วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๔ (ครึ่งแรก)

ท้องฟ้าอุ้มเมฆฝนทึบทะมึนลอยต่ำ บดบังแสงตะวันจัดจ้าจนรอบกายสลัวมัวหม่นไปหมด ลมเย็นพัดกรูเกรียวพาให้ใบไม้แห้งซึ่งประปรายอยู่บนพื้นถนนคอนกรีตสายเล็กกลิ้งกรอบแกรบตามกระแสลมราวกับมีชีวิต ย่างเข้าฤดูฝนแล้วสินะ ปกติน้ำหนึ่งชอบฤดูฝน เพราะเป็นฤดูที่ชุ่มฉ่ำ ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป ทว่ายามนี้เธอกลับไม่ชอบบรรยากาศรอบกายเอาเสียเลย ทั้งยังอยากให้เมฆฝนมลายหายไปเปิดทางให้ดวงอาทิตย์สาดแสงจัดจ้าสว่างไสว เพราะแสงสว่างจะทำให้เธอมองเห็นสิ่งมีชีวิตในอีกภพภูมิได้เพียงเลือนราง ภาพที่เห็นจะไม่ชัดเจนเข้มข้นเท่านี้

เนื่องจากวัดอยู่ลึกเข้าไปทางท้ายซอยไม่ไกลนัก น้ำหนึ่งจึงเลือกใช้จักรยานเป็นพาหนะ คนในซอยที่พบเห็นคงแปลกใจตอนเห็นเธอขี่หลบหลีกไปเรื่อยทั้งที่ถนนว่างโล่ง จนพ่อค้าร้านขายของชำคนคุ้นเคยกันดีออกปากทักด้วยสีหน้าแปลกใจขณะเธอปั่นจักรยานเกือบถึงหน้าร้าน

“ไอ้เพชร ปั่นจักรยานหลบอะไรวะ ส่ายเป็นงูเลื้อยเลย” ชายร่างท้วมยืนเท้าสะเอวอยู่ใกล้ม้าหินหน้าร้าน เหมือนจะยืนมองมาสักพักแล้ว

“หลบ...” พร้อมกับพูด หญิงสาวบังคับรถให้หลบวูบแทบจะเฉี่ยวคนถามเข้าให้ เธอใช้เท้าราพื้นให้รถหยุด เหลียวมองสิ่งที่เพิ่งหลีกทางให้เขาผ่าน...ร่างโปร่งแสงของบุรุษร่างใหญ่สองนายกำลังเร่งรุดไปยังทิศทางที่เธอผ่านมา พวกเขาไม่สวมเสื้ออวดแผงอกกำยำสีทองแดง ช่วงล่างปกปิดด้วยผ้านุ่งหยักรั้งสีแดงคล้ำ

“มันเคยมาที่นี่ ข้าได้กลิ่นมัน” บุรุษนายหนึ่งเอ่ย

น้ำหนึ่งตัวชา นี่จากเห็นภาพแปลกๆแล้ว เธอยังเริ่มได้ยินเสียงพูดคุยด้วยหรือนี่ อาการตาพร่าของเธอดูเหมือนจะเกิดขึ้นยามมองสิ่งปกติที่จับต้องได้เท่านั้น ส่วนสิ่งที่อยู่เหนือการมองเห็นด้วยตาเปล่า สายตากลับรับภาพได้ชัดเจน

“ป่านนี้คงเตลิดไปถึงไหนๆแล้ว ไม่รอพวกเรามาลากคอหรอก”

บุรุษทั้งสองนายนั้นกำลังตามหาใครน้ำหนึ่งไม่สนใจ เนื่องจากกำลังตกใจกับสัมผัสที่หกซึ่งพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว...ถามกันสักคำไหมว่าต้องการหรือเปล่า

“หลบให้เขาผ่านน่ะค่ะ” เป็นครู่กว่าน้ำหนึ่งจะหาเสียงตัวเองพบ มือที่กำแฮนด์รถจักรยานชื้นไปด้วยเหงื่อ

“เขาไหนวะ ไม่เห็นมีใครที่ไหน...เอ็งนี่พูดจาอะไรชวนขนลุก”

น้ำหนึ่งเองก็ขนลุก เธอไม่ต่อความยาวสาวความยืดให้เสียเวลา รีบมุ่งหน้าไปยังวัดท้ายซอยทันที

หลังจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร สัมภเวสี ผีไร้ญาติ รวมทั้งเทวดา พระภูมิเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อยแล้ว น้ำหนึ่งก็ปั่นจักรยานกลับบ้านด้วยความสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพราะสิ่งที่เธอเห็นก็ยังคงไม่หายไปไหน ทว่าขากลับ หญิงสาวพยายามรักษาอาการให้ดูเป็นปกติ เพื่อไม่ให้ผู้พบเห็นเกิดสงสัยจนต้องไถ่ถามอย่างตอนมา

