วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑ (ครึ่งแรก)

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มฉายแววเฉลียวฉลาดใต้คิ้วเข้มหนาโค้งสวยมองผ่านหน้าต่างซึ่งเปิดกว้างรับลมเย็นยามบ่าย สายตาจับจ้องยังรถยุโรปคันเพรียวหรูหราที่เลี้ยวพ้นถนนใหญ่เข้ามาในตรอกแคบๆ ใกล้ตลาดโพธาราม ดูโดดเด่นแปลกแยกและมิใช่รถของใครในละแวกนี้ ทว่าไม่อาจทำให้เจ้าของดวงตาซึ่งนั่งกอดอกทิ้งแผ่นหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ในห้องทำงานบนชั้นสองของบ้านไม้เก่าแก่หลังนี้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ป้ายทะเบียนบรรจุตัวเลขมงคลสี่ตัวเข้าแถวเรียงกันที่กระทบสายตาตั้งแต่แวบแรก ทำให้รู้ทันทีว่าคนที่อยู่ในรถคันนั้นคือใคร เชื่อเถอะ อีกไม่เกินสองนาที รถคันนี้ต้องมาจอดหน้าบ้าน...

นั่นปะไร...เธอคิดพร้อมถอนหายใจพรืดใหญ่เมื่อได้ยินเสียงรถเงียบลง นิ้วเรียวเล็กที่หมั่นตัดเล็มเป็นประจำจนสั้นกุดเลื่อนไปคลิกเมาส์ เซฟงานในจอคอมพิวเตอร์ขนาด ๒๔ นิ้วตรงหน้า

“คุณเพชรคะ มีคนมาหาค่ะ” เสียงสดใสของเกศรา หรือที่เรียกกันจนติดปากว่าเกดซ่า ดังตามหลังเสียงเคาะประตูมาติดๆ

น้ำหนึ่งถอนหายใจอีกเฮือก “เออๆ จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ” เธอตะโกนตอบไปด้วยน้ำเสียงห้าวห้วน มารดาเคยอบรมเธอบ่อยครั้งเรื่องคำพูดคำจา

‘หน้าตาก็สะสวย หัดพูดจาให้มันสวยๆเหมือนหน้าตาบ้างสิ’

‘ก็เหมือนพ่อไงแม่ หน้าตาก็หล่อ แต่พูดจา...’ เธอเบ้ปากทุกคราวยามเอ่ยประโยคนี้ แล้วไม่มีคำอธิบายต่อ เป็นที่รู้กันระหว่างแม่ลูก ถ้าจะมีต่ออีกหน่อยก็คงเป็น ‘...แต่ยังไงพฤติกรรมเพชรก็ดีกว่าพ่อแหละ หรือแม่ว่าไง’

‘อย่าไปว่าเขาเลย พูดไปก็บาปเปล่าๆ ยังไงเขาก็เป็นพ่อเรา เรื่องอื่นเขาจะเป็นไงก็แล้วแต่ แต่เขามีบุญคุณกับเพชรนะ ถ้าไม่มีเขา คงไม่มีเพชร...และถ้าไม่ชอบเขา ก็อย่าไปทำตัวอย่างเขา เดี๋ยวจะไม่มีใครรัก’
แม่เองยังเรียกพ่อว่า ‘เขา’ ด้วยน้ำเสียงเหินห่าง

‘ถ้าเพชรเลือกพ่อเองได้ เขาไม่มีทางได้เป็นพ่อเพชรแน่’

น้ำหนึ่งเคยเอ่ยอย่างเดือดดาลและเกือบจะจงชัง แต่คนเป็นแม่กลับยิ้มละไม ดูเยือกเย็นราวกับสายน้ำชุ่มฉ่ำกลางป่าลึก ทั้งที่ตัวท่านเองถูกกระทำมาไม่ใช่น้อย

‘อย่าโทษที่เขาไม่ดี โทษที่เราทำบุญมาแค่นี้ เหมาะสมที่จะเกิดมาเชื่อมโยงผูกพันกับเขา...’

เธอรู้ดีว่า ‘เรา’ ของแม่ไม่ได้หมายถึงน้ำหนึ่งคนเดียว แต่หมายถึงตัวแม่เองด้วย สุดท้ายท่านก็จะตัดบทว่า

‘ตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่กับเราแล้ว หมดเวรหมดกรรมกันไป อย่าไปพูดถึงเขาอีกเลย ใช้ชีวิตของเราให้มีความสุขดีกว่า’

ใช้ชีวิตให้มีความสุขกระนั้นหรือ ท่าทางจะยากแล้ว ตัวขัดความสุขตามมาถึงบ้านขนาดนี้ น้ำหนึ่งละทิ้งเรื่อง ‘พ่อ’ ซึ่งกลายเป็นอดีต ลุกจากเก้าอี้ไปเผชิญหน้ากับปัจจุบันด้วยท่าทีเบื่อหน่าย...กดเก็บความยินดีที่อยู่ลึกล้ำลงไปในใจไม่ให้ออกมาเริงร่าทั้งในแววตาและท่าทาง เธอไม่ควรยินดีกับการมาของเขาเลย...ไม่ควร...

