oOo รุ้งฤดูร้อน oOo
...เมื่อความรักเป็นบ่อเกิดทุกๆ สิ่ง สร้างความแค้น ชิงชัง และการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ความรัก...ก็ควรเป็นบทยุติของทุกเรื่องราว...

...อาจจะเจ็บปวด อาจบอบช้ำ แต่สุดท้ายความรักจะโอบกอดทุกดวงใจให้สนิทแนบแน่น...
Tags: รุ้งฤดูร้อน,ปลากัด,รักร้ายๆ

ตอน: oOo บทที่ 4 oOo

oOoขอบคุณนักอ่านที่รักค่ะ คุณปั้นฝัน,คุณก้อนอิฐ,คุณสามปอยoOo


บทที่4



มือเรียวทั้งสองข้างที่ชุ่มด้วยเหงื่อถูกบีบกันอยู่บนตัก ความเป็นจริงแล้วการสมัครงานไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตหรือน่ากลัวอะไรเลย แต่สำหรับเพลงพรรษนี่เป็นครั้งแรกของการมาสมัครงาน หญิงสาวจึงอดตื่นเต้นไม่ได้ ยิ่งเมื่อมาถึงแล้วได้รับรู้ว่าหลังจากทดสอบขั้นตอนต่างๆ ผ่านแล้ว จะได้รับการสัมภาษณ์จากเจ้าของบริษัทเลย เพลงพรรษยิ่งใจเต้นแรง ตอนแรกเธอคิดว่าการสัมภาษณ์จะเป็นหลังจากที่ทางบริษัทติดต่อกลับไป หรือหากมีการสัมภาษณ์วันนี้จริงๆ คนสัมภาษณ์ก็น่าจะเป็นฝ่ายบุคคลอะไรเทือกนั้น



จะอย่างไรก็แล้วแต่ตอนนี้ร่างบางก็นั่งรออยู่บนเก้าอี้ตรงโถงกว้างหน้าห้อง ‘ประธานบริษัท’ เยื้องกับเก้าอี้ที่เธอนั่งเป็นโต๊ะทำงานค่อนข้างใหญ่ เจ้าของโต๊ะเป็นหญิงวัยประมาณสามสิบต้นๆ แต่งตัวด้วยชุดทันสมัย เพลงพรรษมีโอกาสได้คุยกับเธอตั้งแต่ตอนมาถึงและทราบว่าเธอคือเลขาฯ ของประธานบริษัท



“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกค่ะน้องพรรษ ท่านประธานของเราใจดีค่ะ น้องพรรษน่ะโชคดีรู้ไหมคะที่ได้สัมภาษณ์กับท่าน เพราะปกติท่านประธานไม่ค่อยได้อยู่เมืองไทยสักเท่าไหร่” ลิซ่า เลขาฯ ประธานบริษัทเดินมาทรุดนั่งตรงเก้าอี้ข้างๆ ร่างบางซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่นั่งของอารดา คนที่ชวนเพลงพรรษมาสมัครงานบริษัทนี้



“พรรษไม่เคยสมัครงานหรือสอบสัมภาษณ์ที่ไหนมาก่อนเลยค่ะคุณลิซ่า” เพลงพรรษตอบด้วยรอยยิ้มไม่เต็มสีหน้านัก ยิ่งได้ยินลิซ่าเรียกประธานบริษัทว่า ‘ท่าน’ เธอยิ่งรู้สึกหวั่นๆ จินตนาการเอาว่าคงเป็นหนุ่มใหญ่ท่าทางเงียบขรึม หรืออาจจะท่าทางดุๆ อย่างคุณปภาวีก็เป็นได้



“เหรอคะ?” ลิซ่าทำท่าแปลกใจเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้ม เอื้อมมือมาจับมือบางที่ยังบีบกันแน่น “งั้นน้องพรรษอาจไม่ต้องตื่นเต้นแบบนี้อีกแล้วก็ได้ เพราะที่นี่น่าจะเป็นที่แรก และที่สุดท้ายของน้องพรรษแล้วล่ะค่ะ”



พูดจบร่างระหงก็ลุกเดินไปประจำโต๊ะของตัวเอง ไม่เปิดโอกาสให้คนที่ฟังแล้วงุนงงถามเลยว่า เพราะอะไรหญิงสาวถึงคิดและมั่นใจอย่างนั้น แต่จะเพราะอะไรก็แล้วแต่หากได้ทำงานที่นี่จริงๆ เพลงพรรษจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง เธออยากได้งานทำเร็วที่สุด อย่างน้อยจะได้ไม่เป็นภาระปรานต์ไปมากกว่านี้



จริงอยู่ว่าปรานต์ไม่เคยพูดว่าเธอเป็นภาระ แต่สำหรับหญิงสาวแล้วการที่ชายหนุ่มต้องคอยช่วยเหลือจนเขาเดือดร้อนนั้น มันทำให้เธอไม่สบายใจ และนี่เป็นสาเหตุให้เธอตอบรับโดยไม่ลังเลเมื่ออารดาชวนมาสมัครงานบริษัทนี้หลังจากการสอบจบปริญญาโทผ่านไป



