วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๙ (จบตอน)

ก่อนน้ำหนึ่งจะไปทำธุระของตน เธอขับรถไปส่งอัญชันที่ร้านทำผมเจ้าประจำในตลาด โดยให้เกศราคอยอยู่เป็นเพื่อนจนกว่ามารดาจะเสริมสวยเสร็จ แล้วเธอจะย้อนกลับมารับ ตั้งใจว่าจะพามารดาไปพักผ่อนนอกบ้านสักวัน แต่ไม่ไว้ใจเรื่องคนบ้าที่ล่วงล้ำมาจนถึงหน้าบ้าน กลัวมารดาเจอเข้าอีกจะคลุ้มคลั่งอาละวาดอย่างที่ผ่านมา นึกได้ว่าควรแลกเบอร์โทรศัพท์กับป้าช้อย หากมีอะไรจะได้โทร.ส่งข่าวได้ทัน

รถญี่ปุ่นสีขาวคันเล็กวกกลับทางเดิม ครั้นเข้าซอยจนแลเห็นแนวรั้วบ้านอยู่ไม่ไกล ใครบางคนด้อมๆมองๆอยู่นอกรั้ว น้ำหนึ่งตัวชา ใจเต้นรัวแรง มือสั่นจนไม่อาจระงับได้
ไม่หรอก ไม่ใช่คนบ้าคนเมาที่ไหน แต่เป็นชายหนุ่มร่างสูงเพรียว ไหล่กว้างผึ่งผาย ผมทรงสกินเฮดอวดศีรษะได้รูปสวย ยิ่งรถแล่นเข้าไปใกล้ สายตาอันพร่ามัวก็เริ่มเก็บรายละเอียดได้ชัดกว่าเดิม ดวงตาที่จดจำได้ว่าเคยฉายแววซื่อและจริงใจถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดทรงเท่...

ฟ้าสลัวมัวหม่นขนาดนี้จะสวมแว่นกันแดดเพื่อ...หญิงสาวคิดอย่างขัดตาขัดใจ

มาดหนุ่มหล่อสะอาดสะอ้าน อบอุ่น อ่อนโยน ถูกลบเลือนไปหมดสิ้นด้วยไรหนวดเคราไม่ยาวไม่สั้น มองรู้ว่าถูกตัดแต่งไว้อย่างดี ดูเข้มคมดุดัน เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำและกางเกงยีนสีเดียวกันขับผิวขาวให้ดูซูบซีด ราวกับไม่เคยต้องแสงแดดมาเป็นเวลานาน
แต่กระนั้น เธอก็ยังคงมองเห็นเงาดำทาบทับร่างเขาอยู่ คล้ายคนกางร่มกลางแสงแดดจ้าจัดอยู่ตลอดเวลา มันคืออะไร ใครจะให้คำตอบกับเธอได้บ้าง แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่วาริเปลี่ยนไปราวกับคนละคนหรือเปล่า

ความคลางแคลงของเธอไร้คำตอบชัดเจน น้ำหนึ่งพรูลมออกปาก ยอมรับว่าตนสบายใจขึ้นมากเมื่อเห็นเขาหายจากอาการบาดเจ็บจนสามารถมาถึงบ้านเธอได้ ไม่ได้ดูทุกข์ทรมานเหมือนเสียงที่ส่งเรียกเธอในความฝัน และโล่งใจที่อัญชันไม่อยู่บ้านในเวลานี้ ไม่งั้นเห็นหน้าวาริคงลุกมาคลั่งอีกรอบ

หญิงสาวจอดรถต่อท้ายรถยุโรปคันหรูซึ่งจอดเทียบบาทวิถีหน้ารั้วอยู่ก่อนแล้ว เจ้าของรถผละจากการสอดส่ายสายตาผ่านช่องว่างของรั้วระแนงหันมามอง หญิงสาวผลักประตูรถก้าวลงไปเผชิญหน้า แปลกใจที่น้ำเสียงตนเย็นชาได้ถึงเพียงนั้นตอนเอ่ยถาม

“เธอมาทำไมน่ะว่าน”

“มาหาเธอน่ะสิ” คนถูกถามตอบตรงเผงไม่อ้อมค้อม

“มีธุระอะไรหรือเปล่า”

“เพื่อนกัน ถ้าไม่มีธุระ แค่คิดถึงกัน มาหาไม่ได้หรือไง”

น้ำหนึ่งกลอกตามองท้องฟ้าฤดูฝนสีเทาหม่น พยายามปฏิเสธแสงวิบวับที่จุดประกายขึ้นกลางใจจากคำพูดง่ายๆของเขา ความจำเสื่อมนี่มันส่งผลให้ความรู้สึกนึกคิดดั้งเดิมซึ่งนอนเนื่องอยู่ในจิตใต้สำนึกเปลี่ยนไปได้หรืออย่างไร

“เจอหน้าแล้ว หายคิดถึงหรือยังล่ะ ถ้าหายก็กลับไปได้แล้ว เราจะไปทำธุระ”