ห้ามใดหรือเล่า...จะยากเท่าหักห้ามใจ

คนที่ยืนหันข้างให้เธออยู่ริมหน้าต่างในห้องรับแขกคือชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียว ไหล่กว้างผึ่งผาย มือสองข้างไพล่หลังสบายๆ นิ้วทั้งสิบเรียวสวยแบบคนไม่เคยต้องงานหนัก เสื้อยืดสีครีมและกางเกงขายาวตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีสีเดียวกันกับเสื้อขับผิวขาวให้ดูกระจ่าง ผมซอยสั้นแนบต้นคออวดศีรษะได้รูปสวย จมูกโด่งเป็นสันตรงรับกับริมฝีปากหยักงามและเหลี่ยมคางบึกบึนแต้มรอยบุ๋มนิดๆ ดวงตากดลึกภายใต้คิ้วเข้มหนาปลายตวัดเฉียงขึ้นน้อยๆคู่นั้น ทอดมองผ่านเงาไม้ร่มครึ้มไปยังรั้วไม้ระแนงที่ถูกพาดพันด้วยเถาตำลึง มะระขี้นก และบวบเหลี่ยม ซึ่งเจ้าของบ้านมาปลูกแก้เซ็งเวลาคิดงานไม่ออก

เป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนสนิทว่าถ้าน้ำหนึ่งสมองตันจบงานไม่ได้ตามเป้าหมายแล้วละก็ เธอจะหาทางออกด้วยการปลูกผัก...ผักที่เป็นผักจริงๆ กินเป็นอาหารได้ ไม่ใช่เกมปลูกผักในเฟซบุ๊กอย่างที่เขานิยมเล่นกัน

“ที่นี่ร่มรื่นดีนะ เราชอบ ถ้าบ้านเรามีต้นไม้เยอะๆแบบนี้บ้างก็ดีสิ...ต้นไม้แบบที่เติบโตเองตามธรรมชาตินะ ไม่ใช่ต้นไม้ที่ตัดแต่งจนได้รูปทรงสวยงามไว้อวดใครต่อใคร” เขาเอ่ยลอยๆ สายตายังไม่ละจากต้นไม้ต้นไร่

“คนเราก็มักจะชอบและอยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยมีเสมอแหละ”

“ไม่จริงเสมอไปหรอก” คราวนี้เขาหันกลับมามองหน้าเธอ ริมฝีปากหยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ เพียงเท่านั้นก็เผยให้เห็นลักยิ้มสองข้างกดเป็นรอยบุ๋มอย่างน่ารัก “เราไม่เคยเห็นเธอมีแฟน ไม่เคยเห็นท่าทีว่าจะชอบและอยากได้ผู้ชายคนไหนเป็นแฟน” น้ำเสียงเขายังคงเรียบนิ่งเฉกเช่นเดิม

แต่คนที่รู้จักมักคุ้นกันมานานอย่างน้ำหนึ่ง มีหรือจะไม่รู้ว่านี่แหละเขากำลังรื่นรมย์ที่สุดแล้ว ดูดวงตาสีนิลคู่นั้นสิ แพรวพราวเชียว
“ผู้ชาย...ไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรือสำคัญสำหรับชีวิตเราหรอก” ริมฝีปากอิ่มสวยเม้มแน่นก่อนคลายออก “แล้วเธอมาหาเราทำไมอีกล่ะว่าน อย่าบอกนะว่าเรื่องเดิม” พร้อมกับพูดอย่างรู้เท่าทัน ร่างสูงโปร่งสมส่วนที่ซ่อนอยู่ในกางเกงผ้าตัวหลวมกลางเก่ากลางใหม่กับเสื้อยืดแขนกุด อวดท่อนแขนกลมกลึง ก็เดินไปทิ้งกายบนเก้าอี้หวายบุนวมนุ่ม บนโต๊ะเตี้ยตรงหน้ามีแก้วใสทรงสูงบรรจุน้ำเย็นและจานขนมขบเคี้ยวที่เกศราคงนำมาต้อนรับแขกระหว่างนั่งรอ

ยังไม่ทันที่วาริจะตอบคำใด เสียงเอะอะก็ดังขึ้น

“แกให้มันเข้ามาได้ยังไงนังเกด ไล่มันออกไป ไล่มันออกไปเลย ไม่รู้หรือไงว่าฉันเกลียดมัน”

“อย่าค่ะคุณอัน อย่าเข้าไปค่ะ อายเขา”

คำห้ามปรามของเกศราไร้ผล ไม่กี่วินาทีหลังสิ้นเสียงเอ็ดตะโรของมารดา ร่างท้วมก็พรวดพราดเข้ามาในห้องรับแขก มีเกศราตามหลังมาติดๆ ฉุดรั้งแขนอวบของอัญชันไว้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี

“แม่ ใจเย็นๆ” น้ำหนึ่งถลาเข้าไปกอดแขนอีกข้างไว้ รู้ว่าอารมณ์นี้ ช้างก็แทบจะฉุดมารดาไว้ไม่อยู่

“เพชร ไล่ผู้ชายคนนี้ออกไป ไล่มันออกไป”
ปลายนิ้วตวัดชี้หน้าวาริอย่างเกรี้ยวกราด เขาอยู่ในท่าทีเตรียมพร้อม แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งราวกับทองไม่รู้ร้อน มีเพียงแววตาที่มองมายังน้ำหนึ่งด้วยความเห็นใจและเข้าใจ

“ทำไมแม่เกิดคลั่งขึ้นมาอีกล่ะเกดซ่า ลืมให้กินยาหรือเปล่า” น้ำหนึ่งหันไปถามเด็กสาวร่างผอมเก้งก้างที่ช่วยเธอรั้งอัญชันไว้สุดกำลัง

“กำลังจะกินพอดีค่ะ พอรู้ว่าคุณว่านมาหาคุณเพชรก็ปัดยาทิ้ง ถลาออกมาแบบนี้” เกศราละล่ำละลัก

“ว่าน เธอออกไปรอฉันที่ร้านกาแฟตรงมุมถนนแล้วกัน เดี๋ยวฉันตามไป มีอะไรไปคุยกันที่นั่น”

“ให้เราช่วยอะไรไหม”

