ติดบ่วงหัวใจ
นายตำรวจหนุ่มมาดขรึม..ผู้ไม่เคยเห็นผู้หญิงสำคัญเกินกว่างานจับผู้ร้าย
กับพริตตี้สาวสวยนุ่งสั้น..ผู้พ่วงตำแหน่งเมียน้อยญาติผู้ใหญ่ของเขา
สำหรับกวินท์..
หล่อนตำ่ต้อยเกินกว่าเขาจะยอมรับมายืนเคียงข้าง
สำหรับบุศนีย์..
เขาวางตัวเองเอาไว้เสียสูงส่ง..มองหล่อนเหมือนดอกไม้ข้างถนนที่ไม่คิดจะเด็ดดม
แต่ใครจะรู้..ว่าผู้หญิงที่เขามองว่าต้อยตำ่คนนี้..เธอคือคนที่กำหัวใจของเขาเอาไว้แล้วทั้งดวง !
เป็นนิยายอีกเรื่องของโอชินค่ะ พระ-นาง ปะทะเชือดเฉือนสไตล์ตบจูบทั่วไป ดราม่านิดหน่อยตรงชีวิตนางเอก..มาตามลุ้นตามเชียร์การฟาดฟันหัวใจรักของคนสองคนกันค่ะ..
เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ที่ตำรวจหล่อๆอนาคตรุ่งทั้งหลายอย่างหมวดแคน แล้วก็อีกหลายท่านต้องมาตายลงเพราะการปฎิบัติหน้าที่..อยากให้เมืองไทยมีตำรวจดีๆเยอะๆบ้านเมืองเราจะได้สงบสุข
แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานของตำรวจนะคะ ไม่มีบทบู๊แอคชั่นของพระเอกเพราะบอกแล้วว่านี่มันนิยายแนวตบจูบค่ะ เราแค่จำลองภาพตำรวจหนุ่มตงฉินคนหนึ่งมาเป็นพระเอกของเราเท่านั้นเอง เรื่องนี้แม้จะมีรสขมอยู่บ้างแต่ก็จบแฮปปี้นะคะ ฝากให้อ่านอีกเรื่องค่ะ
กับพริตตี้สาวสวยนุ่งสั้น..ผู้พ่วงตำแหน่งเมียน้อยญาติผู้ใหญ่ของเขา
สำหรับกวินท์..
หล่อนตำ่ต้อยเกินกว่าเขาจะยอมรับมายืนเคียงข้าง
สำหรับบุศนีย์..
เขาวางตัวเองเอาไว้เสียสูงส่ง..มองหล่อนเหมือนดอกไม้ข้างถนนที่ไม่คิดจะเด็ดดม
แต่ใครจะรู้..ว่าผู้หญิงที่เขามองว่าต้อยตำ่คนนี้..เธอคือคนที่กำหัวใจของเขาเอาไว้แล้วทั้งดวง !
เป็นนิยายอีกเรื่องของโอชินค่ะ พระ-นาง ปะทะเชือดเฉือนสไตล์ตบจูบทั่วไป ดราม่านิดหน่อยตรงชีวิตนางเอก..มาตามลุ้นตามเชียร์การฟาดฟันหัวใจรักของคนสองคนกันค่ะ..
เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ที่ตำรวจหล่อๆอนาคตรุ่งทั้งหลายอย่างหมวดแคน แล้วก็อีกหลายท่านต้องมาตายลงเพราะการปฎิบัติหน้าที่..อยากให้เมืองไทยมีตำรวจดีๆเยอะๆบ้านเมืองเราจะได้สงบสุข
แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานของตำรวจนะคะ ไม่มีบทบู๊แอคชั่นของพระเอกเพราะบอกแล้วว่านี่มันนิยายแนวตบจูบค่ะ เราแค่จำลองภาพตำรวจหนุ่มตงฉินคนหนึ่งมาเป็นพระเอกของเราเท่านั้นเอง เรื่องนี้แม้จะมีรสขมอยู่บ้างแต่ก็จบแฮปปี้นะคะ ฝากให้อ่านอีกเรื่องค่ะ
Tags: ตำรวจหล่อ,พริตตี้ , ตบจูบ ,
ตอน: ตอนที่ 3.
“แป้ง! ยัยแป้ง เฮ้ย! ยืนเหม่ออะไรยะ โน้น! เขาไชโยกันแล้ว ยกแก้วขึ้นมาสิหล่อน!”
บุศนีย์สะดุ้งโหยงเมื่อโดนศอกของสินีกระทุ้งเบาๆที่สีข้าง เมื่อมองไปโดยรอบก็พบว่าบรรดาแขกเหรื่อภายในงานต่างก็กำลังชูแก้วเครื่องดื่มในมือร้องไชโยให้กับคู่บ่าวสาวบนเวทีกันเอ็ดอึง
“แหม...เรียกตั้งนานไม่รู้สึกตัว ยืนเหม่อตาลอยคิดถึงผู้ชายที่ไหนอยู่ล่ะ พ่ออาร์โนล์คนนั้นรึเปล่า?”
“อะไรนะ...อาร์โนล์ไหน?”