“อะไรกัน เจอหน้ากันยังไม่ถึงห้านาทีก็ไล่แล้ว”

เขาเอ่ยเหมือนตัดพ้อ แต่น้ำเสียงเข้มขรึมก็ไม่อาจทำให้น้ำหนึ่งคิดเช่นนั้นได้

“เธอก็รู้ว่าฉันความจำเสื่อม ต้องการคนช่วยฟื้นฟูความทรงจำ เธอเป็นเพื่อนที่ฉันสนิท ก็น่าจะช่วยได้ในเรื่องนี้”
น้ำหนึ่งส่ายหน้า “เป็นวันอื่นได้ไหม วันนี้เราไม่ว่าง”

พูดแล้วก็สาวเท้าลงไปยืนบนถนน หวังจะข้ามไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวป้าช้อย โดยไม่ได้มองว่ามีรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งสวนเลนมา ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กระชั้นชิด

เอี๊ยด-ด-ด-ด-ด! เสียงรถเบรกลั่นเรียกสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมา น้ำหนึ่งใจเต้นระทึก ไม่รู้เลยว่านาทีนั้นเกิดอะไรขึ้น

รู้อีกทีต้นแขนเธอก็ถูกมือเย็นๆ คว้าและดึงกลับขึ้นมาบนบาทวิถี รอดพ้นจากการถูกรถเสยได้อย่างฉิวเฉียด ร่างเพรียวเซปะทะอกกว้างอย่างแรง และแขนแกร่งก็ตวัดรัดไว้ทันทีด้วยท่าทีปกป้อง รองเท้าแตะแบบหูคีบสีสันแสบตาข้างหนึ่งหลุดอยู่บนพื้นถนน

น้ำหนึ่งยังคงงงงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า จับต้นชนปลายไม่ถูก มอเตอร์ไซค์คู่กรณีหันกลับมามองหน้าเธออย่างไม่พอใจ ก่อนเลี้ยวหายไปในซอยแยกซึ่งอยู่ถัดจากบ้านเธอประมาณร้อยเมตร

“ทีหลังข้ามถนนก็หัดมองซ้ายมองขวาให้ดีเสียก่อนสิ” ชายหนุ่มบอกเสียงดุ

น้ำหนึ่งเพิ่งรู้ตัวว่าถูกเขากอด...ใช่...กอด การเอาท่อนแขนรัดร่างเธอไว้แบบนี้เรียกเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว

จากที่เคยคิดว่าตนสามารถโอบไหล่ กอดเอว ขี่คอเพื่อนสนิทต่างเพศได้โดยไม่คิดอะไรนั้น คงใช้ไม่ได้ในเวลานี้ เพราะใจเธอสั่นไหวยิ่งกว่าตอนเกือบถูกรถมอเตอร์ไซค์ชนเสียอีก

หญิงสาวสะบัดตัวหลุดจากพันธนาการ ก้มลงเก็บรองเท้าขึ้นมาบนบาทวิถี ใช้เท้าเขี่ยให้ตรงทิศทางก่อนสวม ริมฝีปากอิ่มเอ่ยโดยไม่มองหน้า

“ขอบใจนะ”

“แค่นี้ไม่พอหรอก”

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มตวัดมองเขาอย่างเอาเรื่อง ใบหน้าบึ้งตึง

“แล้วจะเอาแค่ไหน”

“ไม่รู้ ได้จนพอใจแล้วจะบอก” คนพูดยักไหล่

คำตอบพร้อมท่าทางแบบนี้สลายความรู้สึกละมุนในใจเมื่อนาทีก่อนเสียสิ้น ดูเขาไม่สนใจว่าสิ่งที่ตนอยากได้นั้นเธอพร้อมจะให้หรือเปล่า

เมื่อเขาไม่สน เธอก็ไม่สน น้ำหนึ่งมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นถนนว่างก็ก้าวฉับๆข้ามไปหาป้าช้อย รู้หรอกว่าเบื้องหลังมีคนตัวสูงก้าวตามมาติดๆเหมือนกลัวหลง

น้ำหนึ่งหงุดหงิดเมื่อเห็นป้าช้อยอมยิ้มมีเลศนัยเหมือนรอยยิ้มของโมนาลิซา เดาได้ว่าป้าคงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ บวกลบคูณหารจนได้คำตอบในใจแล้ว แถมวาริยังคงยืนปักหลักอยู่เคียงข้าง ไม่แปลกหรอกหากคำตอบที่ป้าช้อยหาได้จะไกลเกินจริงไปมากโข
หลังจากเธอแลกเบอร์โทร.กับป้าช้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น

“เลี้ยงก๋วยเตี๋ยวหน่อยสิ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยไว้เมื่อกี้”