เมื่อเวลาเคลื่อนผ่านมาถึงครึ่งชั่วโมงแต่คนที่หายเข้าไปในห้องประธานบริษัทยังไม่ออกมาเพลงพรรษก็คอยชะเง้อมอง จิตใจเริ่มประหวั่นขึ้นมาอีกครั้ง ดูท่าบริษัทนี้จะไม่ง่ายอย่างที่เลขาฯ หน้าห้องบอกหรอก ดูเอาเถอะแค่สัมภาษณ์ทำไมถึงนานขนาดนี้ แต่ก็นะ ดูจากตึกของบริษัทแล้วใหญ่เอาการทีเดียว การจะรับใครสักคนเข้าทำงานคงต้องพิจารณากันนานหน่อย



ยิ่งคิดหญิงสาวยิ่งต้องระบายลมหายใจผ่อนคลายความกดดัน ในขณะที่ภายในห้องใหญ่เจ้าของบริษัทนั้นบรรยากาศเป็นอย่างไร เพลงพรรษไม่อาจรู้เลย



“คุณคิดว่าถ้าผมรับคุณเข้าทำงานที่บริษัทนี้ ตัวคุณเองจะมีความสามารถช่วยให้บริษัทพัฒนาหรือก้าวหน้าได้ขนาดไหน” เสียงทุ้มห้าวกับท่าทางขรึมอย่างมาดผู้บริหารใหญ่ไม่ทำให้คนตรงหน้านึกกลัวแต่อย่างใด เพราะเธอมองเห็นแววกวนๆ ในดวงตาคู่คมเคลือบแฝงอยู่



“มั่นใจแบบสุดๆ ค่ะ ว่าดิฉันสามารถทำงานให้บริษัทได้ผลกำไรสูงสุด เผลอๆ อาจจะมากกว่าที่ผู้บริหารบริษัทนี้บางคนทำได้เสียอีก” อารดาเชิดหน้าตอบด้วยความมั่นใจ ท่าทางเชิดหยิ่งที่รู้ว่าแกล้งทำนั้นสร้างความหมั่นไส้ให้กับร่างสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเหลือล้น



“หึ!” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิททำเสียงหยันในลำคอ “ก็ถ้าคุณคิดว่าทำได้ดีกว่าผม ทำไมคุณถึงมาสมัครในตำแหน่งเล็กๆ แบบนี้ล่ะครับ ไม่สมัครเป็นเจ้าของบริษัทเสียเลยล่ะ” พูดพลางยกมือลูบคางเบาๆ ไม่ละสายตาจากใบหน้าน่ารักของคนมายื่นใบสมัครเข้าทำงาน



“โอ้...ไม่ใช่ไม่เคยคิดนะคะ คิดตลอดเวลาแหละ แต่มันยังไม่ถึงเวลา รอให้เจ้าของบริษัทนี้เผลอ รับรองดิฉันดักตีหัวแล้วยึดบริษัทแน่นอน” เท่านั่นล่ะความอดทนของคนจะโดนยึดบริษัทก็สิ้นสุดลง แฟ้มที่เขากางดูในมือมีใบสมัครของเธอแนบอยู่ ชายหนุ่มยกขึ้นทุบลงกลางกระหม่อมเบาๆ ไม่แรงนัก แต่คนโดนทุบกลับร้องเสียงดังลั่น ดีที่ห้องนี้เป็นห้องเก็บเสียง



“ปากดีนักนะ เดี๋ยวก็ไม่รับเข้าทำงานซะเลยนี่”



“โธ่...ก็อยากมาทำท่าขรึมใส่เค้าทำไมล่ะ พี่ชายแกล้งเค้าก่อนนะ แล้วมาทำร้ายเค้าแบบนี้จะฟ้องแม่คอยดูสิ” อารดาโอดครวญพร้อมยกมือลูบหัวป้อยๆ เรียกรอยยิ้มจากคู่สนทนาได้เป็นอย่างดี



“แล้วนึกจะเล่นพิเรนทร์อะไรถึงมายื่นใบสมัครเข้าบริษัทตัวเองแบบนี้ ขืนฟ้องแม่สิพี่จะฟ้องกลับว่าน้องน่ะชอบทำอะไรแผลงๆ ให้พี่วุ่นวายเป็นประจำ” ชายหนุ่มโน้มตัวมาด้านหน้าจนใบหน้าแทบชิดใบหน้าเรียว



“อ๊าย...ไม่เอา อย่าฟ้องแม่แบบนั้น เดี๋ยวอดมาทำงานกับพี่ชาย แล้วที่สำคัญห้ามพูดว่าเค้าเป็นเจ้าของบริษัทเด็ดขาด เค้าบอกพี่ชายเมื่อกี้แล้วไงว่าไม่อยากให้เพื่อนที่พามาสมัครงานด้วยรู้ว่าเค้าเป็นเจ้าของที่นี่” แขนเรียวยื่นไปโอบรอบคอชายหนุ่มด้วยท่าทางกึ่งอ้อนกึ่งเอาแต่ใจ ชายหนุ่มที่ยังไม่คลายความหมั่นไส้จึงแกล้งเอาหน้าผากตัวเองโขกเบาๆ พอเจ็บๆ ตรงหน้าผากเธอ เล่นเอาฝ่ายนั้นทำหน้าเหยเกถอยไปนั่งพิงพนักเก้าอี้แบบงอนๆ