เป็นอีกครั้งที่น้ำหนึ่งรำคาญความเรื่อยเฉื่อยของชายหนุ่ม เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ยังไม่รู้หรือไงว่าความสงบของเขามันไม่สามารถสยบความเคลื่อนไหวของอัญชันได้ มีแต่จะกระตุ้นให้นางคลั่งหนักขึ้น

“ช่วยออกไปจากที่นี่ก่อน เร็วๆ”

เพราะมัวแต่ไล่วาริ อัญชันจึงสะบัดแขนหลุดจากพันธนาการ ถลันไปหาร่างสูงของชายหนุ่มที่กำลังก้าวยาวๆออกจากห้อง เมื่อน้ำหนึ่งและเกศราถลันไปยึดไว้ นางก็ตะเกียกตะกายไขว่คว้าจนได้แจกันใบเขื่องบนหลังตู้หนังสือริมผนังใกล้ประตู และขว้างตามหลังเฉียดศีรษะวาริไปอย่างหวุดหวิด

เพล้ง! เสียงแจกันแก้วกระทบพื้นแตกกระจาย ถ้าวาริช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ที่แตกคงไม่ใช่แจกันแต่เป็นหัวสวยๆของเขานั่นแหละ

“เกดซ่าไปเอายามา เร็วเข้า” หญิงสาวสั่งรัวเร็ว เมื่อไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง เธอก็ใช้รูปร่างที่สูงกว่าและเรี่ยวแรงที่มีรวบกอดเอวมารดาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

เกศราปรู๊ดออกไปและกลับมาได้ว่องไวทันใจนัก มือหนึ่งถือตลับใส่ยา อีกมือถือแก้วน้ำพลาสติก...น้ำหนึ่งเป็นคนสั่งเอง ยามใดอัญชันคลุ้มคลั่ง ให้ใช้แก้วพลาสติก ป้องกันการปัดตกแตก

“พาไปนอนบนโซฟาค่ะคุณเพชร เดี๋ยวเกดซ่าจัดการเอง”

เมื่อไม่มีวาริขวางหูขวางตา อาการของอัญชันก็ค่อยสงบลงมาหน่อย แต่กว่าจะพามาเอนตัวลงบนโซฟาได้อย่างที่เกศราขอ ก็เล่นเอาหอบแฮกเหมือนกัน

“คุณอันกินยานะคะ กินยาก่อน” เกศราทอดเสียงอ่อนราวกับปลอบโยนเด็กเล็กๆ ดวงตากลมใสที่มองสบสายตากราดเกรี้ยวของอัญชัน ดูบริสุทธิ์และแสนห่วงใย ทว่าก็เปี่ยมไปด้วยพลังอย่างประหลาด

อัญชันนิ่งงันไปเป็นครู่ ก่อนยอมกินยาระงับประสาทที่เกศราส่งเข้าปาก แววตาแข็งกร้าวเริ่มเลื่อนลอย ไม่นานนางก็หลับลงอย่างสงบ ทั้งน้ำหนึ่งและเกศราถอนหายใจออกมาแทบจะพร้อมกัน

“เกดซ่าเก็บกวาดเศษแจกันให้หมดนะ ตามซอกตามมุมดูให้ดี ใครเดินเหยียบเข้าจะได้เลือด ฉันจะออกไปหาเพื่อนแป๊บนึง เดี๋ยวมา” พูดจบก็หันมองมารดาด้วยความห่วงใย ความลังเลผ่านวูบเข้ามาในดวงตาคู่สวย

“ไปเถอะค่ะคุณเพชร คุณอันอยู่กับเกดซ่า ไม่ต้องห่วง เกดซ่าเอาอยู่”

“เอาอยู่แบบเมื่อกี้รึ” หญิงสาวเลิกคิ้วถามยิ้มๆ พอความโกลาหลผ่านไป ความเครียดก็คลายลง

“แหม เมื่อกี้เกดซ่ามัวแต่ตื่นเต้นที่เห็นผู้ชายหล่อๆมาหาคุณเพชร สติสตังเลยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ว่าแต่ว่า...คุณเพชรทำบุญด้วยอะไรคะ ถึงมีแต่ผู้ชายหน้าตาดีมารุมล้อมแบบนี้” ดวงตากลมใสของเกศรามองไปยังรูปภาพในกรอบบนผนัง ราวกับนั่นเป็นหลักฐานอีกชิ้นที่สนับสนุนความคิดของตน

“ทำบุญด้วยแกงส้มมะรุมมั้ง เลยมีหนุ่มๆมารุม” คนตอบยิ้มให้กรอบรูปบานนั้น ภาพวันก่อนเก่าเต้นเร่าในหัว

ในรูปนั้น น้ำหนึ่งรวบผมหยักศกเป็นคลื่นสลวยถึงกลางหลังขึ้นสูงเป็นหางม้า เผยดวงหน้าเกลี้ยงเกลา แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา หัวเข็มขัดเป็นรูปพระพิฆเนศวรประทับบนเมฆงามสง่า ด้านล่างปรากฏตัวอักษรดุนนูนอ่านได้ว่ามหาวิทยาลัยศิลปากร

มหาวิทยาลัยเก่าแก่อันทรงเกียรติที่เธอร่ำเรียนอยู่นานถึงห้าปี ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยเพื่อนสนิทในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่ต่างคณะ นพคุณและตินพล หนุ่มหล่อแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่สาวๆทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องต่างพากันหมายตา

