กลิ่นตองหอมรัก
น้ำไท ใช้ชีวิตสงบๆ มาตลอดยี่สิบแปดปี
จู่ๆ ยายก็ขุดเรื่องเก่าก่อนในเหตุการณ์ที่ตาเสียมารื้อฟื้น
เขาไม่เคยลืม และก็ยังต้องการเห็นน้ำหน้าของเด็กหญิงที่คงจะโตขึ้นมาแล้วอีกครั้ง!

นภิสาช่างเป็นผู้หญิงที่นิสัยเสีย หยิ่ง เชิด ไม่เห็นหัวใคร ที่สำคัญสุดคือ เจ้าหล่อนฉลาดมาก!
เขาพยายามที่จะสั่งสอน และลบความเย่อหยิ่งที่เจ้าตัวสร้างมา
แต่ดูท่าสุดท้ายก็เหมือนจะเข้าตัว คนร้ายๆ อย่างนั้น กลับมาสั่นหัวใจเขาเสียได้

นภิสาคิดอย่างไรนั้นคงต้องไปถามอับดุลเอ้ยอย่างเดียว

Tags: น้ำไท หอมเล็ก นภิสา จอมฟ้า

ตอน: บทที่ 2 บุกบ้านจอมฟ้า

(2)

กลิ่นอาหารเย็นลอยมาเข้าจมูกตั้งแต่นภิสาก้าวเท้าเข้าบ้าน หญิงสาวมองบ้านสองชั้นหลังใหญ่ในพื้นที่หนึ่งไร่ใจกลางเมืองด้วยสายตาว่างเปล่า พ่อ พี่ชาย และเธอ มีความคิดตรงกันในเรื่องที่อยู่อาศัยว่าไม่จำเป็นต้องใหญ่ เพราะพ่อก็มักจะทำงานหามรุ่งหามค่ำ และมีห้องพักอยู่ในตึกทำงาน ส่วนพี่ชายก็มักมีที่พักอยู่หลายที่ จะหิ้วสาวไหนขึ้นห้องก็ไม่ต้องมารบกวนเธอที่บ้าน และคนที่อยู่บ้านมากที่สุดอย่างเธอก็ลงความเห็นเพิ่มว่าความเป็นส่วนตัวต้องมาเป็นที่หนึ่ง นภิสาไม่ชอบให้มีคนงานในบ้าน เธอจะให้แม่บ้านมาทำความสะอาด ดูแลห้องหับ เสื้อผ้า และควบกับการทำอาหารในตอนเช้า และเย็น คนสวนจะดูแลสวนให้อาทิตย์ละวัน

เวลาหกโมงเย็นแม่บ้านจะยังทำอาหารอยู่ในครัวดังเช่นทุกวัน เพราะถ้าเธอไม่กลับมาทาน เธอจะโทรเข้ามาบอกก่อน นภิสาวางของที่ซื้อมาไว้ในห้องรับแขกก่อนจะเดินต่อไปยังครัวเล็ก เธอไม่ต้องการนั่งโต๊ะทานอาหารโต๊ะใหญ่ที่ปราศจากเพื่อนร่วมโต๊ะ

“คุณจอมฟ้ากลับมาแล้วเหรอคะ วันนี้ป้าทำข้าวผัด กุ้งชุบแป้งทอด กับซุปผักรวมนะคะ ขนมหวานเป็นกล้วยบวดชี ของโปรดของคุณจอมฟ้าทั้งนั้น” สาวใหญ่ร่างท้วมสวมชุดสีขาวสะอาด สวมผ้ากันเปื้อนสีเรียบรีบตักแกงจืดมาวางบนโต๊ะ

“ขอบคุณค่ะป้า” หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลง มองอาหารโปรดที่รสชาติไม่เข้มอย่างที่ตัวเองชอบแล้วได้แต่ยิ้ม

“พรุ่งนี้คุณจอมฟ้าอยากทานอะไรไหมคะ ป้าจะได้ไปซื้อของเตรียมมาทำให้”

“ไม่ต้องหรอกค่ะป้า” นภิสาใบหน้าไม่บ่งอารมณ์ใดๆ “ป้าแค่มาทำความสะอาดก็พอค่ะ ฉันว่าจะไม่อยู่บ้านสักพักหนึ่ง”