เสียงหัวเราะถูกใจของพี่ชายยิ่งทำให้อารดาหน้าง้ำมากเข้าไปอีก ก่อนจะเปิดแฟ้มไปอีกหน้าเพื่อดูใบสมัครอีกใบของเพื่อนน้องสาว เพียงแค่เห็นรูปขนาดสองนิ้วตรงมุมใบสมัคร สีหน้าที่ยิ้มกว้างก่อนหน้านี้ของ ‘เมษรักษ์’ เจือจางจนแทบไม่เหลือร่องรอยความรื่นรมย์ หากก็ไม่ถึงกับเครียดขรึมเสียทีเดียว



ชายหนุ่มไล่สายตาไปตามรายละเอียดที่กรอกด้วยลายมือสวยงามเป็นระเบียบ ก่อนเงยขึ้นมองหน้าน้องสาวโดยไม่ลืมปรับสีหน้าเป็นปกติ



“ถึงพี่ไม่บอกว่าน้องเป็นเจ้าของที่นี่ แต่ป่านนี้คุณลิซ่าคงบอกไปเรียบร้อยแล้วมั้ง” ชายหนุ่มพิงพนักเก้าอี้ด้วยมาดกวนๆ เขาเป็นอย่างนี้เสมอเมื่ออยู่ตามลำพังกับอารดา น้องสาวเพียงคนเดียวที่เขารักสุดหัวใจ น้อยครั้งเหลือเกินที่ใครจะได้เห็นท่าทางอย่างนี้ของเขา



เมษรักษ์ เป็นคนสุขุม ยิ้มยาก ยิ่งเสียงหัวเราะของเขาแทบไม่มีใครเคยได้ยินนอกจากคนในครอบครัวและลิซ่าเลขาฯ คนสนิทเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นภาพพจน์ของเขาก็ไม่ได้ไปในทิศทางลบ เพราะชายหนุ่มเป็นคนใจดี กลับจากเมืองนอกเมื่อไหร่เป็นต้องมีของฝากติดไม้ติดมือมาฝากพนักงานเสมอๆ โบนัสปลายปีก็จ่ายมากกว่าผลงานเสียด้วยซ้ำ



ส่วนทางด้านสังคมทั่วไปไม่ว่างานเลี้ยงแวดวงธุรกิจ หรือแวดวงไฮโซเขาไม่เคยย่างกรายไปเฉียด เพราะลิซ่าเลขาฯ ส่วนตัวของเขานั้นฝีมือดีชนิดวางใจได้เต็มร้อย จึงทำให้เขาเป็นที่รู้จักน้อยมาก กระนั้นก็ยังมีคนอยากรู้จักตัวตนของเขาจำนวนไม่น้อยทีเดียว



“คุณลิซ่าไม่มีทางบอกหรอก เค้าน่ะโทร.มาทำความเข้าใจกับเธอไว้ก่อนแล้ว ไม่งั้นเค้าจะได้มานั่งให้ท่านประธานสัมภาษณ์แบบนี้เหรอ” ขณะพูดใบหน้าสวยก็เชิดขึ้นพร้อมกับยิ้มภูมิใจว่าตัวเองฉลาด



“ทำความเข้าใจ? หึ พี่ว่าน้องน่ะบังคับเลขาฯ พี่มากกว่า ไม่งั้นคุณลิซ่าต้องรายงานพี่ก่อนหน้านี้แล้ว ทำแบบนี้พี่หักเงินเดือนคุณลิซ่าดีกว่า” ชายหนุ่มแกล้งขู่



“เฮ้ย! พี่ชายอย่ามาทำใจร้ายนะ เค้าไม่เชื่อหรอกว่าพี่ชายไม่รู้ก่อน พี่ชายกับคุณลิซ่าน่ะเนียนขั้นเทพกันจะตาย” คนพูดทำปากแสยะ เรียกเสียงหัวเราะจากชายหนุ่มได้อีกครั้ง



“แล้วมีเหตุผลอะไรถึงไม่อยากให้เพื่อนรู้ว่าน้องเป็นเจ้าของที่นี่” ชายหนุ่มเสพูดกลับมาเรื่องของเพื่อนน้องสาว อารดาเองก็ยินยอมตอบโดยดี เพราะเกรงว่าเพลงพรรษจะรอนานจนหนีกลับไปเสียก่อน



“เค้าไม่อยากให้พรรษคิดว่าตัวเองเป็น ‘เด็กเส้น’ น่ะสิ”



“ก็ถ้าน้องตัดสินใจแล้วว่าให้พี่รับเขาเข้าทำงาน มันก็เส้นจริงๆ นี่นา อีกอย่างน้องรู้ได้ไงว่าเขาจะไม่ชอบเป็น ‘เด็กเส้น’ น่ะ” อารดามัวแต่คิดตามคำพี่ชาย จึงไม่ทันสังเกตว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายแฝงด้วยแววเยาะอยู่ในที