หญิงสาวนิ่วหน้า ก่อนพ่นลมหายใจพรืดใหญ่ ท่าทางดื้อรั้นเอาแต่ใจแบบนี้ คำปฏิเสธคงไร้ประโยชน์ รีบๆกิน รีบๆกลับไปเลยแล้ว
กัน ก่อนที่มารดาเธอจะกลับจากร้านทำผมและมาเห็นเข้า

“จะกินอะไรก็สั่งสิ เดี๋ยวเรากลับมาจ่ายเงิน...ป้า เดี๋ยวค่าก๋วยเตี๋ยวของคุณคนนี้มาเก็บที่เพชรนะ” ประโยคหลังเธอหันไปบอกกับป้าช้อย

ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากร้าน ข้อมือก็ถูกคว้าหมับเข้าให้ น้ำหนึ่งกำมือข้างนั้นแน่นแล้วบิดให้หลุด แต่กลายเป็นว่ามือใหญ่ยังคงล็อกข้อมือเธอไว้อย่างเหนียวแน่น แถมออกแรงลากไปนั่งยังเก้าอี้ตัวติดๆกันอีกด้วย

“เป็นเจ้าภาพ ต้องอยู่จนจบงานสิ” ริมฝีปากหยักยิ้มพรายอย่างผู้ชนะ

น้ำหนึ่งเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ เกลียดแววตาพราวระยับซึ่งจ้องเธอแทบตลอดเวลา เหมือนจะบอกว่าเธอไม่มีทางหนีรอด
น้ำหนึ่งอยากขัดขืนความต้องการของเขา แต่ไม่ไว้ใจความห่ามห้าว กลัวเขาจะทำอะไรแผลงๆให้เธอตกเป็นเป้าสายตา โชคดีในช่วงนี้ลูกค้ารายอื่นดูแล้วเป็นคนต่างที่ต่างถิ่น คงเพราะตินพลนำร้านป้าช้อยชวนชิมไปลงอินสตาแกรมนั่นแหละ ร้านป้าเลยได้โปรโมตฟรี หากเป็นผู้คนละแวกนี้มาพบเข้าละก็ มีหวังเรื่องวาริมาทำตัวสนิทสนมกับเธอรู้ถึงหูอัญชันแน่

“ป้า ผมเอาเส้นหมี่น้ำตกเนื้อนะ” เขาสั่งเสียงดังพอให้ป้าช้อยได้ยิน ก่อนหันมาทางเธอ แม้เข้ามาในร้านแล้ว เขาก็ยังไม่ถอดแว่นกันแดด “เธอล่ะ กินอะไร”

“เราไม่หิว”

“ไม่ได้ ฉันไม่ชอบให้ใครมานั่งดูฉันกิน เธอจะคิดเอง หรือให้ฉันจัดให้”

“นี่เธอฟังที่เราพูดไม่รู้เรื่องหรือไง เราต้องไปทำธุระ ไม่ได้อยากกินก๋วยเตี๋ยว”

“ก็ไม่ได้ห้าม แต่ให้เธอเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวฉันก่อนไง ตกลงจะกินอะไร”

น้ำหนึ่งเม้มปากแน่นด้วยความอัดอั้น ตั้งแต่เข้ามานั่งในร้าน เขายังไม่ยอมปล่อยข้อมือเธอเลย ทั้งคำพูดและการกระทำของเขา ทำให้เธออารมณ์เสียจนอยากหาอะไรมาฟาดหน้าเขาสักที...เขาไม่เหมือนวาริคนเดิม ความอบอุ่นอ่อนโยนที่เธอหลงรักมลายไปสิ้น เหลือเพียงความห่ามห้าวเอาแต่ใจ นี่ถ้าใครบอกว่าคนที่เธอนั่งร่วมโต๊ะด้วยเวลานี้เป็นพี่น้องฝาแฝดของวาริที่มีนิสัยต่างกันสุดขั้ว เธอก็คงเชื่อ

หรือจะเป็นอย่างนั้น วาริมีพี่น้องฝาแฝดและเข้ามาสวมรอย ในขณะที่วาริตัวจริงประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปแล้ว...จะบ้าหรือน้ำหนึ่ง คิดเป็นตุเป็นตะไปได้ นี่ไม่ใช่ละครหลังข่าวนะ และเท่าที่รู้วาริก็ไม่เคยมีฝาแฝด

“ตกลงจะกินอะไร คิดได้หรือยัง ไหนว่าจะรีบไปทำธุระ แล้วมานั่งทำตาเขียวอยู่ได้ ไม่ยอมสั่งสักที มันเสียเวลาไหมเนี่ย”
เอาแต่ใจแล้วยังมีหน้ามาเร่งแถมประชดประชันอีก คนแบบนี้ ใครอยู่ใกล้ก็อารมณ์เสียด้วยกันทั้งนั้นแหละ

“ป้า เกาเหลาที่นึง” น้ำหนึ่งสั่งเสียงเข้ม โดยไม่หันมองป้าช้อยซึ่งนำเส้นหมี่น้ำตกเนื้อมาเสิร์ฟ นัยน์ตาวาวเรืองจ้องหน้าเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ประหนึ่งว่ามันคือชามเกาเหลาอันโอชะ