บุศนีย์ถามกลับงงๆก่อนจะยิ้มขบขันกับฉายาหนุ่มนิรนามที่สินีเอ่ยถึง
“อ้าว! ก็หนุ่มหน้าเข้มคนนั้นไง คนที่หล่อนชนเมื่อกี้”
“บ้า! ไปว่าเขาเป็นอาร์โนล์”
“ก็สูงใหญ่ ล่ำบึกเหมือนคนเหล็กซะขนาดนั้น เพิ่งจะรู้นะนี่ ว่าสเป็คของหล่อนเป็นแบบนี้”
“จะบ้าหรือ...ฉันไม่ได้สนใจอะไรเขาสักหน่อย”
บุศนีย์รีบปฏิเสธ แต่เพื่อนสาวทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะยอมเชื่อง่ายๆ
“ไม่เชื่อ! เมื่อกี้เห็นนะ ว่าแอบสบตากันปิ๊งๆ” มัทนารีบผสมโรงทันที
“เซี้ยว! ไม่คุยกับพวกหล่อนแล้วหาของกินดีกว่า” บุศนีย์แสร้งไม่ใส่ใจรอยยิ้มล้อเลียนของเพื่อนสาว หล่อนเดินมาจิ้มผลไม้ใส่จานรวมทั้งขนมหวานอีกสองสามชิ้นและบุศนีย์เท่านั้นที่รู้ว่าตนเองโกหก
หล่อนกำลังคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่จริงๆนั่นแหละ ก็ไม่รู้ว่าหล่อนไปติดใจอะไรกับผู้ชายหน้าเข้มตาดุคนนั้น จะว่าหล่อนปิ๊งผู้ชายคนนั้นอย่างที่เพื่อนสาวทั้งสองกล่าวหามันก็ไม่ถึงขนาดนั้น หล่อนก็แค่รู้สึกสะดุดตากับบุคลิกท่าทางของเขาก็เท่านั้น สมัยนี้จะหาผู้ชายท่าทางเข้มแข็งบึกบึนสมชายนั้นหาได้ยากยิ่ง ในยุคที่ผู้ชายเริ่มเบี่ยงเบนทางเพศ ผู้ชายแอ๊บแมน มีให้เห็นอยู่ดาดเดื่อน
แต่ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้แอ๊บแมนแน่ๆ บุศนีย์แน่ใจว่าหล่อนได้เห็นสายตาพร่าพรายที่ผู้ชายคนนั้นจงใจใช้สำรวจเรือนร่างของหล่อนขณะที่อยู่ด้วยกันภายในลิฟต์ สายตาเจ้าชู้โลมเลียแบบนั้น มีเก้งกวางที่ไหนใช้มองผู้หญิงบ้างล่ะ พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร หน้าของบุศนีย์ก็ร้อนผ่าว ทั้งฉุน ทั้งอาย บอกไม่ถูก!
“แล้ววันนี้นึกยังไงถึงได้แต่งตัวโป๊นักยะ ดูสินั่น! เปิดทั้งบน เปิดทั้งล่าง จนพวกผู้ชายในงานมองหล่อนน้ำลายหยดติ๋งๆแทบจะลืมลูกลืมเมียที่บ้านกันหมดแล้ว” สินีถามขณะปรายตามองชุดราตรีสีดอกกุหลาบแสนสั้นที่โชว์ทั้งเนินเนื้อเนียนๆกับต้นขาขาวๆของเพื่อนสาวก่อนจะเบะปากให้
“จะอะไรล่ะ ฉันกลับไปเปลี่ยนชุดไม่ทันน่ะสิ ออกจากไบเทค ฝนก็เทโครมๆ กว่าจะโบกแทกซี่มาถึงนี่ได้ก็รอแล้วรออีก ดีเท่าไหร่แล้วที่มาทัน”
“อ้าว! นี่หล่อนรับงานอีกแล้วหรือ ไหนว่าเลิกแล้วไอ้อาชีพพริ้ตต้งพริ้ตตี้อะไรเนี้ย”
สินีมองหน้าสวยๆของเพื่อนสาวที่เซียวลงทันตาอย่างสงสัย
“ก็ร้อนเงิน ต้องหาเงินไปจ่ายค่าเทอมหลาน พอดีมีคนติดต่องานนี้เข้ามาฉันก็เลยรับ งานมอเตอร์โชว์น่ะ นี่ก็โป๊น้อยแล้วนะ ไปดูพวกพริ้ตตี้มอเตอร์ไซด์สิ สู้พวกนั้นได้ที่ไหน พวกนั้นเขาต้องเนื้อนมไข่ แต่ค่ายที่ฉันทำเขาไม่ได้เน้นเรื่องเซ็กซี่อะไรเท่าไหร่ เงินก็ดี แถมยังจ่ายเร็วด้วย จบงานก็จ่ายเลยวันต่อวัน”
“ฉันก็ไม่ได้ดูถูกอาชีพพริตตี้จำเป็นของหล่อนหรอกนะ แต่ฉันไม่อยากให้เพื่อนต้องโดนไอ้พวกผู้ชายหื่นกามทั้งหลายมาคอยมองแทะโลมให้เปลื้องเนื้อเปลืองตัว เลิกได้ก็เลิกเถอะแป้ง ไม่มีตังค์ก็บอกเดี๋ยวฉันให้ยืมเอง จะเอากี่หมื่นบอกมาคำเดียว”
“นั่นสิ! ให้พี่ติหางานให้มั้ยล่ะ ถ้าแกอยากได้งาน?”