“รู้สิ ถึงเค้ากับพรรษจะเพิ่งเจอกัน แต่เค้าก็มั่นใจว่าพรรษเป็นคนดี แต่ก็นะ ถึงจะมั่นใจว่าเขาเป็นคนดีสักแค่ไหน เค้าก็ยังหวั่นๆ บ้างล่ะ ไม่ใช่ไม่เคยเจอพิษภัยของมนุษย์ เค้าถึงยังไม่อยากให้เขารู้ฐานะแท้จริงของเค้า ให้เวลาพิสูจน์ว่าเขาจะเป็นเพื่อนแท้ได้ไหม พี่ชายก็รู้ว่าเค้าน่ะไม่มีเพื่อนรัก เพื่อนสนิทคนไหนเลย แต่กับพรรษ เค้ารู้สึกดี และอยากเป็นเพื่อนกันไปนานๆ”



ถ้อยวจีหลังๆ ของอารดาเคลือบความหม่นเศร้าไว้ไม่น้อย เมษรักษ์มองน้องสาวด้วยสายตาอ่อนโยนลง ร่างสูงลุกยืนแล้วก้าวช้าๆ มานั่งบนที่วางแขนของเก้าอี้น้องน้อย กางลำแขนแข็งแรงโอบบ่าบางไว้พลางรั้งเข้าหาตัวเบาๆ อีกฝ่ายก็เอนศีรษะซบอย่างว่าง่าย



“ถึงน้องไม่มีเพื่อน แต่น้องก็มีพี่ มีพ่อกับแม่ที่รักน้องมากแล้วไง” เมษรักษ์เอ่ยนุ่มนวล หากเขารู้ มนุษย์ทุกคนย่อมต้องการเพื่อน “เอาเถอะ ถ้าน้องต้องการอย่างนั้น พี่ก็ไม่ขัด ดีเหมือนกัน ให้เขามาอยู่ในสายตาจะได้ช่วยกันดูว่าเขาดีจริงหรือดีปลอม”



เท่านั้นคนในอ้อมกอดก็เงยขวับขึ้นมอง สายตาฉายแววจับผิด ค้นหาบางสิ่งบางอย่างชัดเจน คิ้วหนาของพี่ชายเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม



“ทำไมพี่ชายยอมเค้าง่ายจัง แปลกกว่าทุกทีที่ไม่ยอมให้เค้าสนิทหรือเข้าใกล้ใครเป็นพิเศษ เอ๊ะ! อย่าบอกนะว่า...แค่เห็นรูปเพื่อนเค้าพี่ชายก็ติดใจละ” อารดาแกล้งทำตาโตก่อนหรี่มองพี่ชายสื่อสารว่าเธอสงสัยจริงๆ



ตั้งแต่เล็กจนโตอารดายังไม่เคยเห็นเมษรักษ์มีแฟนจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง มีก็แต่ผู้หญิงที่มาเฝ้ารักเฝ้าชอบและตามติดเขา แต่สุดท้ายก็พ่ายไปเพราะอาการเฉยๆ ของพี่ชายเสียทุกราย และหากเกิดการสนทนาเรื่องผู้หญิงคนไหนสักคน พี่ชายเธอก็ไม่เคยพูดอะไรไปมากกว่า ‘อือ’ หรือ ‘เหรอ’ แค่นั้นจริงๆ จนบางทีให้ชวนสงสัยว่าเขาเป็นผู้ชายแท้ๆ หรือเปล่า



“โอเค...งั้นพี่ไม่รับเพื่อนน้องไว้ละกัน บอกให้เขากลับบ้านได้เลย” ชายหนุ่มยักไหล่และลุกกลับไปนั่งประจำที่ ทำทีว่ากางแฟ้มงานออกดู เลิกสนใจคนที่ยังทำหน้าตาเค้นหาพิรุธ



“ไม่ได้เด็ดขาดเลย พี่ชายอย่ามาทำเล่นท่ากับเค้านะ เค้าไม่ยอมแน่ ไม่อยากคุยด้วยละ เค้าจะออกไปตามเพื่อนมานะ อ้อ แล้วอย่าลืมตามที่บอกไว้ล่ะ” แล้วเธอก็ยื่นหน้าผากไปชนหน้าผากพี่ชายแรงๆ เสียหนึ่งทีก่อนรีบวิ่งแจ้นออกจากห้องไป



“ยายตัวแสบ” เมษรักษ์ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนก้มลงมองแฟ้มประวัติของคนที่รอสัมภาษณ์อยู่ด้านนอกอีกครา มือหนาละจากแฟ้มเลื่อนลงมาดึงลิ้นชักโต๊ะออก ในนั้นมีกล่องกำมะหยี่สีเข้มกล่องหนึ่งวางอยู่ ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมา ค่อยๆ เปิดออกจนเห็นสิ่งของข้างใน ตัดสินใจเพียงชั่วครู่เขาก็ดึงนาฬิกาเรือนงามออกมา แล้วสวมเข้าไปในข้อมืออีกด้าน