คนถูกจ้องยิ้มมุมปากก่อนพึมพำอย่างขบขัน “ไม่กินเส้นกันซะแล้ว”

ความอดทนขาดสะบั้นลงนาทีนั้น น้ำหนึ่งทุบโต๊ะปัง “ว่าน ถ้าอยากคุยกันนานๆก็เลิกกวนประสาทซะทีได้ไหม”

ขณะฉุนขาด กระแสเย็นเฉียบก็ไหลปราดจากอกซ้าย แล่นลิ่วสู่ดวงตาทั้งสองข้าง น้ำหนึ่งนิ่งงัน เพียงวูบเดียว กระแสประหลาดนั้นก็อันตรธานไป

เห็นชัดว่าคนที่ถนัดแต่กวนประสาทผงะแล้วนิ่งไป น้ำหนึ่งไม่เห็นดวงตาของเขาเพราะมันถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดดำสนิท จึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่นาทีนี้น้ำหนึ่งไม่สนใจแล้วว่าเขาจะคิดอะไร อย่างไร ครั้นป้าช้อยยกเกาเหลามาวางตรงหน้า เธอก็ลงมือกินทันที

“ไม่ปรุงหรือไง” เสียงทุ้มถาม พลางเลื่อนพวงเครื่องปรุงมาตรงหน้า

“ไม่จำเป็น” น้ำหนึ่งตอบเสียงเข้ม ปลายเสียงสะบัดนิดๆ ใช่ว่าเธอมัวแต่ขุ่นเคืองจนไม่สนใจรสชาติอาหาร แต่ฝีมือป้าช้อยอร่อยถูกปากอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปรุงเพิ่ม

“พอพูดดีด้วยก็มาแว้ดใส่”

ริมฝีปากอิ่มนุ่มถูกเจ้าตัวกัดไว้แน่น หักห้ามใจไม่ให้ต่อปากต่อคำกับเขา ทั้งที่ความจริงอยากย้อนถามนักว่าเธอไปแว้ดใส่เขาเมื่อไรกัน คนอย่างน้ำหนึ่งหรือจะแว้ดใส่ใคร ไม่มีทาง เธอได้แต่นิ่งมองเขาเลื่อนพวงเครื่องปรุงไปใกล้ชาม ตักพริกป่นแดงๆใส่ลงไปเป็นอย่างแรก หนึ่งช้อน สองช้อน และสามช้อน...น้ำหนึ่งตาโต ลืมเรื่องราวขุ่นใจเมื่อครู่ไปชั่วคราว

“เฮ้ย จะกินพริกขนาดนั้นเลยเหรอ” เธอละล่ำละลักถาม กลัวเขาจะบ้ากินเข้าไปจริงๆ “ดูสิ เลือดก็ยังไม่สุกดีเลย พริกก็ลอยเต็ม เปลี่ยนชามใหม่ดีไหม”

คนถูกทักถามเลิกคิ้วสูง “ทำไม ว่านคนก่อนไม่กินเผ็ดหรือไง”

หญิงสาวส่ายหน้า มองชามก๋วยเตี๋ยวของอีกฝ่ายที่บัดนี้แดงเถือก แล้วกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น แค่เห็นก็แสบไปถึงไส้แล้ว

“อย่าว่าแต่เผ็ดเลย พริกสักเม็ดก็ไม่แตะ”

“เหรอ” เขาส่งเสียงหึในลำคอคล้ายขบขันเสียเต็มประดา แล้วพูดหน้าตาเฉย “แปลว่านายว่านคนนี้แซ่บกว่าคนก่อน...ทำไมทำหน้าแบบนั้น ไม่เชื่อหรือไง”

น้ำหนึ่งไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าแบบไหน รู้แต่ว่าหมั่นไส้นายว่านคนนี้เต็มที

“ถ้าไม่เชื่อ...จะลองชิมดูก็ได้นะ ไม่เคยหวง”

ดวงตากลมโตตวัดมองหน้าเขาอีกครั้ง แม้ชายหนุ่มจะเลื่อนชามก๋วยเตี๋ยวที่เต็มไปด้วยพริกป่นมาตรงหน้า ทว่าน้ำหนึ่งไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาท้าให้ชิมไม่ใช่เส้นหมี่น้ำตกเนื้อชามนี้หรอก และเดาได้ว่าดวงตาหลังเลนส์สีดำสนิทคู่นั้นคงกำลังมองเธออย่างท้าทายพอๆกับรอยยิ้มของเขานั่นละ




ฝีมือป้าช้อยคงถูกปากมาก วาริจึงสั่งน้ำตกเนื้อเพิ่มอีกสองที่ แถมระบุด้วยว่าขอเลือดสุกๆดิบๆ น้ำหนึ่งเห็นเขากินแล้วพะอืดพะอมอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งใกล้ชิดเท่าไรก็ยิ่งเห็นความผิดปกติมากเท่านั้น