บุศนีย์สั่นหน้าปฏิเสธเหมือนทุกๆครั้งที่เพื่อนสาวทั้งสองเสนอความช่วยเหลือให้ ยิ่งเพื่อนดีต่อหล่อนมากเท่าไหร่บุศนีย์ก็ยิ่งต้องเกรงใจเพื่อนของหล่อนมากเท่านั้น สินีและมัทนาเป็นเพื่อนรักของหล่อนนับตั้งแต่ที่ทั้งสามสาวเริ่มเข้าเรียนนาฏศิลป์ปีแรกๆ สินีเป็นลูกสาวนักธุรกิจใหญ่มีกิจการเกี่ยวกับร้านอาหารหลายแห่ง ส่วนมัทนาเป็นถึงลูกสาวของอดีตนายพลชื่อดัง แน่นอนว่าเพื่อนสาวทั้งสองของหล่อนมีฐานะร่ำรวยล้นฟ้าแต่บุศนีย์ไม่เคยคิดที่จะใช้ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกอบโกยผลประโยชน์มาจากคนทั้งคู่ สิ่งนั้นเองที่นำมาซึ่งมิตรภาพและทำให้เพื่อนสาวทั้งสองต่างยอมรับหล่อนเข้าไปสู่ฐานะเพื่อนรักได้อย่างสนิทใจ
“อย่าเลยมัท ขอเราช่วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ไหวยังไงจะบอก”
นั่นแหละบุศนีย์ หล่อนไม่เคยยอมรับความช่วยเหลือจากใครหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ชีวิตลำเค็ญตั้งแต่วัยเด็กหล่อหลอมให้หล่อนกลายเป็นคนอดทนกับความยากลำบากได้เป็นอย่างดีขัดแย้งกับรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอกอย่างสิ้นเชิง
“เออนี่...พรุ่งนี้เธอสองคนไม่ได้ทำงานกันใช่มั้ย?”
มัทนาถามขึ้นมาอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้เพื่อนสาวทั้งสองสั่นหน้าแทบจะพร้อมกัน
“ทำไม พรุ่งนี้หล่อนจะชวนฉันกับยัยแป้งไปไหน?”
“ไม่ใช่พรุ่งนี้ แต่เป็นคืนนี้ต่างหาก ดื่มฟรี กินฟรี แดนซ์ฟรี สนมั้ย?”
“ใครเสนอตัวเป็นสปอนเซอร์ให้หล่อนละยัยมัท”
“จะใครก็ช่างเหอะน่า ถ้าพวกหล่อนสองคนตกลงใจที่จะไป ฉันจะได้โทรไปคอนเฟริ์มกับคนจ่ายตังค์ว่าคืนนี้ฉันไปแน่ๆ จะพาเพื่อนไปด้วย งานนี้ถล่มให้เละเลยนะเพื่อน”
มัทนายิ้มกริ่มอย่างคนมีแผน จนสินีอดแซวไม่ได้
“แผนลองใจว่าผู้ชายสปอร์ตพอหรือเปล่าอีกละสินะ ช่างเป็นแผนที่สร้างโบนัสงามๆให้กับร้านอาหารผับบาร์ในกรุงเทพฯดีแท้ รายนี้พ่อหรือแม่แกหามาให้อีกล่ะ?”
“ป๋าน่ะสิ ลูกชายรัฐมนตรีกระทรวงอะไรก็ไม่รู้ ท่าทางขี้ตืด ฉันจะหลอกพาไปถลุงเงินซะให้เข็ด”
“เอาสิ! อยากถลุงเงินเศรษฐีเล่นอยู่เหมือนกัน ไปนะแป้ง ไปเป็นไม้กันหมาให้ยัยมัทมันหน่อย”
“ไปก็ได้...ว่าไงก็ว่าตามกัน”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผับเปิดใหม่ในย่านที่ถือว่าราคาที่ดินแพงสูงสุดในกรุงเทพฯที่มีชื่อว่า อะเดล แม้ยังไม่ดึกมากมายนักก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดานักท่องราตรีทั้งชายหญิง กวินท์เดินผ่านประตูเข้าไปด้านในรู้สึกชิงชังบรรยากาศอันแสนจะอึกทึกครึกโครมจนต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ เขานึกว่าการนัดหมายในครั้งนี้จะเป็นการนัดพบปะพูดคุยกันระหว่างกลุ่มเพื่อนที่เรียนจบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วยกัน เสียอีก ครั้นเมื่อชายหนุ่มมาถึงสถานที่นัดหมายกลับพบว่าพวกเพื่อนๆพาหญิงสาวหน้าแฉล้มติดตามมาเป็นฝูง
“น๊า...วินท์ น้องเขาอยากมาเที่ยว ตามใจน้องเขาหน่อย น้องกิ๊กนั่งห่างพี่เขาไปรึเปล่าชิดๆพี่เขาหน่อยพี่เขาจะได้ไม่เซ็ง” พวกเพื่อนๆเริ่มยุยงให้หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งรินเบียร์ให้กวินท์ หญิงสาวคนนั้นทำตามอย่างไม่อิดออดเพราะหล่อนติดอกติดใจในความหล่อเหลาและหมายตากวินท์มาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
“เบียร์เย็นๆค่ะ”
เจ้าหล่อนรินเบียร์เย็นๆส่งให้กวินท์ก่อนจะขยับเข้ามานั่งเบียดชิดอย่างเจตนายั่วยวน กวินท์รับเบียร์แก้วนั้นมาจิบ สีหน้ายังคงเครียดขรึมจนสาวเจ้าอดถามออกมาไม่ได้
“ไม่สนุกหรือคะ ไม่เห็นค่อยยิ้มแย้มเลย?”
“ปกติก็ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้ว”
“แหม...มาเที่ยวทั้งทีอย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเลยค่ะ เดี๋ยวตีนกาจะถามหาก่อนวัยอันควรนะคะ” เจ้าหล่อนพยายามชวนคุยขณะเอนตัวเข้าซบไหล่กวินท์อย่างมีจริตจะกร้าน เห็นสายตายั่วยวนของหญิงสาวแล้วกวินท์ก็ได้แต่ถอนใจ
ไม่ใช่แบบนี้ที่กวินท์ต้องการ...