ตอนที่เหมือนฝัน เพื่อนร่วมชมรมเรื่องลี้ลับถ่ายรูปนี้ให้ สองหนุ่มพากันยื้อแย่งแสดงความสนิทสนมกับเธอ ตินพลโอบไหล่เธอไว้แนบชิด ขณะนพคุณวางมือลงบนศีรษะแล้วออกแรงดึงไปซบยังไหล่กว้างของตน ผลสุดท้ายจึงได้ภาพหนึ่งหญิงสองชายที่ดูตลกจนต้องขอเอาไปขยายมาติดฝาบ้านเอาไว้อวดใครเล่นขำๆ ว่าครั้งหนึ่ง ตินพลดาราหนุ่มฮอตที่เปลี่ยนสาวถี่กว่าเปลี่ยนทรงผม ก็เคยยื้อแย่งเธอมาก่อนเหมือนกัน

น้ำหนึ่งรู้จักกับตินพลมาตั้งแต่เด็ก เขาชื่อเล่นว่าเต ทว่าเธอเรียกตังเตจนติดปาก บ้านเขาใหญ่โตโอ่อ่าจนเรียกคฤหาสน์ได้ไม่น่าเกลียด คนเคยอยู่ทาวน์เฮาส์คับแคบมาตั้งแต่จำความได้ ไม่คิดฝันอยากมีบ้านหลังใหญ่แบบนั้นหรอก ความสุขสงบของเธอไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดของที่อยู่อาศัย เธออยู่ที่ไหนก็ได้ เพียงแค่ที่นั่นไม่มีพ่อ เธอก็มีความสุขแล้ว!

แต่ที่เธอสนใจและเฝ้ามองทุกครั้งที่ผ่านบ้านตินพล เพราะชอบความงดงามอลังการของมัน ด้วยเหตุนี้จึงแอบไปตีสนิทกับเด็กชายที่เล่นซนอยู่ริมรั้ว จนได้เข้าไปเยี่ยมชมภายในบ้านหรู แต่ก็ยังมีบางอย่างที่เทอะทะขัดตาขัดใจ และน้ำหนึ่งคิดอย่างอหังการว่าถ้าเธอเป็นคนออกแบบบ้านหลังนี้ มันต้องสวยและลงตัวกว่านี้อย่างแน่นอน...

นั่นกระมังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธออยากเป็นสถาปนิก และหลังจากนั้นความฝันของเธอก็เป็นจริง

นาวาชีวิตของเธอและตินพลหันเหออกห่างแยกทางจากกันเมื่อเธอเรียนมัธยมปลาย อัญชันพาเธอและพิมพ์แพรพี่สาวที่โตกว่าเธอสี่ปี กลับมาอยู่ที่โพธารามซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่โดยไม่มีพ่อ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่น้ำหนึ่งรู้สึกโล่งอกโล่งใจและมีความสุขอย่างแท้จริง แม้จะเสียดายที่ต้องห่างจากเพื่อนอย่างตินพล แต่ก็ได้รู้ข่าวคราวเขาเป็นระยะ เนื่องจากรูปร่างหน้าตาอันโดดเด่นทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย ข่าวคราวเกี่ยวกับเขาส่วนใหญ่เป็นเรื่องหัวใจและความรัก น้ำหนึ่งไม่แปลกใจเลยเพราะตั้งแต่รู้จักจนสนิทสนมกันมา ตินพลเป็นหนุ่มหล่อรวยเสน่ห์ มักได้รับของขวัญของฝากจากนักเรียนสาวๆเสมอ วันวาเลนไทน์ของทุกปี ตินพลจึงมีช็อกโกแลตราคาแพงระยับมาฝากน้ำหนึ่งคราวละหลายกล่อง

‘เอาไปแบ่งพี่แพรด้วย’ เขาแจงเสร็จสรรพ

‘ทำไมไม่กิน กลัวใครเขาทำเสน่ห์ใส่มาหรือไง’ น้ำหนึ่งแกล้งแซว

คนถูกแซวเพียงแต่ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ

‘ระวังเถอะ คนให้เขารู้ว่าเอามาให้สาวอื่นต่อจะเสียใจ’ แม้พูดเช่นนั้น แต่น้ำหนึ่งก็กวาดกล่องช็อกโกแลตตรงหน้าลงกระเป๋าด้วยใจยินดี

ชีวิตตินพลดูห่างไกลจากเธอไปเรื่อยๆ น้ำหนึ่งคิดว่าคงไม่ได้เจอเขาอีก และเขาก็คงไม่มีเวลามาจดจำเพื่อนเล่นสมัยเด็กอย่างเธอหรอก

ที่ไหนได้ สามปีหลังจากนั้น เธอก็พบเขาอีกครั้งในรั้วศิลปากร หรือที่เรียกกันสั้นๆจนติดปากว่าทับแก้ว ความสนิทสนมที่ขาดหายถูกถักสานขึ้นมาใหม่ได้ไม่ยาก พบกันครั้งนี้ เขากลายเป็นหนุ่มวิศวะพราวเสน่ห์ที่สาวๆตอมกันเกรียวอย่างที่น้ำหนึ่งชอบเสียดสีว่า

‘แมลงวันตอมขี้’

‘ผึ้งตอมน้ำหวานต่างหาก’ เจ้าตัวแก้

‘หวานจริงรื้อ’ น้ำหนึ่งย้อน

‘พูดแบบนี้...ถ้าไม่ใช่เพื่อนนะ พ่อจะให้ชิมเสียให้รู้แล้วรู้รอด ขี้คร้านจะติดใจ’

การสนทนาทำนองนี้มักจบลงตรงที่ทั้งสองฝ่ายต่างเบ้หน้าใส่กัน ต่างคนต่างรู้ดีว่า ‘เรา’ ไม่มีทางก้าวข้ามคำว่า ‘เพื่อนสนิท’ ไปได้
และตินพลนี่แหละที่ชักชวนน้ำหนึ่งเข้าชมรมเรื่องลี้ลับ ด้วยเหตุผลกลใดที่ทำให้หนุ่มหล่อและดูทันสมัยไปทุกกระเบียดนิ้วอย่างเขาสนใจชมรมชื่อพิลึกพิลั่นนี้ น้ำหนึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะมันไม่โดดเด่นอะไรเลย เธอคิดว่าเขาแอบสนใจสาวในชมรมเพราะช่วงนั้นเขาเพิ่งเลิกร้างจากคู่ควงคนล่าสุดมาหมาดๆ ทว่าเขาปฏิเสธแข็งขัน ซึ่งน้ำหนึ่งไม่รู้ว่าจะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหน

ส่วนเหตุผลที่เธอตามเขาเข้าชมรมนี้ก็เพราะมีกิจกรรมท้าทายน่าสนใจหลายอย่าง ยกเว้นการนั่งสมาธิน่ะนะ เธอชอบการออกไปพิสูจน์สถานที่ต่างๆซึ่งขึ้นชื่อว่าผีดุ เจ้าที่เฮี้ยนอะไรทำนองนั้น ช่วงที่เธออยู่ชมรมยังได้ไปสำรวจสุสานพญาดำ อันเป็นที่เล่าขานกันมาว่าซุกซ่อนสมบัติไว้มากมาย แต่น้ำหนึ่งไม่เห็นพบอะไร แม้แต่ผีสักตัวก็ไม่โผล่มาให้เห็น

เวลาออกไป ‘ส่องผี’ หลายคนมักพบเจอเรื่องแปลกๆมาเล่าขานกัน นานวันกว่าจะจบ ส่วนเธอที่เกาะกลุ่มอยู่กับสองหนุ่มในภาพกลับไม่เคยพบเห็นอะไร

อ้อ...จะว่าไม่เคยก็ไม่ได้สิ เธอเคยไปรับน้องที่กระบี่ ตอนนั้นเธออยู่ปีสอง หลังจากดูแลน้องๆและจัดเกมหฤโหดให้ผจญกันมาตลอดวัน ตกดึกแต่ละคนก็แยกย้ายทำกิจกรรมที่ตนพึงใจ น้อยคนนักจะนอนพักผ่อนในบ้านพัก หนุ่มๆในคณะส่วนใหญ่ ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องแห่กันไปนั่งดีดกีตาร์และดวดเหล้าริมทะเล สาวๆจับกลุ่มเล่นไพ่อยู่ห้องโถงชั้นล่าง ส่วนรุ่นน้องกลุ่มที่น้ำหนึ่งสนิทซึ่งมีทั้งหญิงและชายรวมหัวเล่นผีถ้วยแก้วบนห้องนอนชั้นสอง ไฟบนเพดานถูกปิด เปิดทางให้แสงเทียนวับแวมเข้ามาแทนที่ บางคราเปลวไฟวูบวาบตามกระแสลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างซึ่งเปิดกว้าง ม่านสีขาวสะบัดพึ่บพั่บ เสริมส่งบรรยากาศให้ขรึมขลังยิ่งขึ้น

‘พี่เพชร พี่เพชรอยู่ชมรมเรื่องลี้ลับ เคยเจอผีมั่งไหม’ น้องรหัสเธอสะกิดถาม ตั้งแต่ยังไม่เริ่มอัญเชิญวิญญาณเข้าสิงถ้วยแก้วที่คว่ำอยู่บนตารางตัวอักษร

น้ำหนึ่งสั่นศีรษะ ‘ไม่เคย คงไม่มีสัมผัสพิเศษ’

น้องรหัสพยักหน้าอือออ

‘ตอนเย็นผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวแถวโน้น’ คนเล่าบุ้ยใบ้ไปทางท้ายหาด ซึ่งคำว่า ‘โน้น’ แปลว่าไกลพอสมควร ‘เห็นมีบ้านร้างอยู่ชายป่า แอบไปด้อมๆมองๆเพราะเห็นบ้านสวยดี’ เด็กหนุ่มสนใจตามประสาคนเรียนสถาปัตย์ ‘พอไปถามคนที่อยู่ละแวกนั้น เขาบอกบ้านนี้ร้างมาหลายปี เจ้าของตาย ลูกหลานก็ขาย แต่ไม่มีใครมาอยู่ เขาลือว่าผีดุ บางทีมีคนผ่านไปเห็นผู้หญิงแต่งชุดขาวๆเดินอยู่รอบบ้านแล้วหายเข้าไปในดงพลับพลึงข้างบ้าน’

ถึงตอนนี้ คนที่ตั้งใจเล่นผีถ้วยแก้วไม่เป็นอันเรียกวิญญาณ แต่หันมาฟังน้องรหัสเธอเล่าอย่างสนใจ

‘เราไปแอบดูที่นั่นกันไหมพี่เพชร บ้านหลังนั้นสวยจริงนะ เสียแต่ทรุดโทรมไปหน่อย’

‘ตกลงจะไปดูผีหรือไปดูบ้าน’ เธอถาม

‘ทั้งสองอย่างแหละ’

‘ไม่กลัวหรือไง เขาว่าผีดุไม่ใช่หรือ’

‘พี่กล้าไหมล่ะ พี่กล้า ผมกล้า’

และแล้วคืนนั้น ความคึกคะนองก็ผลักดันให้สมาชิกวงผีถ้วยแก้วยอมสละถ้วยและตารางตัวอักษร คว้าไฟฉายและเคลื่อนย้ายพลพรรคไปยังบ้านร้างแห่งนั้น โดยมีน้ำหนึ่งและน้องรหัสเป็นแกนนำ

