธอที่หน้าบ้าน ทั้งคู่ก็พากันไปกินข้าวเย็น เวหาชวนเธอไปเลือกซื้อของเข้าบ้านเขาเกือบพักใหญ่ กว่าจะมาถึงบ้านของหญิงสาวได้ก็ปาเข้าไปดึกดื่น
รถเฟอร์รารี่คันหรูจอดที่หน้าประตูบ้านหญิงสาว เป็นครั้งแรกที่เขามาส่งเธอถึงบ้าน ประตูอัลลอยบานใหญ่ที่ปิดทึบทำให้เขามองไม่เห็นด้านใน
“ให้ผมเข้าไปคุยกับครอบครัวคุณตอนนี้เลยก็ได้นะ คุณจะได้ไมต้องคุยหลายรอบ แล้วพ่อแม่ผมก็ต้องมาสู่ขอคุณกับพวกท่านอีก” เวหาออกความเห็น
ปริญดาทำหน้าลังเล “ให้ฉันคุยก่อนดีกว่าค่ะ คุณไม่รู้หรอกว่าคุณย่าฉันเป็นยังไง ถ้าคุณเข้าไปปุบปับแบบนี้ท่านอาจจะอารมณ์เสียเอาได้”
แต่เธอไม่ได้บอกเขาว่าความจริงแล้วเธอกลัวว่าคุณย่าจะโมโหจนลงไม้ลงมือกับเธออีก และเธอก็อับอายเกินกว่าจะให้เขาเห็นเธอถูกทำร้ายแบบนั้น
สีหน้าเธอหม่นลงเล็กน้อย “อีกอย่างพ่อฉันก็อยู่โรงพยาบาล ต้องดูอาการของพ่อก่อนว่าสภาพจิตใจตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เพราะอย่างนั้นฉันเลยคิดว่าให้ฉันคุยกับคนในครอบครัวของฉันก่อนเป็นดีที่สุดค่ะ”
เวหายื่นมือไปจับแก้มของเธอแผ่วเบา ใช้นิ้วโป้งลูบไล้ไปมา ในงานเลี้ยงวันนั้นเธอก็เล่าให้ฟังว่าบิดาของเธอป่วยเป็นโรคซึมเศร้าพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประสาท และพักอยู่ในโรงพยาบาลมาหลายปี ทั้งที่อาการดีขึ้นแต่ก็กลับมาอยู่ที่บ้านไม่ได้เพราะอารมณ์ที่แปรป่วนโมโหร้ายของคุณย่าของเธอ พอได้ฟังก็สงสารเธอจับใจ
“โอเคจ้ะ แล้วแต่คุณแล้วกัน คุณพร้อมให้ผมไปคุยกับครอบครัวคุณเมื่อไรก็บอกมานะ” คลี่ยิ้มใจเย็น ก่อนจะจับคางเธอมั่น สบตาเธอนิ่ง
“แต่อย่าให้ชักช้านักนะ ผมน่ะอยากเห็นคุณเป็นเจ้าสาวจะแย่อยู่แล้ว”
ปริญดาหน้าแดงขึ้นมาทันควัน ยิ้มแก้มแทบปริ แววตาสว่างไสวเจิดจ้า
เวหาเห็นเธออายก็ยิ้มกว้าง กระเถิบเข้าไปใกล้ สบสายตาหวานกับธอนิ่งนาน “คืนนี้ต้องนอนคนเดียว ผมคงคิดถึงคุณแย่” เขาพูดสองแง่สองง่าม ทำตีสีหน้าเศร้า ไล้หลังมือไปตามแนวกรามเธอ
หญิงสาวกลั้นยิ้ม ก่อนจะทำน้ำเสียงดุดัน “หึ อย่าให้ฉันรู้นะว่าพาผู้หญิงคนไหนมาที่คอนโด”
“โธ่ ปริม ผมเหรอจะกล้า” ทำทีว่ากลัวคำขู่เธอ พอเห็นตาเธอเป็นประกายมีชัยชนะเหนือเขา ริมฝีปากก็หยักยิ้ม
เธอขมวดคิ้ว “ยิ้มอะไรคะเวย์”
“ก็คุณหึงผมแล้วน่ารัก...ผมชอบ” น้ำเสียงออดอ้อนหว่านเสน่ห์ แววตาพราวระยิบ
“บ้า ฉันน่ะเหรอจะหึงคุณ” เธอสะบัดคางหนี แต่ใบหน้าร้อนผ่าว ๆ เพราะความเขิน แล้วหยิบกระเป๋าถือมาสะพาย
“ฉันเข้าบ้านดีกว่า” เธอทำท่าจะเปิดประตูรถ
เวหารีบคว้ามือเธอไว้ “อ้าว เดี๋ยวสิ จะไปโดยไม่ร่ำลากันสักคำเลยเหรอปริม”
ปริญดาที่มัวแต่อายทำปากพยักเพยิด แล้วรีบพูดเร็ว ๆ “แล้วเจอกันนะคะ ขอบคุณค่ะที่มาส่ง”
“แค่นี้อ่ะนะ” เขาโวย
เธอเลิกคิ้วถาม “ก็แค่นี้น่ะสิคะ”
เวหาแสร้งถอนใจ “จะไม่จูบลาผมหน่อยเหรอ” เขาหันข้างใช้นิ้วเคาะแก้มตัวเอง
หญิงสาวมองเขาด้วยความหมั่นไส้ระคนเขินอาย เธอเม้มปากลังเล ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มของเขาเร็ว ๆ ทีนึง