อะไรที่ได้มาง่ายๆช่างดูไร้ค่า!
กวินท์ขยับตัวอย่างอึดอัดนึกแช่งชักหักกระดูกเพื่อนที่โทรนัดให้เขาออกมาร่วมวงด้วย นั่งอยู่ได้ไม่นานชายหนุ่มก็ขอตัวออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังเดินผ่านมาทางเขา ท่าทีหิ้วปีกประคับประคองกันไปสู่ลานจอดรถตรงหน้านั้นทำให้กวินท์สบถคำหยาบออกมาคำหนึ่ง
กวินท์ยืนดูกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นยัดเพื่อนที่เมามายไร้สติขึ้นรถอย่างทุลักทุเลต่ออีกพักหนึ่ง โล่งใจอยู่บ้างที่อย่างน้อยๆไอ้คนขับมันไม่ได้เมา ชายหนุ่มเดินย้อนกลับเข้าไปในผับตั้งใจว่าจะนั่งต่ออีกสักพักแล้วขอตัวกลับ เสียงแหกปากตะโกนลั่นยังดังอื้ออึงแสบแก้วหู ชายหนุ่มพยายามจะเดินแทรกผู้คนกลับเข้าไปที่โต๊ะตัวเดิมแต่ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นเสียงเอะอะของผู้คนก็ดังขึ้น
ปัง...! ปัง...!
เสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดๆกันตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของผู้คน เสียงโต๊ะล้มเสียงแก้วตกกระทบพื้นแตกกระจาย ฝูงชนทั้งชายหญิงแตกหือราวกับมดแตกรัง สัญชาตญาณของการเป็นตำรวจทำให้กวินท์ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เขาเบียดตัวเข้าชิดผนังเพื่อหลบหลีกจากการถูกปะทะจากฝูงชนกว่าครึ่งร้อยที่กำลังหนีตายกันจ้าละหวั่น
“อุ้ย! บ้าจริง!”
ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งถูกเบียดมากระแทกร่างกวินท์ก่อนจะถูกใครอีกหลายคนพุ่งชนจนร่างทั้งร่างของหล่อนหมุนคว้างเสียหลักซวนเซเหมือนจะล้ม หากไม่ช่วยผู้หญิงคนนั้นคงลงไปกองอยู่ที่พื้นและอาจถูกเท้าของคนเป็นฝูงเหยียบย่ำจนได้รับบาดเจ็บ วินาทีนั้นกวินท์ตัดสินใจดึงร่างของผู้หญิงคนนั้นเข้าชิดกำแพงก่อนจะใช้ลำตัวของตนเองบังภัยให้
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด หญิงสาวคนนั้นสะดุ้งสุดตัวหวีดร้องเสียงหลงก่อนจะผวาเข้ากอดกวินท์แนบแน่น กวินท์จำต้องรับร่างนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน สาบานได้ เขาไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆขณะโอบวงแขนกระชับร่างนั้นเข้ามาซบซุกไว้กับอก ช่วงเวลาอันสับสนผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียงแห่งความวุ่นวายเริ่มสงบลงไฟในผับถูกเปิดให้สว่างขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เมื่อเสียงรอบตัวเริ่มสงบลงเสียงสั่นๆนั่นก็กระซิบถามกวินท์เกือบจะทันที ภาพแรกที่กวินท์เห็นคือภาพร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่หน้าเวทีสภาพแน่นิ่งไม่ไหวติง
“คนยิงกัน ผู้ชายถูกยิง”
“แล้ว...เป็นอะไรมากมั้ยคะ?”
“ไม่รู้สิ แต่ดูๆแล้วไม่น่ารอด”
ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมยาวดกดำและยุ่งเหยิงเพราะผู้เป็นเจ้าของใช้ศีรษะเบียดซุกอยู่กับอกของกวินท์ค่อยๆหันไปมองบริเวณที่เกิดเหตุ
“โอ๊ย...ตายแล้ว!”
หล่อนอุทานออกมาเบาๆรีบเบือนหน้าหนีกลับมาซุกอกกวินท์เช่นเดิม คงจะทนดูความสยดสยองไม่ไหว กวินท์ละสายตาจากภาพเด็กหนุ่มถูกยิงมามองหญิงสาวในอ้อมแขนแล้วก็ได้แต่แปลกใจโชคชะตาอยู่คร้ามครัน เหมือนเจ้าตัวเองก็จะรู้ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ เจ้าหล่อนรีบเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แล้วตาโตๆนั่นก็เบิกโพลงขึ้นอย่างแปลกใจ
“คุณ....”
เจ้าหล่อนรีบดีดตัวออกจากอกกว้างของกวินท์อย่างว่องไว ใบหน้าซีดเผือดเมื่อครู่แดงกล่ำขึ้นมาทันที ไฟฟ้าถูกเปิดให้สว่างทั่วทุกจุดหลังจากนั้น การ์ดรักษาความปลอดภัยของผับ ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเริ่มทยอยเข้ามาเคลียร์พื้นที่ ตำรวจในกลุ่มนั้นมีนายตำรวจซึ่งเป็นเพื่อนๆของกวินท์รวมอยู่ด้วยชายหนุ่มจึงเอ่ยกับหญิงสาวว่า
“ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวตำรวจคงแห่กันมาเยอะกว่านี้” สายตาคมเข้มมองสำรวจร่างของหญิงสาวลวกๆก่อนจะเอ่ยถามเรียบๆ
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ ฉัน...ไม่เป็นไร“
“ต้องให้เดินออกไปส่งข้างนอกมั้ย?”
