เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 30
สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน^^
บทนี้ถ้าอ่านดูคิดว่าคงพอจะเดาความสัมพันธ์ของตัวละครกันได้บ้างใช่ไหมเอ่ย อิอิ ยังไงฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือเนื้อเรื่องไม่เคลียร์บอกกล่าวกันได้นะคะ ^_<
แล้วพบกันอาทิตย์หน้าค่ะ อ่านนิยายให้สนุกนะคะ!!
เพียงใจปรารถนา ตอน 30
ปริญดาเขี่ยโจ๊กที่ยังพูนเต็มชามตรงหน้าไปมา เธอกินไปได้แค่สองสามคำก็หมดความอยากอาหาร แถมยิ่งกินก็ยิ่งฝืดคอทั้งที่ปกติโจ๊กเป็นอาหารโปรดของเธอ แต่มื้อนี้กลับไม่มีความเอร็ดอร่อยเลยสักนิด เพราะเธอมัวแต่คิดกังวลใจกับเรื่องที่เธอเพิ่งบอกกับมารดาไปเมื่อคืนนี้ แล้วยิ่งเครียดหนักเมื่อต้องมาลุ้นปฎิกิริยาของคุณย่าว่าจะเป็นอย่างไรหากเธอบอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบ
“เห็นแม่ปิ่นบอกว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับฉันเหรอ”
เร็วเท่าความคิด เสียงราบเรียบแต่เฉียบคมของคุณย่าเอ่ยถามขึ้นมาทันที ทำเอาเธอที่นั่งเหม่อลอยอยู่ถึงกับสะดุ้งเผลอทำช้อนที่ถืออยู่ในมือตกกระทบขอบชามแก้วดังเคร้ง
“ฉันถามแค่นี้ทำไมต้องตกใจด้วย ขวัญอ่อนจริงนะแม่คุณ” ทำเสียงดูแคลนพลางชำเลืองตามอง
ปริญดามองปวราที่นั่งตรงข้ามก็เห็นมารดาส่งยิ้มให้กำลังใจ ซึ่งเธอก็ได้แต่ยิ้มตอบเจื่อน ๆ นึกถึงเมื่อคืนนี้หลังจากที่บอกมารดาเรื่องที่เธอท้อง มารดาเธอดูตกใจไม่น้อย ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดและพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ แว่บหนึ่งเธอเห็นแววตาที่ผิดหวังเสียใจของมารดา แต่พอเธอบอกว่าเธอตกลงกับพ่อของลูกในท้องตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน และทางญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายรับรู้เห็นชอบแล้ว สีหน้ามารดาเธอก็ดีขึ้น
หลังจากนั้น เธอก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างตั้งแต่ก้องเกียรติป่วยจนถึงตอนที่เธอถูกเวหาจับตัวไปให้มารดาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ใจจริงตอนแรกเธอกลัวว่ามารดาอาจจะไม่ยอมรับเวหาหากรู้ว่าเด็กในท้องเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่อีกใจเธอก็ไม่อยากโกหกมารดาอีกแล้ว และคิดว่าถ้าพยายามอธิบายให้มารดาเข้าใจว่าเธอรักเขามากแค่ไหนและเวหายอมแต่งงานและรับเด็กในท้องด้วยความเต็มใจ เธอก็เชื่อว่ามารดาจะยอมรับและเข้าใจในตัวชายหนุ่มได้
เธอปรึกษากับมารดาว่าควรจะบอกคุณย่าเรื่องที่เธอท้องหรือไม่ ซึ่งมารดาเธอก็ให้ความเห็นว่าควรจะบอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบ เพราะไม่มีอะไรรอดหูรอดตาท่านไปได้ เพราะอยู่บ้านเห็นหน้ากันทุกวัน หากวันไหนอาการแพ้ท้องกำเริบขึ้นมา คุณย่าก็ต้องรู้เรื่องเธอท้องอยู่ดี
ปริญดาหันไปมองหญิงชราผู้ซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านหลังนี้ที่กำลังนั่งทานอาหารด้วยท่าทางสบาย ๆ อยู่ที่หัวโต๊ะเธอสังเกตุว่าวันนี้สีหน้าคุณย่าดูผ่อนคลายถึงแม้จะอยู่ในอาการสงบเคร่งขรึมเหมือนทุกครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว และเธอคิดว่าเธอควรจะรีบบอกคุณย่าก่อนที่อารมณ์ดี ๆ ของท่านจะกลายเป็นพาลโมโหใส่เธอที่โอ้เอ้ชักช้าไม่พูดออกไปสักที
เธอคว้าแก้วน้ำขึ้นมาจิบเล็กน้อย ก่อนบอก “ค่ะ ปริมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณย่านิดหน่อย คุณย่าพอมีเวลาให้ปริมไหมคะ”
“ก็ฉันนั่งรอฟังอยู่นี่ไง มีอะไรก็ว่ามา” หล่อนตอบน้ำเสียงหงุดหงิดแต่ไม่จริงจังมากนัก
ปริญดาอึกอัก บีบมือที่ตักลังเล ถึงแม้จะเตรียมใจรับอารมณ์โกรธไว้แล้วแต่ก็ยังไม่กล้าบอกอยู่ดี “คือปริม...”
หญิงชราวางช้อนเมื่อทานเสร็จ หล่อนหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ด “เอ้า จะพูดอะไรก็พูดมา นั่งตีมึนอยู่ได้ ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันหรอกนะ”
ปวราที่เห็นลูกสาวยึกยักไม่บอกออกไปซะที หล่อนจึงเอ่ยเตือน “ปริม บอกคุณย่าเขาไปสิลูก” พยักหน้าแล้วยิ้มให้กำลังใจเธออีกครั้ง
ปริญดาเม้มปาก พยักหน้ารับ รู้สึกถึงเหงื่อเปียกชื้นที่ฝ่ามือ เธอรออีกอึดใจ ก่อนจะโพล่งบอกออกไป “ปริมกำลังจะแต่งงานเร็ว ๆ นี้ค่ะคุณย่า”
หญิงชราเงียบไปพักใหญ่ จ้องปริญดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหยักมุมปาก หัวเราะเสียงแค่น “แต่งงานเหรอ หึ แล้วคราวนี้แกจะแต่งกับใคร เพิ่งจะยกเลิกงานแต่งกับตาก้องได้ไม่นาน ก็หาผู้ชายคนใหม่มาเป็นแฟนได้เร็วดีจังเลยนะ”
ปริญดาพยายามข่มอารมณ์น้อยใจ และพยายามพูดให้ดูเป็นปกติที่สุด “คือ คนนี้ปริมรู้จักเขามานานพอสมควรแล้วค่ะ แต่ปริมกับเขาเพิ่งจะมาสนิทกันได้ไม่นาน”
“แล้วไง เพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานก็จะแต่งงานกันเลยหรือไง ไวไฟกันจริงพวกผู้หญิงผู้ชายสมัยนี้” หล่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ กอดอก ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ปวราด้วยสายตาดูแคลน
“นี่หวังว่าคงไม่ใช่เพราะแกท้องหรอกนะถึงได้รีบแต่งงาน”หล่อนพูดกับปริญดาแต่หางตามองปวราเหยียดหยัน
คำพูดจี้ใจดำของคุณย่าทำเอาปริญดาสะดุ้งโหยง คำพูดติดอยู่ในลำคอกะทันหัน “เอ่อ...”
“ไม่ว่าสมัยไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด มีให้เห็นจนเกลื่อน พวกที่ไม่ชอบรักนวลสงวนตัวแล้วปล่อยให้ท้องป่องหาพ่อไม่ได้”
คราวนี้เป็นปวราที่กำลังดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลัก ไอติด ๆ กันหลายครั้งจนต้องรีบหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาปิด หญิงชราหันไปมองอย่างเอือมระอา
“นี่แม่ปิ่น ฉันบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเวลากินอะไรให้กินช้า ๆ พอสำลักแล้วก็ไอค่อกแค่กบนโต๊ะอาหารแบบนี้มันน่ารังเกียจ แก่ป่านนี้แล้วยังต้องให้สอน”
ปวราหน้าเจื่อน ห่อไหล่ด้วยความเกรงกลัว “ขอโทษค่ะคุณแม่ ปิ่นจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้วค่ะ”
ปริญดาแอบลอบถอนใจ กับเรื่องเพียงเล็กน้อยคุณย่าก็คอยหาเรื่องเธอกับมารดาทุกครั้งไป และมารดาก็เต็มใจยอมก้มหน้ารับผิดแต่โดยดีมาตลอดแม้คุณย่าจะชอบใช้คำพูดส่อเสียดดูถูกมารดาบ่อย ๆ ก็ตาม
แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องรับมือคืออารมณ์ของคุณย่าหลังจากนี้หากทราบว่าเธอจะแต่งงานเพราะท้องกับเวหา ยิ่งคุณย่าพูด ดักเธอออกมาแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งทำให้เธอหนักใจยิ่งกว่าเก่าและไม่กล้าบอกออกไปตรง ๆ ว่าตอนนี้เธอกำลังท้องอยู่
“เอ้า สรุปว่าแกไม่ได้ท้องก่อนแต่งใช่ไหม แล้วนี่จะแต่งงานกับใคร พื้นเพมาจากไหน ถ้าเป็นลูกตาสีตาสา ฉันไม่รับประทานหรอกนะยะ ฉันอายชาวบ้านเขา”
น้ำเสียงดุดันของคุณย่าทำเอาใจปริญดาห่อเหี่ยว ยิ่งโดนถามคำถามรัวเป็นชุดของหล่อนยิ่งทำให้เธอกังวลหนักกลัวคุณย่าจะไม่เข้าใจเธอเหลือเกิน แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอควรบอกท่านเสียตอนนี้ ไม่ว่าปฎิกิริยาของท่านจะออกมาเป็นอย่างไร สุดท้ายเธอก็ไม่พ้นต้องรองรับอารมณ์ของท่านอยู่ดี
“คนที่ปริมกำลังจะแต่งงานด้วย เป็นเพื่อนของพี่ก้องค่ะ แล้วตอนนี้ปริมก็...” เธออึกอักอยู่อึดใจ มองหน้ามารดาอีกครั้งก็เห็นหล่อนยิ้มมาให้ พอหันไปมองที่คุณย่าก็เห็นหล่อนกอดอกรอฟังเธอพูด เธอจึงกลั้นใจ หลับตาแน่น ก่อนจะโพล่งบอกออกไปเสียงสั่น
“แล้วตอนนี้ปริมก็กำลังท้องค่ะ!”
