วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๘ (จบตอน)

เช้าแล้ว เผด็จยังคงนอนนิ่ง ดวงตาทอดมองฝาผนังอย่างไร้ความหมาย เข็มนาฬิกาขยับเดินไปข้างหน้าเป็นจังหวะ ไม่หยุดหย่อนรีรอ สิ่งนี้กระตุ้นเตือนให้เขาตระหนักว่าเวลาแห่งตนมีไม่มากนัก เวลาไม่เคยหยุดรอใคร เจ้าของร่างสูงผุดลุกจากเตียง สภาพร่างกายดีขึ้นรวดเร็วเหลือเชื่อ ขนาดวันก่อนไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการซ้ำ แพทย์ผู้ดูแลเรื่องสมองยังแปลกใจเมื่อผลการตรวจพบว่าการวัดค่าต่างๆไม่ต่างจากคนปกติเลย

ตอนนี้เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทุกอย่างเหมือนคนไม่เคยบาดเจ็บ ไม่ต้องให้ใครมาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเหมือนเดิมแล้ว
จากเตียง ชายหนุ่มตรงเข้าห้องน้ำ พิจารณาภาพสะท้อนในกระจกเงา ผมบนศีรษะที่เคยถูกโกนเกลี้ยงตอนผ่าตัดเริ่มงอกยาวเป็นทรงสกินเฮด นิ้วแข็งแรงไล่ไปตามแนวเคราเขียวครึ้มแล้วยิ้มพอใจ เขาจะไว้เคราแบบที่ชอบ หน้าจืดๆนี่จะได้เข้มขึ้นอีก

ว่าไปแล้ว ไอ้นายวารินี่ก็หน้าตาหล่อดี แต่ปล่อยให้รสนิยมอันจืดชืดกลบเกลื่อนเสน่ห์ในตัวเองจนหมด เสียของจริงๆ

หลังอาบน้ำ เผด็จแต่งตัวง่ายๆด้วยเสื้อยืดแขนสั้นสีดำขนาดพอดีตัว อวดแผ่นอกผึ่งผาย กับกางเกงขาสั้นแค่เข่าสีกรมท่า ขับผิวขาวให้ดูขาวจัดยิ่งขึ้น วันนี้เขาจะลงไปร่วมโต๊ะอาหารข้างล่างเป็นวันแรกนับตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ใจย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอว่าเขาคือวาริ สหทรัพย์

โชคดีที่ทุกคนคิดว่าเขาความจำเสื่อม เพราะจะว่าไปแล้ว ลักษณะนิสัยรวมทั้งรสนิยมของเขาต่างจากวาริลิบลับ หากมีใครสงสัยในความแตกต่างทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็ยังเอาเรื่องความจำเสื่อมมาอ้างได้

ภายในห้องรับประทานอาหารโอ่อ่ากว้างขวาง มีเพียงวิไลวรรณนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์เพียงลำพัง บนโต๊ะตรงหน้ามีแก้วกาแฟร้อนส่งกลิ่นหอมกรุ่น ควันบางเบาลอยอวลอยู่เหนือปากแก้ว กระทั่งเผด็จก้าวเข้าไปใกล้นั่นละ หล่อนจึงเงยหน้ายิ้มให้

“หน้าตาสดใสขึ้นมาก หายดีแล้วใช่ไหมเนี่ย”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ”

“วันนี้มีทั้งข้าวต้ม ทั้งข้าวสวย ว่านอยากกินอะไร เดี๋ยวแม่สั่งให้เด็กยกมาให้ แต่แม่ว่าข้าวสวยก็ดีนะ อยู่ท้องดี”

เผด็จนิ่งคิด ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ความหิวโหยรุมเร้าเขาจนออกอาการหงุดหงิด กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม มิหนำซ้ำอาหารแต่ละอย่างที่วิไลวรรณสรรหามาเอาใจก็ผิดลิ้นไปเสียหมด หากถามว่าอยากกินอะไร เผด็จเองก็ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าหิว หิวมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายคนขาดอาหารมานาน

แต่แปลก วันนี้กลับอิ่มตื้อ ทั้งที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องแม้แต่น้ำสักหยด

“ผมยังไม่หิวเลยครับ”

วิไลวรรณนิ่วหน้า “แปลกจัง ทุกวันเห็นบ่นหิวตลอด”

“นั่นสิครับ ผมก็งงตัวเองเหมือนกัน” เผด็จยอมรับ เขาคงยังต้องปรับตัวอีกเยอะ

“งั้นหิวเมื่อไหร่ ก็เรียกคนในครัวให้ตั้งโต๊ะได้ตลอดนะ เดี๋ยวแม่ไปดูร้านก่อน บ่ายๆจะรีบกลับมา” สาวใหญ่บอกพลางพับหนังสือพิมพ์เก็บ ยกแก้วกาแฟกระดกรวดเดียวหมด วางแก้วเปล่าลงบนจานรองดังเดิม

ตั้งแต่เขากลับมาอยู่บ้าน วิไลวรรณก็ใช้เวลากับบุตรชายมากเป็นพิเศษ หล่อนพยายามทบทวนความทรงจำด้วยการนำรูปภาพเก่าๆมาให้ดู พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างถ่ายภาพนั้น อีกทั้งยังมีภาพของเปมิกาคนรักของวาริที่น้ำหนึ่งบอกว่ากำลังจะแต่งงานกันหลงมาสองสามภาพ

เปมิกาเป็นคนสวย ความอ่อนหวานและทันสมัยผสมผสานกันอย่างกลมกลืนน่ามอง ริมฝีปากบางดูนุ่มนวลน่าสัมผัส ทรวดทรงอรชรที่ซ่อนอยู่ในเสื้อผ้า มันช่างน่าเปิดเปลือยเพื่อชื่นชมความงดงามให้สมใจ เผด็จสบตาคู่สวยในภาพถ่าย มีแววระริกระรื่นเจืออยู่ แค่เห็นก็รู้ว่า ‘เล่น’ ได้