“ไม่ต้องค่ะ ฉันเดินไปเองได้ เอ่อ...ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่ช่วย...”
“ไม่เป็นไร”
ชายหนุ่มพยักหน้าส่งๆทั้งๆที่บุศนีย์ยังกล่าวขอบคุณเขาไม่จบประโยคเลยด้วยซ้ำ พูดจบเขาก็ผละจากหญิงสาวตรงเข้าไปรวมกับกลุ่มการ์ดและตำรวจที่รายล้อมผู้ถูกยิงโดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนกใดๆ บุศนีย์เดินมาที่ประตูทางออกของผับอย่างงงๆ แสงไฟภายนอกสว่างไสวจนมองเห็นกลุ่มคนมากมายที่ยืนออกันอยู่เป็นจุดๆ
“แป้ง! ทางนี้! โอ้ยตายแล้ว! ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่ เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมเพิ่งออกมา?”
“ฉัน...ไม่เป็นไร ปลอดภัยดีจ๊ะ”
บุศนีย์ตอบเพื่อนเสียงเบาโหวงในขณะที่ถูกเพื่อนๆจับหมุนตัวซ้ายขวาเพื่อสำรวจร่างกายว่ามีส่วนใดบุปสลายหรือไม่ บุศนีย์ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่บอกเพื่อนๆว่าตนเองได้ผลัดหลงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายนิรนามคนนั้น หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงเมื่อนึกถึงอกกว้างๆกับกลิ่นโคโลญน์ผสมผสานกลิ่นกายของเขา ในอ้อมกอดแข็งแรงของผู้ชายคนนั้นทำไมบุศนีย์ถึงได้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยแบบนั้นก็ไม่รู้
++++++++++++++++++++++++++
บุศนีย์สะดุ้งโหยงเมื่อโดนศอกของสินีกระทุ้งเบาๆที่สีข้าง เมื่อมองไปโดยรอบก็พบว่าบรรดาแขกเหรื่อภายในงานต่างก็กำลังชูแก้วเครื่องดื่มในมือร้องไชโยให้กับคู่บ่าวสาวบนเวทีกันเอ็ดอึง
“แหม...เรียกตั้งนานไม่รู้สึกตัว ยืนเหม่อตาลอยคิดถึงผู้ชายที่ไหนอยู่ล่ะ พ่ออาร์โนล์คนนั้นรึเปล่า?”
“อะไรนะ...อาร์โนล์ไหน?”
บุศนีย์ถามกลับงงๆก่อนจะยิ้มขบขันกับฉายาหนุ่มนิรนามที่สินีเอ่ยถึง
“อ้าว! ก็หนุ่มหน้าเข้มคนนั้นไง คนที่หล่อนชนเมื่อกี้”
“บ้า! ไปว่าเขาเป็นอาร์โนล์”
“ก็สูงใหญ่ ล่ำบึกเหมือนคนเหล็กซะขนาดนั้น เพิ่งจะรู้นะนี่ ว่าสเป็คของหล่อนเป็นแบบนี้”
“จะบ้าหรือ...ฉันไม่ได้สนใจอะไรเขาสักหน่อย”
บุศนีย์รีบปฏิเสธ แต่เพื่อนสาวทั้งสองไม่มีทีท่าว่าจะยอมเชื่อง่ายๆ
“ไม่เชื่อ! เมื่อกี้เห็นนะ ว่าแอบสบตากันปิ๊งๆ” มัทนารีบผสมโรงทันที
“เซี้ยว! ไม่คุยกับพวกหล่อนแล้วหาของกินดีกว่า” บุศนีย์แสร้งไม่ใส่ใจรอยยิ้มล้อเลียนของเพื่อนสาว หล่อนเดินมาจิ้มผลไม้ใส่จานรวมทั้งขนมหวานอีกสองสามชิ้นและบุศนีย์เท่านั้นที่รู้ว่าตนเองโกหก
หล่อนกำลังคิดถึงผู้ชายคนนั้นอยู่จริงๆนั่นแหละ ก็ไม่รู้ว่าหล่อนไปติดใจอะไรกับผู้ชายหน้าเข้มตาดุคนนั้น จะว่าหล่อนปิ๊งผู้ชายคนนั้นอย่างที่เพื่อนสาวทั้งสองกล่าวหามันก็ไม่ถึงขนาดนั้น หล่อนก็แค่รู้สึกสะดุดตากับบุคลิกท่าทางของเขาก็เท่านั้น สมัยนี้จะหาผู้ชายท่าทางเข้มแข็งบึกบึนสมชายนั้นหาได้ยากยิ่ง ในยุคที่ผู้ชายเริ่มเบี่ยงเบนทางเพศ ผู้ชายแอ๊บแมน มีให้เห็นอยู่ดาดเดื่อน
แต่ผู้ชายคนนั้นเขาไม่ได้แอ๊บแมนแน่ๆ บุศนีย์แน่ใจว่าหล่อนได้เห็นสายตาพร่าพรายที่ผู้ชายคนนั้นจงใจใช้สำรวจเรือนร่างของหล่อนขณะที่อยู่ด้วยกันภายในลิฟต์ สายตาเจ้าชู้โลมเลียแบบนั้น มีเก้งกวางที่ไหนใช้มองผู้หญิงบ้างล่ะ พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร หน้าของบุศนีย์ก็ร้อนผ่าว ทั้งฉุน ทั้งอาย บอกไม่ถูก!