ครั้นกลับมาถึงบ้าน ก็พบอัญชันและเกศรากำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก

“แม่จะไปไหนน่ะ” น้ำหนึ่งถาม

มารดายิ้ม “ไปร้านนวดจ้ะ แม่ปวดเมื่อยเนื้อตัวเหลือเกิน”

“งั้นไปกับเพชรก็ได้ เพชรจะออกไปข้างนอกพอดี”

น้ำหนึ่งส่งมารดาที่ร้านนวดซึ่งอยู่ถัดจากซอยบ้านไปไม่ไกล

“เพชรกลับเย็นๆนะแม่ ไม่ต้องรอกินข้าว” เธอบอกมารดา จากนั้นจึงขับรถมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ




น้ำหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นบ้าเข้าจริงๆก็ตอนที่ถูกจิตแพทย์ขุดคุ้ยปมในใจ ทั้งเรื่องครอบครัว ทั้งเรื่องความรัก นายแพทย์ทำตัวเหมือนสว่านที่ชอนไชเข้าไปยังประตูที่ปิดตาย และพยายามจะเปิดมันออก แม้คำพูดของเขาจะกระตุ้นความรู้สึกจนเธอน้ำตาแตกประหนึ่งญาติเสีย ถึงหมอจะดูพอใจที่เธอยอมเปิดปากเล่า แต่หญิงสาวรู้ว่ามันไม่ได้ผล ไม่ว่าหมอจะวินิจฉัยเรื่องการที่เธอมองเห็นภูตผีเจ้าที่เจ้าทางนี่ว่าอย่างไร ก็คงไม่ช่วยให้อาการเธอดีขึ้น

“คุณมีความเครียดสะสมมาตั้งแต่เด็ก...” หมอหนุ่มเริ่มสรุป

คำพูดยาวเหยียดของหมอสรุปได้สั้นๆว่าเธอเครียดเกินไป จึงได้ยินและเห็นภาพอะไรแปลกๆแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กระทั่งจิตแพทย์หนุ่มกล่าวจบนั่นละ จึงได้สั่งยาให้เธอสองสามชนิด มีทั้งวิตามินบำรุงและยานอนหลับ น้ำหนึ่งได้แต่ยิ้มเพลียๆและขอตัวกลับ...เพราะอะไรไม่รู้ เธอจึงรู้สึกมั่นใจนักว่า ต่อให้ทำตามคำแนะนำของหมอทุกประการ กินยาตามหมอสั่งทุกมื้อ อาการก็คงไม่หายเป็นปกติแน่นอน

เธอคงต้องทนเห็นในสิ่งลี้ลับแบบนี้ไปเรื่อยๆ...อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้

บ่ายแก่ใกล้เย็นกว่าหญิงสาวจะหลุดพ้นจากจิตแพทย์หนุ่มมานั่งรอรับยา เมื่อถึงคิว เภสัชกรอธิบายการใช้ยาต่างๆแล้ว น้ำหนึ่งก็โยนซองยาเหล่านั้นลงถุงอย่างหมดความสนใจ ขึ้นลิฟต์ไปยังลานจอดรถซึ่งค่อนข้างอับทึบและมืดสลัวอันเนื่องจากเพดานต่ำเตี้ยของมัน ด้วยหมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องของตนจึงไม่ได้สังเกตว่าทันทีที่เธอเปิดประตูก้าวเข้ามายังลานจอดรถอันแออัดและสงัดเงียบแห่งนี้ ได้มีความเคลื่อนไหวบางอย่างเกิดขึ้น

ชายหน้าเสี้ยมแก้มตอบที่นั่งซุ่มอยู่บนมอเตอร์ไซค์ข้างเสาต้นใหญ่ไม่ไกลจากจุดที่น้ำหนึ่งจอดรถนัก ได้วาดขาลงจากรถและตรงไปยังน้ำหนึ่งอย่างเงียบเชียบด้วยท่าทีมุ่งร้าย มือกร้านสอดลงไปในกระเป๋ากางเกงยีน เมื่อชักออกมาอีกครั้ง มีดพกแบบพับได้ก็กระชับอยู่ในมือ คมมีดแวววาวอยู่ในแสงสลัว

กว่าน้ำหนึ่งจะสำเหนียกในอันตราย คนมาดร้ายก็เข้าถึงตัว รวบล็อกแขนทั้งสองข้าง ปลายมีดจ่อติดแผ่นหลัง

“ส่งกระเป๋าเงินมา” คำสั่งแข็งกร้าวดังอยู่ข้างหู

คนถูกจี้ตัวชาวาบ สมองตันจนคิดหาทางหนีทีไล่ไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้าง...