ใจเริ่มเตลิดไปไกล เหมือนสายน้ำซึ่งคอยไหลสู่ที่ต่ำเสมอ หากเป็นเมื่อก่อน ถ้ามีเหล้าเข้าปากให้พอกรึ่มๆ เผด็จก็พร้อมปล่อยความคิดให้บุกตะลุยต่อไปอย่างไร้สติ และคงไม่หยุดเพียงแค่คิด คงลงมือกระทำด้วย ต่อให้การกระทำนั้นล่อแหลมผิดบาป เขาก็พร้อมจะลุยไป

ทว่าไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่เขาได้ลงไปเห็นนรกจริงๆมาแล้ว เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าน้ำเดือดในกระทะทองแดง หนามแหลมของต้นงิ้ว ความดุร้ายของอีกาปากเหล็กมันทารุณเกินกว่าสิ่งที่เขามโนนึกไว้ไม่รู้กี่ล้านเท่า ชายหนุ่มพยายามดึงใจให้สูงขึ้น คงไม่สำเร็จง่ายนักหากไม่มีรูปวาริกับวิไลวรรณเข้ามาคั่น

ทุกภาพ ทุกเรื่องราวชี้ชัดว่าวาริและมารดาสนิทและรักกันมาก ราวกับมีกันเพียงสองคนในโลกใบนี้ แล้ววรุตม์เล่า เขาไปอยู่ซอกมุมใดของชีวิตคนทั้งคู่ หรือว่าได้ถมชีวิตลงไปกับงานจนหลงลืมครอบครัวไปหมดสิ้นแล้ว

ก็คงเป็นเช่นนั้น เท่าที่เผด็จได้คุยกับวรุตม์ไม่กี่ครั้ง เขาจับได้ว่าคนอย่างวรุตม์เห็นความต้องการของตนเองยิ่งใหญ่เสมอ และพยายามควบคุมบุตรชายคนเดียวให้เดินไปบนเส้นทางที่เขากำหนด เผด็จไม่เข้าใจเลยว่าทำไมวาริถึงยอมทำตาม หรือเป็นพวกเด็กไม่รู้จักโต ต้องให้พ่อแม่กำหนดกฎเกณฑ์ให้ปฏิบัติตาม...คงเป็นอย่างที่คิดนี่แหละ ลูกคุณหนูเสียขนาดนี้ จะทำอะไรเป็น

คิดแล้วก็น่าเห็นใจวาริ หลังจากที่ตนแทรกดวงจิตเข้ามายื้อแย่งกายเนื้อของทายาทสหทรัพย์ ดวงจิตของวาริไปล่องลอยเร่ร่อนอยู่หนใด

ความรู้สึก ‘ผิด’ ซึ่งปกติไม่ค่อยบังเกิดขึ้นในใจเท่าใดนัก กลับจุดประกายขึ้นอย่างน่าฉงน ทว่าชายหนุ่มผลักไสมันออกไปอย่างรวดเร็ว...คนอย่างเผด็จ อยากได้อะไรต้องได้ ก็แค่ยืมใช้ชั่วคราว หมดเวลาหมดวาระก็จะคืนให้ ไม่ยึดไว้ตลอดไปหรอก รับรองว่าจะดูแลร่างให้เป็นอย่างดี

ความจริงร่างนี้ก็ไม่ใช่ของวาริเสียหน่อย ก็ของยืมมาใช้เหมือนๆกัน

ใช่...ทุกดวงวิญญาณล้วนยืมกายเนื้อเพื่อใช้ดำเนินชีวิตในทางโลก กายเนื้ออันประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ เมื่อถึงคราวหมดวาระก็ย่อม
ต้องคืนสู่โลก เหลือเพียงดวงจิตอันสะสมด้วยบุญและบาปที่ต้องวนเวียนไปตามกรรมที่กระทำไว้ เป็นเช่นนี้เนิ่นนานมา และจะยังคงดำรงอยู่เรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้น

เผด็จไม่ใช่คนธรรมะธัมโม ออกจะห่างไกลและตั้งตนอยู่ในขั้วตรงข้ามด้วยซ้ำ แต่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ก็เนื่องด้วยเคยผ่านสถานที่อันโหดร้ายทารุณท่วมทุกข์มาแล้ว คิดถึงเพียงนิด ตัวก็สั่นด้วยความหวั่นหวาดขึ้นมาดื้อๆ

ขณะวิไลวรรณกำลังจะก้าวพ้นจากประตูห้องรับประทานอาหาร เท้าทั้งคู่ก็ชะงักกึก เพราะ...

“แม่ครับ”

คนถูกเรียกหันกลับมา คิ้วโค้งสวยเลิกขึ้นอย่างฉงนใจ

“เอ่อ...คนที่ชื่อน้ำหนึ่งไม่เห็นมาเยี่ยมผมเลย เธอไม่รู้จักบ้านเราหรือไง”

สิ่งใดดลใจให้เผด็จถามออกไปแบบนั้นก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะความเหงา...ไม่ใช่หรอก คนอย่างเผด็จไม่เคยเหงาจนโหยหาใคร เขาบอกตนเองอย่างดื้อรั้น

เป็นเพราะเขารู้สึกคุ้นหน้าเธอเหมือนเคยพบที่ไหนมาก่อนต่างหาก อีกทั้งพลังบางอย่างในดวงตากลมโตคู่นั้น มันสามารถเปลี่ยนดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นสีฟ้ากระจ่างได้ในไม่กี่นาที ทำให้เขาสนใจเธอเป็นพิเศษ จากแรกเริ่มเดิมทีตั้งใจว่าจะใช้เธอเป็นแหล่งข้อมูลสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับวาริ ทว่าวิไลวรรณทำหน้าที่นั้นได้ดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีน้ำหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องพบเธอ แต่เขาต้องการค้นหาว่าพลังงานบางอย่างที่ตนสัมผัสได้นั้นคืออะไรกันแน่...มันทำให้เขาสำเหนียกถึงอันตราย

“เอ แม่ก็ไม่แน่ใจ เพชรไม่เคยมาบ้านเราเสียด้วย ทำไมเหรอ ว่านมีธุระอะไรกับเพชรหรือเปล่า”