“แล้ววันนี้นึกยังไงถึงได้แต่งตัวโป๊นักยะ ดูสินั่น! เปิดทั้งบน เปิดทั้งล่าง จนพวกผู้ชายในงานมองหล่อนน้ำลายหยดติ๋งๆแทบจะลืมลูกลืมเมียที่บ้านกันหมดแล้ว” สินีถามขณะปรายตามองชุดราตรีสีดอกกุหลาบแสนสั้นที่โชว์ทั้งเนินเนื้อเนียนๆกับต้นขาขาวๆของเพื่อนสาวก่อนจะเบะปากให้
“จะอะไรล่ะ ฉันกลับไปเปลี่ยนชุดไม่ทันน่ะสิ ออกจากไบเทค ฝนก็เทโครมๆ กว่าจะโบกแทกซี่มาถึงนี่ได้ก็รอแล้วรออีก ดีเท่าไหร่แล้วที่มาทัน”
“อ้าว! นี่หล่อนรับงานอีกแล้วหรือ ไหนว่าเลิกแล้วไอ้อาชีพพริ้ตต้งพริ้ตตี้อะไรเนี้ย”
สินีมองหน้าสวยๆของเพื่อนสาวที่เซียวลงทันตาอย่างสงสัย
“ก็ร้อนเงิน ต้องหาเงินไปจ่ายค่าเทอมหลาน พอดีมีคนติดต่องานนี้เข้ามาฉันก็เลยรับ งานมอเตอร์โชว์น่ะ นี่ก็โป๊น้อยแล้วนะ ไปดูพวกพริ้ตตี้มอเตอร์ไซด์สิ สู้พวกนั้นได้ที่ไหน พวกนั้นเขาต้องเนื้อนมไข่ แต่ค่ายที่ฉันทำเขาไม่ได้เน้นเรื่องเซ็กซี่อะไรเท่าไหร่ เงินก็ดี แถมยังจ่ายเร็วด้วย จบงานก็จ่ายเลยวันต่อวัน”
“ฉันก็ไม่ได้ดูถูกอาชีพพริตตี้จำเป็นของหล่อนหรอกนะ แต่ฉันไม่อยากให้เพื่อนต้องโดนไอ้พวกผู้ชายหื่นกามทั้งหลายมาคอยมองแทะโลมให้เปลื้องเนื้อเปลืองตัว เลิกได้ก็เลิกเถอะแป้ง ไม่มีตังค์ก็บอกเดี๋ยวฉันให้ยืมเอง จะเอากี่หมื่นบอกมาคำเดียว”
“นั่นสิ! ให้พี่ติหางานให้มั้ยล่ะ ถ้าแกอยากได้งาน?”
บุศนีย์สั่นหน้าปฏิเสธเหมือนทุกๆครั้งที่เพื่อนสาวทั้งสองเสนอความช่วยเหลือให้ ยิ่งเพื่อนดีต่อหล่อนมากเท่าไหร่บุศนีย์ก็ยิ่งต้องเกรงใจเพื่อนของหล่อนมากเท่านั้น สินีและมัทนาเป็นเพื่อนรักของหล่อนนับตั้งแต่ที่ทั้งสามสาวเริ่มเข้าเรียนนาฏศิลป์ปีแรกๆ สินีเป็นลูกสาวนักธุรกิจใหญ่มีกิจการเกี่ยวกับร้านอาหารหลายแห่ง ส่วนมัทนาเป็นถึงลูกสาวของอดีตนายพลชื่อดัง แน่นอนว่าเพื่อนสาวทั้งสองของหล่อนมีฐานะร่ำรวยล้นฟ้าแต่บุศนีย์ไม่เคยคิดที่จะใช้ความสัมพันธ์ฉันท์มิตรกอบโกยผลประโยชน์มาจากคนทั้งคู่ สิ่งนั้นเองที่นำมาซึ่งมิตรภาพและทำให้เพื่อนสาวทั้งสองต่างยอมรับหล่อนเข้าไปสู่ฐานะเพื่อนรักได้อย่างสนิทใจ
“อย่าเลยมัท ขอเราช่วยตัวเองก่อน ถ้าไม่ไหวยังไงจะบอก”
นั่นแหละบุศนีย์ หล่อนไม่เคยยอมรับความช่วยเหลือจากใครหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ ชีวิตลำเค็ญตั้งแต่วัยเด็กหล่อหลอมให้หล่อนกลายเป็นคนอดทนกับความยากลำบากได้เป็นอย่างดีขัดแย้งกับรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอกอย่างสิ้นเชิง
“เออนี่...พรุ่งนี้เธอสองคนไม่ได้ทำงานกันใช่มั้ย?”
มัทนาถามขึ้นมาอย่างนึกอะไรขึ้นมาได้เพื่อนสาวทั้งสองสั่นหน้าแทบจะพร้อมกัน
“ทำไม พรุ่งนี้หล่อนจะชวนฉันกับยัยแป้งไปไหน?”
“ไม่ใช่พรุ่งนี้ แต่เป็นคืนนี้ต่างหาก ดื่มฟรี กินฟรี แดนซ์ฟรี สนมั้ย?”