จบมื้อก๋วยเตี๋ยวแล้ว แต่วาริไม่จบการระรานน้ำหนึ่ง ใช่ เขาระราน ลิดรอนความสุขในวันพักผ่อนสบายๆของเธอไปเสียสิ้น หญิงสาวคิดว่าเขาจะแยกตัวกลับไปทันทีที่เธอจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยว แต่เปล่าเลย ขณะเดินมายังรถที่จอดไว้ เขากลับถามเธอว่า

“ไปทำธุระนานหรือเปล่า จะเป็นไรไหมถ้าฉันจะอยู่รอเธอที่บ้าน”

“อยู่รอที่บ้าน จะบ้าเหรอ” น้ำหนึ่งเสียงดังใส่ ถ้าขืนทำแบบนั้น มีหวังแม่อาละวาดบ้านพัง ชะดีชะร้ายเกิดช็อกเพราะอารมณ์โกรธพุ่งจี๊ด ต้องวุ่นวายพาไปส่งโรงพยาบาลอีก เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องทำนองนั้น

“อ้าว ไม่รอที่บ้านแล้วจะให้ไปรอที่ไหน หรือจะเป็น...” ชายหนุ่มแลลึกเข้าไปทางท้ายซอย ริมฝีปากหยักอมยิ้มกวนประสาทท่าทางแฝงเลศนัย

น้ำหนึ่งมองตาม ก่อนถึงร้านกาแฟที่น้ำหนึ่งเคยไปพบเขา มีป้ายขวางถนนบรรจุตัวอักษรสีเขียวเข้มอ่านได้ความว่า ‘ปีบอิน’ นั่นมันโรงแรมม่านรูดชัดๆ

สองมือบอบบางกำแน่นโดยพลัน ตาโตจ้องหน้าเขาเขม็ง

“พูดต่อให้จบสิ” เสียงเข้มขุ่น โกรธเคือง

“ก็ถ้าไม่ให้รอที่บ้าน จะให้รอที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหรือไง”

เธอกำลังถูกยั่ว น้ำหนึ่งบอกตนเองพลางนับหนึ่งถึงสิบในใจขณะสะบัดหน้าหนี ก้าวฉับๆตรงไปยังรถของตน ปลดล็อกแล้วขึ้นนั่ง ยังไม่ทันเสียบกุญแจ คนช่างยั่วก็เปิดประตูอีกฟากเข้ามานั่งหน้าตาเฉย ดึงเข็มขัดนิรภัยไปคาดราวประกาศให้รู้ว่าเธอไปไหน เขาไปด้วย

ครั้นน้ำหนึ่งหันไปขึงตามอง ชายหนุ่มก็เลิกคิ้ว ยักไหล่ แล้วตอบง่ายๆ

“เปลี่ยนใจไม่รอแล้ว เพราะเธอจะชิ่งหนีแล้วปล่อยให้ฉันรอเงก ไปด้วยกันเลยดีกว่า ธุระของเธอคงไม่ใช่การไปเดตกับหนุ่มที่ไหนหรอกมั้ง เพราะแต่งตัวแบบนี้...” เขามองเธอขึ้นๆลงๆแล้วส่ายหน้า

น้ำหนึ่งกำพวงมาลัยแน่น ความรู้สึกตอนนี้ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้จริงๆ รู้แต่ว่าถูกไล่ต้อนด้วยการกระทำไปจนชิดมุม ยากจะพลิกหนีลี้หลีกได้ง่ายๆ อยากเอาหัวโขกลงไปบนพวงมาลัยแรงๆ หรือไม่ก็หันไปตะกุยใบหน้ากวนประสาทของคนบนเบาะข้างกายให้หายคับข้องใจ เธอเกลียดคนช่างตื๊อและชิงชังคนพูดไม่รู้เรื่องเป็นที่สุด วาริคนนี้มีครบทั้งสองอย่าง เธอควรขอบคุณเขาใช่ไหมที่ทำให้ตัวเองตัดใจจากเขาได้ง่ายขึ้น

จะทำยังไงดี พาเขาไปด้วยก็ได้ แล้วค่อยหาทางปล่อยทิ้งข้างทางทีหลัง

“อย่าคิดจะทิ้งฉันเชียวนะ ฉันความจำเสื่อม หาทางกลับเองไม่ถูกแน่” เขาพูดราวกับมานั่งอยู่กลางใจ

ปรี๊ดแตกเป็นอย่างไร น้ำหนึ่งเข้าใจถ่องแท้ในนาทีนี้เอง อยากกรีดร้องให้หายโมโห แต่ที่ทำได้คือสตาร์ตรถ เหยียบคันเร่งพารถพุ่งทะยานไปข้างหน้า สมองวิ่งจี๋ครุ่นคิดหาทางกำจัด ‘ส่วนเกิน’ จนลืมไปสนิทว่าธุระของตนคืออะไร