“ถ้าร้อง แกเป็นศพแน่” มันขู่

น้ำหนึ่งหุบปากฉับ นอกจากความหวาดกลัวแล้ว เธอยังรู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลเวียนอยู่ในร่าง พลังที่ทำให้เธอมั่นใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน และผลักดันให้ผินหน้ากลับไปสบตาคนร้าย ดวงตาลึกโหลของมันวาววับกร้าวกระด้างไร้แววปรานี มันสบตาเธออย่างเป็นต่อ

กระแสเย็นวาบผ่านวูบมายังดวงตาทั้งสองข้าง ขณะน้ำหนึ่งเอ่ยเสียงเข้มจริงจัง

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”

พลันนั้นเอง เจ้าคนร้ายดูสับสนเลื่อนลอยและยอมปล่อยเธอให้เป็นอิสระอย่างง่ายดาย น้ำหนึ่งรีบก้าวออกห่างพร้อมๆกับที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งตรงมาเธอหันมองอย่างฉงนใจ

“จับตัวไว้ จับตัวไว้ อย่าให้หนีไปได้” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามนายรวบตัวคนร้ายไว้ได้โดยไร้การต่อสู้ขัดขืน

“ไม่ต้องกลัวนะครับคุณ เรามีภาพในกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานมัดตัวได้แน่นอน” เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งเอ่ยให้เธอสบายใจ

ทว่ายามนี้น้ำหนึ่งไม่ได้สนใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือคนร้ายที่เพิ่งได้สติและกำลังดิ้นรนขัดขืน สายตาเธอจับนิ่งอยู่ยังคนที่วิ่งมารั้งท้ายสุด ชายหนุ่มร่างสูงเพรียว เขายังคงอยู่ในชุดทำงานสวมสูทสีเข้มทับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนอย่างเรียบร้อย

“ว่าน”

“เป็นไงมั่งน้ำ มันทำอะไรเธอหรือเปล่า” พร้อมกับถามอย่างร้อนรนเป็นห่วงเป็นใย ขายาวๆก็ก้าวเข้ามายืนชิด ดึงแขนเธอไปดูราวกับต้องการหาร่องรอยของการบาดเจ็บสักอย่าง เมื่อไม่พบก็มีท่าทีโล่งใจ

“ฉันไม่เป็นอะไร”

ไม่เป็นไร แต่ทำไมหน้ามืดวูบขึ้นมาจนร่างเซ ดีว่าวาริยืนอยู่ใกล้เลยอาศัยยึดเขาเป็นหลัก เขาเองก็ให้ความร่วมมืออย่างดี รั้งแขนเธอไว้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

ทำไมตาพร่าอีกแล้ว เหมือนจะพร่ามัวยิ่งกว่าเดิม แม้ไม่มากนัก แต่ก็รู้สึกได้ มองเห็นทุกอย่างแต่ไม่ชัดเจนเอาเสียเลย

“เชิญคุณผู้หญิงไปให้การที่โรงพักด้วยครับ” รปภ.คนหนึ่งเดินเข้ามาบอกหลังล็อกตัวคนร้ายจับยัดใส่รถได้สำเร็จ แล้วหันมามองวาริ “เชิญคุณด้วยครับ”

ชายหนุ่มพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับน้ำหนึ่ง “รถเราจอดอยู่อีกชั้นนึง เราไปรถเธอแล้วกันจะได้ไม่เสียเวลา เดี๋ยวเราขับให้”
น้ำหนึ่งส่งกุญแจรถให้เขาแทนคำตอบ เรื่องราวอันชวนตระหนกเมื่อครู่นี้ คงใช้เวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะเรียบร้อย หญิงสาวควานหามือถือในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ หาเท่าไรก็ไม่พบ...สงสัยจะลืมไว้ที่บ้าน

“ว่าน ยืมโทรศัพท์หน่อยสิ จะโทร.ไปบอกแม่ว่าอาจกลับค่ำๆ”

ชายหนุ่มดึงสมาร์ทโฟนจากกระเป๋ากางเกงสแล็กส์ส่งให้ ครั้นเปิดหน้าจอ แสงไฟสว่าง ภาพพื้นหลังปรากฏ น้ำหนึ่งก็อึ้งไปอึดใจ
จะไม่ให้อึ้งได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เห็นคือภาพเธอนั่งเท้าคางอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงาน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเจือแววเศร้าเหม่อมองผ่านผนังกระจกไปไกล ผมหยักศกเป็นลอนคลื่นปล่อยยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ด้านหน้ารวบขึ้นติดกิ๊บง่ายๆอวดหน้าผากโค้งมน...นี่มันเป็นภาพวันสุดท้ายที่เธอไปทำงาน วันที่วาริขอเปมิกาแต่งงาน และใครๆต่างพากันร่วมยินดี มีแต่เธอที่ปลีกตัวแปลกแยกไร้คนสนใจเหลียวแล