บอกออกไปแล้วหัวใจเธอก็เต้นรัวเร็วด้วยความตื่นกลัวและยังคงก้มหน้านิ่งราวกับสำนึกผิด ไม่กล้ามองหน้าคุณย่าที่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าท่านอยู่ในอารมณ์ไหน เธอคาดว่าท่านคงกำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เดี๋ยวสักพัก ก็คงดุด่าโวยวายว่าเธอเหมือนทุกครั้งเวลาที่ได้ยินอะไรไม่ถูกใจ
แต่เหมือนทุกอย่างกลับไม่เป็นดังที่เธอคาด คุณย่าไม่มีการโต้ตอบใด ๆ กับคำสารภาพของเธอ ไม่มีแม้แต่เสียงดุด่าที่ดังไปทั่วห้องและจบด้วยการทุบตีเธอเวลาไม่พอใจในสิ่งที่เธอทำ
ปริญดาเงยหน้าขึ้นมองไปที่คุณย่าช้า ๆ เห็นท่านมองตรงไปข้างหน้าที่ปลายโต๊ะอาหารซึ่งมีรูปภาพครอบครัวทั้งเล็กและใหญ่แขวนผนังอยู่เรียงราย เธออ่านแววตาของท่านไม่ออกว่าตอนนี้คุณย่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอเธอมองกลับไปที่มารดาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็มีสีหน้าแปลกใจไม่ต่างไปจากเธอ
ปวราเห็นท่านเงียบไปจึงค่อย ๆ เอ่ยทักเสียงเบา “คุณแม่คะ...”
“คุณแม่...”
“ฉันนึกไว้อยู่แล้วเชียว ว่าแกต้องสำส่อนเหมือนกับแม่แกไม่มีผิด”
จู่ ๆ คุณย่าก็พูดขัดขึ้นด้วยเสียงเฉียบขาดราวกับแส้ ก่อนจะหันไปมองที่ปริญดาด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน
“ฉันถามหน่อยเถอะยัยปริม แม่แกไม่สั่งสอนมั่งเหรอไงเรื่องให้รักนวลสงวนตัวเนี่ยหา หรือว่าแกเห็นผู้ชายเข้าหน่อยก็อ่อนระทวยทนไม่ไหวจนปล่อยตัวให้ท้องแบบนี้” หล่อนหัวเราะเสียงหยัน
“แล้วนี่คงไม่ใช่ว่าแกท้องตั้งแต่ตอนจะแต่งงานกับตาก้อง แต่พอเขาไม่เอาแก แกก็เลยต้องหาผู้ชายมารับเป็นพ่อของเด็กในท้องแทนหรอกนะ หึ มักง่ายสิ้นดี”
“คุณแม่คะ!” ปวราร้องเสียงหลง น้ำตาเอ่อคลอเบ้าอย่างรวดเร็ว
หญิงชรายืนขึ้นทันทีแล้วตบโต๊ะดังปัง “อย่ามาทำขึ้นเสียงกับฉันนะ!” ตวาดใส่ปวราเสียงลั่น
แววตาเกรี้ยวกราดขณะชี้นิ้วไปที่ปวรา ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด “เธอนั่นแหล่ะตัวดีแม่ปิ่น สอนลูกยังไงให้ทำตัวต่ำตมเหมือนตัวเอง! หลอกจับผู้ชายเขาไปทั่วแบบนี้!”
ปริญดาชักจะทนไม่ไหว แต่ยังกัดฟันพูดด้วยความใจเย็น “คุณย่าคะ เรื่องนี้ปริมเป็นคนก่อ ก็ขอให้คุณย่าดุด่าว่าปริมคนเดียว แม่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย”
ปวราน้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นปริญดาออกโรงปกป้อง รู้สึกสงสารลูกจับใจที่จะต้องมารองรับอารมณ์กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ
“แม่แกน่ะเหรอไม่เกี่ยว” หญิงชราเบ้ปากแล้วตวัดสายตาไปที่ปวรา “แม่แกน่ะเกี่ยวเต็ม ๆ หึ แล้วแกอยากรู้ไหมว่าแม่แกน่ะเกี่ยวยังไง ฉันจะได้บอกให้เอาบุญ”
“คุณแม่...” ปวรารีบเอ่ยท้วงเสียงเครือ
ปริญดามองสลับไปมาระหว่างมารดาและคุณย่าด้วยความงุนงง รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูกว่าทั้งสองคนกำลังมีเรื่องอะไรบางอย่างปิดบังเธออยู่
“ทำไม ไม่ดีเหรอที่ลูกเธอจะได้รู้ว่าไอ้ที่มันต้องท้องก่อนแต่งแบบนี้ก็เป็นเพราะผลกรรมที่แม่มันก่อไว้ยังไงล่ะ”
“นี่คุณแม่กับคุณย่าพูดเรื่องอะไรกันคะ” ปริญดาถามขัดด้วยความอยากรู้เมื่อฟังสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกันแล้วมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงานนี่เลยสักนิด
ปวรากำมือทั้งสองข้างแน่นอยู่ใต้โต๊ะ น้ำตาไหลนองหน้าเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่ คำพูดโหดร้ายเหล่านั้นเหมือนดั่งเข็มนับพัน ๆ เล่มทิ่มแทงหัวใจเธอจนปวดร้าวทรมานไปหมด
หล่อนพยายามกดอารมณ์คุกรุ่นไว้ในใจ แล้วหันไปมองที่หญิงชราที่พร่าเลือนเพราะม่านน้ำตา ก่อนจะยกมือขึ้นชิดอกกระพุ่มไหว้
“ขอร้องนะคะคุณแม่ ปิ่นไหว้ล่ะค่ะ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ” หล่อนพูดอ้อนวอนทั้งน้ำตา
คิ้วปริญดาชนกันเป็นปม มองการกระทำของมารดาด้วยความไม่เข้าใจ “นี่มันเรื่องอะไรกันคะแม่ ทำไมแม่ต้องขอร้องคุณย่าด้วย” เธอเอ่ยถามมารดา ก่อนจะหันไปถามคุณย่าอีกคน
“คุณย่าบอกปริมมาเถอะค่ะว่าเรื่องอะไร แล้วคุณย่าพูดเรื่องกรรมอะไรคะปริมไม่เข้าใจ”
หญิงชรากระตุกริมฝีปากหยัน ปรายตามองปวราที่กำลังนั่งร้องไห้ด้วยแววชิงชัง “แม่แกแทบจะกราบอ้อนวอนฉันซะขนาดนี้ แกก็ไปถามกันเอาเองแล้วกัน” พูดเสร็จก็ตวัดมองปริญดา
“ส่วนเรื่องแกจะแต่งงานเมื่อไรเพราะอะไรฉันไม่สนใจ แต่แกต้องพาผู้ชายของแกมาให้ฉันดูว่าเป็นใคร สมฐานะกับตระกูลฉันหรือเปล่า ถ้าไม่ ก็เตรียมตัวแต่งงานกับคนที่ฉันจะหาไว้ให้แกได้เลย เพราะฉันไม่ยอมให้แกเดินท้องโย้ไปมาจนคนอื่นเขาว่าฉันได้ว่าเลี้ยงหลานยังไงให้ท้องไม่มีพ่อได้”
ปริญดาได้ฟังก็แทบอยากจะทึ้งผมตัวเองที่ไม่ว่าเมื่อไรคุณย่าก็จะคอยบงการชีวิตเธอตลอดเวลา แต่ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมตามใจใครอีกแล้ว
“คุณย่าคะ ครั้งนี้ปริมขอล่ะค่ะ คุณย่าเลิกคิดเรื่องจับปริมแต่งงานกับคนอื่นสักที เพราะต่อให้คุณย่าไม่ยอมรับเขายังไงปริมก็จะแต่งงานกับเขาค่ะ”
“ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมฟังแก” หญิงชราเชิดหน้ามองอย่างเหยียดหยาม
“ถ้าผู้ชายของแกดีจริงล่ะก็ อยากจะแต่งกันวันนี้พรุ่งนี้ฉันก็ไม่ว่า แต่ถ้าไม่ใช่ แกก็ไม่ต้องมาคุยอะไรกับฉันอีกนอกจากทำตามที่ฉันสั่งอย่างเดียว”
“แต่ปริม...”