“ใครเสนอตัวเป็นสปอนเซอร์ให้หล่อนละยัยมัท”
“จะใครก็ช่างเหอะน่า ถ้าพวกหล่อนสองคนตกลงใจที่จะไป ฉันจะได้โทรไปคอนเฟริ์มกับคนจ่ายตังค์ว่าคืนนี้ฉันไปแน่ๆ จะพาเพื่อนไปด้วย งานนี้ถล่มให้เละเลยนะเพื่อน”
มัทนายิ้มกริ่มอย่างคนมีแผน จนสินีอดแซวไม่ได้
“แผนลองใจว่าผู้ชายสปอร์ตพอหรือเปล่าอีกละสินะ ช่างเป็นแผนที่สร้างโบนัสงามๆให้กับร้านอาหารผับบาร์ในกรุงเทพฯดีแท้ รายนี้พ่อหรือแม่แกหามาให้อีกล่ะ?”
“ป๋าน่ะสิ ลูกชายรัฐมนตรีกระทรวงอะไรก็ไม่รู้ ท่าทางขี้ตืด ฉันจะหลอกพาไปถลุงเงินซะให้เข็ด”
“เอาสิ! อยากถลุงเงินเศรษฐีเล่นอยู่เหมือนกัน ไปนะแป้ง ไปเป็นไม้กันหมาให้ยัยมัทมันหน่อย”
“ไปก็ได้...ว่าไงก็ว่าตามกัน”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผับเปิดใหม่ในย่านที่ถือว่าราคาที่ดินแพงสูงสุดในกรุงเทพฯที่มีชื่อว่า อะเดล แม้ยังไม่ดึกมากมายนักก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดานักท่องราตรีทั้งชายหญิง กวินท์เดินผ่านประตูเข้าไปด้านในรู้สึกชิงชังบรรยากาศอันแสนจะอึกทึกครึกโครมจนต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ เขานึกว่าการนัดหมายในครั้งนี้จะเป็นการนัดพบปะพูดคุยกันระหว่างกลุ่มเพื่อนที่เรียนจบมาจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วยกัน เสียอีก ครั้นเมื่อชายหนุ่มมาถึงสถานที่นัดหมายกลับพบว่าพวกเพื่อนๆพาหญิงสาวหน้าแฉล้มติดตามมาเป็นฝูง
“น๊า...วินท์ น้องเขาอยากมาเที่ยว ตามใจน้องเขาหน่อย น้องกิ๊กนั่งห่างพี่เขาไปรึเปล่าชิดๆพี่เขาหน่อยพี่เขาจะได้ไม่เซ็ง” พวกเพื่อนๆเริ่มยุยงให้หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งรินเบียร์ให้กวินท์ หญิงสาวคนนั้นทำตามอย่างไม่อิดออดเพราะหล่อนติดอกติดใจในความหล่อเหลาและหมายตากวินท์มาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว
“เบียร์เย็นๆค่ะ”
เจ้าหล่อนรินเบียร์เย็นๆส่งให้กวินท์ก่อนจะขยับเข้ามานั่งเบียดชิดอย่างเจตนายั่วยวน กวินท์รับเบียร์แก้วนั้นมาจิบ สีหน้ายังคงเครียดขรึมจนสาวเจ้าอดถามออกมาไม่ได้
“ไม่สนุกหรือคะ ไม่เห็นค่อยยิ้มแย้มเลย?”
“ปกติก็ไม่ค่อยยิ้มอยู่แล้ว”
“แหม...มาเที่ยวทั้งทีอย่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเลยค่ะ เดี๋ยวตีนกาจะถามหาก่อนวัยอันควรนะคะ” เจ้าหล่อนพยายามชวนคุยขณะเอนตัวเข้าซบไหล่กวินท์อย่างมีจริตจะกร้าน เห็นสายตายั่วยวนของหญิงสาวแล้วกวินท์ก็ได้แต่ถอนใจ
ไม่ใช่แบบนี้ที่กวินท์ต้องการ...
อะไรที่ได้มาง่ายๆช่างดูไร้ค่า!
กวินท์ขยับตัวอย่างอึดอัดนึกแช่งชักหักกระดูกเพื่อนที่โทรนัดให้เขาออกมาร่วมวงด้วย นั่งอยู่ได้ไม่นานชายหนุ่มก็ขอตัวออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอก กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังเดินผ่านมาทางเขา ท่าทีหิ้วปีกประคับประคองกันไปสู่ลานจอดรถตรงหน้านั้นทำให้กวินท์สบถคำหยาบออกมาคำหนึ่ง
กวินท์ยืนดูกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นยัดเพื่อนที่เมามายไร้สติขึ้นรถอย่างทุลักทุเลต่ออีกพักหนึ่ง โล่งใจอยู่บ้างที่อย่างน้อยๆไอ้คนขับมันไม่ได้เมา ชายหนุ่มเดินย้อนกลับเข้าไปในผับตั้งใจว่าจะนั่งต่ออีกสักพักแล้วขอตัวกลับ เสียงแหกปากตะโกนลั่นยังดังอื้ออึงแสบแก้วหู ชายหนุ่มพยายามจะเดินแทรกผู้คนกลับเข้าไปที่โต๊ะตัวเดิมแต่ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นเสียงเอะอะของผู้คนก็ดังขึ้น
ปัง...! ปัง...!
เสียงปืนดังขึ้นสองนัดติดๆกันตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของผู้คน เสียงโต๊ะล้มเสียงแก้วตกกระทบพื้นแตกกระจาย ฝูงชนทั้งชายหญิงแตกหือราวกับมดแตกรัง สัญชาตญาณของการเป็นตำรวจทำให้กวินท์ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เขาเบียดตัวเข้าชิดผนังเพื่อหลบหลีกจากการถูกปะทะจากฝูงชนกว่าครึ่งร้อยที่กำลังหนีตายกันจ้าละหวั่น
“อุ้ย! บ้าจริง!”
ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งถูกเบียดมากระแทกร่างกวินท์ก่อนจะถูกใครอีกหลายคนพุ่งชนจนร่างทั้งร่างของหล่อนหมุนคว้างเสียหลักซวนเซเหมือนจะล้ม หากไม่ช่วยผู้หญิงคนนั้นคงลงไปกองอยู่ที่พื้นและอาจถูกเท้าของคนเป็นฝูงเหยียบย่ำจนได้รับบาดเจ็บ วินาทีนั้นกวินท์ตัดสินใจดึงร่างของผู้หญิงคนนั้นเข้าชิดกำแพงก่อนจะใช้ลำตัวของตนเองบังภัยให้
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด หญิงสาวคนนั้นสะดุ้งสุดตัวหวีดร้องเสียงหลงก่อนจะผวาเข้ากอดกวินท์แนบแน่น กวินท์จำต้องรับร่างนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน สาบานได้ เขาไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆขณะโอบวงแขนกระชับร่างนั้นเข้ามาซบซุกไว้กับอก ช่วงเวลาอันสับสนผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียงแห่งความวุ่นวายเริ่มสงบลงไฟในผับถูกเปิดให้สว่างขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เมื่อเสียงรอบตัวเริ่มสงบลงเสียงสั่นๆนั่นก็กระซิบถามกวินท์เกือบจะทันที ภาพแรกที่กวินท์เห็นคือภาพร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่หน้าเวทีสภาพแน่นิ่งไม่ไหวติง
“คนยิงกัน ผู้ชายถูกยิง”
“แล้ว...เป็นอะไรมากมั้ยคะ?”
“ไม่รู้สิ แต่ดูๆแล้วไม่น่ารอด”
ศีรษะที่เต็มไปด้วยเส้นผมยาวดกดำและยุ่งเหยิงเพราะผู้เป็นเจ้าของใช้ศีรษะเบียดซุกอยู่กับอกของกวินท์ค่อยๆหันไปมองบริเวณที่เกิดเหตุ
“โอ๊ย...ตายแล้ว!”
หล่อนอุทานออกมาเบาๆรีบเบือนหน้าหนีกลับมาซุกอกกวินท์เช่นเดิม คงจะทนดูความสยดสยองไม่ไหว กวินท์ละสายตาจากภาพเด็กหนุ่มถูกยิงมามองหญิงสาวในอ้อมแขนแล้วก็ได้แต่แปลกใจโชคชะตาอยู่คร้ามครัน เหมือนเจ้าตัวเองก็จะรู้ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ เจ้าหล่อนรีบเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แล้วตาโตๆนั่นก็เบิกโพลงขึ้นอย่างแปลกใจ
“คุณ....”
เจ้าหล่อนรีบดีดตัวออกจากอกกว้างของกวินท์อย่างว่องไว ใบหน้าซีดเผือดเมื่อครู่แดงกล่ำขึ้นมาทันที ไฟฟ้าถูกเปิดให้สว่างทั่วทุกจุดหลังจากนั้น การ์ดรักษาความปลอดภัยของผับ ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเริ่มทยอยเข้ามาเคลียร์พื้นที่ ตำรวจในกลุ่มนั้นมีนายตำรวจซึ่งเป็นเพื่อนๆของกวินท์รวมอยู่ด้วยชายหนุ่มจึงเอ่ยกับหญิงสาวว่า
“ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่า อีกเดี๋ยวตำรวจคงแห่กันมาเยอะกว่านี้” สายตาคมเข้มมองสำรวจร่างของหญิงสาวลวกๆก่อนจะเอ่ยถามเรียบๆ
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?”
“ไม่ค่ะ ฉัน...ไม่เป็นไร“
“ต้องให้เดินออกไปส่งข้างนอกมั้ย?”
“ไม่ต้องค่ะ ฉันเดินไปเองได้ เอ่อ...ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่ช่วย...”
“ไม่เป็นไร”
ชายหนุ่มพยักหน้าส่งๆทั้งๆที่บุศนีย์ยังกล่าวขอบคุณเขาไม่จบประโยคเลยด้วยซ้ำ พูดจบเขาก็ผละจากหญิงสาวตรงเข้าไปรวมกับกลุ่มการ์ดและตำรวจที่รายล้อมผู้ถูกยิงโดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนกใดๆ บุศนีย์เดินมาที่ประตูทางออกของผับอย่างงงๆ แสงไฟภายนอกสว่างไสวจนมองเห็นกลุ่มคนมากมายที่ยืนออกันอยู่เป็นจุดๆ
“แป้ง! ทางนี้! โอ้ยตายแล้ว! ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่ เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมเพิ่งออกมา?”
“ฉัน...ไม่เป็นไร ปลอดภัยดีจ๊ะ”
บุศนีย์ตอบเพื่อนเสียงเบาโหวงในขณะที่ถูกเพื่อนๆจับหมุนตัวซ้ายขวาเพื่อสำรวจร่างกายว่ามีส่วนใดบุปสลายหรือไม่ บุศนีย์ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่บอกเพื่อนๆว่าตนเองได้ผลัดหลงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของชายนิรนามคนนั้น หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงเมื่อนึกถึงอกกว้างๆกับกลิ่นโคโลญน์ผสมผสานกลิ่นกายของเขา ในอ้อมกอดแข็งแรงของผู้ชายคนนั้นทำไมบุศนีย์ถึงได้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยแบบนั้นก็ไม่รู้
++++++++++++++++++++++++++
โอชิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ย. 2557, 00:54:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2560, 22:04:35 น.
จำนวนการเข้าชม : 1985
<< ตอนที่ 2. | ตอนที่ 4. >> |