“คุณจอมฟ้าจะไปไหนคะ” สารภีถามอย่างตกใจ ร้อยวันพันปีคนติดบ้านอย่างนภิสาไม่เคยออกไปไหน ถึงหล่อนจะอยู่อาศัยในบ้านที่ห่างออกไป แต่กว่ายี่สิบปีที่รับใช้คนบ้านนี้มา หล่อนก็มองนภิสาเป็นคุณหนูที่ยังเป็นเด็ก หล่อนรู้ว่าคนเป็นพ่อและพี่ชายที่นานๆ จะกลับมาบ้านทีนั้นมีเวลาให้นภิสาน้อยเหลือเกิน หากไม่ใช่วันสำคัญอย่างวันเกิดนภิสา ก็ยากจะอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันได้ หล่อนจึงรู้สึกว่าตัวเองต้องทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองของนภิสาแทน

สมัยเรียนเวลาหญิงสาวต้องให้ผู้ปกครองไปโรงเรียนเวลามีประชุม หล่อนก็ต้องไป หรือเวลาที่นภิสาไม่สบาย คนใจแข็ง และดื้อมากอย่างนภิสาก็จะทน ไข้ขึ้นตลอดคืนกว่าจะมีคนรู้ก็คือตอนหล่อนมาทำงานที่บ้านหลังนี้ในรุ่งเช้า ร้อนต้องพาไปโรงพยาบาล และเมื่อหล่อนโทรไปหาคุณทีปต์ พ่อของนภิศากลับบอกว่า

‘ฝากดูแลจอมฟ้าด้วย ฉันกำลังติดงานสำคัญ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องห่วงหรอก จอมฟ้าเขาคงมีให้เธอ เพิ่งถึงวันเอาเงินเข้าบัญชีของจอมฟ้าไป เลขาฯฉันคงไม่ลืม’

ในความคิดของสารภี จอมฟ้าเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร แต่เจ้าตัวเกลียดหากใครจะมาสงสาร เธอมักสร้างเกราะกำบังตัวเองไว้ แม้แต่หล่อนยังพังทลายเกราะของนภิสาไม่ได้

“ยังไม่รู้ค่ะ คงที่ไหนสักที่ ป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ” จู่ๆ นภิสาก็เกิดอยากออกไปไกลๆ ให้ห่างจาก...ความเหงา ว่างเปล่าที่กำลังกัดกินเธออยู่เงียบๆ ภายในบ้าน และรวมถึงชีวิตทั้งชีวิตของเธอ

สารภีมองค้อนคนที่บอกไม่ให้เป็นห่วง หล่อนไม่มีหลาน ไม่มีลูก เป็นสาวโสดที่มาทำงานในกรุงเทพฯ อยู่กับนภิสามาตั้งแต่หญิงสาวตัวเล็กๆ จะไม่ให้ห่วงได้อย่างไร สายตาหญิงกลางคนสำรวจใบหน้าเรียบสนิทของนภิสาอย่างจับสังเกต แก้มข้างหนึ่งแดงขึ้นรอยนิ้ว

“หน้าคุณจอมฟ้าไปโดนอะไรมาคะ”

เสียงหวานหัวเราะเบาๆ รอยยิ้มเผยอย่างประหยัด และเริ่มลงมือทานอาหารไปเงียบๆ และเลือกที่จะไม่ตอบ ปล่อยให้คนถามเก้อ และได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา

“มีอะไรให้ป้าช่วยอีกก็บอก หรือโทรเรียกป้าได้เลยนะคะคุณจอมฟ้า”

นภิสาเงยหน้าจากการตักแกงจืดมาเอ่ยขอบคุณเบาๆ และกลับไปสนใจอาหารต่อ และเมื่อสารภีจากไปนภิสาจึงวางช้อน หมดอารมณ์ที่จะทานอาหาร หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ไม่รู้จะกดหาใครเพราะวิชญ์ เพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอไปทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัด อีกหลายวันกว่าจะกลับ

เรื่องราวในวันนี้ไหลวนอยู่ในความคิดของนภิสา เธอทบทวนความสัมพันธ์ของตัวเองกับธนาตย์จนรู้สึกผะอืดผะอม สามปีที่เธอเสียเวลาคบกับผู้ชายเส็งเคร็งที่ทำตัวดีมาตลอดจนเธอตายใจ เธอยังจำวันแรกที่พบเขาในงานเลี้ยงบริษัทส่งออกของพ่อเธอได้ ธนาตย์เข้ามาแนะนำตัวกับเธอ คนทั่วไปต่างรู้จักเศรษฐีใหม่ที่รวยมาจากผู้ค้าหุ้นระดับล่างที่ไต่เต้าตัวเองจนเป็นแนวหน้า ธนาตย์เป็นผู้ชายคนแรกที่กล้าเข้าหาเธออย่างเปิดเผย เขาเสมอต้นเสมอปลายตลอดสองปีที่ได้รู้จักกัน แม้ว่าเธอจะเว้นที่ และมีระยะ หรือกฎห้ามมากมายที่จะทำให้เธอรำคาญใจ อาทิเช่นถ้านัดก็ห้ามมาสายเลยสักวินาทีเดียว เพราะเธอจะไม่รอ หรือการเอาแต่ใจตัวเอง ซึ่งเธอจะไม่ทน