“ฉันหมดอารมณ์กินแล้ว เชิญพวกเธอกินต่อกันตามสบาย” หล่อนตัดบทไม่รอให้ปริญดาพูดจบ ดันเก้าอี้ออกห่างแล้วหมุนตัวทำท่าว่าจะเดินออกจากห้องอาหารไปแต่ต้องชะงักเมื่อปริญดาพูดผ่านหลังมาให้ได้ยินเสียงดังชัดเจน
“ปริมจะแต่งงานกับเขาค่ะ ครั้งนี้คุณย่าห้ามปริมยังไงก็ไม่สำเร็จหรอกค่ะ”
“ก็คอยดู” หล่อนพูดโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามอง จากนั้นก็เดินนวยนาดออกจากห้องไปโดยไม่สนใจใคร
ปริญดาถอนหายใจยาวเหยียด คิดไว้ไม่มีผิดว่าคุณย่าจะต้องใช้วิธีนี้จัดการเธอ แต่ใช่ว่าเธอจะหมดหวังเรื่องแต่งงานกับเวหา เพราะคุณย่าได้เอ่ยปากไว้แล้วว่าถ้าผู้ชายคนที่เธอจะแต่งงานด้วยเหมาะสมกับฐานะของตระกูล ท่านก็จะยอมให้เธอแต่งงาน ซึ่งเธอก็มั่นใจว่าหากให้ฝั่งผู้ใหญ่ของเวหามาสู่ขอ ก็คงจะทำให้ท่านยอมรับได้ไม่ยาก
“เดี๋ยวแม่ขอขึ้นไปพักผ่อนหน่อยนะปริม” ปวราลุกขึ้นยืน บอกด้วยเสียงเนือย ๆ
หญิงสาวรีบเดินตรงเข้าไปหา “ให้ปริมเดินไปเป็นเพื่อนนะคะ”
ปวราส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกลูก ปริมเองก็ไปพักผ่อนเถอะ”
ปริญดาอยากจะถามใจจะขาดเรื่องที่คุณย่าพูดขึ้นมาว่าจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอและให้มาถามมารดาเธอเอง แต่พอเห็นหน้าตาซีดเซียวเศร้าหมองของมารดาแล้วก็สงสาร ไม่อยากคุยอะไรให้ท่านหนักใจตอนนี้
เสียงโทรศัพท์ของปริญดาที่วางไว้บนโต๊ะดังสั่นขัดจังหวะ ปวราจึงใช้โอกาสนี้เอ่ยขอตัว
“งั้นแม่ไปก่อนนะ” ปวรายิ้มเหนื่อย ๆ บอก
ปริญดาจึงยิ้มตอบ “ค่ะ แล้วแม่ก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องคุณย่านะคะ ทางนั้นเดี๋ยวปริมจัดการเอง”
เมื่อพูดถึงประมุขใหญ่ของบ้าน ปวราก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกระรอก หล่อนพยายามแย้มยิ้มให้ลูกสาวเพื่อปิดบังความวิตกกังวล ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องอาหารไป
ปริญดาเดินไปหยิบโทรศัพท์มารับ พอเห็นชื่อของคนที่กำลังนึกถึงก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ เธอรีบกดรับสายทันที
“ทำไมรับสายผมช้าจังเลย”
หัวใจที่เหี่ยวเฉาของปริญดากลับมาสดชื่นอีกครั้งเพียงแค่ได้ยินเสียงทุ้มห้าวลึกของเวหาเท่านั้น
“ขอโทษทีค่ะ พอดีฉันปิดเสียงไว้นะค่ะ” เธอปด
“ว่าแต่คุณโทรมาแต่เช้าเลยนะคะ ฉันนึกว่าตอนนี้คุณยังนอนอยู่เสียอีก”
“ก็ผมคิดถึงคุณนี่นา วันนี้คุณไปทำงานหรือเปล่า ให้ผมไปรับคุณที่บ้านแล้วไปส่งที่ทำงานไหม”
“อุ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ คอนโดคุณกับบ้านฉันอยู่กันตั้งไกล เช้า ๆ อย่างนี้รถติด กว่าจะไปถึงออฟฟิศคุณจะหงุดหงิดเอาเปล่าๆค่ะ” บอกพลางหันไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่บอกเวลาว่าแปดโมงกว่า
“แต่ผมคิดว่าอีกสิบนาทีก็น่าจะถึงหน้าบ้านคุณแล้วนะ ไม่ให้ผมไปส่งจริง ๆ เหรอ”
หญิงสาวเบิกตาโต “อะไรนะคะ นี่คุณขับรถออกมาแล้วเหรอ”
ปลายสายหัวเราะ “ออกมาได้สักพักแล้วล่ะ ผมบอกแล้วว่าผมคิดถึงคุณ อยากเห็นหน้าเร็ว ๆ”
ปริญดาแก้มแดงขึ้นมาทันที หัวใจเบ่งบานพองโต “งั้น...ฉะ ฉันจะไปยืนรอคุณที่หน้าบ้านนะคะ”
“อย่าดีกว่า ถ้าผมถึงแล้วจะโทรหาคุณอีกทีนะ ตอนนั้นคุณค่อยออกมาแล้วกัน”
เธอกดวางสายพร้อมกับรอยยิ้มดีใจ แค่ได้ยินเสียงของคนที่เธอรักไม่กี่นาที ก็มีความสุขจนลืมเรื่องเครียด ๆ ที่กำลังกังวลใจอยู่ไปจนหมด
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเป็นสุข ตอนนี้เธอขอโยนความเครียดเรื่องคุณย่าแล้วก็เรื่องที่อยากจะถามมารดาทิ้งไปจากใจก่อน แล้วค่อยมาคิดทีหลังอีกทีว่าจะจัดการรับมือยังไง
ปริญดาเรียกแม่บ้านให้มาเก็บอาหารบนโต๊ะ จากนั้นเธอก็รีบเดินกลับขึ้นไปที่ห้องเพื่อแต่งตัวเก็บของ รอเวลาให้เขามารับอย่างใจจดใจจ่อ
/
/
/
“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลยปริม เป็นอะไรหรือเปล่า” เวหาทักขึ้นขณะที่รถกำลังจอดติดไฟแดง เขาสังเกตุหญิงสาวมาได้สักพักตั้งแต่ขับรถไปรับเธอที่บ้าน แม้เธอจะยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาเป็นปกติ แต่ใบหน้าซีดหมอง หัวคิ้วขมวดมุ่นกันเป็นปมเวลาที่เขาไม่ได้ชวนคุย จึงทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้
ชายหนุ่มยื่นมือไปแตะหน้าผากและแก้มเธอเบา ๆ “ตัวก็ไม่ร้อนหนิ”
ปริญดาหันไปยิ้มให้เขา แนบหน้ากับมือใหญ่ที่แตะแก้มเธออยู่ “ฉันสบายดีค่ะ เมื่อคืนมัวแต่หาข้อมูลในเนตเกี่ยวกับการตั้งท้องจนดึก แล้วตื่นตั้งแต่เช้าก็เลยเพลียนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เวหาใช้นิ้วโป้งไล้ไปมาที่แก้มเธอ “จริงเหรอ ไม่ใช่ว่าคุณมีเรื่องกังวลใจอะไรอยู่นะ”
ปริญดาสะดุดยิ้ม แต่พยายามปรับสีหน้าให้ดูสดชื่น “ไม่มีอะไรนี่คะ ตอนนี้ฉันมีความสุขที่จะได้แต่งงานกับคุณ แล้วจะมีอะไรให้ต้องกังวลใจอีกล่ะคะ” จับมือที่กำลังไล้แก้มเธออยู่นั้นมากุมไว้
“ผมก็แค่คิดว่าบางทีคุณอาจจะกังวลเรื่องบอกกับที่บ้านคุณว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน แล้วก็เรื่องที่คุณท้อง” เขามองหน้าเธออย่างไตร่ตรอง
“ว่าแต่คุณบอกเรื่องนี้กับครอบครัวคุณไปแล้วหรือยัง”
แววตาปริญดาหม่นลงเล็กน้อยแต่พยายามยิ้มกลบเกลื่อน “บอกแล้วค่ะ คุณแม่กับคุณย่าเข้าใจดี แต่คุณย่าท่านก็มีดุนิดหน่อยเรื่องที่ปล่อยให้ท้องก่อนแต่ง แล้วก็บอกว่าให้พาคุณไปพบท่านและขอแต่งงานให้ถูกต้องเท่านั้นเอง” เธอบอกความจริงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะถ้าเขารู้ว่าคุณย่าเธอไม่พอใจจนต้องทะเลาะกับมารดาเธอ คงได้คุยเรื่องนี้กันอีกยาว และเธอก็ไม่มีอารมณ์จะอธิบายเหตุผลอะไรให้เขาฟังตอนนี้ด้วย
เวหาบีบมือหญิงสาว สีหน้ารู้สึกผิด “ผมขอโทษนะปริมที่ทำให้คุณต้องโดนดุ เดี๋ยวผมจะรีบนัดพ่อกับแม่ให้ท่านมาพักที่กรุงเทพ และพอถึงเวลาที่ผมพาครอบครัวไปขอทางบ้านคุณแต่งงาน ตอนนั้นผมจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจเอง โอเคนะ”
เธอคลี่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ บีบมือเขาตอบ พอเห็นว่ารถคันหน้าขยับเพราะไฟเขียว เธอก็บอกเขาให้กลับไปสนใจขับรถแล้วคุยเรื่องนี้กันทีหลัง
“งั้นวันนี้คุณก็อย่าไปทำงานเลย หยุดสักวันเถอะ แล้วเราไปหาที่เที่ยวนั่งชิล ๆ กินอะไรอร่อย ๆ กันดีกว่า”
ปริญดาหัวเราะเบา ๆ ที่ปุบปับเขาก็มัดมือชกจะพาเธอหนีงาน “นี่ฉันหยุดมาหลายวันแล้วนะคะ เมื่อคืนยัยก้อยก็โทรมาถาม ยังไงวันนี้วันศุกร์ให้ฉันไปทำงานให้ลูกน้องเห็นหน้าสักวัน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยไปกันดีไหมคะ”
“อืมม...ไม่เอาดีกว่า ผมมีอารมณ์อยากไปวันนี้ คุณเองก็ยังดูเหนื่อย ๆ ด้วย ไหน ๆ ก็หยุดหลายวันแล้วก็ไปทำงานอาทิตย์หน้าเลยแล้วกัน ถ้ากลัวเพื่อนคุณจะโกรธเดี๋ยวผมคุยให้ก็ได้”
หญิงสาวซ่อนยิ้ม นิสัยจอมบงการของเขายังไงก็คงแก้ไม่หาย “แต่ฉันไม่อยากไปวันนี้นี่คะ ฉันมีงานค้างที่ต้องทำอีกเยอะเลย เราไปพรุ่งนี้กันดีกว่านะคะ” เธอแกล้งทำเป็นขัดใจเขา
เวหามีสีหน้าครุ่นคิดขณะเลี้ยวรถหัวมุมถนนที่เป็นเส้นทางไปออฟฟิศหญิงสาว “ถ้าอย่างนั้น....เดี๋ยวผมพาคุณไปที่ออฟฟิศแล้วคุณฝากงานด่วนที่ค้างไว้ให้ลูกน้องคุณทำไปก่อน เสร็จแล้วเราค่อยไปกัน ตกลงตามนี้นะ”
“แต่...”