แต่ถ้าไร้คนสนใจเหลียวแล เหตุใดจึงมีภาพนี้อยู่ในโทรศัพท์ของวาริได้ล่ะ

“ทำไมใช้ภาพนี้เป็นภาพพื้นหลังล่ะ...” ทำไมไม่ใช้ภาพแฟน...ประโยคหลังติดอยู่แค่ลำคอ

“ก็ไม่รู้สินะ” เขายักไหล่ตอบด้วยประโยคฮิตที่ใครๆก็ชอบพูดกัน ครั้นหันมาสบตาและคงเห็นแววเคร่งเครียดในดวงตาเธอกระมัง
เขาจึงตอบเป็นงานเป็นการขึ้น “รู้ว่าวันนั้นน้ำไปทำงานวันสุดท้าย กลัวไม่ได้เจอกันอีก ก็เลยถ่ายรูปเก็บไว้ใช้เป็นภาพพื้นหลัง แล้ว...ยังไม่ได้เปลี่ยน”

เหตุผลของเขาฟังดูไม่เข้าท่า แต่น้ำหนึ่งก็ปล่อยผ่าน ไม่อยากคิดอะไรให้ใจไหวหวั่นอีก เรื่องราวยุ่งๆสุมรุมเร้ามากพอแล้ว อย่าให้เรื่องหัวใจมันมาหน่วงถ่วงชีวิตให้เหนื่อยหนักกว่าเดิมเลย อีกไม่นานเขาก็จะแต่งงานกับเปมิกาแล้ว

หญิงสาวโทร.บอกมารดาว่าจะกลับค่ำๆโดยไม่บอกเหตุผลว่าเพราะอะไร กลัวท่านจะเป็นห่วง จากนั้นก็นั่งเงียบไปตลอดทาง เปล่าหรอก เธอไม่ได้คิดเรื่องภาพในโทรศัพท์มือถือของวาริ แต่กำลังใคร่ครวญเรื่องที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ

การมองเห็นสิ่งมีชีวิตต่างมิติ อาจทำให้เธอตกใจ หวาดกลัว แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำร้ายเธอได้ เพียงแค่ล่องลอยผ่านไปมาตามวิถีของเขา เรื่องราววันนี้ทำให้เธอตระหนักชัดว่า ที่อันตรายและน่ากลัวกว่าผีก็คือคนกันเองนี่แหละ...คนที่จะทำให้เรากลายเป็นผีเมื่อไรก็ได้

“น้ำมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ” วาริถาม เหลือบตามองเธอนิดหนึ่ง แล้วเบนไปยังท้องถนนเบื้องหน้า

น้ำหนึ่งนิ่งไปนิด ก่อนตอบ “มาตรวจสุขภาพ แล้วเธอล่ะ ไปทำอะไรที่นั่น”

“เรามาเยี่ยมลูกค้าน่ะ เขาเป็นตับแข็งระยะสุดท้าย เยี่ยมเสร็จก็แวะดื่มกาแฟชั้นที่เธอจอดรถ พอเราเดินมาที่ลิฟต์เห็นเธอเดินออกไปที่ลานจอดรถ ไกลเกินจะเรียกเลยเดินตามไป แล้วก็เห็นผู้ชายคนนั้นเข้าไปประชิดตัวเธอ เห็นท่าไม่ดีเลยรีบเรียก รปภ.” วาริหัวเราะยิ้มๆท้ายประโยคที่เอ่ยมายาวเหยียดนั้น ก่อนออกตัวขำๆ “อย่าว่ากันนะที่เราไม่ออกไปบู๊กับคนร้าย เพราะเราไม่ถนัด นอกจากจะช่วยเธอไม่ได้แล้วอาจจะมีกรณีตายคู่เกิดขึ้น”

“เราเข้าใจ”
น้ำหนึ่งยอมรับ วาริไม่ใช่คนที่ใช้กำลังในการแก้ปัญหา เขาเตะต่อยกับใครเป็นหรือเปล่า น้ำหนึ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่ได้ห่ามห้าวแบบเพื่อนสนิทอย่างตินพลกับนพคุณ ถ้าเกิดปัญหา วาริจะหาวิธีแก้ไขอย่างที่ทุกคนจะปลอดภัย