ธนาตย์อดทนได้ถึงสองปี เธอจึงยอมตกลงคบกับเขา สามปีที่คบกัน นภิสาค้นพบว่าตัวเธอสูญเสียเงินไปมาก ธนาตย์แนะนำให้เธอลงทุน กล้าได้กล้าเสียอยู่หลายอย่าง ซึ่งเธอไม่ค่อยจะอยากลงทุนนัก แต่เธออยากรู้ว่าเงินจะทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดไหนเธอจึงพร้อมใจกระโดดลงเล่นร่วมลงทุนกับวรันธร เพื่อนสมัยมัธยมปลายของเธอ และก็ถูกโกงเงินไป วิชญ์คอยเล่าเรื่องคาวๆ ของธนาตย์ให้เธอฟัง แต่เพราะว่าเธอเป็นคนที่หากเชื่อใจใครก็จะลองเชื่อให้ถึงที่สุด บทเรียนครั้งนี้จึงจบลงตรงที่เธอจับได้ว่าธนาตย์นอกใจด้วยตัวเอง

การไปเดินห้างแก้เบื่อ ทำให้เธอตาสว่างขึ้นอีกอักโข นภิสาเหยียดยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง เธอก็แค่เสียคนที่เชื่อใจได้ไปหนึ่ง ไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอพัง!

หญิงสาวคว้ากรอบรูปคู่ที่มีเธอกับธนาตย์ตั้งเรียงอยู่ในบ้านทิ้งใส่ที่โกย พวกของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ธนาตย์เคยให้ เธอจะนำไปบริจาคให้กับคนที่ต้องการมันมากกว่า

น้ำมันก๊าดเป็นสิ่งหนึ่งที่นภิสาถือติดตัวออกมา เธอตัดสินใจซื้อมาก่อนจะมาถึงบ้าน ที่โกยซึ่งมีรูปและกรอบรูปอยู่ครบถูกเทใส่ถังปี๊บที่ประโยชน์เก่าของมันคือถังขยะที่สารภีใช้ทิ้งเศษอาหาร น้ำมันก๊าดราดลงไปซ้ำ ร่างบางดึงเก้าอี้พับได้มากางนั่งหน้าถังปี๊บ หน้าตายะเยือกแสยะยิ้มเหี้ยมเมื่อเธอหยิบเทียนที่เหน็บหลังเอวออกมา และจุดด้วยไฟแช็กโยนลงไปในถังอย่างแม่นยำ ไฟลุกพรึ่บสว่างโรจน์ทันที

นภิสานั่งเอนหลังไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ หยิบที่ตะไบเล็บด้ามจับเพ้นท์ลายราคาหลักหมื่นซึ่งเธอมักพกติดตัวอย่างกับพวกติดยาดมมาตะไบเล็บที่เพ้นท์สีน้ำเงินเข้มติดประกายเพชรทีละนิ้ว หูฟังเสียงเปรี๊ยะๆ ของกรอบรูปที่ถูกเผาไหม้ไม่ต่างจากความรื่นรมย์ในการฟังละครเพลง

เธอชินชา และยากจะรู้สึกว่าความเสียใจเป็นอย่างไร รู้แค่ว่าการ ‘ตัด’ คนออกไปจากชีวิตสักคนหนึ่ง ก็ไม่ต่างจากการดีดขนสักเส้นออกไปจากรูขุมขน ก็เท่านั้น หญิงสาวเมินเฉยต่อหยดน้ำที่เอ่อคลออยู่ตรงขอบตาของตัวเอง และเงยหน้าเชิดเพื่อกะพริบตาถี่ๆ ไล่ของเหลวนั้นออกไป ไม่ให้ก่อกวนหัวใจ