“เอาน่า คนในบริษัทคุณไม่มีใครกล้าว่าอะไรหรอกเชื่อผมสิ ผมรู้ว่าพวกเขาเชียร์ให้คุณกับผมเป็นแฟนกันอยู่ นี่ถ้ารู้ว่าเรากำลังจะแต่งงานกันคงยินดีให้คุณหยุดยาวไปสวีทกับผมแน่นอน” เขาโม้
ปริญดาอมยิ้มขบขันกับเหตุผลของเขา เอามือปิดปากพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ
ชายหนุ่มเลิกคิ้วหันมาทางเธอ “คุณขำอะไรน่ะปริม”
พอเขาถาม เธอก็หลุดหัวเราะพรืด “ขอโทษค่ะ” เธอยังหัวเราะคิก
“ทำไมล่ะ ผมพูดอะไรตลกออกไปเหรอ”
เธอส่ายหน้า “ก็คุณน่ะเป็นจอมบงการเจ้ากี้เจ้าการไม่เคยเปลี่ยนเลยนี่คะ ใครห้ามอะไรก็ไม่ฟัง”
“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดสักหน่อย”
“แล้วที่คุณบังคับฉันอยู่นี่ล่ะคะ” เธอยิ้มยียวนถาม
เวหาจึงได้แต่เงียบกริบ ขับรถไปตามถนนโดยไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แม้แต่สายตาก็คอยมองจ้องไปยังด้านหน้าทั้งที่ตลอดทางเมื่อสักครู่เขายังคอยหันมายิ้มให้เธออยู่บ่อย ๆ
“นี่คุณงอนฉันเหรอคะ” ปริญดาถามเสียงอ่อย
“เปล่านี่ ผมเนี่ยนะจะงอน” ปฎิเสธแต่น้ำเสียงและสีหน้าตรงข้ามกับคำตอบ
เธอซ่อนยิ้ม เธอเองก็ไม่คิดหรอกว่าคนอย่างเขาจะงอนกับเรื่องแค่นี้ แต่อาการแบบนี้เรียกว่างอนชัด ๆ
“ถ้าเปล่าแล้วทำไมต้องทำหน้าบึ้งอย่างนั้นด้วยล่ะคะ ฉันขอโทษนะที่ฉันหัวเราะคุณ” เธอบอกเสียงเศร้า ไม่รู้จะบอกเขายังไงว่าที่เธอหัวเราะไม่ใช่เพราะเยาะเย้ย แต่เป็นเพราะเห็นเขาคอยสั่งนู่นสั่งนี่กำกับเธอแล้วก็แค่นึกเอ็นดูจนหลุดหัวเราะออกมาเฉยๆ
“งั้นเดี๋ยวผมส่งคุณที่ออฟฟิศแล้วผมกลับเลยแล้วกัน คุณจะได้ทำงานของคุณไป” เขาบอกขณะจอดรถติดไฟแดงอีกแยกก่อนจะถึงทางเข้าออฟฟิศหญิงสาวข้างหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณอยากจะไปเที่ยวเดี๋ยวฉันบอกยัยก้อยก็ได้ว่าขอหยุดยาวต่ออีกหนึ่งวันดีไหมคะ” เธอรีบบอก
“อย่าเลย คุณมีงานค้างเยอะไม่ใช่เหรอ ผมไม่อยากทำคุณเสียงาน” พูดโดยที่สายตาไม่มองเธอ
“โธ่ เวย์คะ เลิกงอนฉันเถอะนะ” พอเห็นเขาทำเย็นชาใส่ก็แอบรู้สึกผิดที่ตัวเองทำบรรยากาศดี ๆ เสียหมด
“ผมบอกแล้วว่าไม่ได้งอน ก็คุณอยากทำงานมากกว่าจะไปเที่ยวกับผม ผมก็ตามใจคุณแล้วไง”
ช่างประชดประชัน...ปริญดาถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือเขาที่จับพวงมาลัยรถไว้อยู่
“ถ้าไม่ได้งอนงั้นก็หายโกรธฉันนะคะ” เธอง้อ “ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจอยากไปเที่ยวกับคุณมากกว่า ไม่อยากไปทำงานแล้ว คุณพาฉันไปเที่ยวหน่อยนะ” ทำน้ำเสียงออดอ้อน
เวหาชำเลืองมอง “แน่ใจเหรอ ผมไม่อยากขัดใจคนท้องหรอกนะ”
ปริญดาอยากจะเอานิ้วจิ้มตากวน ๆ ของเขานัก ผู้ชายอะไร บทจะหวานก็หวานหยดเยิ้ม บทจะโกรธก็พาลหาเรื่องไม่หยุด
“ค่ะ พอคุณพูดถึงเรื่องเที่ยวฉันก็นึกถึงที่ ๆ หนึ่งที่ฉันยังไม่เคยไปเลย ถ้าวันนี้คุณจะพาฉันไปเที่ยว ฉันก็อยากให้คุณพาฉันไปหน่อยค่ะ”
ชายหนุ่มตาเป็นประกาย แต่ยังคงวางมาดขรึมขณะเอ่ยถามเสียงเรียบ “ที่ไหนล่ะ”
“ฉันอยากไปดูนกนางนวลที่บางปูค่ะ คิดว่าจากนี่ไปก็คงไม่ไกล คุณพาฉันไปได้ไหมคะเวย์”
“อืมม...ก็ดีนะ ผมไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้วเหมือนกัน”
ปริญดายิ้มหวานแล้วบอกขอบคุณ พอเห็นเขายิ้มตอบ ก็โล่งใจที่เขากลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม เธอหันไปมองสัญญาณไฟที่ใกล้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว จึงรีบขยับตัวเข้าไปใกล้เวหา จากนั้นก็ยื่นหน้าหอมแก้มสาก ๆ เขาฟอดใหญ่เป็นการขอบคุณจนชายหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับหน้าเหวองุนงง
“งั้นเดี๋ยวคุณพาฉันเข้าไปที่ออฟฟิศหน่อยนะคะ ขอฉันสั่งงานกับลูกน้องแล้วคุยกับยัยก้อยแป๊ปนึง แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปเที่ยวกัน” พูดไปก็หน้าแดงไป อายกับการกระทำของตัวเองเมื่อสักครู่
“อืม...” เวหางึมงำตอบรับขณะที่มุมปากกระตุกยิ้มยินดี ก่อนที่จะเข้าเกียร์ขับรถตรงไปยังออฟฟิศเธอ
ปริญดาเห็นเขาแอบยิ้มเธอก็อดยิ้มตามไม่ได้ การได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาแม้จะมีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่เขาก็ยังสร้างความเบิกบานใจให้เธออยู่ดี ราวกับเขามีมนต์วิเศษที่ช่วยปัดเป่าอารมณ์หดหู่ในใจของเธอให้หายวับไปได้ในทันทีเพียงแค่ได้พูดคุยกับเขาเท่านั้น
ความรักที่มีให้เขาอย่างล้นปรี่และท่าทีที่เขามีต่อเธอช่วยสร้างความมั่นใจให้เธอเรื่องที่จะแต่งงานกับเขามากขึ้นเป็นกอง หลังจากนี้เธอจะไม่สนใจคำขู่ของคุณย่าอีกต่อไป ยังไงซะสุดท้ายแล้วหากคุณย่าไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้จริง ๆ ร้ายแรงสุดก็คงอาจจะถึงขั้นไล่เธอกับมารดาออกจากบ้านหรือไม่ก็ตัดขาดความเป็นย่าเป็นหลานกันไปเลยก็ได้
แต่ไม่ว่าคุณย่าจะตัดสินเธออย่างไร ต่อให้ถึงขั้นตัดญาติขาดมิตร เธอก็จะไม่มีวันตัดใจจากเวหาและยกเลิกการแต่งงานกับเขาแน่นอน คนที่จะมาเป็นพ่อของลูกในท้องจะต้องเป็นเขาคนเดียวเท่านั้น….
><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
จบตอน
K. Nandii เวย์ก็ขอมีมุมหวาน ๆ น่ารัก ๆ กับเขาบ้างค่ะ ^^
K. pkka ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามผลงานมาตลอดเลย เป็นอีกหนึ่งกำลังใจเลยค่ะ ^_^
K. lamyong ขอบคุณด้วยนะคะที่ให้กำลังใจ จะพยายามปั่นนิยายเพื่อให้ลงอย่างต่อเนื่องค่ะ ^^
K. Zephyr คิดถึงงงงค่า หายไปนานมาก อิอิ ^^ สบายดีนะคะ ถ้างานยุ่งแต่ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะคะ แล้วก็ขอบคุณที่ยังตามไปคอมเม้นท์จิ้มชอบเป็นกำลังใจให้ทุกตอนเลย ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ^^
ขอขอบคุณทุกคอมเม้นท์และจิ้มชอบรวมถึงนักอ่านท่านอื่น ๆ ที่ติดตามผลงานเปลวหอมด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ!
บทนี้ถ้าอ่านดูคิดว่าคงพอจะเดาความสัมพันธ์ของตัวละครกันได้บ้างใช่ไหมเอ่ย อิอิ ยังไงฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ ถ้ามีอะไรผิดพลาดหรือเนื้อเรื่องไม่เคลียร์บอกกล่าวกันได้นะคะ ^_<
แล้วพบกันอาทิตย์หน้าค่ะ อ่านนิยายให้สนุกนะคะ!!