“แล้วลูกค้าเธอเป็นไงบ้าง” อะไรดลใจให้น้ำหนึ่งถามออกไปก็ไม่รู้

คนถูกถามถอนหายใจ ตอบเสียงขรึม “อาการแย่มาก คงอยู่ได้ไม่นาน”

“ขายเหล้านี่เนอะ ธุรกิจบาป...เธอไม่กลัวมีจุดจบแบบนั้นหรือไง”

“ทำไงได้ล่ะ งานของพ่อ ท่านมีเราเป็นลูกคนเดียวนี่นา”

“แล้วเลยทิ้งความฝันของตัวเอง เธออยากมีบริษัทโฆษณาเล็กๆของตัวเองไม่ใช่หรือ” น้ำหนึ่งตอกย้ำความฝันของเขา ซึ่งเคยเผยให้เธอล่วงรู้ความฝันที่อาจเหนี่ยวรั้งเขาออกมาจากธุรกิจค้าเหล้ารายใหญ่ของประเทศ เหล้าจากบริษัทสหทรัพย์กระจายไปทั่วประเทศทุกหย่อมหญ้า แทรกซึมอยู่ทุกชนชั้น กล่อมผู้คนให้มัวเมาขาดสติไม่รู้เท่าไหร่

ชายหนุ่มทอดถอนลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“ตอนนี้เราไม่มีสิทธิ์เลือก”

“ไม่จริงหรอก คนเราเลือกทางเดินของตัวเองได้ ถ้ากล้าพอ...” น้ำหนึ่งเสียงเข้ม

“เรากล้า แต่เราไม่อยากทิ้งทุกอย่างไปตอนนี้ เราสงสารแม่”

คำตอบของวาริสะกดคำพูดต่างๆของน้ำหนึ่งที่ไหลมารอตรงริมฝีปากให้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เธอกัดริมฝีปากแน่น ตระหนักดีว่าตนไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิหรือกะเกณฑ์ชีวิตใคร เธอเองยังไม่อาจละทิ้งมารดาได้ จะไปยุยงให้เขาทิ้งบุพการีไปทำตามใจตัวเองก็คงไม่ใช่เรื่องถูกต้องนัก วาริโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ใช่เด็กเล็กๆ เขาสามารถคิดและเลือกทางเดินให้ตัวเองได้...ในเมื่อเขาเลือกเส้นทางสายนี้แล้ว ก็คงต้องทำใจยอมรับ หากวันหนึ่งต้องตกอยู่ในวังวนผลกรรมที่เขาสร้างไว้




การให้ปากคำเสร็จสิ้นในตอนค่ำ ฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเมื่อตอนเย็น บัดนี้เหลือเพียงละอองบางเบาพร่างพรำฉ่ำชุ่ม หากอยู่บ้าน น้ำหนึ่งคงชอบเพราะอากาศเย็นสบายน่านอน แต่นี่เป็นกรุงเทพฯ เมืองหลวงอันอุดมไปด้วยความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ รถราจึงยังติดแหง็กอยู่บนถนนราวกับฝูงปลาที่อัดแน่นอยู่ในกระป๋องขนาดยักษ์ น้ำหนึ่งประมาณไม่ถูกเลยว่าตนจะกลับไปถึงบ้านกี่ทุ่มกี่ยามกัน

เธอให้วาริติดรถกลับมายังโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อเอารถของตนที่จอดทิ้งไว้ น้ำหนึ่งให้เขาเป็นคนขับเนื่องจากไม่อยากใช้สายตามาก และไม่อยากเห็นวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ตามถนนหนทาง เธอยังไม่ชินและอาจตกใจจนเกิดอุบัติเหตุได้ วาริคงเข้าใจว่าเธอเหนื่อย เพราะเขาเอ่ยขึ้นหลังออกจากสถานีตำรวจได้ไม่นานว่า

“ถ้าเพลียนัก หลับไปก่อนก็ได้ ถึงแล้วเราจะปลุก”

หญิงสาวปรับเบาะ ทิ้งศีรษะพิงพนัก ยกมือขึ้นกอดอก เปลือกตาปิดสนิทก็จริง ทว่าใจมิได้หลับด้วย ยังคงรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของรถที่ค่อยๆกระดืบคืบคลานไปทีละนิด ทว่าไม่นานก็กลับไปหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในลานจอดรถเมื่อบ่ายแก่ที่ผ่านมา มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เข้าใจลอยวนเวียนอยู่ในหัวเหมือนละอองฝุ่นเบาบาง