ร่างบางลุกพรวดขึ้นยืนเมื่อเห็นเพื่อนวิ่งออกมาจากห้อง ‘ท่านประธาน’ สีหน้าที่ซีดก่อนหน้านี้ซีดลงไปอีก ภายในใจนึกหวั่นกับอาการวิ่งลุกลี้ลุกลนออกมาของอารดา สงสัยว่าสถานการณ์จะไม่สู้ดีกระมังเพื่อนเธอถึงวิ่งออกมาอย่างนั้น



เพลงพรรษเดินเข้าไปจับมือเพื่อนแล้วรัวคำถามด้วยท่าทางตื่นเต้น



“เป็นอะไรน่ะดา หนีอะไรมา” เพลงพรรษถามพลางลูบมือเพื่อนเบาๆ คล้ายปลอบโยน อาการนั้นไม่ได้รอดพ้นสายตาของลิซ่าที่นั่งกลั้นยิ้มอยู่ได้เลย อารดาเหลือบมองเลขาฯ พี่ชายแวบหนึ่งแอบย่นจมูกใส่ฝ่ายนั้นก่อนหันมาตอบคนตรงหน้าว่า



“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่ดีใจน่ะที่ทางบริษัทรับเราเข้าทำงานแล้ว”



“จริงเหรอ เราดีใจกับดาด้วยนะ” เพลงพรรษยิ้มกว้างพร้อมเขย่ามือเรียวเสียหลายที ก่อนจะนึกอะไรได้ “เอ๊ะ! แต่ทำไมรู้ผลเร็วจัง สัมภาษณ์เสร็จเขาก็บอกเลยเหรอว่ารับหรือไม่รับน่ะ”



เจอคำถามนี้เข้าไปอารดาถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะนับตั้งแต่เข้ามาบริหารงานในบริษัทเธอยังไม่เคยสัมภาษณ์งานเองเลยสักครั้ง จึงไม่รู้ว่ากฎระเบียบเชิงละเอียดของการสมัครงานนั้นมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง



“น้องพรรษคะท่านประธานเรียกให้เข้าไปข้างในได้แล้วค่ะ...เชิญค่ะ” ประดุจดั่งลิซ่าถือระฆังหมดยกมาช่วยชีวิตอารดาไว้ได้ทัน จึงทำให้เพลงพรรษไม่มีเวลารอคำตอบ เธอสูดหายใจเต็มปอดแล้วก้าวเดินไปยังห้องที่อารดาวิ่งออกมา



“พรรษ...โชคดีนะ เราเชื่อว่าพรรษเก่งอยู่แล้ว” คำพูดของอารดาทำให้คนฟังยิ้มได้ เพราะนอกจากทำให้เธอมั่นใจมากขึ้นแล้ว คำพูดนี้ยังเหมือนกับคำที่ปรานต์มักย้ำกับเธอเสมอๆ



ลับร่างของเพลงพรรษแล้วอารดาแอบระบายลมหายใจแทบหมดปอด เธอยังไม่รู้เลยว่าถ้าลิซ่าไม่มาขัดจังหวะจะตอบเพื่อนไปว่าอย่างไร และพอหันไปมองลิซ่าฝ่ายนั้นก็อมยิ้มน้อยๆ เธอจึงจับมือหญิงสาวมากุมไว้



“ขอบคุณคุณลิซ่ามากเลยนะคะ”



“ลิซ่าเต็มใจจัดให้ค่ะ” เลขาฯ คนเก่งตอบกลับด้วยท่าทางสบายๆ เพราะความสนิทสนมคุ้นเคยกันมานาน



“สมแล้วที่เป็นเลขาฯ พี่ชาย สิ้นปีนี้รับโบนัสไปสักสิบเท่าตัวเลยดีไหมเนี่ย” หญิงสาวหัวเราะก่อนจะเดินไปอีกด้านของตึก ทางนั้นเป็นห้องใหญ่ไม่แพ้ห้องประธานบริษัทเช่นกัน และนั่นคือห้องทำงานของอารดา



มือเรียวเคาะประตูเบาๆ สามครั้งตามมารยาท เมื่อได้รับคำอนุญาตหญิงสาวก็ออกแรงผลักประตูที่เพียงแง้มไว้เบาๆ ให้เปิดออก แทรกตัวผ่านเข้าไปแล้วจึงปิดกลับมาจนสนิท ก้าวไปหยุดยืนเก้ๆ กังๆ หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ จะนั่งก็ไม่กล้า เพราะโดยมารยาทหากไม่ได้รับคำเชิญให้นั่ง ก็เหมือนยังไม่ได้รับอนุญาต ครั้นจะให้เรียกถามคนที่นั่งหันหลังให้เธอก็ไม่กล้าเผื่อว่าเขากำลังทำงานอยู่อาจเป็นการรบกวน



จู่ๆ ในขณะที่หญิงสาวกำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดีนั้น เก้าอี้บุนวมตัวใหญ่สูงท่วมหัวคนนั่งก็หันมาโดยเธอไม่ทันตั้งตัว เพลงพรรษตกใจอ้าปากกว้างจนรีบยกมือปิดแทบไม่ทัน