เพียงใจปรารถนา ตอน 30
ปริญดาเขี่ยโจ๊กที่ยังพูนเต็มชามตรงหน้าไปมา เธอกินไปได้แค่สองสามคำก็หมดความอยากอาหาร แถมยิ่งกินก็ยิ่งฝืดคอทั้งที่ปกติโจ๊กเป็นอาหารโปรดของเธอ แต่มื้อนี้กลับไม่มีความเอร็ดอร่อยเลยสักนิด เพราะเธอมัวแต่คิดกังวลใจกับเรื่องที่เธอเพิ่งบอกกับมารดาไปเมื่อคืนนี้ แล้วยิ่งเครียดหนักเมื่อต้องมาลุ้นปฎิกิริยาของคุณย่าว่าจะเป็นอย่างไรหากเธอบอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบ
“เห็นแม่ปิ่นบอกว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับฉันเหรอ”
เร็วเท่าความคิด เสียงราบเรียบแต่เฉียบคมของคุณย่าเอ่ยถามขึ้นมาทันที ทำเอาเธอที่นั่งเหม่อลอยอยู่ถึงกับสะดุ้งเผลอทำช้อนที่ถืออยู่ในมือตกกระทบขอบชามแก้วดังเคร้ง
“ฉันถามแค่นี้ทำไมต้องตกใจด้วย ขวัญอ่อนจริงนะแม่คุณ” ทำเสียงดูแคลนพลางชำเลืองตามอง
ปริญดามองปวราที่นั่งตรงข้ามก็เห็นมารดาส่งยิ้มให้กำลังใจ ซึ่งเธอก็ได้แต่ยิ้มตอบเจื่อน ๆ นึกถึงเมื่อคืนนี้หลังจากที่บอกมารดาเรื่องที่เธอท้อง มารดาเธอดูตกใจไม่น้อย ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดและพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ แว่บหนึ่งเธอเห็นแววตาที่ผิดหวังเสียใจของมารดา แต่พอเธอบอกว่าเธอตกลงกับพ่อของลูกในท้องตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน และทางญาติผู้ใหญ่ฝ่ายชายรับรู้เห็นชอบแล้ว สีหน้ามารดาเธอก็ดีขึ้น
หลังจากนั้น เธอก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างตั้งแต่ก้องเกียรติป่วยจนถึงตอนที่เธอถูกเวหาจับตัวไปให้มารดาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ใจจริงตอนแรกเธอกลัวว่ามารดาอาจจะไม่ยอมรับเวหาหากรู้ว่าเด็กในท้องเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่อีกใจเธอก็ไม่อยากโกหกมารดาอีกแล้ว และคิดว่าถ้าพยายามอธิบายให้มารดาเข้าใจว่าเธอรักเขามากแค่ไหนและเวหายอมแต่งงานและรับเด็กในท้องด้วยความเต็มใจ เธอก็เชื่อว่ามารดาจะยอมรับและเข้าใจในตัวชายหนุ่มได้
เธอปรึกษากับมารดาว่าควรจะบอกคุณย่าเรื่องที่เธอท้องหรือไม่ ซึ่งมารดาเธอก็ให้ความเห็นว่าควรจะบอกเรื่องนี้ให้ท่านทราบ เพราะไม่มีอะไรรอดหูรอดตาท่านไปได้ เพราะอยู่บ้านเห็นหน้ากันทุกวัน หากวันไหนอาการแพ้ท้องกำเริบขึ้นมา คุณย่าก็ต้องรู้เรื่องเธอท้องอยู่ดี
ปริญดาหันไปมองหญิงชราผู้ซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านหลังนี้ที่กำลังนั่งทานอาหารด้วยท่าทางสบาย ๆ อยู่ที่หัวโต๊ะเธอสังเกตุว่าวันนี้สีหน้าคุณย่าดูผ่อนคลายถึงแม้จะอยู่ในอาการสงบเคร่งขรึมเหมือนทุกครั้งเวลาอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว และเธอคิดว่าเธอควรจะรีบบอกคุณย่าก่อนที่อารมณ์ดี ๆ ของท่านจะกลายเป็นพาลโมโหใส่เธอที่โอ้เอ้ชักช้าไม่พูดออกไปสักที
เธอคว้าแก้วน้ำขึ้นมาจิบเล็กน้อย ก่อนบอก “ค่ะ ปริมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณย่านิดหน่อย คุณย่าพอมีเวลาให้ปริมไหมคะ”
“ก็ฉันนั่งรอฟังอยู่นี่ไง มีอะไรก็ว่ามา” หล่อนตอบน้ำเสียงหงุดหงิดแต่ไม่จริงจังมากนัก
ปริญดาอึกอัก บีบมือที่ตักลังเล ถึงแม้จะเตรียมใจรับอารมณ์โกรธไว้แล้วแต่ก็ยังไม่กล้าบอกอยู่ดี “คือปริม...”
หญิงชราวางช้อนเมื่อทานเสร็จ หล่อนหยิบผ้าเช็ดปากมาเช็ด “เอ้า จะพูดอะไรก็พูดมา นั่งตีมึนอยู่ได้ ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันหรอกนะ”
ปวราที่เห็นลูกสาวยึกยักไม่บอกออกไปซะที หล่อนจึงเอ่ยเตือน “ปริม บอกคุณย่าเขาไปสิลูก” พยักหน้าแล้วยิ้มให้กำลังใจเธออีกครั้ง
ปริญดาเม้มปาก พยักหน้ารับ รู้สึกถึงเหงื่อเปียกชื้นที่ฝ่ามือ เธอรออีกอึดใจ ก่อนจะโพล่งบอกออกไป “ปริมกำลังจะแต่งงานเร็ว ๆ นี้ค่ะคุณย่า”
หญิงชราเงียบไปพักใหญ่ จ้องปริญดาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหยักมุมปาก หัวเราะเสียงแค่น “แต่งงานเหรอ หึ แล้วคราวนี้แกจะแต่งกับใคร เพิ่งจะยกเลิกงานแต่งกับตาก้องได้ไม่นาน ก็หาผู้ชายคนใหม่มาเป็นแฟนได้เร็วดีจังเลยนะ”
ปริญดาพยายามข่มอารมณ์น้อยใจ และพยายามพูดให้ดูเป็นปกติที่สุด “คือ คนนี้ปริมรู้จักเขามานานพอสมควรแล้วค่ะ แต่ปริมกับเขาเพิ่งจะมาสนิทกันได้ไม่นาน”
“แล้วไง เพิ่งจะรู้จักได้ไม่นานก็จะแต่งงานกันเลยหรือไง ไวไฟกันจริงพวกผู้หญิงผู้ชายสมัยนี้” หล่อนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ กอดอก ก่อนจะชำเลืองมองไปที่ปวราด้วยสายตาดูแคลน
“นี่หวังว่าคงไม่ใช่เพราะแกท้องหรอกนะถึงได้รีบแต่งงาน”หล่อนพูดกับปริญดาแต่หางตามองปวราเหยียดหยัน
คำพูดจี้ใจดำของคุณย่าทำเอาปริญดาสะดุ้งโหยง คำพูดติดอยู่ในลำคอกะทันหัน “เอ่อ...”
“ไม่ว่าสมัยไหน ๆ ก็เหมือนกันหมด มีให้เห็นจนเกลื่อน พวกที่ไม่ชอบรักนวลสงวนตัวแล้วปล่อยให้ท้องป่องหาพ่อไม่ได้”
คราวนี้เป็นปวราที่กำลังดื่มน้ำอยู่ถึงกับสำลัก ไอติด ๆ กันหลายครั้งจนต้องรีบหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นมาปิด หญิงชราหันไปมองอย่างเอือมระอา
“นี่แม่ปิ่น ฉันบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าเวลากินอะไรให้กินช้า ๆ พอสำลักแล้วก็ไอค่อกแค่กบนโต๊ะอาหารแบบนี้มันน่ารังเกียจ แก่ป่านนี้แล้วยังต้องให้สอน”
ปวราหน้าเจื่อน ห่อไหล่ด้วยความเกรงกลัว “ขอโทษค่ะคุณแม่ ปิ่นจะระวังไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้วค่ะ”
ปริญดาแอบลอบถอนใจ กับเรื่องเพียงเล็กน้อยคุณย่าก็คอยหาเรื่องเธอกับมารดาทุกครั้งไป และมารดาก็เต็มใจยอมก้มหน้ารับผิดแต่โดยดีมาตลอดแม้คุณย่าจะชอบใช้คำพูดส่อเสียดดูถูกมารดาบ่อย ๆ ก็ตาม
แต่ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องรับมือคืออารมณ์ของคุณย่าหลังจากนี้หากทราบว่าเธอจะแต่งงานเพราะท้องกับเวหา ยิ่งคุณย่าพูด ดักเธอออกมาแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งทำให้เธอหนักใจยิ่งกว่าเก่าและไม่กล้าบอกออกไปตรง ๆ ว่าตอนนี้เธอกำลังท้องอยู่
“เอ้า สรุปว่าแกไม่ได้ท้องก่อนแต่งใช่ไหม แล้วนี่จะแต่งงานกับใคร พื้นเพมาจากไหน ถ้าเป็นลูกตาสีตาสา ฉันไม่รับประทานหรอกนะยะ ฉันอายชาวบ้านเขา”
น้ำเสียงดุดันของคุณย่าทำเอาใจปริญดาห่อเหี่ยว ยิ่งโดนถามคำถามรัวเป็นชุดของหล่อนยิ่งทำให้เธอกังวลหนักกลัวคุณย่าจะไม่เข้าใจเธอเหลือเกิน แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เธอควรบอกท่านเสียตอนนี้ ไม่ว่าปฎิกิริยาของท่านจะออกมาเป็นอย่างไร สุดท้ายเธอก็ไม่พ้นต้องรองรับอารมณ์ของท่านอยู่ดี
“คนที่ปริมกำลังจะแต่งงานด้วย เป็นเพื่อนของพี่ก้องค่ะ แล้วตอนนี้ปริมก็...” เธออึกอักอยู่อึดใจ มองหน้ามารดาอีกครั้งก็เห็นหล่อนยิ้มมาให้ พอหันไปมองที่คุณย่าก็เห็นหล่อนกอดอกรอฟังเธอพูด เธอจึงกลั้นใจ หลับตาแน่น ก่อนจะโพล่งบอกออกไปเสียงสั่น
“แล้วตอนนี้ปริมก็กำลังท้องค่ะ!”