เกิดอะไรขึ้นกับดวงตาคู่นี้ นอกจากมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวแล้ว มันยังสามารถมองเห็นภูตผีวิญญาณต่างๆได้...แล้วมันยังทำอะไรได้อีก มันไม่ใช่แค่นี้ใช่ไหม พลังเย็นวาบนั่นคืออะไร มันส่งผลกระทบต่อสายตาของเธอหรือเปล่า แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันเธอมิต้องสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหรือ...แค่คิด ใจก็สะท้านเยือกจนต้องห่อไหล่เข้าหากัน

ทว่าอยู่ดีๆความหวาดกลัวที่เข้ามาบุกรุกพื้นที่ใจก็ชะงักงันไปดื้อๆ เมื่อมีสัมผัสอบอุ่นทาบทับลงมาบนเนื้อตัว
เปล่า ไม่ใช่อ้อมกอดของใครหรอก แต่เป็นเสื้อสูทเนื้อหนานุ่มของคนข้างกาย กลิ่นสะอาดบางเบาลอยเข้าจมูก ไม่คุ้น ไม่ชิน แต่ชอบเหลือเกิน ไม่ลืมหรอกว่าเจ้าของเสื้อตัวนี้เป็นแค่เพื่อนและเขากำลังจะแต่งงานในไม่ช้า เธอจะไม่ทำอะไรที่ก้าวล้ำเส้นของคำว่าเพื่อน แต่คงไม่ผิดนะที่เธอจะทำเป็นหลับไม่รู้เรื่องแบบนี้ ซึมซับรับเอาความเอื้ออาทร กำซาบความอบอุ่นที่ไม่เพียงเกาะติดแค่เนื้อกาย แต่ซ่านแทรกสู่เนื้อใจ...อยากกักเก็บไว้นานๆ

เป็นครั้งแรกที่น้ำหนึ่งรู้สึกดีในวันที่รถติดมหาโหด

ในที่สุดก็มาถึงลานจอดรถของโรงพยาบาลเข้าจนได้ น้ำหนึ่งรับรู้ทั้งยังหลับตาเนื่องจากแรงเหวี่ยงของรถยามลัดเลี้ยวไปตามทางขึ้น ถึงเวลาต้องสลัดความอบอุ่นหวานหอมออกพ้นตัวพ้นใจแล้วสินะ ทันทีที่เครื่องยนต์ดับสนิท น้ำหนึ่งก็หยัดกายขึ้นนั่งหลังตรง ก้มมองเสื้อสูทบนกายด้วยความเสียดาย ก่อนปลดคืนเจ้าของ

“ขอบใจนะ”

พูดจบก็ไม่มองหน้า รีบผลักประตูเปิด

“ไปกินข้าวกันก่อนไหม นี่เลยเวลาอาหารเย็นมานานแล้ว”

ขาที่กำลังก้าวลงชะงัก หญิงสาวเหลียวกลับมามองคนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ตำแหน่งคนขับ แสงไฟภายในรถสาดส่องให้เห็นรอยยิ้มบางๆเกลี่ยอยู่บนริมฝีปากหยักลึกเหนือเหลี่ยมคางบึกบึนที่มีรอยบุ๋มนิดๆ แนวเคราเขียวๆซึ่งผ่านการโกนจนเกลี้ยงเกลาขับเน้นใบหน้าขาวให้เข้มขึ้นมานิด

“ไม่ละ เราอยากกลับบ้าน” น้ำหนึ่งปฏิเสธด้วยน้ำเสียงเพลียๆ

“ไปเถอะ เดี๋ยวเราขับรถตามไปส่งถึงบ้านก็ได้ เธอจะได้มีเพื่อน”

เขาตื๊อจนน่าใจอ่อน แต่...ไม่ เธอไม่อยากใกล้ชิดกับเขามากกว่านี้ มันสุ่มเสี่ยงและล่อแหลมต่อความเจ็บปวดเกินไป

“เราไม่หิว อยากนอนมากกว่า”

“หลับไปตั้งนาน ยังไม่หายง่วงอีกหรือ”

“เราเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อยากพัก”

เหนื่อย ดูเหมือนเธอจะพูดคำนี้กับเขาบ่อยเหลือเกิน เหนื่อยกายน่ะไม่เท่าไร แต่เหนื่อยใจนี่สิ พักเท่าไรก็ไม่หายสักที

“ไปเถอะ แป๊บเดียว” วาริยังคงเซ้าซี้

น้ำหนึ่งสูดหายใจลึกยาว นอกจากไม่ต้องการอยู่กับเขาสองต่อสองแล้ว เธอยังมีบางเรื่องคาใจและต้องการข้อพิสูจน์ นี่คงเป็นโอกาสดี