“นิดหน่อยครับ อยากรู้เรื่องเพื่อนๆ ผมจำใครไม่ได้เลย เพชรคงช่วยได้” คำตอบที่แม้ไม่ได้เตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าไหลรี่ออกมาได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ใครก็ไม่รู้เคยพูดให้ได้ยินว่าคนเรามักโกหกเล็กๆน้อยๆอยู่เสมอในทุกวัน แต่ครั้นคิดถึงตะขอแหลมที่ใช้กระซวกลิ้นวิญญาณที่ทำผิดเรื่องมุสา เผด็จก็หนาวๆร้อนๆ

เพราะที่นั่นไม่มีการผ่อนปรนโทษหนักให้เป็นเบา ทำผิดเท่าไรรับไปเท่านั้น และความผิดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ก็เหมือนเศษสตางค์ หากไม่เห็นค่าและโยนทิ้งไปเรื่อยๆ เมื่อย้อนกลับไปนับดู จะพบว่ามันสะสมไว้มากมายอักโขทีเดียว

“ลองโทร.หาสิ”

คำแนะนำของวิไลวรรณทำให้เผด็จหงุดหงิดขึ้นมาทันที ตั้งแต่กลับมาพักฟื้นที่บ้านจนอาการดีขึ้น เขาโทร.หาน้ำหนึ่งแทบทุกวัน แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมรับสาย ส่งข้อความผ่านไลน์ไปหาก็ไม่ตอบ ทั้งที่ข้อความนั้นขึ้นสถานะว่าอ่านแล้ว อย่างนี้มันจงใจหลบหน้ากันชัดๆ

ทำไมต้องหลบเล่า...หรือว่าน้ำหนึ่งรู้ว่าเขาไม่ใช่วาริ

ความคิดนี้ละทำให้เผด็จร้อนใจจนอยู่ไม่ติด ทำไมเขาต้องหวั่นเกรงน้ำหนึ่งถึงเพียงนี้ก็ไม่รู้ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด

“ผมโทร.ไปแล้ว เขาไม่รับสาย” ชายหนุ่มตอบด้วยสุ้มเสียงสะบัด จนคนเป็นแม่ถึงกับเปิดรอยยิ้มขบขัน

“คงยุ่งน่ะ เพชรเขาต้องดูแลแม่ แม่เขาสติไม่ค่อยดี เพี้ยนๆไปตั้งแต่ลูกสาวคนโตถูกฆ่าข่มขืน บางวันก็คลุ้มคลั่งอาละวาด ว่านนั่นแหละเล่าให้แม่ฟังเอง ว่าแม่เพชรเจอว่านทีไรอาละวาดจนบ้านแทบแตกทุกที น่าสงสารนะครอบครัวนี้ อยู่กันตามลำพังผู้หญิง ถ้าไม่มีเพชรเสียคน แม่เขาคงแย่”

เผด็จไม่สงสาร ใครจะเป็น ใครจะตาย ใครจะดีหรือบ้าคลั่งอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา สิ่งที่เขาต้องการคือ...

“แล้วผมจะติดต่อผู้หญิงคนนั้นได้ทางไหนอีกบ้าง”

วิไลวรรณคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงยิ้มออกมาได้

“งั้นลองถามเพื่อนสนิทของเพชรดูสิ ตินพลคนที่เป็นดาราดังๆน่ะ ว่านเคยบอกว่าสองคนนี้สนิทกันมาก น่าจะชอบพอกันอยู่ด้วยซ้ำ”

“เฮอะ ดาราดัง” คนถูกแนะนำทำเสียงขึ้นจมูก “พวกนี้หยิ่งจะตาย จะยอมให้เจอตัวให้พูดคุยง่ายๆเหรอ”

“ไม่เห็นจะยากเลย พี่จุ๊บเลขาฯของว่านไง เธอสนิทกับเจ๊มินต์ผู้จัดการส่วนตัวของตินพลจะตาย คงพอหาทางติดต่อให้ได้หรอก แล้วสมัยมัธยมว่านก็เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับเขามาก่อน เคยเห็นหน้าค่าตากันมา เขาน่าจะยอมคุยด้วย...อ้อ อีกอย่าง ตินพลกับเพชรสนิทกันมาก เพชรคงเล่าเรื่องว่านให้ฟังบ้างละ”

คำว่า ‘สนิทกันมาก’ ที่ได้ยินถึงสองครั้งสองครา ทำให้เผด็จนึกหมั่นไส้ เขาจดจำชื่อนั้นไว้แม่นมั่น ตินพล แล้วเราคงได้คุยกัน




ผู้คนในบ้านต่างพากันแปลกใจ เมื่อพบว่าเช้าวันนี้รัฐมนตรีบดินทร์ลุกขึ้นมาใส่บาตรตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนเข้าไปประชุมที่ทำเนียบ แถมกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลอยู่นานสองนาน จนแม่บ้านผู้ทำงานใกล้ชิดอดใจไม่อยู่ต้องเอ่ยถาม

“วันนี้วันเกิดท่านหรือคะ”

“เปล่า” บดินทร์ตอบเสียงเรียบ ค่อนข้างวางอำนาจกับบริวารในบ้านจนเป็นที่เกรงขาม

ทว่าสตรีสูงวัยรับใช้ใกล้ชิดมานาน จึงไม่นึกหวั่นด้วยรู้นิสัยว่าท่านเป็นคนใจดี

“เห็นลงมาใส่บาตร”

ปกติบ้านนี้มีนางเพียงคนเดียวที่ทำบุญใส่บาตรในทุกวันพระ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้านายผู้ล่วงลับ ซึ่งนางเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยจนเติบใหญ่ แม้เขาไม่ใช่คนดี ทำแต่เรื่องเลวร้ายจนน่าอิดหนาระอาใจแม้กระทั่งในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ด้วยใจผูกพันทำให้นางเอ็นดูและพร้อมจะอภัยให้ในทุกความผิดที่เขาก่อ ไม่ว่าจะร้ายแรงปานใด

“อยากทำบุญน่ะ จะได้สบายใจ” ตอบแล้วไม่รออีกฝ่ายเซ้าซี้ รัฐมนตรีบดินทร์เดินตรงไปยังรถยนต์คันงามซึ่งคนขับขับมาจอดรอหน้าตึกใหญ่