บอกออกไปแล้วหัวใจเธอก็เต้นรัวเร็วด้วยความตื่นกลัวและยังคงก้มหน้านิ่งราวกับสำนึกผิด ไม่กล้ามองหน้าคุณย่าที่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าท่านอยู่ในอารมณ์ไหน เธอคาดว่าท่านคงกำลังตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เดี๋ยวสักพัก ก็คงดุด่าโวยวายว่าเธอเหมือนทุกครั้งเวลาที่ได้ยินอะไรไม่ถูกใจ
แต่เหมือนทุกอย่างกลับไม่เป็นดังที่เธอคาด คุณย่าไม่มีการโต้ตอบใด ๆ กับคำสารภาพของเธอ ไม่มีแม้แต่เสียงดุด่าที่ดังไปทั่วห้องและจบด้วยการทุบตีเธอเวลาไม่พอใจในสิ่งที่เธอทำ
ปริญดาเงยหน้าขึ้นมองไปที่คุณย่าช้า ๆ เห็นท่านมองตรงไปข้างหน้าที่ปลายโต๊ะอาหารซึ่งมีรูปภาพครอบครัวทั้งเล็กและใหญ่แขวนผนังอยู่เรียงราย เธออ่านแววตาของท่านไม่ออกว่าตอนนี้คุณย่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอเธอมองกลับไปที่มารดาซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็มีสีหน้าแปลกใจไม่ต่างไปจากเธอ
ปวราเห็นท่านเงียบไปจึงค่อย ๆ เอ่ยทักเสียงเบา “คุณแม่คะ...”
“คุณแม่...”
“ฉันนึกไว้อยู่แล้วเชียว ว่าแกต้องสำส่อนเหมือนกับแม่แกไม่มีผิด”
จู่ ๆ คุณย่าก็พูดขัดขึ้นด้วยเสียงเฉียบขาดราวกับแส้ ก่อนจะหันไปมองที่ปริญดาด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน
“ฉันถามหน่อยเถอะยัยปริม แม่แกไม่สั่งสอนมั่งเหรอไงเรื่องให้รักนวลสงวนตัวเนี่ยหา หรือว่าแกเห็นผู้ชายเข้าหน่อยก็อ่อนระทวยทนไม่ไหวจนปล่อยตัวให้ท้องแบบนี้” หล่อนหัวเราะเสียงหยัน
“แล้วนี่คงไม่ใช่ว่าแกท้องตั้งแต่ตอนจะแต่งงานกับตาก้อง แต่พอเขาไม่เอาแก แกก็เลยต้องหาผู้ชายมารับเป็นพ่อของเด็กในท้องแทนหรอกนะ หึ มักง่ายสิ้นดี”
“คุณแม่คะ!” ปวราร้องเสียงหลง น้ำตาเอ่อคลอเบ้าอย่างรวดเร็ว
หญิงชรายืนขึ้นทันทีแล้วตบโต๊ะดังปัง “อย่ามาทำขึ้นเสียงกับฉันนะ!” ตวาดใส่ปวราเสียงลั่น
แววตาเกรี้ยวกราดขณะชี้นิ้วไปที่ปวรา ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธจัด “เธอนั่นแหล่ะตัวดีแม่ปิ่น สอนลูกยังไงให้ทำตัวต่ำตมเหมือนตัวเอง! หลอกจับผู้ชายเขาไปทั่วแบบนี้!”
ปริญดาชักจะทนไม่ไหว แต่ยังกัดฟันพูดด้วยความใจเย็น “คุณย่าคะ เรื่องนี้ปริมเป็นคนก่อ ก็ขอให้คุณย่าดุด่าว่าปริมคนเดียว แม่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย”
ปวราน้ำตาไหลพรากเมื่อเห็นปริญดาออกโรงปกป้อง รู้สึกสงสารลูกจับใจที่จะต้องมารองรับอารมณ์กับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ
“แม่แกน่ะเหรอไม่เกี่ยว” หญิงชราเบ้ปากแล้วตวัดสายตาไปที่ปวรา “แม่แกน่ะเกี่ยวเต็ม ๆ หึ แล้วแกอยากรู้ไหมว่าแม่แกน่ะเกี่ยวยังไง ฉันจะได้บอกให้เอาบุญ”
“คุณแม่...” ปวรารีบเอ่ยท้วงเสียงเครือ
ปริญดามองสลับไปมาระหว่างมารดาและคุณย่าด้วยความงุนงง รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูกว่าทั้งสองคนกำลังมีเรื่องอะไรบางอย่างปิดบังเธออยู่
“ทำไม ไม่ดีเหรอที่ลูกเธอจะได้รู้ว่าไอ้ที่มันต้องท้องก่อนแต่งแบบนี้ก็เป็นเพราะผลกรรมที่แม่มันก่อไว้ยังไงล่ะ”
“นี่คุณแม่กับคุณย่าพูดเรื่องอะไรกันคะ” ปริญดาถามขัดด้วยความอยากรู้เมื่อฟังสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกันแล้วมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่เธอกำลังจะแต่งงานนี่เลยสักนิด
ปวรากำมือทั้งสองข้างแน่นอยู่ใต้โต๊ะ น้ำตาไหลนองหน้าเก็บกลั้นไว้ไม่อยู่ คำพูดโหดร้ายเหล่านั้นเหมือนดั่งเข็มนับพัน ๆ เล่มทิ่มแทงหัวใจเธอจนปวดร้าวทรมานไปหมด
หล่อนพยายามกดอารมณ์คุกรุ่นไว้ในใจ แล้วหันไปมองที่หญิงชราที่พร่าเลือนเพราะม่านน้ำตา ก่อนจะยกมือขึ้นชิดอกกระพุ่มไหว้
“ขอร้องนะคะคุณแม่ ปิ่นไหว้ล่ะค่ะ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ” หล่อนพูดอ้อนวอนทั้งน้ำตา
คิ้วปริญดาชนกันเป็นปม มองการกระทำของมารดาด้วยความไม่เข้าใจ “นี่มันเรื่องอะไรกันคะแม่ ทำไมแม่ต้องขอร้องคุณย่าด้วย” เธอเอ่ยถามมารดา ก่อนจะหันไปถามคุณย่าอีกคน
“คุณย่าบอกปริมมาเถอะค่ะว่าเรื่องอะไร แล้วคุณย่าพูดเรื่องกรรมอะไรคะปริมไม่เข้าใจ”
หญิงชรากระตุกริมฝีปากหยัน ปรายตามองปวราที่กำลังนั่งร้องไห้ด้วยแววชิงชัง “แม่แกแทบจะกราบอ้อนวอนฉันซะขนาดนี้ แกก็ไปถามกันเอาเองแล้วกัน” พูดเสร็จก็ตวัดมองปริญดา
“ส่วนเรื่องแกจะแต่งงานเมื่อไรเพราะอะไรฉันไม่สนใจ แต่แกต้องพาผู้ชายของแกมาให้ฉันดูว่าเป็นใคร สมฐานะกับตระกูลฉันหรือเปล่า ถ้าไม่ ก็เตรียมตัวแต่งงานกับคนที่ฉันจะหาไว้ให้แกได้เลย เพราะฉันไม่ยอมให้แกเดินท้องโย้ไปมาจนคนอื่นเขาว่าฉันได้ว่าเลี้ยงหลานยังไงให้ท้องไม่มีพ่อได้”
ปริญดาได้ฟังก็แทบอยากจะทึ้งผมตัวเองที่ไม่ว่าเมื่อไรคุณย่าก็จะคอยบงการชีวิตเธอตลอดเวลา แต่ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมตามใจใครอีกแล้ว
“คุณย่าคะ ครั้งนี้ปริมขอล่ะค่ะ คุณย่าเลิกคิดเรื่องจับปริมแต่งงานกับคนอื่นสักที เพราะต่อให้คุณย่าไม่ยอมรับเขายังไงปริมก็จะแต่งงานกับเขาค่ะ”
“ฝันไปเถอะว่าฉันจะยอมฟังแก” หญิงชราเชิดหน้ามองอย่างเหยียดหยาม
“ถ้าผู้ชายของแกดีจริงล่ะก็ อยากจะแต่งกันวันนี้พรุ่งนี้ฉันก็ไม่ว่า แต่ถ้าไม่ใช่ แกก็ไม่ต้องมาคุยอะไรกับฉันอีกนอกจากทำตามที่ฉันสั่งอย่างเดียว”
“แต่ปริม...”