ชั่วแวบที่สบตากันเพลงพรรษคิดว่าตัวเองไม่ได้อุปาทานที่รู้สึกว่าขนแขนลุกซู่กับแววตากึ่งดุกึ่งหยัน หากเมื่อตั้งสติได้เธอก็มองไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเขาต้องมีสายตาอย่างนั้น บางทีเธออาจตาฝาดไปเอง



“เชิญนั่งครับ” น้ำเสียงเขาสุภาพแม้จะดูน่าเกรงขามสักหน่อย เพลงพรรษพยักหน้ารับแล้วนั่งลงตรงเก้าอี้ด้านหน้า เธอไม่กล้าเงยขึ้นสบตาเขา เพราะตอนแรกจินตนาการอายุท่านประธานไว้ไม่น่าจะน้อยขนาดนี้



“เพลงพรรษ...” สายตาคมแกล้งไล่ไปตามอักษรบนใบสมัครซึ่งก่อนหน้านี้เขาสำรวจมันอย่างละเอียดแล้วครั้งหนึ่ง “ชื่อคุณแปลว่าอะไร” จู่ๆ เขาก็ถามคำถามที่ทำให้เพลงพรรษเบิกตาโตด้วยความสงสัย สีหน้าแววตาเขานิ่ง จริงจัง เกินกว่าจะให้เธอเข้าใจว่าเข้าล้อเล่น แต่จากคำถามก็ดูจะทำใจเชื่อยากเหลือเกินว่ามันเกี่ยวกับการสมัครงาน



“คะ?” และหญิงสาวเปล่งเสียงออกมาได้คำเดียว เพื่อยืนยันว่าเขาต้องการรู้คำตอบจริงๆ



มือหนาปิดแฟ้มที่กางอยู่ ขยับวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้า เลื่อนสายตาขึ้นจับจ้องใบหน้าขาวสะอ้านล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสนิททิ้งตัวยาวถึงกลางหลัง และแววตาซื่อๆ ที่ฉาบด้วยร้อยหวาดหวั่นล้นปรี่ กระนั้นสีหน้าและแววตาเขายังเรียบเฉกเดิม



“แสดงว่าคุณไม่เคยสมัครงานที่ไหนมาก่อน?” ขณะถามชายหนุ่มประสานมือกันระดับคาง โน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อยจับจ้องเธอราวกับกำลังสืบสวนสอบสวนคดีร้ายแรงอะไรสักอย่าง และคำตอบที่ได้รับคือการพยักหน้าและหลบตาวูบ “งั้นก็ไม่แปลกที่คุณไม่รู้ว่าคำถามที่ผมถามเมื่อสักครู่เป็นคำถามจิตวิทยาที่ไม่ว่าบริษัทไหนเขาก็ถามกันทั้งนั้น บางบริษัทเขาถามกันถึงขั้นว่าคุณใส่รองเท้ายี่ห้ออะไร ใช้รถรุ่นไหน พ่อแม่คุณทำอาชีพอะไร หรือ...ครอบครัวคุณอบอุ่นแค่ไหน”



สิ้นประโยคสุดท้าย เพลงพรรษเงยขวับขึ้นมองเขา...หากเขาถามคำถามสุดท้ายกับเธอ เธอควรตอบอย่างไรดีเล่า



“เอ่อ...แล้วท่านประธานจะถามดิฉันไหมคะ” แรกที่ได้ฟังเมษรักษ์ชะงักไปนิดเพราะคิดว่าเธอรวน แต่พอเห็นแววตาจริงจังและได้ยินสรรพนามที่เธอเรียกขานเขา ชายหนุ่มกลับรู้สึกอยากแกล้งและอยากขำปนกัน



“ถามอะไร?” เขาแกล้งเลิกคิ้วสูงพร้อมขยับให้ชิดกันนิดๆ แลคล้ายไม่พอใจ



“ก็...เอ่อ...คำถามทั้งหมดที่ท่านประธานว่ามาทั้งหมดน่ะค่ะ”



ยิ่งเห็นเธอลอบกลืนน้ำลายเมษรักษ์ยิ่งอยากเมินหน้าหนีเพื่อปลดปล่อยเสียงหัวเราะ และเขารู้ว่าตอนนี้ห้องทำงานอีกด้านหนึ่งคงกำลังกระวนกระวายน่าดู เมื่อได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของเขากับเพื่อนรัก ผ่านทางโทรศัพท์ที่เปิดสัญญาณหากันและเขาวางมันไว้ใกล้ๆ เอกสารบนโต๊ะนี่ล่ะ



“ไม่ถามหรอกคำถามพวกนั้น” แม้คนตรงหน้าจะลอบระบายลมหายใจแต่ท่านประธานก็ยังสังเกตเห็น ยิ่งริมฝีปากบางเผลอเผยอยิ้มน้อยๆ เขายิ่งจ้องมองไม่ละสายตา “แต่ผมจะถามคำถามอื่นแทน แต่นั่นหมายถึงว่าคุณต้องตอบคำถามเมื่อกี้ของผมให้จบก่อน”