รถญี่ปุ่นสีขาวคันกะทัดรัดแล่นฉิวมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ จนเกือบจะถึงนครปฐมอยู่รอมร่อจึงเพิ่งคิดได้ ทำให้ยิ่งหงุดหงิดไปกันใหญ่ แถมส่วนเกินก็ยังคงนั่งมองโน่นนี่อย่างสบายอารมณ์ ดูน่าหมั่นไส้ยิ่งนัก

น้ำหนึ่งปล่อยให้ความเงียบยึดครองบรรยากาศภายในรถไว้เช่นนั้น วาริเปลี่ยนไปมาก นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วไม่มีสิ่งใดเหมือนวาริที่เธอเคยคุ้น หากเธอชวนพูดคุยหรือช่วยเล่าเรื่องราวต่างๆเพื่อฟื้นฟูความทรงจำ เกรงว่าจะถูกกวนประสาทจนเส้นเลือดในสมองแตกตายไปเสียก่อนที่อีกฝ่ายจะจำความเดิมได้

เพราะมัวแต่จมอยู่ในห้วงความคิด ครั้นเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หญิงสาวจึงสะดุ้งจนคนข้างกายหลุดขำ น้ำหนึ่งทำเป็นไม่สนใจ จอดรถแอบเข้าข้างทางและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย

“เพชร แม่จะไปปฏิบัติธรรมสิบห้าวันนะ หนูอยู่บ้านคนเดียวได้หรือเปล่า”

“อะไรนะ แม่จะไปปฏิบัติธรรมสิบห้าวัน” น้ำหนึ่งเสียงดังด้วยคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้ เมื่อเช้าอัญชันยังอยากสวยร้องขอให้ช่วยพาไปร้านทำผมอยู่เลย “ทำไมนานขนาดนั้นล่ะ แล้วแม่จะไปที่ไหน กินอยู่ยังไง”

“เป็นบ้านของเพื่อนแม่จ้ะ เขาเปิดให้คนไปปฏิบัติธรรม เพชรไม่ต้องห่วงแม่นะ เกดจะไปกับแม่ด้วย”

น้ำเสียงที่บอกเล่าฟังรู้ว่าพยายามปรับให้เป็นปกติ กระนั้นก็ยังมีกระแสสั่นน้อยๆ คล้ายว่ามีเรื่องให้วิตกกังวลหรือหวาดกลัว เมื่อจับพิรุธได้ก็โพล่งถามไปทันที

“แม่ แม่เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงสั่นแบบนั้น”

อัญชันนิ่งไปนิด แล้วปล่อยเสียงหัวเราะเบาๆ เสียงที่พูดร่าเริงเกินจริง “สั่นเสิ่นอะไรกัน คลื่นโทรศัพท์ไม่ดีหรือเปล่า แม่สบายดี”

“แล้วแม่จะไปเมื่อไหร่”

“วันนี้แหละจ้ะ”

“วันนี้!” น้ำหนึ่งเสียงดังขึ้นมาอีก

“ใช่จ้ะ วันนี้”

“งั้นแม่รอเพชรเดี๋ยวนะ เพชรจะไปส่ง” ส่งเพื่อจะได้รู้ว่ามารดาไปปฏิบัติธรรมที่ไหน อยู่อย่างไร

“ไม่ต้องหรอกเพชร เพื่อนแม่มารับแล้ว เรากำลังจะไปกันเดี๋ยวนี้ แม่โทร.บอกเพชรก่อน และช่วงที่อยู่ปฏิบัติธรรมแม่จะปิดการ

สื่อสาร เพชรอยู่บ้านคนเดียวได้นะ”

“อะไรอะ ทำไมรวดเร็วกะทันหันไปหมดแบบนี้” หญิงสาวโวยวาย “ถ้าเพชรบอกว่าอยู่ไม่ได้ แม่จะล้มเลิกความคิดไหมล่ะ”
คนถูกถามเงียบไป น้ำหนึ่งได้ยินเสียงทอดถอนลมหายใจดังอยู่ผะแผ่ว

“เพชรไม่ต้องห่วงแม่นะจ๊ะ ดูแลตัวเองให้ดี แม่ฝากป้าช้อยช่วยส่งปิ่นโต เพชรจะได้ไม่ต้องวุ่นวายทำอาหาร สิบห้าวัน แป๊บเดียวเดี๋ยวก็ผ่านไปแล้ว” มารดาปลอบเสียงอ่อน “แม่ไปก่อนนะเพชร บุญรักษานะลูก”

มารดาวางสายไปแล้ว น้ำหนึ่งยังคงนั่งนิ่งมองโทรศัพท์ นึกไม่ออกว่าอะไรกันดลจิตดลใจให้มารดาตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมอย่างปุบปับเช่นนี้ สิ่งนั้นคงสำคัญสำหรับท่านไม่น้อย แต่มันง่ายดายและรวดเร็วเกินไปไหม เพื่อนชวนปุ๊บก็ไปปั๊บเนี่ยนะ ตั้ง ๑๕ วัน ไม่ใช่น้อยเลยสำหรับคนที่เพิ่งลองครั้งแรก หรือว่า...มีอะไรที่เธอไม่รู้แอบซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กันแน่