“ฉันหมดอารมณ์กินแล้ว เชิญพวกเธอกินต่อกันตามสบาย” หล่อนตัดบทไม่รอให้ปริญดาพูดจบ ดันเก้าอี้ออกห่างแล้วหมุนตัวทำท่าว่าจะเดินออกจากห้องอาหารไปแต่ต้องชะงักเมื่อปริญดาพูดผ่านหลังมาให้ได้ยินเสียงดังชัดเจน
“ปริมจะแต่งงานกับเขาค่ะ ครั้งนี้คุณย่าห้ามปริมยังไงก็ไม่สำเร็จหรอกค่ะ”
“ก็คอยดู” หล่อนพูดโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามอง จากนั้นก็เดินนวยนาดออกจากห้องไปโดยไม่สนใจใคร
ปริญดาถอนหายใจยาวเหยียด คิดไว้ไม่มีผิดว่าคุณย่าจะต้องใช้วิธีนี้จัดการเธอ แต่ใช่ว่าเธอจะหมดหวังเรื่องแต่งงานกับเวหา เพราะคุณย่าได้เอ่ยปากไว้แล้วว่าถ้าผู้ชายคนที่เธอจะแต่งงานด้วยเหมาะสมกับฐานะของตระกูล ท่านก็จะยอมให้เธอแต่งงาน ซึ่งเธอก็มั่นใจว่าหากให้ฝั่งผู้ใหญ่ของเวหามาสู่ขอ ก็คงจะทำให้ท่านยอมรับได้ไม่ยาก
“เดี๋ยวแม่ขอขึ้นไปพักผ่อนหน่อยนะปริม” ปวราลุกขึ้นยืน บอกด้วยเสียงเนือย ๆ
หญิงสาวรีบเดินตรงเข้าไปหา “ให้ปริมเดินไปเป็นเพื่อนนะคะ”
ปวราส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกลูก ปริมเองก็ไปพักผ่อนเถอะ”
ปริญดาอยากจะถามใจจะขาดเรื่องที่คุณย่าพูดขึ้นมาว่าจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอและให้มาถามมารดาเธอเอง แต่พอเห็นหน้าตาซีดเซียวเศร้าหมองของมารดาแล้วก็สงสาร ไม่อยากคุยอะไรให้ท่านหนักใจตอนนี้
เสียงโทรศัพท์ของปริญดาที่วางไว้บนโต๊ะดังสั่นขัดจังหวะ ปวราจึงใช้โอกาสนี้เอ่ยขอตัว
“งั้นแม่ไปก่อนนะ” ปวรายิ้มเหนื่อย ๆ บอก
ปริญดาจึงยิ้มตอบ “ค่ะ แล้วแม่ก็ไม่ต้องคิดมากเรื่องคุณย่านะคะ ทางนั้นเดี๋ยวปริมจัดการเอง”
เมื่อพูดถึงประมุขใหญ่ของบ้าน ปวราก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาอีกระรอก หล่อนพยายามแย้มยิ้มให้ลูกสาวเพื่อปิดบังความวิตกกังวล ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องอาหารไป
ปริญดาเดินไปหยิบโทรศัพท์มารับ พอเห็นชื่อของคนที่กำลังนึกถึงก็อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ เธอรีบกดรับสายทันที
“ทำไมรับสายผมช้าจังเลย”
หัวใจที่เหี่ยวเฉาของปริญดากลับมาสดชื่นอีกครั้งเพียงแค่ได้ยินเสียงทุ้มห้าวลึกของเวหาเท่านั้น
“ขอโทษทีค่ะ พอดีฉันปิดเสียงไว้นะค่ะ” เธอปด
“ว่าแต่คุณโทรมาแต่เช้าเลยนะคะ ฉันนึกว่าตอนนี้คุณยังนอนอยู่เสียอีก”
“ก็ผมคิดถึงคุณนี่นา วันนี้คุณไปทำงานหรือเปล่า ให้ผมไปรับคุณที่บ้านแล้วไปส่งที่ทำงานไหม”
“อุ๊ย ไม่ต้องหรอกค่ะ คอนโดคุณกับบ้านฉันอยู่กันตั้งไกล เช้า ๆ อย่างนี้รถติด กว่าจะไปถึงออฟฟิศคุณจะหงุดหงิดเอาเปล่าๆค่ะ” บอกพลางหันไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่บอกเวลาว่าแปดโมงกว่า
“แต่ผมคิดว่าอีกสิบนาทีก็น่าจะถึงหน้าบ้านคุณแล้วนะ ไม่ให้ผมไปส่งจริง ๆ เหรอ”
หญิงสาวเบิกตาโต “อะไรนะคะ นี่คุณขับรถออกมาแล้วเหรอ”
ปลายสายหัวเราะ “ออกมาได้สักพักแล้วล่ะ ผมบอกแล้วว่าผมคิดถึงคุณ อยากเห็นหน้าเร็ว ๆ”
ปริญดาแก้มแดงขึ้นมาทันที หัวใจเบ่งบานพองโต “งั้น...ฉะ ฉันจะไปยืนรอคุณที่หน้าบ้านนะคะ”
“อย่าดีกว่า ถ้าผมถึงแล้วจะโทรหาคุณอีกทีนะ ตอนนั้นคุณค่อยออกมาแล้วกัน”
เธอกดวางสายพร้อมกับรอยยิ้มดีใจ แค่ได้ยินเสียงของคนที่เธอรักไม่กี่นาที ก็มีความสุขจนลืมเรื่องเครียด ๆ ที่กำลังกังวลใจอยู่ไปจนหมด
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเป็นสุข ตอนนี้เธอขอโยนความเครียดเรื่องคุณย่าแล้วก็เรื่องที่อยากจะถามมารดาทิ้งไปจากใจก่อน แล้วค่อยมาคิดทีหลังอีกทีว่าจะจัดการรับมือยังไง
ปริญดาเรียกแม่บ้านให้มาเก็บอาหารบนโต๊ะ จากนั้นเธอก็รีบเดินกลับขึ้นไปที่ห้องเพื่อแต่งตัวเก็บของ รอเวลาให้เขามารับอย่างใจจดใจจ่อ
/
/
/
“สีหน้าคุณดูไม่ดีเลยปริม เป็นอะไรหรือเปล่า” เวหาทักขึ้นขณะที่รถกำลังจอดติดไฟแดง เขาสังเกตุหญิงสาวมาได้สักพักตั้งแต่ขับรถไปรับเธอที่บ้าน แม้เธอจะยิ้มแย้มพูดคุยกับเขาเป็นปกติ แต่ใบหน้าซีดหมอง หัวคิ้วขมวดมุ่นกันเป็นปมเวลาที่เขาไม่ได้ชวนคุย จึงทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้
ชายหนุ่มยื่นมือไปแตะหน้าผากและแก้มเธอเบา ๆ “ตัวก็ไม่ร้อนหนิ”
ปริญดาหันไปยิ้มให้เขา แนบหน้ากับมือใหญ่ที่แตะแก้มเธออยู่ “ฉันสบายดีค่ะ เมื่อคืนมัวแต่หาข้อมูลในเนตเกี่ยวกับการตั้งท้องจนดึก แล้วตื่นตั้งแต่เช้าก็เลยเพลียนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เวหาใช้นิ้วโป้งไล้ไปมาที่แก้มเธอ “จริงเหรอ ไม่ใช่ว่าคุณมีเรื่องกังวลใจอะไรอยู่นะ”
ปริญดาสะดุดยิ้ม แต่พยายามปรับสีหน้าให้ดูสดชื่น “ไม่มีอะไรนี่คะ ตอนนี้ฉันมีความสุขที่จะได้แต่งงานกับคุณ แล้วจะมีอะไรให้ต้องกังวลใจอีกล่ะคะ” จับมือที่กำลังไล้แก้มเธออยู่นั้นมากุมไว้
“ผมก็แค่คิดว่าบางทีคุณอาจจะกังวลเรื่องบอกกับที่บ้านคุณว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน แล้วก็เรื่องที่คุณท้อง” เขามองหน้าเธออย่างไตร่ตรอง
“ว่าแต่คุณบอกเรื่องนี้กับครอบครัวคุณไปแล้วหรือยัง”
แววตาปริญดาหม่นลงเล็กน้อยแต่พยายามยิ้มกลบเกลื่อน “บอกแล้วค่ะ คุณแม่กับคุณย่าเข้าใจดี แต่คุณย่าท่านก็มีดุนิดหน่อยเรื่องที่ปล่อยให้ท้องก่อนแต่ง แล้วก็บอกว่าให้พาคุณไปพบท่านและขอแต่งงานให้ถูกต้องเท่านั้นเอง” เธอบอกความจริงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะถ้าเขารู้ว่าคุณย่าเธอไม่พอใจจนต้องทะเลาะกับมารดาเธอ คงได้คุยเรื่องนี้กันอีกยาว และเธอก็ไม่มีอารมณ์จะอธิบายเหตุผลอะไรให้เขาฟังตอนนี้ด้วย
เวหาบีบมือหญิงสาว สีหน้ารู้สึกผิด “ผมขอโทษนะปริมที่ทำให้คุณต้องโดนดุ เดี๋ยวผมจะรีบนัดพ่อกับแม่ให้ท่านมาพักที่กรุงเทพ และพอถึงเวลาที่ผมพาครอบครัวไปขอทางบ้านคุณแต่งงาน ตอนนั้นผมจะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจเอง โอเคนะ”
เธอคลี่ยิ้มพลางพยักหน้ารับ บีบมือเขาตอบ พอเห็นว่ารถคันหน้าขยับเพราะไฟเขียว เธอก็บอกเขาให้กลับไปสนใจขับรถแล้วคุยเรื่องนี้กันทีหลัง
“งั้นวันนี้คุณก็อย่าไปทำงานเลย หยุดสักวันเถอะ แล้วเราไปหาที่เที่ยวนั่งชิล ๆ กินอะไรอร่อย ๆ กันดีกว่า”
ปริญดาหัวเราะเบา ๆ ที่ปุบปับเขาก็มัดมือชกจะพาเธอหนีงาน “นี่ฉันหยุดมาหลายวันแล้วนะคะ เมื่อคืนยัยก้อยก็โทรมาถาม ยังไงวันนี้วันศุกร์ให้ฉันไปทำงานให้ลูกน้องเห็นหน้าสักวัน แล้วพรุ่งนี้เราค่อยไปกันดีไหมคะ”
“อืมม...ไม่เอาดีกว่า ผมมีอารมณ์อยากไปวันนี้ คุณเองก็ยังดูเหนื่อย ๆ ด้วย ไหน ๆ ก็หยุดหลายวันแล้วก็ไปทำงานอาทิตย์หน้าเลยแล้วกัน ถ้ากลัวเพื่อนคุณจะโกรธเดี๋ยวผมคุยให้ก็ได้”
หญิงสาวซ่อนยิ้ม นิสัยจอมบงการของเขายังไงก็คงแก้ไม่หาย “แต่ฉันไม่อยากไปวันนี้นี่คะ ฉันมีงานค้างที่ต้องทำอีกเยอะเลย เราไปพรุ่งนี้กันดีกว่านะคะ” เธอแกล้งทำเป็นขัดใจเขา
เวหามีสีหน้าครุ่นคิดขณะเลี้ยวรถหัวมุมถนนที่เป็นเส้นทางไปออฟฟิศหญิงสาว “ถ้าอย่างนั้น....เดี๋ยวผมพาคุณไปที่ออฟฟิศแล้วคุณฝากงานด่วนที่ค้างไว้ให้ลูกน้องคุณทำไปก่อน เสร็จแล้วเราค่อยไปกัน ตกลงตามนี้นะ”
“แต่...”