ครั้นเข้าไปยังเบาะนั่งตอนหลังได้ก็หลับตานิ่ง ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ในงานเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัย เมื่องานเลี้ยงใกล้เลิกรา บุรุษสูงวัยท่านหนึ่งได้เดินมาหา บดินทร์สะดุดใจกับแววฉลาดเฉลียวในดวงตาคมกล้าคู่นั้น มันส่งผลให้ชายสูงวัยผมสีออกเทาในชุดผ้าทอมือแสนสมถะดูมีอะไรพิเศษ ไม่ธรรมดาเหมือนภาพลักษณ์ที่เห็นภายนอก

ชายผู้นั้นแนะนำตัวง่ายๆว่าชื่อลือฤทธิ์ เป็นรุ่นพี่เขาหลายปีอยู่เหมือนกัน หลังจากพูดคุยทำความรู้จักกันสองสามประโยค ลือฤทธิ์ก็เข้าเรื่อง

“ผมรู้ว่าท่านงานยุ่ง ถ้าสามารถปลีกเวลาได้ ทำบุญใส่บาตรบ้างนะครับ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ รัฐมนตรีบดินทร์จึงรู้สึกขุ่นเคืองใจ ทำไมต้องมาสั่งให้เขาทำบุญ เห็นเขาเป็นคนบาปหนาหรือไง

“ไม่ใช่หรอกครับ ผมไม่ได้เห็นว่าท่านบาปหนา”

คู่สนทนาตอบโต้ความคิดเขาราวกับมีญาณทิพย์ล่วงรู้ความในใจ สิ่งนี้เองทำให้เขาฉงนแกมทึ่งและหยุดรับฟังคำแนะนำต่อ ไม่เดินหนีอย่างที่ตั้งใจแต่แรก

“แล้วเพื่ออะไร”

“เพื่อคนที่ท่านรักที่สุดไงครับ เขากำลังหิวโหยและต้องการส่วนกุศลจากท่าน”

คนที่เขารักที่สุด...เผด็จ...ชื่อนั้นโดดเด่นออกมาเหนือคำอื่นใด และมีพลังมากพอจะหนุนนำให้เขาทำในสิ่งที่ตนไม่คุ้นเคย ด้วยจิตใจอันตั้งมั่นแรงกล้า...หวังว่าบุตรชายผู้ล่วงลับจะได้รับส่วนกุศลที่เขาอุทิศให้ครั้งนี้

รัฐมนตรีบดินทร์มาถึงทำเนียบรัฐบาลก่อนเวลาเข้าประชุมชั่วโมงกว่า หลังทบทวนเอกสารต่างๆแล้ว เขายังมีเวลาเหลือ จึงให้เลขาฯสืบค้นข้อมูลของรุ่นพี่ชื่อลือฤทธิ์ ด้วยข้อมูลสั้นๆเท่าที่เขารู้มานั่นละ เขาอยากทำความรู้จักคนคนนี้ให้มากขึ้น
และแล้วก็ต้องพบกับความแปลกใจ เมื่อเลขาฯแจ้งกับเขาหลังเลิกประชุมว่า

“ไม่มีคนชื่อลือฤทธิ์เรียนที่นี่เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่ท่านบอกหรือรุ่นไหนๆ ไม่มีคนชื่อนี้เลย”




สายวันนั้น เผด็จค้นหาเบอร์ติดต่อพี่จุ๊บจากโทรศัพท์มือถือของวาริจนพบ และโทร.ไปขอความช่วยเหลือโดยไม่ลังเล จนฝ่ายถูกขอร้องนึกสงสัย

“คุณว่านนึกครึ้มใจอะไรคะถึงอยากได้ขอเบอร์คุณเต ทีเมื่อก่อนละว่าพี่จุ๊บ หาว่าพี่จุ๊บคลั่งดารา เอาแต่ตามทวิตเตอร์คุณเตจนไม่เป็นอันทำงานทำการ”

“พี่จุ๊บ” เผด็จเอ่ยเสียงเข้ม เขาไม่ชอบคนพูดมาก ตอบไม่ตรงคำถาม เจอคนแบบนี้คราวใดหงุดหงิดทุกที “เรื่องที่ผมสั่ง จะได้รับคำตอบเมื่อไหร่”

สงสัยวาริจะไม่เคยดุใส่ลูกน้องกระมัง พอเจอเข้าหน่อยจึงลนลานรับปากรับคำ “เดี๋ยวขอพี่จุ๊บเช็กกับเจ๊มินต์ผู้จัดการส่วนตัวของคุณเตแป๊บนึงนะคะ เดี๋ยวพี่จุ๊บไลน์ไปบอก”

เผด็จรออย่างใจจดใจจ่อ ระหว่างนั้นก็ค้นข้อมูลของตินพลจากอินเทอร์เน็ตและเข้าไปตามดูในอินสตาแกรมไปพลางๆ ทำให้รู้ว่าเขาเป็นหนุ่มเจ้าชู้ ไม่เคยคบใครได้นาน ล่าสุดก็เพิ่งเลิกกับนางแบบชื่อรุ้งพราย แถมยังมีรูปควงคู่กับน้ำหนึ่งซึ่งปาปาราซซี่แอบถ่ายมาลงข่าวซุบซิบอีก ชายหนุ่มตั้งใจอ่านคำสัมภาษณ์ของตินพลในข่าวนี้เป็นพิเศษ และพบว่าพ่อดาราดังแอ่นอกปกป้องน้ำหนึ่ง กีดกันไม่ให้นักข่าวลากเธอมาจิกทึ้งอย่างที่ทำกับตน

เรื่องแบบนี้มีเพียงคนรักกันเท่านั้นที่ทำได้...แต่รักแบบไหนล่ะ...สิ่งนี้ต่างหากที่เผด็จอยากรู้

กว่าพี่จุ๊บจะไลน์มาส่งข่าวก็ล่วงเข้าบ่ายสาม ได้มาทั้งหมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ของตินพล แต่ครั้นโทร.ไป ฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมรับสาย ทำเอาคนใจร้อนโมโหแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง จนกระทั่งเย็นย่ำ แสงแดดเริ่มล้าราแรงแล้วนั่นแหละ เผด็จจึงตัดสินใจเปลี่ยนจากชุดอยู่บ้านเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทดังรัตติกาลกับกางเกงยีนสีเดียวกัน คว้าแว่นกันแดดมาสวม ขึ้นรถขับออกจากบ้าน จุดหมายปลายทางคือเพนส์เฮาส์หรูย่านทองหล่ออันเป็นที่อยู่ของตินพลตามที่พี่จุ๊บบอก