บ้านร้างหลังดังกล่าวอยู่ห่างจากที่พักถึงหกกิโลเมตร หลุดพ้นจากย่านท่องเที่ยวอันพลุกพล่าน ตั้งอยู่ริมถนนสายเล็กซึ่งแยกออกจากทางสายหลักเพื่อไต่สูงสู่เนินเขา สองฟากฝั่งเปล่าเปลี่ยว วังเวง ร้างไร้บ้านเรือนแวดล้อม ด้านหลังคือภูเขาทึบทะมึนเสียดแทรกขึ้นไปในอากาศ ใหญ่โตราวกับอสุรกายคอยพิทักษ์รักษาสถานที่แห่งนี้

น้ำหนึ่งใช้สายตาสำรวจบ้านสไตล์นีโอคลาสสิกสีขาวหม่นที่ซุ่มซ่อนอยู่ท่ามกลางดงไม้ร่มครึ้ม แสงจันทร์สีเหลืองซีดอาบย้อมให้มันดูเงียบเหงาเดียวดายยิ่งขึ้น เถาไม้เลื้อยรกเรื้อทอดยอดพาดพันตัวอาคารตั้งแต่หลังคาระย้าระย้อยมาถึงประตูโค้งกึ่งกลางอาคาร เสาสูงเป็นแนวรับชายคากว้าง หน้าต่างโค้งรูปเกือกม้าเรียงรายรอบอาคารซึ่งขนานกับแนวระเบียง สวย แต่ลึกลับชวนขนลุก

‘จะเข้าไปจริงๆหรือคะ’ เสียงสั่นๆของใครคนหนึ่งถามขึ้น

‘ข้าว่าเข้าไปเล่นผีถ้วยแก้วในนี้ดีกว่า ได้บรรยากาศดี’ อีกคนกล่าวอย่างคึกคะนอง

เสียงสายลมเสียดยอดไม้ดังวู่หวิว เมื่อไม่มีนพคุณและตินพลอยู่เคียงข้าง ความมั่นใจอุ่นใจของน้ำหนึ่งก็พลอยสูญไปด้วย แต่ในฐานะผู้นำ เธอต้องเข้มแข็ง มั่นคง และหากมีอะไรเกิดขึ้นก็ต้องออกวิ่งเป็นคนสุดท้าย...นั่นคือความคิด แต่หากพบเห็นอะไรขึ้นมาจริงๆ เธออาจขว้างปณิธานแน่วแน่ทิ้งแล้วเผ่นเป็นคนแรกก็ได้

‘เข้าไปข้างในกันเถอะ’ น้ำหนึ่งเสียงเบาลงโดยไม่รู้ตัว คล้ายหัวขโมยชักชวนเพื่อนย่องเข้าบ้านเหยื่อ

เมื่อผู้นำเดินหน้า คนที่เหลือก็ตามกันไปเป็นขบวน ไม่มีใครยอมถูกทิ้งไว้ข้างนอก ไฟฉายในมือกราดลำแสงสว่างเรือง สอดส่ายซอกแซกตามจุดต่างๆ ยิ่งใกล้ตัวบ้าน การเกาะกลุ่มหลวมๆก็ขยับแน่นขึ้นโดยอัตโนมัติ

ประตูบานใหญ่หน้าบ้านปิดแน่นคล้องด้วยโซ่เส้นเขื่องลั่นกุญแจตัวใหญ่สนิมเขรอะ ทว่ายังแข็งแรงยากแก่การงัดแงะ หน้าต่างทุกบานปิดสนิทลงล็อกแน่นหนา ดูแล้วไม่มีทางจะเข้าไปได้ง่ายๆ

‘กลับกันเถอะ’ น้ำหนึ่งชวน ให้เสพบรรยากาศตื่นเต้นระทึกขวัญแค่นี้ก็พอแล้วกระมัง

‘พี่ๆ ผมปวดฉี่ ไปเป็นเพื่อนผมหน่อย’ น้องรหัสสะกิดบอก

‘ฉี่ตรงนี้ก็ได้ ไม่มีใครอยากดูหรอก’ เธอบอก

‘ไม่ได้พี่ ถึงไม่มีใครอยากดู ผมก็อาย’

น้ำหนึ่งทำหน้าเมื่อย ‘ไปๆ...เดี๋ยวรอพี่ตรงนี้ก่อนนะ พาไอ้ยักษ์ไปฉี่เดี๋ยว’

‘ยักษ์ใหญ่ใจปลาซิวนี่หว่า’ เพื่อนฝูงกระเซ้า บรรยากาศวังเวงชวนขนลุกค่อยคลายลง

น้องรหัสเธอเลือกยิงกระต่ายในดงพลับพลึงข้างบ้าน ดอกสีขาวดกดื่นส่งกลิ่นหอมเอียนชวนเวียนหัว น้ำหนึ่งอยากทักถาม ว่าดงนี้ใช่ไหมที่ชาวบ้านลือกันว่ามีผู้หญิงแต่งชุดขาวหายเข้าไป แต่ไม่ได้ถาม แค่สบตากันก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคิดเหมือนเธอ

‘มายืนติดๆผมหน่อยสิพี่’

‘จะบ้าเหรอ จะฉี่ก็รีบๆเข้า’

น้ำหนึ่งเอ็ดแล้วหันไปอีกทาง น้องรหัสเธอไม่ยอมแพ้ เป็นฝ่ายขยับมาชิดจนก้นชนก้น เธอส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจ แต่ยืนปักหลักนิ่งให้อีกฝ่ายพิงพัก

ระหว่างรอ สายตากวาดมองโดยรอบ พบทางเดินเล็กๆทอดหายเข้าไปในดงรกเสียงแมลงกลางคืนดังระงม
ทันใดนั้น...เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

ครืด...ครืด...