แล้วนิสัยที่ชอบแกล้งน้องเป็นนิจ ก็บังคับให้ชายหนุ่มเลื่อนมือไปปิดสัญญาณโทรศัพท์ เพื่อให้คนที่อยู่อีกห้องสงสัยจนคืนนี้อาจนอนไม่หลับ เผลอๆ จะมาโวยวายเขาให้น่าดูชมเชียวละ



“เพลงพรรษ แปลว่า ‘บทเพลงแห่งสายฝน’ ค่ะ”



“ชื่อเพราะ...ความหมายดี เหมาะกับคุณ” ท้ายคำพูดเหมือนเขาไม่ตั้งใจให้มันหลุดมา



“คะ?”



“อีกคำถามที่ผมจะถามคือ...คุณชอบทะเลหรือภูเขามากกว่ากัน แล้วชอบขนาดไหน” นอกจากไม่ไขข้อข้องใจที่ตัวเองเผลอไผลในคำพูดเมื่อสักครู่แล้วใบหน้าคมยังปรับมาเป็นขรึมกว่าเดิมไปอีก



เพลงพรรษนึกอยากถามว่านี่คือคำถามจิตวิทยาด้วยหรือเปล่า แต่เธอก็ไม่อาจหาญพอ เพราะคงฟังดูไม่สมควรนัก อีกทั้งคำถามที่เขาถามก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้เล็งเห็นว่ามันก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวสักเท่าไหร่ หนำซ้ำหนึ่งในสถานที่นั้นเป็นสถานที่ในฝันของเธอเสียด้วย



“ทะเลค่ะ” เมื่อเอ่ยชื่อสถานที่นั้นใบหน้าสวยก็สว่างกระจ่างขึ้น ภาพในความทรงจำที่ครั้งหนึ่งเธอเคยมีโอกาสไปเที่ยวทะเลกับปรานต์ก็ฉายวาบขึ้นมา นั่นเป็นการเที่ยวทะเลครั้งแรกและอาจเป็นครั้งสุดท้าย แต่หญิงสาวประทับมันไว้ในหัวใจดวงน้อยเสมอมา “เหตุผลที่ชอบเพราะทะเลสวย แม้จะเห็นรอยต่อของน้ำกับฟ้าแต่ก็ยังให้ความรู้สึกกลมกลืน กว้างไหล สดใส เสียงคลื่นฟังไพเราะ และถึงแสงแดดจะร้อนมากแต่ลมแรงๆ ก็พัดเอาความร้อนอ้าวไปได้เหลือไว้แต่ลมอุ่นๆ และที่สำคัญ ดิฉันรับรู้ได้ถึงคำว่า ‘อิสรภาพ’ อย่างแท้จริงค่ะ”



นี่คงเป็นเรื่องแรกและเรื่องเดียวเช่นกันที่สามารถดึงหญิงสาวให้หลุดออกจากมาดเงียบๆ เรียบร้อย นัยน์ตามีแววหม่นเศร้าตลอดเวลาได้

เมษรักษ์ฟังแล้วเผลอจินตนาการไปตามคำพูดเธอ หากความรู้สึก ณ วินาทีนี้ช่างแปลกเหลือเกิน เพราะมันทั้งเศร้าทั้งสุขในเวลาเดียวกัน



“แสดงว่าคุณได้ไปทะเลบ่อย” เขาพูดเหมือนเปรยๆ พลันใบหน้าฉาบทาด้วยความสุขของเพลงพรรษเมื่อสักครู่ก็ค่อยๆ ราแสงสว่างกลับมาหม่นหมองและยิ้มขื่นๆ อีกครั้ง



“เคยไปแค่ครั้งเดียวค่ะ ตอนเรียนจบปริญญาตรี พี่...พี่ชายพาไปน่ะค่ะ” คำว่าพี่ปรานต์เกือบหลุดมาตามความเคยชิน ดีที่ยั้งไว้ได้ทัน



“อ้อ...คุณมีพี่ชายด้วย” คำพูดเขาแสดงความแปลกใจ แต่น้ำเสียงเหมือนไม่แปลกใจอะไรเลย หากคนมาสมัครงานก็ไม่คิดอะไรมาก นี่คงเป็นคำถามจิตวิทยาอย่างเขาว่านั่นแหละ



“ไม่เชิงหรอกค่ะ...เขาเป็น...”



“ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องตอบ คำถามนี้ผมไม่ได้อยากรู้หรอก ถามไปอย่างนั้นล่ะ”



“ค่ะ” รับคำแล้วก้มหน้านิ่งมองมือตัวเองที่ยังประสานกันบนตัก เธอจึงไม่มีโอกาสเห็นสายตาบางอย่างของคนตรงหน้า และนั่นอาจเป็นความโชคดีเพราะหากเห็น หญิงสาวอาจถึงขั้นนอนไม่หลับเลยทีเดียว



“เอาล่ะ คุณเพลงพรรษ ผมรับคุณเข้าทำงาน ให้เวลาคุณเตรียมตัวหนึ่งวัน มะรืนนี้มาเริ่มงานได้เลย เตรียมตัวทันไหม?” เขาเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ตัวสูงในท่าสบายๆ



และแม้เพลงพรรษจะรู้สึกอัศจรรย์ใจเพียงใดกับการทดสอบง่ายๆ ตอบคำถามจิตวิทยาไม่กี่คำถาม ก็ได้งานบริษัทใหญ่ขนาดนี้ หากเธอก็รู้มารยาทพอที่จะไม่เซ้าซี้ถามมากความ ได้งานก็ดีแล้วจะได้ลดภาระปรานต์ได้เสียที



“ทันค่ะ ขอบคุณท่านประธานมากนะคะที่กรุณากับดิฉัน” มือเรียวยกขึ้นพนมไหว้เขางดงาม ทั้งคำพูดทั้งกริยาของเธอ เป็นภาพที่เมษรักษ์ไม่คุ้นเคยกับผู้หญิงสมัยนี้ แต่ก็เป็นภาพที่เขาเคยเห็นเมื่อนาน...แสนนานมาแล้ว



“ขั้นตอนแรกที่คุณต้องเริ่มตั้งวันนี้คือ...เลิกเรียกผมว่าท่านประธานเสียที”



“จะ...จะดีหรือคะ เห็นคุณลิซ่าก็เรียกอย่างนั้น อีกอย่างไม่เรียกว่าท่านประธานแล้วจะให้ดิฉันเรียกว่าอะไรละคะ” คำถามเธอกล้าๆ กลัวๆ เพราะนี่อาจเป็นการขัดคำสั่งตั้งแต่วินาทีแรก



“เหรอ? คุณลิซ่าเรียกผมว่าอย่างนั้นเหรอ บางทีคุณอาจฟังผิด เพราะที่นี่ใครๆ ก็เรียกผมว่า ‘พี่เมษ’ ทั้งนั้น เอาเป็นว่าคุณลองกลับไปฟังใหม่ และตัวคุณต้องเรียกผมว่า ‘พี่เมษ’ แทนตัวเองว่า ‘พรรษ’ เท่านั้น เหตุผล...เพราะมันฟังดูดี คุณว่าไหม?” เขาสรุปพร้อมให้เหตุผลที่คนกำลังจะกลายมาเป็น ‘ลูกจ้าง’ ไม่กล้าคัดค้านแม้มันจะฟัง ‘ไร้เหตุผล’ ก็ตาม



“ก็...ค่ะ” เอาเถอะจะเรียกอะไรก็ช่าง ขอแค่ได้งานเป็นพอ ถ้าปรานต์รู้ว่าเธอได้งานทำในบริษัทใหญ่ขนาดนี้เขาต้องดีใจแน่นอน และเธอเองก็จะไม่เป็นที่ครหาของคุณปภาวีหรือใครๆ อีกว่าเป็นภาระของปรานต์



“เอาเป็นว่าตกลงตามนี้แล้วกัน ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ผมจะให้คุณลิซ่าแจ้งคุณอีกที” เขาสรุปสั้นๆ พร้อมสะบัดข้อมือมาตรงหน้าเพื่อยกนาฬิกาขึ้นดูอย่างตั้งใจ



“เอ๊ะ!” เมื่อสายตาเห็นชัดว่านาฬิกาในข้อมือเจ้านายเป็นเรือนคุ้นตา...คุ้นอย่างน้อยเรือนนักที่หญิงสาวจะคุ้น เพลงพรรษรู้สึกใจวาบอย่างไรพิกล หากเธอไม่กล้าไต่ถามว่าเขาได้นาฬิกาเรือนนั้นมาจากไหน



“มีอะไรรึเปล่า”



“อ้อ...ปละ เปล่าค่ะ” ถึงอย่างนั้นสายตาเธอก็เฝ้าจับจ้องที่นาฬิกาไม่วางตา แต่คนเป็นเจ้าของกลับไม่สนใจพูดไปเรื่องอื่นต่อ



“งั้นก็ดี เดี๋ยวคุณออกไปบอกเพื่อนคุณให้เตรียมตัว อีกสิบห้านาทีผมจะพาคุณทั้งสองคนไปเลี้ยงต้อนรับ”



“ค่ะ” รับคำด้วยท่าทางเลื่อนลอย ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ดวงตาคู่สวยยังมองไปยังข้อมือชายหนุ่มและเหมือนฝ่ายนั้นจะจงใจอวดสิ่งที่เธอสนใจเสียด้วย กว่าจะหมุนตัวเดินไปถึงประตูเพลงพรรษก็ใช้เวลานานกว่าที่ควร เมื่อจับลูกบิดยังไม่วายหันกลับมามองอีกครั้ง คล้ายอาลัยอาวรณ์เสียเต็มประดา



โปรดติดตามตอนต่อไป

น้อมรับทุกคำติ-ชมค่ะ



ปลากัด



ปลากัด
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 เม.ย. 2554, 17:56:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 เม.ย. 2554, 17:56:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1850





<< oOo บทที่ 3 oOo   oOo บทที่ 5 oOo >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account