รถของวิไลวรรณสวนเข้ามาพอดีก่อนที่เขาจะออกพ้นประตูรั้ว หล่อนส่งสัญญาณให้เขาหยุดรถ ลดกระจกลงชะโงกหน้ามาไถ่ถามด้วยความห่วงใยมันมากล้นจนเผด็จสัมผัสได้

“จะออกไปไหนว่าน แม่ซื้อของอร่อยมาฝาก”

“อะไรหรือครับ” เมื่อตั้งสติได้ว่าตนกำลังสวมบทบาทวาริ คำพูดคำจาก็อ่อนโยนลงมานิด ใส่ใจการกระทำของวิไลวรรณมากขึ้นอีกหน่อย

“ผัดไทยจ้ะ เจ้านี้อร่อยมาก ว่านเคยกินทีละสองห่อแน่ะ”

“ผมยังไม่หิว” เขาตอบตามจริง วันนี้เผด็จไม่หิวเลยแม้แต่น้อย รู้สึกอิ่มเต็มอย่างประหลาด ไม่ใช่อิ่มในท้อง แต่อิ่มในดวงจิต มันอุ่นสบายจนไม่นึกอยากกินอะไร “ผมไปก่อนนะครับ”

“อะไรกัน จะไปไหนยังไม่บอกแม่เลย” วิไลวรรณโวยวาย

“ออกไปหาเพื่อนใกล้ๆนี่เองครับ อยู่แต่บ้าน เบื่อจะแย่แล้ว”

“ว่านเพิ่งฟื้นตัว ขับรถเองได้หรือลูก ทำไมไม่เรียกใช้คนขับรถ” สาวใหญ่เอ่ยอย่างร้อนใจ

“ไม่ต้อง” คำปฏิเสธค่อนข้างห้วนด้วยความลืมตัว เขาใจร้อนและไม่อยากเสียเวลาตอบคำถามนั่นนี่ไม่รู้จบสิ้น

วิไลวรรณคงชินกับบุคลิกแบบนี้แล้วกระมัง จึงไม่ทำหน้าแปลกใจดังคราที่ได้ยินแรกๆ

“ผมไปเองได้ เหมือนผมจะนึกอะไรออกบางอย่าง เลยอยากไปคุยกับเพื่อนเพื่อฟื้นฟูความทรงจำ”
นาทีนี้ เผด็จนึกเหตุผลอะไรไม่ออกนอกจากหยิบยกเรื่องความจำเสื่อมมาบังหน้า และไม่รอให้วิไลวรรณอนุญาต เขาเหยียบคันเร่งพารถแล่นเลี้ยวออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

สามปีที่จากโลกมนุษย์ไป กรุงเทพฯแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะบนท้องถนนยังคงมีรถติดเรียงกันเป็นแพ จนคนใจร้อนชักอารมณ์เดือดขึ้นเรื่อยๆ เขาภาวนาให้ตินพลติดต่อกลับมาไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่ง เขาจะได้ไม่ต้องฝ่าทะเลรถไปหาให้เสียเวลา แต่ดูเหมือนยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด ความหวังของเขาก็ยิ่งริบหรี่ราวกับแสงเทียนต้องลม

ที่สุดแล้วเผด็จก็มาถึงอพาร์ตเมนต์สุดหรูอันเป็นที่อยู่ของตินพลจนได้ พี่จุ๊บบอกว่าเพนเฮาส์ดาราคนโปรดของหล่อนอยู่ชั้น ๑๓ ซึ่งเป็นชั้นสูงสุด เจ้าของห้องอนุญาตให้เขาขึ้นมาพบได้ หลังจากเจ้าหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ด้านล่างให้ตินพลดูหน้าแขกผู้มาเยือนผ่านกล้อง

ชายหนุ่มตรงไปยังลิฟต์ด้วยท่าทีมุ่งมั่น ลิฟต์ตัวนั้นเปิดออกยังเพนเฮาส์ของตินพลพอดี มันกว้างขวางกินพื้นที่ทั้งชั้น ตกแต่งเรียบง่าย หรูหรา บ่งบอกรสนิยมของผู้อยู่อาศัยได้อย่างชัดเจน เพดานสูงจนสามารถแบ่งห้องกว้างได้เป็นสองชั้น ลักษณะนี้เดาได้ไม่ยากว่าห้องนอนคงอยู่ชั้นลอย...

เผด็จไม่สนใจเก็บรายละเอียด เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อชื่นชมบ้านคนดัง เขาสนใจแค่ว่าตินพลจะให้คำตอบในสิ่งที่เขาต้องการได้หรือไม่เท่านั้น

ต้องได้สิ...สิ่งใดเผด็จอยากได้ สิ่งนั้นเผด็จต้องได้

ตอนก้าวออกจากลิฟต์ เผด็จเห็นดาราหนุ่มกำลังลังเลอยู่กับโทรศัพท์มือถือ ครั้นเงยหน้าพบเขาเท่านั้นละ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นคลางแคลง สงสัย

“นายวาริ” ตินพลขมวดคิ้วยุ่ง “มาหาฉันมีธุระอะไร”

“มีเรื่องอยากถามนิดหน่อย” เผด็จเข้าเรื่องทันที ไร้รอยยิ้มหรือคำทักทายใดๆ รู้สึกไม่ถูกชะตากับตินพลเอามากๆ อย่าถามเลยว่าเพราะเหตุใด เนื่องจากเขาเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน

“ได้ข่าวว่านายประสบอุบัติเหตุ ว่าจะไปเยี่ยมก็มัวยุ่งๆ”

“ไม่เป็นไร ที่มาวันนี้ก็ไม่ได้มาทวงของเยี่ยมหรอก แต่โทร.หานายหลายครั้ง ไม่เห็นรับสักที” เผด็จรวนด้วยความหงุดหงิด หากตินพลรับสาย เขาก็จะเสียเวลาแค่เพียงไม่กี่นาที แต่นี่ต้องผจญรถติดเปลืองเวลาเป็นชั่วโมง เขาไม่มีเวลาให้เสียมากนักหรอกนะ