“อะไรกัน นี่จูบแล้วเหรอ” เขาท้วง ยื่นหน้า หันแก้มเข้าไปใกล้เธออีก
ปริญดาส่งค้อนให้วงใหญ่ ถอนหายใจ แล้วยื่นหน้าจะหอมแก้มเขา แต่เวหากลับหันแก้มหนีเปลี่ยนตำแหน่งมาเป็นริมฝีปากที่มาจ่อหน้าเธอจนริมฝีปากชนเข้ากับเขาเต็ม ๆ และเวหาไม่ปล่อยให้เธอได้ขัดขืน เขายกมือขึ้นจับท้ายทอยเธอ ดึงให้เข้ามาชิด แล้วเคล้าคลึงบรรจงจูบเธออ่อนโยน
เมื่อได้สัมผัสความอุ่นซ่านจากริมฝีปากเขา ปริญดาก็อ่อนระทวยอีกตามเคย ยกมือขึ้นโอบรอบคอแข็งแรง เอียงหน้าเล็กน้อยให้เขาได้จูบเธอง่ายขึ้น เขาค่อย ๆ ครอบครองริมฝีปากเธออย่างหนักหน่วงลึกล้ำ ลิ้นของเขาแทรกเข้ามา เธอตอบโต้ด้วยการตวัดรับ รัดคอเขาแน่น จิกเล็บลงบนเนื้อนุ่ม ๆ ของเขายามเมื่อเขารุกร้ำเธอดูดดื่ม
เวหาตัดใจถอนจุมพิต มองกลีบปากแดงเรื่อเห่อบวมอย่างอาลัยอาวรณ์ หอบหายใจถี่ ร่างของเขาเกร็งสะท้านปวดร้าวเพราะความปรารถนาในตัวเธอ
“ถึงบ้านแล้วผมจะโทรหา” บอกเสียงแผ่ว จุมพิตหน้าผากเธออีกหน ก่อนจะผละออกห่าง
“คิดถึงผมด้วยนะ”
เธอยังคงมึนงงเกินกว่าจะตอบรับ จึงได้แต่พยักหน้าเบา ๆ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะขณะเปิดประตูก้าวลงจากรถ เดินขาสั่นไปยืนรอส่งเขาที่หน้าประตูบ้าน มองผ่านกระจกหน้ารถเห็นเขาโบกมือมาให้เธอจึงโบกมือตอบ จากนั้นเวหาก็เร่งเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขับรถกลับออกไป
/
/
/
“กลับมาแล้วเหรอลูก” ปวราทักทายลูกสาวเมื่อเห็นเธอเดินผ่านห้องรับแขก วางนิตยสารที่กำลังอ่านในมือแล้วเดินเข้าไปหาปริญดา
“อ้าว แม่ยังไม่นอนอีกเหรอคะ นี่ดึกแล้วนะคะเนี่ย” เธอบอกพลางดูเวลาที่ข้อมือ
“ก็ปริมบอกว่าจะกลับวันนี้ค่ำ ๆ แม่ก็มารอเผื่อว่าปริมจะหิว แล้วนี่กินข้าวมาหรือยังล่ะเรา”
“ปริมลืมโทรบอกแม่ไปเลยค่ะว่าจะหาอะไรกินก่อนกลับบ้าน” เธอทำหน้าสำนึกผิด “ปริมขอโทษทีนะคะ แม่เลยต้องรอปริมซะดึกเลย”
ปวรายิ้ม เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว “ไม่เป็นไรหรอก แม่ก็ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไร แล้วนี่งานเรียบร้อยดีไหมลูก ตอนแรกบอกจะไปค้างวันเดียว นี่สองวันคงจะงานยุ่งมากล่ะสิ”
ปริญดาปั้นยิ้มฝืด ๆ รู้สึกผิดที่โกหกมารดา “ก็นิดหน่อยน่ะค่ะแม่ ช่วงนี้มีปรับเนื้อหาในนิตสารเลยต้องแก้กันนานหน่อย”
หล่อนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะถอยห่างแล้วเอียงคอมอง ขมวดคิ้วสงสัย “หน้าตาปริมทำไมดูสดใสเปล่งปลั่งจัง วันก่อนแม่ยังเห็นหนูดูเคร่งเครียดหน้าตาซีดเซียดไม่สดชื่นเอาซะเลย”
เธอจับแก้มตนเอง เลิกคิ้วมองมารดา “เหรอคะ”
ปวรายิ้ม ยื่นมือไปลูบผมหญิงสาว “ก็ใช่น่ะสิ หน้าตาเหมือนคนมีความสุข” ว่าแล้วก็มองปราดไปทั่วใบหน้าปริญดา
“นี่มีเรื่องอะไรดี ๆ แล้วไม่บอกแม่ใช่ไหม หืมม”
“เอ่อ...ปริม” ปริญดาอึกอัก หัวใจเต้นตุบตับเมื่อถูกมารดาถามดักคอ
“นั่นไง แม่คิดไว้ไม่มีผิด” หล่อนหรี่ตามองปริญดา ไม่ต้องรอให้ลูกสาวพูดจบ แค่ดูท่าทางอ้ำๆ อึ้ง ๆ หล่อนก็รู้แล้วว่าต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่ ๆ
เธอทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “อะไรกันคะแม่ ปริมยังไมได้พูดอะไรแม่ก็รู้แล้วเหรอคะ”
ปวรากอดอก ยิ้มอย่างรู้ทัน “แม่เป็นแม่เรานะ เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กมีเหรอที่แม่จะไม่รู้ว่าปริมกำลังคิดอะไร”
ปริญดายิ้มเจื่อน พลางถอนใจ นี่แหล่ะคือปัญหาของเธอเวลาอยู่กับมารดา ถ้ามีเรื่องปิดบังอะไรจะไม่สามารถตบตาท่านได้เลยสักครั้ง
“ก็ได้ค่ะ ปริมยอมแพ้แม่แล้ว” เธอบอกเสียงอ่อย
“งั้นบอกแม่ซิว่ามีเรื่องอะไรถึงทำให้ปริมดูสดใสหน้าตามีความสุขได้ขนาดนี้”
หญิงสาวทำหน้าหนักใจเล็กน้อย เพราะยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะบอกเรื่องท้องกับเวหาให้มารดาฟัง แต่พอถูกจับพิรุตได้และคิดว่าไหน ๆ มารดาเธอก็ต้องทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว บอกช้าหรือเร็วก็มีค่าเท่ากัน
ปริญดาปรับสีหน้า เข้าไปโอบรอบเอวมารดาแล้วยิ้มบอก “เราเข้าไปคุยในห้องรับแขกกันดีกว่าไหมคะ ปริมมีเรื่องต้องสารภาพกับแม่เยอะเลยค่ะ”
ปวรามองใบหน้ายิ้มแย้มที่มีแววตากังวลแล้วก็นึกสงสัยว่าเรื่องที่ปริญดาอยากจะคุยนั้นคืออะไร แล้วทำไมต้องสารภาพด้วย แต่หล่อนก็เก็บความสงสัยนั้นไว้ จับมือปริญดาที่เย็นเฉียบซึ่งเธอยื่นมาให้ แล้วจูงหล่อนไปยังห้องรับแขก
เมื่อทั้งคู่นั่งลงบนโซฟาหลุยส์ ปาวราก็เอ่ยปากถามทันที “ไหนปริมมีอะไรจะบอกแม่ก็ว่ามา”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
จบตอน
K.Nandii ไม่กล้ายอมรับความจริงก็เป็นแบบนายเวย์นี่แหล่ะค่ะ อิอิ
K.lamyong เก๊กมาก ๆ ค่ะ แต่ตอนนี้ก็รู้ใจตัวเองแล้วเนอะ ^^
K.pkka รักแล้วรักเลยด้วยนะคะคราวนี้ ^_^
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และจิ้มชอบรวมถึงนักอ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานของเปลวหอมด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ!
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ก.ย. 2557, 15:27:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.ย. 2557, 15:45:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 2135
<< ตอน 28 | ตอน 30 >> |
Nandii 5 ก.ย. 2557, 16:16:40 น.
อร๊ายยย พอเวย์จะน่ารักก็น่ารักซะ
อร๊ายยย พอเวย์จะน่ารักก็น่ารักซะ
pkka 5 ก.ย. 2557, 17:42:07 น.
รอติดตามผลงาน:)
รอติดตามผลงาน:)
pkka 5 ก.ย. 2557, 17:50:26 น.
ว่าแต่ คุณย่านี่ท่าจะปัณหาใหญ่
ว่าแต่ คุณย่านี่ท่าจะปัณหาใหญ่
lamyong 5 ก.ย. 2557, 22:06:42 น.
เวย์นี่ก็ขี้เล่นกับเขาเป็นด้วย พอบอกแม่แล้วแม่ปริมจะว่าไงบ้างนะ ไหนจะคุณย่าอีก
เวย์นี่ก็ขี้เล่นกับเขาเป็นด้วย พอบอกแม่แล้วแม่ปริมจะว่าไงบ้างนะ ไหนจะคุณย่าอีก
lamyong 5 ก.ย. 2557, 22:07:38 น.
ปล. พักผ่อนด้วยนะคะ เดี๋ยวไม่มีแรงปั่นนิยายแล้วเดี๋ยวจะอดอ่าน อิอิ
ปล. พักผ่อนด้วยนะคะ เดี๋ยวไม่มีแรงปั่นนิยายแล้วเดี๋ยวจะอดอ่าน อิอิ