แม่ไม่อยู่บ้านแล้ว เธอก็ไม่ควรลากพาวาริไปไหนด้วย กลับบ้านและหาทางไสส่งเขาไปให้พ้นหน้าคงดีที่สุด หรือว่าพาเขาไปส่งให้เปมิการับช่วงต่อดีนะ ยังไม่ทันได้บทสรุป ส่วนเกินที่เธอกำลังคิดหาวิธีกำจัดก็โพล่งขึ้น

“เลี้ยวไปทางนั้นหน่อยสิ”

น้ำหนึ่งนิ่วหน้า ไม่ชอบใจที่ถูกออกคำสั่ง ยิ่งก่อนหน้านี้ไม่นานคนสั่งได้ยั่วโมโห พูดจากวนประสาทจนหัวหมุนไปหมด คำสั่งของเขายิ่งน่าขัดขืน แต่ท่าทีรำลึกนึกได้นั่นเองที่ทำให้น้ำหนึ่งยอมทำตาม บางทีถ้าจดจำได้ว่าแต่ก่อนเขาเป็นวาริที่สุภาพอ่อนโยนเพียงใด เขาอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็ได้ เธอคิดอย่างมีความหวังขณะเลี้ยวรถไปตามทิศทางที่เขาคอยบอกเป็นระยะ
กระทั่งรถแล่นผ่านรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ และมาจอดนิ่งอยู่หน้าตึกอธิการบดี น้ำหนึ่งจึงหันไปมองหน้า สบตา และถามเขาด้วยความสงสัย

“เธอมาที่นี่ทำไมว่าน”

เขากวาดตามองภายนอกรถ ยิ้มมุมปากกับภาพทิวทัศน์อันคุ้นเคย

******************************

ทักทายท้ายเรื่อง

เกดซ่า เธอกลายเป็นที่จับตามองไปแล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

น้องยิ้มจัง เกดว่าขโมยซีนทุกคนไปหมดแล้ว เธอเป็นตัวร้ายซ่อนอยู่ในหน้าวื่อตาใส หรือเป็นตัวอะไรก็ต้องลุ้นกันไปเรื่อยๆ รับรองว่าไม่นานเกินรอ

พี่แตงกวาสุดเลิฟ ดูสะอกสะใจนักที่เป๊กกี้ ได้รันนี่ เอ๊ย! ชรัณ แหม ติดหนอนน้อยมา นางตั้งชื่อตัวละครให้ใหม่หมดเบย

หนูบาร์บี้ เพราะอ่านมาทุกเรื่องใช่ไหม เลยไม่ไว้ใจคนเขียนเอาเสียเลย

เหมือนฝัน อย่าลืมถนอมสายตานะนะ อย่าเพ่งมาก ไลคือย่างเดียวก็ได้ ๕๕๕

คุณน้องหมีบุลินทร ไหนๆจ่ายค่าตัวแล้ว ก็ต้องเป็นที่จับตามองนิดหนึ่งอะนะ จะให้มาเดินเล่นฟรีๆผ่านสายตานักอ่านไปมานั้นเสียของ รอดูท่านรัฐมนตรีบดินทร์ดีกว่าว่าจะโดนภาวินปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรบ้าง ก๊ากกก

พี่เก้าของตัวนุ่ม แบดบอย แต่ไม่ถ่อย ไม่โฉดก็น่ารักนะ แต่อีเผด็จคงทำได้ทุกอย่าง ก็หนีมาจากนรกนี่นา ไม่มีอะไรจะเสีย

นักอ่านเหนียวหนึบ ตอนนี้เกดซ่าถูกจับตามองแบบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้แล้ววว

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ คอมเม้นท์ของน้องทำให้พี่ตาสว่าง เพราะชื่อทั้งหลายแหล่ที่น้องตั้งให้ใหม่นี่แหละ สรุปเราจะลงท้ายด้วยสระอีกันตลอดชิมิ ภาวินจะกลายเป็นภาวี่ แล้วดังปัณณ์ จะกลายเป็น ดัง...>< ก๊ากกก เข้าเรื่องดีกว่านิ ตกลงเธอจะเป็นติ่งใครจ้ะ เดี๋ยวมาชูป้ายไฟเชียร์วานี่ เดี๋ยวจะจับถ่วงลงหม้อ เอาไปให้ไอ้พี่เก้ากำราบด้วยมีดหมอเลยดีมะ

คุณสุขุมวิท๖๖ สงสัยเกดว่าว่ามันแปลกๆมาตั้งแต่ต้นแล้วใช่ไหมคะ ต้องตามกันต่อไปค่ะว่านางจะหลุดพิรุธอะไรมาอีก