“ฉันทำงานนะ ไม่ได้นั่งๆนอนๆอยู่บ้าน จะได้มีเวลาว่างคุยโทรศัพท์”

เผด็จรู้ว่าตินพลไม่พอใจ ท่าทางเขาเหมือนพร้อมจะไล่ตะเพิดตนออกไปทันทีที่พูดไม่ถูกหูอีกแค่ประโยคเดียว แต่ใครกลัวกันล่ะ

“แล้วนายมีธุระอะไร ร้อยวันพันปีไม่เคยโทร.หา อยู่ดีๆก็อยากเจออยากคุยขึ้นมา”

ถึงตินพลไม่ถาม เผด็จก็พร้อมจะเข้าเรื่องอยู่แล้ว

“ก็เรื่องที่ฉันเกิดอุบัติเหตุนั่นแหละ มันทำให้ความจำฉันหายไป”

“แต่ก็มาบ้านฉันถูกทั้งที่ไม่เคยมา...” ตินพลย้อนท่าทางยียวนไม่เบา

เผด็จยักไหล่ “ก็ไม่ใช่เรื่องยาก...แต่ฉันจำทางไปบ้านเพชรไม่ได้ ฉันรู้มาว่านายสนิทกับเพชรมาก นายคงรู้ว่าบ้านเพชรอยู่ไหน”

“นายก็สนิทกับยายเพชร ทำไมนายไม่โทร.ไปถามเล่า ต้องถ่อมาถึงบ้านฉันทำไม”

ความหงุดหงิดเริ่มทวีคูณ ทำไมคนพวกนี้ถึงชอบเสียเวลาพูดในเรื่องที่ไม่ได้ถามกันนักนะ

“เพราะโทรศัพท์ฉันมันพังไปพร้อมกับรถตั้งแต่ตอนที่เกิดอุบัติเหตุไงเล่า ทีนี้จะบอกได้หรือยัง”เผด็จโกหกหน้าตาเฉย ความจริงคือสมาร์ทโฟนของวาริเป็นสิ่งเดียวที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น และยังคงอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งาน แถมเผด็จยังต้องมานั่งมองนอนมองภาพพื้นหลังซึ่งวาริตั้งไว้วันละหลายรอบ...ภาพน้ำหนึ่งกำลังเหม่อลอย วาริคิดอะไรกับน้ำหนึ่งอยู่นะ ไม่เห็นต้องถาม เรื่องแค่นี้เดาได้อยู่หรอก แล้วเปมิกาคนรักที่คบกันมานานและกำลังจะแต่งงานกันนั่นเล่า หล่อนหายไปไหน...

ช่างเถอะ มันไม่เกี่ยวกับเขาสักนิด ชายหนุ่มปัดความสงสัยออกไป

ฟังเหตุผลของเผด็จแล้วตินพลก็นิ่งไปนิด มองเผด็จอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วพ่นลมหายใจออกมาอย่างคนตัดสินใจแล้ว

“ฉันอธิบายไม่ถูก เดี๋ยววาดแผนที่ให้แล้วกัน”

เผด็จอดใจรอ มองตินพลลากดินสอปราดๆไปบนกระดาษโน้ตที่หยิบมาจากชั้นวางของแถวนั้น ระหว่างนั้นเอง สายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคาดผ้ากันเปื้อนโผล่หน้าออกมาจากข้างชั้นวางของ ที่กางกั้นส่วนรับแขกกับด้านหลังซึ่งน่าจะเป็นครัว สบตากันเพียงแวบเดียว หล่อนก็หลบวูบเหมือนไม่ต้องการให้ใครพบเห็น ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน ตินพลซุกสาวไว้ในเพนส์เฮาส์แน่แล้ว นี่เองเรื่องยุ่งที่ทำให้ปลีกตัวไปไหนไม่ได้

“เอ้า เสร็จแล้ว จุดสังเกตง่ายๆคือบ้านยายเพชรเป็นรั้วไม้ระแนง ปลูกผักจนเลื้อยเต็มรั้ว และตรงข้ามกับบ้านมีร้านก๋วยเตี๋ยว”

เผด็จรับมาดูและเห็นว่าแผนที่ที่ตินพลวาดให้ละเอียดและเข้าใจง่ายมาก แม้ก้มหน้าสนใจแผนที่ แต่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าถูกอีกฝ่ายจ้องมองอยู่เงียบๆ

“มีใครบอกนายหรือเปล่าวาริ ว่านายดูเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่คนเดิม”

คนถูกถามเลิกคิ้ว ยิ้มมุมปาก “ก็บอกแล้วไงว่าความจำเสื่อม อะไรที่เคยเป็นเคยทำก็ลืมหมดแล้ว ขอบใจนะสำหรับความช่วยเหลือ”

ตินพลยิ้มยียวนแถมพูดจาไม่เข้าหู
“ยายเพชรไม่ชอบผู้ชายปากเสียแถมกวนประสาทหรอกนะ”

“ช่างรู้ใจกันดีจริง” เผด็จประชด “เอาเวลาที่เตือนฉันไปดูแลสาวน้อยในครัวนั่นเถอะ คงตกใจทีเดียวที่โผล่มาเจอฉันเมื่อกี้นี้ ไม่ต้องกลัวนะ ฉันเป็นคนปากเสียแต่ไม่ใช่คนปากโป้ง ถ้าเรื่องนายซุกสาวไว้ที่เพนส์เฮาส์ถึงหูนักข่าว ก็มั่นใจได้เลยว่าไม่ได้หลุดจากปากฉันแน่” เผด็จเอ่ยเสียงดัง จงใจให้เพื่อนร่วมห้องของดาราหนุ่มได้ยินด้วย

ตินพลขึงตาดุ ท่าทางโกรธจัดทีเดียว เผด็จลุกขึ้นยืนและผิวปากหวือเดินตรงไปยังลิฟต์โดยไม่รอให้เจ้าของบ้านเอ่ยปากไล่ ครั้นประตูลิฟต์เปิด ก็หันไปจุ๊บเบาๆบนกระดาษวาดแผนที่ ขยิบตาเป็นเชิงล้อ สนุกและสะใจที่ยั่วตินพลได้สำเร็จ หมอนั่นทำท่าเหมือนอยากจะด่าเขาเลยเชียวละ พอดีว่าประตูลิฟต์ปิดตัวลงเสียก่อน