“เอาน่า คนในบริษัทคุณไม่มีใครกล้าว่าอะไรหรอกเชื่อผมสิ ผมรู้ว่าพวกเขาเชียร์ให้คุณกับผมเป็นแฟนกันอยู่ นี่ถ้ารู้ว่าเรากำลังจะแต่งงานกันคงยินดีให้คุณหยุดยาวไปสวีทกับผมแน่นอน” เขาโม้
ปริญดาอมยิ้มขบขันกับเหตุผลของเขา เอามือปิดปากพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ
ชายหนุ่มเลิกคิ้วหันมาทางเธอ “คุณขำอะไรน่ะปริม”
พอเขาถาม เธอก็หลุดหัวเราะพรืด “ขอโทษค่ะ” เธอยังหัวเราะคิก
“ทำไมล่ะ ผมพูดอะไรตลกออกไปเหรอ”
เธอส่ายหน้า “ก็คุณน่ะเป็นจอมบงการเจ้ากี้เจ้าการไม่เคยเปลี่ยนเลยนี่คะ ใครห้ามอะไรก็ไม่ฟัง”
“ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูดสักหน่อย”
“แล้วที่คุณบังคับฉันอยู่นี่ล่ะคะ” เธอยิ้มยียวนถาม
เวหาจึงได้แต่เงียบกริบ ขับรถไปตามถนนโดยไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น แม้แต่สายตาก็คอยมองจ้องไปยังด้านหน้าทั้งที่ตลอดทางเมื่อสักครู่เขายังคอยหันมายิ้มให้เธออยู่บ่อย ๆ
“นี่คุณงอนฉันเหรอคะ” ปริญดาถามเสียงอ่อย
“เปล่านี่ ผมเนี่ยนะจะงอน” ปฎิเสธแต่น้ำเสียงและสีหน้าตรงข้ามกับคำตอบ
เธอซ่อนยิ้ม เธอเองก็ไม่คิดหรอกว่าคนอย่างเขาจะงอนกับเรื่องแค่นี้ แต่อาการแบบนี้เรียกว่างอนชัด ๆ
“ถ้าเปล่าแล้วทำไมต้องทำหน้าบึ้งอย่างนั้นด้วยล่ะคะ ฉันขอโทษนะที่ฉันหัวเราะคุณ” เธอบอกเสียงเศร้า ไม่รู้จะบอกเขายังไงว่าที่เธอหัวเราะไม่ใช่เพราะเยาะเย้ย แต่เป็นเพราะเห็นเขาคอยสั่งนู่นสั่งนี่กำกับเธอแล้วก็แค่นึกเอ็นดูจนหลุดหัวเราะออกมาเฉยๆ
“งั้นเดี๋ยวผมส่งคุณที่ออฟฟิศแล้วผมกลับเลยแล้วกัน คุณจะได้ทำงานของคุณไป” เขาบอกขณะจอดรถติดไฟแดงอีกแยกก่อนจะถึงทางเข้าออฟฟิศหญิงสาวข้างหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าคุณอยากจะไปเที่ยวเดี๋ยวฉันบอกยัยก้อยก็ได้ว่าขอหยุดยาวต่ออีกหนึ่งวันดีไหมคะ” เธอรีบบอก
“อย่าเลย คุณมีงานค้างเยอะไม่ใช่เหรอ ผมไม่อยากทำคุณเสียงาน” พูดโดยที่สายตาไม่มองเธอ
“โธ่ เวย์คะ เลิกงอนฉันเถอะนะ” พอเห็นเขาทำเย็นชาใส่ก็แอบรู้สึกผิดที่ตัวเองทำบรรยากาศดี ๆ เสียหมด
“ผมบอกแล้วว่าไม่ได้งอน ก็คุณอยากทำงานมากกว่าจะไปเที่ยวกับผม ผมก็ตามใจคุณแล้วไง”
ช่างประชดประชัน...ปริญดาถอนหายใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมือเขาที่จับพวงมาลัยรถไว้อยู่
“ถ้าไม่ได้งอนงั้นก็หายโกรธฉันนะคะ” เธอง้อ “ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจอยากไปเที่ยวกับคุณมากกว่า ไม่อยากไปทำงานแล้ว คุณพาฉันไปเที่ยวหน่อยนะ” ทำน้ำเสียงออดอ้อน
เวหาชำเลืองมอง “แน่ใจเหรอ ผมไม่อยากขัดใจคนท้องหรอกนะ”
ปริญดาอยากจะเอานิ้วจิ้มตากวน ๆ ของเขานัก ผู้ชายอะไร บทจะหวานก็หวานหยดเยิ้ม บทจะโกรธก็พาลหาเรื่องไม่หยุด
“ค่ะ พอคุณพูดถึงเรื่องเที่ยวฉันก็นึกถึงที่ ๆ หนึ่งที่ฉันยังไม่เคยไปเลย ถ้าวันนี้คุณจะพาฉันไปเที่ยว ฉันก็อยากให้คุณพาฉันไปหน่อยค่ะ”
ชายหนุ่มตาเป็นประกาย แต่ยังคงวางมาดขรึมขณะเอ่ยถามเสียงเรียบ “ที่ไหนล่ะ”
“ฉันอยากไปดูนกนางนวลที่บางปูค่ะ คิดว่าจากนี่ไปก็คงไม่ไกล คุณพาฉันไปได้ไหมคะเวย์”
“อืมม...ก็ดีนะ ผมไม่ได้ไปที่นั่นนานแล้วเหมือนกัน”
ปริญดายิ้มหวานแล้วบอกขอบคุณ พอเห็นเขายิ้มตอบ ก็โล่งใจที่เขากลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม เธอหันไปมองสัญญาณไฟที่ใกล้จะเปลี่ยนเป็นสีเขียว จึงรีบขยับตัวเข้าไปใกล้เวหา จากนั้นก็ยื่นหน้าหอมแก้มสาก ๆ เขาฟอดใหญ่เป็นการขอบคุณจนชายหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวถึงกับหน้าเหวองุนงง
“งั้นเดี๋ยวคุณพาฉันเข้าไปที่ออฟฟิศหน่อยนะคะ ขอฉันสั่งงานกับลูกน้องแล้วคุยกับยัยก้อยแป๊ปนึง แล้วหลังจากนั้นเราค่อยไปเที่ยวกัน” พูดไปก็หน้าแดงไป อายกับการกระทำของตัวเองเมื่อสักครู่
“อืม...” เวหางึมงำตอบรับขณะที่มุมปากกระตุกยิ้มยินดี ก่อนที่จะเข้าเกียร์ขับรถตรงไปยังออฟฟิศเธอ
ปริญดาเห็นเขาแอบยิ้มเธอก็อดยิ้มตามไม่ได้ การได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาแม้จะมีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่เขาก็ยังสร้างความเบิกบานใจให้เธออยู่ดี ราวกับเขามีมนต์วิเศษที่ช่วยปัดเป่าอารมณ์หดหู่ในใจของเธอให้หายวับไปได้ในทันทีเพียงแค่ได้พูดคุยกับเขาเท่านั้น
ความรักที่มีให้เขาอย่างล้นปรี่และท่าทีที่เขามีต่อเธอช่วยสร้างความมั่นใจให้เธอเรื่องที่จะแต่งงานกับเขามากขึ้นเป็นกอง หลังจากนี้เธอจะไม่สนใจคำขู่ของคุณย่าอีกต่อไป ยังไงซะสุดท้ายแล้วหากคุณย่าไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้จริง ๆ ร้ายแรงสุดก็คงอาจจะถึงขั้นไล่เธอกับมารดาออกจากบ้านหรือไม่ก็ตัดขาดความเป็นย่าเป็นหลานกันไปเลยก็ได้
แต่ไม่ว่าคุณย่าจะตัดสินเธออย่างไร ต่อให้ถึงขั้นตัดญาติขาดมิตร เธอก็จะไม่มีวันตัดใจจากเวหาและยกเลิกการแต่งงานกับเขาแน่นอน คนที่จะมาเป็นพ่อของลูกในท้องจะต้องเป็นเขาคนเดียวเท่านั้น….
><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
จบตอน
K. Nandii เวย์ก็ขอมีมุมหวาน ๆ น่ารัก ๆ กับเขาบ้างค่ะ ^^
K. pkka ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามผลงานมาตลอดเลย เป็นอีกหนึ่งกำลังใจเลยค่ะ ^_^
K. lamyong ขอบคุณด้วยนะคะที่ให้กำลังใจ จะพยายามปั่นนิยายเพื่อให้ลงอย่างต่อเนื่องค่ะ ^^
K. Zephyr คิดถึงงงงค่า หายไปนานมาก อิอิ ^^ สบายดีนะคะ ถ้างานยุ่งแต่ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะคะ แล้วก็ขอบคุณที่ยังตามไปคอมเม้นท์จิ้มชอบเป็นกำลังใจให้ทุกตอนเลย ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ ^^
ขอขอบคุณทุกคอมเม้นท์และจิ้มชอบรวมถึงนักอ่านท่านอื่น ๆ ที่ติดตามผลงานเปลวหอมด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ!
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ย. 2557, 11:36:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ย. 2557, 12:23:14 น.
จำนวนการเข้าชม : 1943
<< ตอน 29 | ตอน 31-1 >> |
Nandii 9 ก.ย. 2557, 11:55:55 น.
เดี๋ยวมาอ่านไปกินข้าวเที่ยงก่อนคร่าาา :D
เดี๋ยวมาอ่านไปกินข้าวเที่ยงก่อนคร่าาา :D
Nandii 9 ก.ย. 2557, 13:16:39 น.
อุปสรรคเยอะจังเลย แล้วจะต้องลุ้นสองคนนี้จนเหนื่อยอีกมั้ยเนี่ยคะ เอิ๊กๆ
อุปสรรคเยอะจังเลย แล้วจะต้องลุ้นสองคนนี้จนเหนื่อยอีกมั้ยเนี่ยคะ เอิ๊กๆ
lamyong 9 ก.ย. 2557, 17:29:49 น.
สังหรณ์ใจว่าเรื่องยุ่ง ๆ จะเกิดขึ้น ฮึ่มม
สังหรณ์ใจว่าเรื่องยุ่ง ๆ จะเกิดขึ้น ฮึ่มม
pkka 11 ก.ย. 2557, 21:29:32 น.
นั้นสิ ส่อเค้าปัญหาอีกล่ะ
นั้นสิ ส่อเค้าปัญหาอีกล่ะ
Zephyr 27 ก.ย. 2557, 17:59:07 น.
ปัญหาของแม่ปริมคืออะไรนะ
ปัญหาของแม่ปริมคืออะไรนะ