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเลื่อนมาจับนิ่งอยู่ที่ดวงตายาวรีในกรอบตาลึก เขาสู้สายตาเธอด้วยแววตาอ่อนโยน ใสซื่อจริงใจ รอจนกระแสเย็นฉ่ำเลื่อนไหลมายังดวงตาทั้งคู่ น้ำหนึ่งจึงออกคำสั่งเสียงเข้ม จริงจัง

“ว่าน เธอกลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว”

เมื่อกล่าวจบ ดวงตาสีนิลคู่ที่เธอกำลังสบประสานก็เลื่อนลอย

“กลับบ้าน พักผ่อน” เสียงทุ้มทวนคำสั่งราวกับคนละเมอ ก่อนผลักประตูรถ ก้าวลงไปขึ้นรถของตนเองที่จอดอยู่ใกล้กัน
น้ำหนึ่งประหลาดใจเป็นล้นพ้น ที่ผ่านมาเธอคิดว่าอาจเป็นความบังเอิญ ทั้งคราวที่คุยกับมารดาบนโต๊ะอาหารในเช้าวันนั้น ทั้งกับคนร้ายเมื่อตอนบ่าย แต่ครั้งนี้เธอตั้งใจ จงใจ เพราะอยากรู้ว่าคนที่เธอสบตาจะยอมทำตามคำสั่งหรือไม่ ตอนนี้มันชัดเจนแล้ว
หญิงสาวก้าวลงจากรถเพื่อเปลี่ยนไปนั่งประจำที่คนขับ และเกิดหน้ามืดขึ้นมาวูบหนึ่งจนต้องเกาะขอบประตูไว้แน่น ครั้นทรงตัวได้ ภาพที่มองเห็นดูพร่าเบลอกว่าเก่า แม้ไม่มาก แต่ก็รู้สึกได้ เมื่อนึกทบทวนอย่างจริงจัง เธอพบว่าสายตาแย่ลงทุกครั้งที่ใช้มัน ‘สะกดจิต’ ใครเข้า ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

นี่นอกจากจะมองเห็นผีแล้ว ยังจะสะกดจิตได้อีกหรือ ไม่อยากเชื่อ และไม่ต้องการเลยแม้แต่น้อย

น้ำหนึ่งคิดอย่างกลัดกลุ้มกังวลขณะขับรถตามวาริมาเรื่อยๆ ดูเถอะ เอาเข้าจริงก็ต้องเป็นฝ่ายขับรถตามไปส่งเขาถึงบ้าน เพราะไม่แน่ใจว่าอาการเหม่อลอยนั่นจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจต่างๆหรือไม่

กระทั่งเห็นว่ารถคันงามของเขาเลี้ยวหายเข้าไปในรั้วกว้างซึ่งห้อมล้อมคฤหาสน์หลังใหญ่โตโอ่อ่าของตระกูลสหทรัพย์แล้วนั่นละ น้ำหนึ่งจึงขับรถกลับโพธาราม จิตใจยังคงกลัดกลุ้มกังวลและรู้สึกว่าตนเองเป็นตัวประหลาด บ้านปรารถนาทำให้เธอเป็นเช่นนี้จริงๆหรือ แล้วคนอื่นๆเล่าเป็นอย่างไรกันบ้าง

ตินพล นพคุณ เหมือนฝัน อติวัจน์ มาลุตา พวกเขาได้ประสบพบเจอกับสิ่งใดบ้างในบ้านหลังนั้น และเมื่อออกมาชีวิตพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกับเธอหรือเปล่า

แม้สงสัย แต่ก็ไม่คิดถาม เนื่องจากเธอเองก็ไม่อยากเล่าเรื่องราวบ้าๆนี่ให้ใครฟัง เกิดเพื่อนๆไม่ได้เจอแบบที่เธอเข้าไปพบเห็น คงหาว่าเธอบ้า

*********************************************************

ทักทายท้ายเรื่อง

ไอ้พี่เก้า มาเม้นท์ก่อนใครอย่างนี้ น้ำหนึ่งรักตายเลย ไม่เสียแรงสนิทสนม

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ นั่นสินะ เห็นอยู่ได้ แค่คิดก็น่าปวดหัวแล้ว

พี่แตงกวา น้ำหนึ่งไม่ต้องการเลขเด็ดเลขดีใดๆทั้งนั้น หล่อนต้องการแต่วาริ ชริ หมั่นไส้

น้องยิ้มจัง ตอนนี้เริ่มชัดเจนแล้วใช่ไหมว่าทำไมน้ำหนึ่งถึงตาพร่า ติดตามตอนต่อไป ยังมีอะไรมากมายรออยู่จ้า