เผด็จมองแผนที่ในมือแล้วยิ้มมุมปาก รอหน่อยนะน้ำหนึ่ง แล้วเราจะได้เจอกัน




สายฝนเทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา สายลมกระโชกแรงจนต้นไม้สูงใหญ่บริเวณนั้นโอนเอนราวกับมีมือใหญ่ยักษ์ที่มองไม่เห็นกำลังจับโยก กิ่งก้านใบโบกสะบัดจนน่ากลัวว่ามันจะหักโค่นลงมาในนาทีใดนาทีหนึ่ง แสงอสนีบาตแปลบปลาบชำแรกผ่านกลุ่มเมฆครึ้มคล้ำ เบื้องหน้าคือทุ่งกว้างเต็มไปด้วยต้นธูปฤๅษีสูงท่วมหัว

เธออยู่ที่ใด...น้ำหนึ่งถามตนเอง ดวงตากลมโตกวาดมองฝ่าความสลัวรางซึ่งโอบกอดเธอไว้ สายฝนอันเหน็บหนาวกระหน่ำลงมาบนร่างอย่างไม่ปรานี เสื้อผ้าเปียกโชก ผมยาวลู่แนบแก้มอิ่มจนต้องปัดออกเพื่อขจัดความรำคาญ

‘ช่วยด้วยน้ำ ช่วยเราด้วย’ เสียงสั่นพร่าแหบเครือแทรกผ่านเสียงลมเสียงฝนมากระทบโสตประสาท

ความทรมาน เดียวดาย อ้างว้างเจือมาในเสียงนั้น มันชัดเจนจนน้ำหนึ่งสัมผัสได้ เธอเหลียวมองรอบกาย ทว่ากลับไม่พบใครสักคน

‘“ช่วยด้วย เราอยากกลับไป ช่วยเราด้วย’ คำขอร้องพร่าแผ่วลงตามลำดับ คล้ายผู้พูดเคลื่อนห่างไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

“ว่าน ว่าน เสียงเธอใช่ไหม” น้ำหนึ่งตะโกนออกไปสุดเสียง

คำถามของเธอไร้การยืนยันคำตอบ ถ้อยความเดิมยังคงดังซ้ำ

‘ช่วยด้วย ช่วยด้วย’

ใช่เสียงวาริจริงๆ น้ำหนึ่งมั่นใจ แต่ทำไมมันเหมือนดังอยู่ไกลลิบ

“เธออยู่ที่ไหนน่ะ อยู่ตรงไหนฉันมองไม่เห็น”

‘ช่วยด้วย ช่วยด้วย’

คนถูกขอร้องเหลียวซ้ายแลขวาร้อนรน ความเป็นห่วงรุมเร้าให้เร่งติดตาม ในคลองจักษุยามนี้ พบแต่ใบเรียวยาวของต้นธูปฤๅษีโบกไหวเยิบยาบท่ามกลางลมฝน คล้ายมือปีศาจกวักไกวอยู่ในความสลัวมัวหม่น น้ำหนึ่งพาร่างเปียกปอนบุกตะลุยเข้าไปยังทุ่งธูปฤๅษีตรงหน้า ติดตามไปยังทิศทางเดียวกับเสียงที่ได้ยิน โดยมิหวั่นเกรงภัยพาลอันอาจซุ่มซ่อนอยู่ในดงรกเรื้อ ปากก็ตะโกนแข่งกับเสียงฝนฟ้า หวังว่าวาริจะได้ยิน

“ว่าน เธออยู่ตรงไหน ฉันมองไม่เห็น”

สายฝนยังคงเทลงมาอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าจะหยุด เช่นเดียวกับสองเท้าที่ย่ำลงไปบนโคลนตมเละๆ ยังคงเร่งรุดเดินหน้าอย่างไม่ระย่อต่อความโหดร้ายของสภาพอากาศ ปากก็กู่ก้องร้องเรียกอยู่ซ้ำๆ ทว่ากลับไร้สัญญาณตอบรับใดๆ คล้ายมีเธอเพียงผู้เดียวในท้องทุ่งรกร้างแห่งนี้

เมื่อกายเริ่มอ่อนล้า ความกลัวก็บังเกิดแล้วแล่นจับใจอย่างรวดเร็ว อากาศเย็นจนกายสะท้านเยือก สำเหนียกถึงอันตรายซึ่งอาจซ่อนเร้นอยู่ได้รอบด้าน เสียงลมหวีดหวิวราวกับเสียงร้องของภูตผี กระตุ้นให้หญิงสาวออกวิ่งเตลิดตะลุยไปอย่างไม่รู้ทิศทาง
กระทั่งเรี่ยวแรงเหือดหาย หายใจหอบจนตัวโยน ทิ้งเข่าเปื้อนโคลนทั้งคู่ลงบนพื้นอย่างสิ้นท่า เงยหน้าหลับตารับสายฝนเย็นเยือก ความเหน็บหนาวแทรกซ่านไปทั่วร่างจนกายไหวระริก

พลันที่ลืมตา สิ่งปลูกสร้างอันไม่ปรากฏแต่แรก กลับยืนเด่นตระหง่านอยู่บนเนินหลังม่านฝนราวกับมีใครเนรมิต...บ้านปรารถนา!
ประตูบานใหญ่หนาหนักเปิดกว้างคล้ายรอรับ บรรยากาศเลวร้ายน่ากลัวรอบด้านผลักดันให้น้ำหนึ่งใช้สองมือยันกายขึ้นยืน ตะเกียกตะกายไต่ขึ้นเนินดินที่ทั้งเละและลื่นอย่างทุลักทุเล