คุณ Moona Narak เกดว่าเป็นสายโจรใช่หรือไม่ หรือเป็นอะไรที่มากกว่านั้น คงจะได้รู้กันแน่นอนค่ะ

แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะคะทุกคน ที่นี่ ที่เดียว




ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ย. 2557, 03:43:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ย. 2557, 03:43:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1372





<< บทที่ ๙ (ครึ่งแรก)   บทที่ ๑๐ (ครึ่งแรก) >>
อสิตา 23 ก.ย. 2557, 03:51:14 น.
ป้าสองคนนี้ลงนิยายกันอย่างขยันขันแข็ง เอ้กอี๊เอ้ก //ขันก่อนไก่


ketza 23 ก.ย. 2557, 06:14:22 น.
ตื่นมาอ่านแต่เช้าเยยย


ketza 23 ก.ย. 2557, 06:20:05 น.
มาแว้ววว กินเกาเหลาสุดแซ่บบ แหม่ๆ เจ้าตัวการันตีความแซ่บเองขนาดนี้ น้ำหนึ่งไม่ลองไม่รู้น๊าาาา 555


yimyum 23 ก.ย. 2557, 06:25:16 น.
กลับบ้านตัวเองเหรอว่าน


ใบบัวน่ารัก 23 ก.ย. 2557, 06:43:00 น.
มี แต่เรื่องที่ไม่น่าไว้วางใจ
คสช ช่วยได้นะ


ดังปัณณ์ 23 ก.ย. 2557, 10:42:47 น.
โน้ววววววววววววววววววววว ดัง....อะไรนั่นไม่อ้าวววววววววววววววววววววววว บ้าๆๆๆๆๆๆๆ ขุ่นพี่ก้อ 555+

อะแฮ่ม! เข้าเรื่องๆๆ 555+ เกดซ่านี่แปลกๆ จะทำอะไรแม่หนูน้ำล่ะนั่น แหมๆๆๆนังเด็จจี้นี่น่าหมั่นไส้ซะจริง พี่ล่อน้ำตกเลือดสาดเลยอ่า แอร๊ยยยยยยยยย พยาธิตัวตืด อ๊ะรู้แล้ว ตอนจบของเรื่องนี้เป็นยังไง เด็จจี้ตายเพราะเป็นพยาธิ เอ๊ะ...เดี๋ยวๆๆ จูนๆๆ ไม่ใช่แระ กร๊ากกกกกกกกกกกกก

ว่าแต่เด็จจี้ไปทำไรที่มหาลัย อุๆๆๆ แต่ว่าการให้อิพี่เก้าลงโทษด้วยมีดหมอ ยอมค้าาาาาาาาาาาาาา ตอนนี้พี่เก้ามาแรง เวลานางยุกับตัวนุ่มน่าร๊ากกกก 555+ พี่เก้าดูเป็นปู้จ้ายอบอุ่น

แต่นางเด็จจี้นี่กวนประสาท น่าหมั่นไส้ ดักมุมตึกเอาไม้ทุบหัวลากเข้าห้อง 555+


นักอ่านเหนียวหนึบ 23 ก.ย. 2557, 11:46:03 น.
เกดซ่าเอาคุณแม่ไปเป็นตัวประกันแล้วววว
อ่าตอนนี้แล้ว ขอปรบมือให้ไรเตอร์เลย เค้ารำคาญอินายเผด็จมากกกก ถึงมากที่สุด อยากให้นายว่านจอมจืดชืดกลับมาแทนไวๆ เลย


Barby 23 ก.ย. 2557, 18:13:26 น.
เอเกดซ่าทำให้น่าสงสัยมากขึ้น แต่คนน่าสงสัยต้นเรื่องทีไรท้ายเรื่องจะน่าสงสาร


Sukhumvit66 23 ก.ย. 2557, 18:29:42 น.
ก๊วยเตี๊ยวรสเผด็จ รสชาติเป็นไงหนอ.....อยากชิม

แล้วคุณแม่ไปเองหรือโดนบังคับง่ะ.....โอ๊ย อยากรู้


บุลินทร 23 ก.ย. 2557, 20:33:10 น.
รัฐมนตรีบดินทร์ก็เด่นระดับนึงนะนี่ ฉากก๋วยเตี๋ยวที่ตัดมาเรียกน้ำย่อยในเพจมาแล้ว ตาเผด็จจะทำให้น้ำหนึ่งหวั่นไหวได้หรือเปล่า


พันธุ์แตงกวา 23 ก.ย. 2557, 22:26:29 น.
ช่วงนี้แม่ยกต้องเข้าถ้ำไปแก้งาน อาจไม่ได้มาทำหน้าที่นะ เดี๋ยววิญญาณเผด็จจะตามไปหลอนที่วังศิลารัศมิ์มั้ยเนี่ย


patok 2 ต.ค. 2557, 10:51:05 น.
สงสารแม่น้ำหนึ่งจังเลย เกดซ่าต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆ เลวร้ายอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account