เสียงเยียบเย็นเหมือนโลหะลากไปมาบนพื้นแข็งๆ คนยืนฉี่สะดุ้งเฮือก เป็นจังหวะเดียวกับที่หนูตัวเขื่องพรวดออกมาจากดงพลับพลึง ไอ้ยักษ์ร้องจ๊ากโกยแน่บ

‘ผีหลอก ผีหลอก’ มันแหกปากลั่นๆนำไปก่อน

น้ำหนึ่งวิ่งกวดไปติดๆ เพราะคิดว่าไอ้ยักษ์เจออะไรมากกว่าที่เธอประสบ แล้วหน่วยพิสูจน์ผีทั้งทีมก็ปรู๊ดไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ใครซ้อนใครมาไม่มีใครสนใจ ขึ้นคันไหนได้ก็ไปคันนั้น สตาร์ตเครื่องได้ก็บิดคันเร่งกันเต็มพิกัด ชาวบ้านแถวนี้อาจคิดได้ว่ากลุ่มเด็กแว้นกำลังอาละวาด

เมื่อกลับถึงบ้านพัก ไอ้ยักษ์เล่าว่าได้ยินเสียงพรวดพราดจากด้านหลัง เลยวิ่งไว้ก่อน พอน้ำหนึ่งเฉลยว่ามันคือหนูตัวเบิ้ม ไอ้ยักษ์ก็โดนรุมประณามว่าปอดแหก ตาขาว เธอสอบถามแล้ว ไอ้ยักษ์ไม่ได้ยินเสียงอื่น แปลว่าเสียงครืด ครืดนั่น เธอได้ยินคนเดียว น้ำหนึ่งปิดปากเงียบไม่เล่าให้ใครฟัง และคิดในใจว่าโดนเล่นเข้าแล้วกระมัง และนึกขอบคุณที่มาแค่เสียง...แค่นี้พอรับไหว

การเข้าร่วมชมรมเรื่องลี้ลับ นอกจากได้ออกไปทำอะไรแผลงๆที่ปกติไม่ได้ทำแล้ว ยังทำให้เธอรู้จักและสนิทสนมกับเพื่อนกลุ่มใหม่ด้วย คือเหมือนฝัน มาลุตา และอติวัจน์

เหมือนฝันเป็นสาวสวยมาดเซอร์จากคณะมันฑณศิลป์ ส่วนอติวัจน์เป็นเพื่อนของเหมือนฝันอีกที รายนี้ตามเหมือนฝันเข้าชมรมเพราะอยากจีบสาว...มาลุตาหรือลุตา แต่น้ำหนึ่งเรียกเล่นๆว่าลุลาเสมอ เพราะเรียกง่าย ลื่นลิ้น แถมยังบ่นให้เจ้าตัวได้ยินอีกว่าชื่อหล่อนเรียกยาก เรียกทีไรเป็นมาตุลาทุกที

มาลุตาเป็นรุ่นน้องคณะอักษรศาสตร์ที่เหมือนฝันสนิทสนมมาก่อน หน้าตาน่ารัก นิสัยน่าเอ็นดู ไม่แปลกที่อติวัจน์จะสนใจและใช้เหมือนฝันเป็นแม่สื่อ

ถึงอติวัจน์จะเป็นเพื่อนร่วมชมรม ทว่าน้ำหนึ่งไม่ค่อยสนิทกับเขานัก เพราะเขาเป็นคนพูดมาก ใช้อารมณ์ขันพร่ำเพรื่อน่ารำคาญ แต่ก็พอคบได้ ไม่ถึงกับเกลียดหรอก แค่เลี่ยงๆไม่อยากคุยด้วยเท่านั้น

ส่วนนพคุณ หรือเก้า ชายหนุ่มที่ยืนกระหนาบข้างเธอในภาพคนละด้านกับตินพล น้ำหนึ่งมารู้จักในชมรมเรื่องลี้ลับเช่นเดียวกัน เขาโตกว่าเธอสองปี เธอเรียกเขาว่า ‘ไอ้พี่เก้า’ จนติดปาก รู้จักกันได้ไม่นาน ความสนิทสนมก็ไต่ระดับมาจนเทียบเท่าตินพลคนที่วิ่งเล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ จนทำให้ฝ่ายหลังไม่ค่อยพอใจที่ถูกตีเสมอ อีกทั้งนพคุณยังชอบเล่นมุกจับคู่อยู่บ่อยๆ สร้างความหมั่นไส้ให้ตินพลไม่น้อย

‘ทองเนื้อเก้ากับเพชรแท้ เป็นของคู่กัน’

ภายใต้คำพูดชวนคิดไปไกลของนพคุณ น้ำหนึ่งตระหนักดีว่าชายหนุ่มไม่ได้คิดอะไรกับตนเช่นนั้นเลย ความสัมพันธ์และมิตรไมตรีที่มอบให้ไม่มีทางก้าวข้ามคำว่าเพื่อนไปได้แน่นอน

แต่ก็นั่นแหละ ให้สนิทชิดเชื้ออย่างไร ทุกครั้งที่สบตาคนทั้งคู่ น้ำหนึ่งรู้สึกว่าทั้งตินพลและนพคุณมีบางอย่างประหลาด...