ผ่านพ้นประตูบ้านเข้ามาได้ก็เหมือนอยู่กันคนละโลกกับภายนอก อากาศภายในอบอุ่นทว่าอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งปริศนาดั่งรอให้ผู้คนมาค้นพบ ร่างมอมแมมเหลียวซ้ายแลขวา ไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปทางใด หรือทรุดกายลงพักตรงไหนดี
เพียงคิด...สองเท้าก็ก้าวไปตามโถงทางเดินบนพรมผืนนุ่มราวกับถูกบังคับ หญิงสาวตื่นตระหนก แต่ไม่อาจขัดขืนได้ เหมือนขาทั้งสองไม่อยู่ภายใต้การบังคับของจิตใจตนอีกต่อไป กระทั่งมาถึงห้องหนึ่ง แค่เห็นบานประตูที่อยู่ตรงหน้า ความหวาดกลัวก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง

ห้องแห่งน้ำ...บ้านปรารถนาพาเธอมาห้องบ้าๆนี่เพื่ออะไรอีก

*****************************

ทักทายท้ายเรื่อง

น้องยิ้มจัง สงสารใครเอ่ย นิยายพี่มีคนให้น่าสงสารมากมายเลย แต่ตอนนี้มาหมั่นไส้อีตาเผด็จกันดีกว่า

หนูบาร์บี้ คนเขียนก็รักเผด็จมากเหมือนกัน มาเดาใจกันซิว่าสุดท้าย ระหว่างน้ำเปล่า กับเตี๋ยวน้ำตกรสเด็ด คนเขียนจะเสิร์ฟอะไรให้น้ำหนึ่ง

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ เมนูของน้องน่ากินมาก เป็นการเดาที่ถูกต้องแล้ว เพราะสุดท้ายเผด็จคู่กะวาริ สมสู่อยู่ในตัวเดียวกัน แล้วน้ำหนึ่งเลยชวดทั้งคู่ หันไปแย่งพี่เก้ามาจากนังตัวนุ่มแทน

น้องหมีบุลินทร รู้สึกว่าจะพุ่งเป้าไปที่ริชาร์ดเป็นพิเศษนะ มาตามกันว่าพ่อหนุ่มลูกครึ่งคนนี้ซ่อนอะไรไว้เบื้องหลังหน้าขาวๆ ปากแดงๆ และแก้มซับสีเรื่อยามเผด็จยืนฉี่ ก๊าก

พี่แตงกวาขราาาา มาแซ่บกะเผด็จก่อนดีกว่า ๕๕๕

คุณสุขุมวิท ๖๖ เรื่องนี้ปมเยอะมากค่ะ พลาดไม่ได้แม้แต่คำเดียว

เกดซ่า หาแว่นกรองแสงมาให้ซาตานขวัญใจเธอด่วนๆๆๆ

อสิตาราที่รัก รู้แล้วก็เงียบไว้น่า

คุณ MaiMai phromsak ใครคู่ใครอย่าเพิ่งคาดเดาค่ะ สงครามยังไไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะตอนเขียน คนเขียนเองก็พลิกไปพลิกมา ตัดสินใจไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้จะเลือกใคร

คุณ Mooma Narak ใช่ค่ะ เรื่องวุ่นวายมีอีกมากเลย

รอติดตามตอนต่อไปนะคะ



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.ย. 2557, 05:33:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2557, 05:33:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1242





<< บทที่ ๘ (ครึ่งแรก)   บทที่ ๙ (ครึ่งแรก) >>
ketza 21 ก.ย. 2557, 08:13:22 น.
มาแย้ววววววว


ketza 21 ก.ย. 2557, 08:23:58 น.
แหม่ๆๆ เผด็จ กับ ติลพล คู่ปรับปะทะฝีปากที่สูสี 555

... เริ่มสงสารวาริ T^T
... แต่ก็เลิฟคนโฉดด้วยง่ะ 5555555555++


ดังปัณณ์ 21 ก.ย. 2557, 10:13:45 น.
อัลไลลลลลลลลลล่ะนั่น ทำไมออกแนววาย เอ๊ะ ยังไง 555+

แหม่ เผด็จอิ่มเพราะพ่อทำบุญให่ แต่วาริสิ ไปหลงวนอยู่ตรงไหน แล้วทำไมน้ำหนึ่งกลับไปที่บ้านปรารถนาอีก รอค้า รอนะฮับขุ่นพี่ ตอนนี้ไม่มีอะไรเม้นท์มัวแต่ลุ้น วานี่หลงไปอยู่ที่ไหน แต่แหม ไอ้เรื่องให้น้ำไปแย่งพี่เก้า จับน้ำตบๆๆๆๆๆๆ อันนั้นปล่อยตัวนุ่มเค้าไป 555+ คู่นั้นเค้าเหมาะกันแล้ว อย่างน้ำต้องไปหาวานี่ให้เจอเข้าใจ๊ 555+


yimyum 21 ก.ย. 2557, 11:01:37 น.
เอาจริงๆเลยนะคะ รู้สึกว่าชอบอีตาเผด็จมากกว่าว่านแล้วอะ แล้วน้ำเข้าไปในห้องแห่งน้ำทำไมอะ


บุลินทร 21 ก.ย. 2557, 12:04:24 น.
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มีพี่จุ๊บด้วย จะมีใครอีกเนี่ย รวมคนคุ้นเคยทั้งนั้น


Sukhumvit66 21 ก.ย. 2557, 12:15:10 น.
เง้อ...สงสารเผด็จ สงสารวาริ

ตอนนี้ทำใจลำบาก เหลือเกิน......


พันธุ์แตงกวา 21 ก.ย. 2557, 18:19:03 น.
แหม อยากกินผัดไทขึ้นมาทันที ขอสองห่อด้วย
วาริอยู่หนาย ลำบากมากมั้ย เผด็จสนุกใหญ่แล้ว มีเคราด้วยนะพ่อคุณ


นักอ่านเหนียวหนึบ 21 ก.ย. 2557, 23:23:07 น.
สงสารว่าน กรรมของนายจริงๆ โดนอิตาโจรโรคจิต จับขังไว้อีกรึป่าวหนอ เห้อ ตาเผด็จ นายก็ยังละนิสัยแย่ๆได้ไม่หมดเนอะ อย่าเอาน้ำหนึ่งมาปู้ยี่ปู้ยำเลย นายอยากทำไรก็รีบไปทำไป๊


Barby 22 ก.ย. 2557, 09:33:05 น.
*_*


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account