น้องเกดซ่า โอ้หลั่นล้า ห้องแห่งความเหม็นหืนพอหาให้ได้ ๕๕๕

คุณรินทร ขอบคุณมากที่ช่วยตอบเกดซ่า ก๊ากกก นางหื่นตลอด ไปกอดพี่เก้านิ้วไป๊

น้องหมีบุลินทร สามเรื่องที่ลงนี่มาหลอนแข่งกัน ใครว่าเราหวาน ใครว่าเรามุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้ง ไม่มี้

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ ตั้งป้อมไว้ก่อนแบบนี้ สุดท้ายก็หลงรัก แอบสงสารเขาทุกราย ถึงตอนใจอ่อน อย่ามาโอดครวญให้น้ำหนึ่งเก็บเขาเอาไว้ทั้งสองคนละกัน

คุณโกลด์เด้นซัน ยินดีต้อนรับค่ะ ดีใจมากๆที่เข้ามาคอมเม้นท์ สิ่งที่สงสัยจะค่อยๆเปิดเผยค่ะ พลาดไม่ได้แม้แต่บรรทัดเดียว

สุดท้ายของวันนี้ ขอบคุณทุกกำลังใจจากเพื่อนๆและนักอ่านทุกคน ทั้งที่เปิดเผยตนและซุ่มซ่อนอยู่ในเงา แล้วเจอกันพรุ่งนี้ ที่นี่ ที่เดิม



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2557, 00:05:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ย. 2557, 00:05:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1618





<< บทที่๓ (จบตอน)   บทที่ ๔ (จบตอน) >>
Sweetbutter 13 ก.ย. 2557, 00:39:41 น.
วาริก็น่ารักนะ


พันธุ์แตงกวา 13 ก.ย. 2557, 06:56:00 น.
ชักจะหมั่นไส้น้ำหนึ่งจริงๆด้วยแหละ อย่างอื่นไม่เอาจะเอาวาริเนี่ย
ฮั่นแน่ วาริแอบมีรูปน้ำหนึ่งในโทรศัพท์ จะให้คิดว่างาย ให้คิดว่างายยยยยย


ใบบัวน่ารัก 13 ก.ย. 2557, 07:57:04 น.
นานๆไป วิตกจริตหวาดระแวง


ริญจน์ธร 13 ก.ย. 2557, 08:13:28 น.
อยากไปรถติดแล้วมีคนข้างๆกอด...เอ๊ย เอาสูทให้ใส่บ้างใจ หวานนนนนนนนน


ketza 13 ก.ย. 2557, 08:51:23 น.
พลังพิเศษ น้ำหนึ่งสวดยอดดด ทามไมไม่สะกดวาริแล้วปล้ำเบย เอิ้กๆๆๆ


ดังปัณณ์ 13 ก.ย. 2557, 09:23:11 น.
งานเข้าแล้วน้ำเอ๊ยยยยยยยยยยยย ว่าแต่ วาริ วานี่คุงงงงงงงงงงงง นางเอารูปน้ำขึ้นหน้าจอแปลว่าต้องมีเหตุช่ายม้ายยยยยยยยย แต่งงานนั่นเรื่องจำเป้นใช่ม้ายยยยยยยยยย จริงๆๆๆๆรักน้ำหนึ่งอ่ะดี๊ อร๊ายยยยยยยยยยยยยย เลิฟยู้ว วานี่คุง

พี่ปุ๊ก กรุณาอย่าทำร้ายวานี่มากได้ม้ายยยยยยยยยยย ให้เฮียเป็นแบบนี้ มีโผล่แผล็มๆๆมายั่วแบบนี้ จิให้ฮีตาย มันก็ปวดใจยุนาาาาาาาาาาา กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด ชูป้ายไฟ วานี่ No.1 กร๊ากกกกกก

น่าสงสัย อิตัวมาเข้าสิงวานี่ นี่ต้องเป็นอิตัวที่ยมฑูตตามหาอ่ะป่าว หุๆๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 13 ก.ย. 2557, 11:45:58 น.
นึกออกแล้วววว
ไหนๆ ก็ไหนๆ สะ กด ใจ ตา แว่น ทึ่ม เลยเป็นไง 555


บุลินทร 13 ก.ย. 2557, 12:09:48 น.
ในความหลอนมันต้องมีความมุ้งมิ้งซ่อนอยู่แน่นอน รอพิสูจน์ ฮ่าๆๆ


yimyum 13 ก.ย. 2557, 13:31:55 น.
โหย.....แล้วตกลงน้ำหนึ่งจะเอาตัวรอดไงหว่า


Barby 16 ก.ย. 2557, 14:02:50 น.
วารินี่ยังไง มีมูลเหมือนกันนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account