ภายใต้แววตาสนุกสนาน นิสัยร่าเริง พูดจาขี้เล่น เหมือนมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ดุจพยัคฆ์ร้ายหมอบซุ่มอยู่อย่างเงียบเชียบ รอเวลาผกโผนเข้าหาเหยื่อหรือศัตรูเท่านั้น

น้ำหนึ่งไม่คิดอยากรู้ว่าสิ่งนั้นที่ซุกซ่อนอยู่คืออะไร เพราะเธอไม่ได้อยากเป็นเหยื่อหรือเป็นศัตรูกับเพื่อนคู่นี้

“ทำบุญด้วยแกงส้มมะรุม” เกศราหัวเราะคิก ดึงน้ำหนึ่งออกมาจากห้วงคำนึง “หนุ่มๆที่มารุมนี่ต้องเคี้ยวแล้วคายกากทิ้งแบบมะรุมไหมคะ”

“อย่าว่าแต่เคี้ยวเลย แค่ขอเขี่ยๆเขายังไม่ยอม”

น้ำหนึ่งพูดผิดเสียที่ไหน สองหนุ่มปากร้ายคู่นี้ไม่เคยคิดกิ๊กกั๊กกับเธอมากกว่าเพื่อน แม้การแสดงออกล้ำไปมากมายขนาดไหนก็ตาม มันเป็นเพียงแค่การหยอกเล่นในหมู่เพื่อนเท่านั้น และพวกเขาก็รู้ว่าสามารถเล่นกับเธอได้ เพราะเธอไม่มีทางคิดนอกลู่นอกรอยแน่นอน

แน่สิ สองคนนี้ฝีปากคมกริบราวกับมีดผ่าตัด ถ้าได้มาเป็นคู่ตุนาหงัน มีหวังเชือดเฉือนกันแบบไม่ชนะไม่ยอมเลิกราแน่นอน เพราะฝีปากเธอก็ใช่ย่อย

“งั้นฉันไปก่อนนะ มีอะไรก็โทร.ไปละกัน”

น้ำหนึ่งตัดบทแล้วผละจากมา คว้าจักรยานคู่ชีพปั่นออกไปยังร้านกาแฟที่นัดแนะกับวาริไว้ เขามาหาเธอด้วยเรื่องใดหนอ ถ้าจะให้มาช่วยเรื่องเดิมนั่นละก็...ไม่มีทางแน่ เอามีดมาเฉือนใจกันเลยดีกว่า

***************************************************

ทักทายท้ายเรื่อง

ขอบคุณทุกคนที่มาจิ้มถูกใจ มาให้กำลังใจด้วยคอมเม้นท์ ทำให้ผู้เขียนไม่รู้สึกเดียวดายจนเกินไปหลังจากหายหน้าไปนาน

น้องหมีบุลินทร น่ารักมาก อุตส่าห์แวะมาเจิม ถ้าไม่มีเวลาอ่านแค่อุดหนุนพี่ก็พอจายยย ๕๕๕

พี่แตงกวาที่น่ารัก ตอนแรกว่าจะไม่ลงเว็บ แต่เขีบนนิยายจบแล้วว่างๆเลยลงดีกว่า เวอร์ชั่นนี้ต่างจากร่างแรกนิดหน่อย พี่คงไม่เบื่อก่อนน้าาาา

เกดซ่า โอ้หลั่นล้าของพี่ เธอได้ออกมาเยี่ยมชมผู้อ่านแย้ววว

น้อง yimyum ขอบคุณค่า ^____^

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ เจ๊หายไปเป็นคุณแม่มาหนึ่งปี กลับมาคราวนี้ น้องยังอยู่เคียงข้าง ขอบคุณจริงๆค่ะ ม้วฟ ม้วฟ

ติดตามตอนต่อไปในวันอังคารนะคะ เรื่องนี้จะลงวันเว้นวันค่ะ



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ย. 2557, 00:15:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2557, 00:15:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1669





<< บทนำ   บทที่๑ (จบตอน) >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 7 ก.ย. 2557, 01:54:59 น.
โอ้ยๆๆๆๆ ติดๆๆๆๆ ตามๆๆๆๆ
แฮ่ๆๆๆ


พันธุ์แตงกวา 7 ก.ย. 2557, 03:12:06 น.
โหลึกลับ ซับซ้อนจุบเบย เปิดฉากด้วยปริศนามากมาย รอติดตามตอนต่อไปจ้า


ใบบัวน่ารัก 7 ก.ย. 2557, 07:03:06 น.
มีเรื่องอะไรหนอ บอกเจ้มา


ketza 7 ก.ย. 2557, 08:48:25 น.
อุ๊ต่ะ เกดซ่า(นางเอกตัวจิงเวอร์ชั่นพระเอกเอาไม้เขี่ยๆ55555) มาแล้ววววววววว
...เอ่ยทุกทุกเล่มเยยตอนนี้ 0;0


Sweetbutter 7 ก.ย. 2557, 09:05:55 น.
น่าสนใจจริงๆ


yimyum 7 ก.ย. 2557, 09:22:44 น.
อุ๊ย มีชื่อเกศราด้วย เกดซ่า 555 เอามาจากชื่อพี่เกดหรือเปล่าคะเนี่ย ย้อนอดีตกันหน่อย ^^

ป.ล.พี่เรียกหนูว่าน้องยิ้ม หรือ ยิ้มยิ้มก็ ได้นะคะ ^^


ดังปัณณ์ 7 ก.ย. 2557, 10:40:12 น.
อั้ยยยยยยยยยยย อัลไลมาหอมกงหอมแก้ม หนอนเขิลลลล 555+ ว่าแต่ทำไมมีปู้จ้ายน่าสอยออกมาเยอะงี้ล่ะค้าาาาาาาาาาา อีกสองหนุ่มนี่เสื้อซุ่มอ่ะป่าว แล้วอดีตของน้ำหนึ่งทำไมน่าสงสารจุง

แล้วว่านก็ท่าทางแสนดี๊แสนดี แง้ อยากรู้ตอนต่อไปไวๆๆใจจะขาด

ปล.พี่ปุ๊กคะ อยากบอกว่า เรื่องนี้ลุ้นตั้งแต่แรก มากกว่า เริงราตรีสีขาวอีกแน่ะ อั้ย


บุลินทร 7 ก.ย. 2557, 23:56:29 น.
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขำมาก เกดซ่าเอาอยู่


Barby 16 ก.ย. 2557, 12:49:26 น.
^^อ่านต่อ คริคริ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account