“นางเลิศที่สุดในสามโลก” ชายหนุ่มผิวคล้ำร่างบึก ตัวโตสวมชุดดำทึมไปทั้งตัวยืนหลบอยู่ใต้เงาหลอดไฟบนถนนหน้าบ้านของนภิสา นัยนต์ตาหนุ่มเข้มเป็นประกายปิดบังความชื่นชมไม่มิด “ตะไบเล็บตอนที่กำลังเผาของ สุดยอดว่ะหอมเล็ก”

คนพูดเชยชมโดนเตะก้นไปป้าบหนึ่งด้วยความหมั่นไส้ น้ำไทหมั่นไส้ตั้งแต่เพื่อนของเขาขันอาสาช่วยเต็มที่หลังจากที่เขาบอกว่าต้องการคนมาช่วยงาน โดยต้องเสริมไปว่าน่าท้าทาย

“ถ้าข้าเป็นผู้หญิง ข้าจะยอมเป็นเลสเบี้ยนเลยก็ได้นะ ผู้หญิงคนนี้ข้าสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ มั่นคง เย็นยะเยือก ไม่วี้ดว้ายน่ารำคาญอย่างพวกผู้หญิงที่ข้าเจอะเจอมา”

น้ำไทเหลือบมองเจ้าของประโยคยอมเป็นเลสเบี้ยนด้วยความระอา ไม่อยากจะฟังคำอวยผู้หญิงนิสัยเสียซึ่งในสายตาของเขานั้นนภิสาไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างเดียว คนที่ขับรถจะชนคนอื่นนั้นคงไม่ใช่คนที่ดีเด่อะไรหรอก

“แกห้ามใจอ่อนเด็ดขาด ถ้าแกใจอ่อน งานล้มแน่”

“แล้วทำไมไม่พาหนุ่มโหดๆ มาทำ พวกนั้นมันคงอยากตะครุบเขากันแน่ๆ”

“ฉันไม่ไว้ใจคนอื่น อีกอย่างฉันไม่ได้จับตัวนภิสาไปเรียกค่าไถ่ ไม่ต้องทำครบวงจรขนาดนั้น เกิดทำอะไรบุ่มบ่ามเดี๋ยวพ่อมาหาถึงที่”

ปราณหัวเราะหึๆ รู้ว่า ‘พ่อ’ ในความหมายของน้ำไทคงไม่แคล้วเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

“แต่ก็ยังอยากได้เขาไปขัดดอก รวยขนาดนี้รู้ว่าญาติเป็นหนี้คงล้างหนี้ให้ได้ไม่ยากหรอก” ปราณบอกในส่วนที่น้ำไทบอกให้รู้ ไม่ได้รู้ไปถึงความเป็นมานานนมเมื่อยี่สิบปีก่อน

“นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของฉัน พาไปขัดดอก แล้วจะให้มีเงินมาใช้หนี้ได้ยังไง” น้ำไทกระตุกยิ้มมุมปาก เขาเฝ้าสังเกตบ้านของนภิสามาเป็นอาทิตย์จนแน่ใจว่าไม่มีกล้องวงจรปิดติดสักตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยาม หรือคนงานในบ้านว่าจะมีเลย นภิสาอาศัยในบ้านหลังนี้เพียงคนเดียว

ผู้หญิงคนนี้คงไม่คิดว่าจะมีคนประเภทเขาบุกเข้ามาในบ้าน คิดว่าเป็นหญิงเหล็กหรือไง ประมาทไม่เข้าเรื่อง อีกครั้งที่น้ำไทไม่ค่อยประทับใจกับการใช้ชีวิตของนภิสา

“แกจะยึดเงินเขาหรือไง”

น้ำไทหันมายิ้มเยาะ ภูมิใจกับแผนการที่ตัวเองไม่ยอมปริปากบอก ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า ใช้มือจับรั้ว เหยียบไปตามแง่งของรั้วดัด และโหนตัวไปข้างหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว มีปราณปีนตามมาข้างหลังติดๆ อาศัยว่าพวกเขาเป็นลิงทโมนมาแต่เด็ก ต้นไม้แถวบ้านเป็นอาณาจักรย่อมๆ ที่พวกเขาไว้ใช้ปีนเล่นกัน

นภิสาใช้แท่งเหล็กเขี่ยเศษขยะที่เผาในปี๊บ ชะโงกตัวมามองดูเศษซาก ปฏิกิริยาที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างทำให้น้ำไทวางใจ ชายหนุ่มยอบตัวลงต่ำไปบนพุ่มหญ้าในสนาม

“แกไปล่อ ฉันจะอ้อมไปข้างหลัง”

“แกแน่ใจนะไอ้หอมเล็ก ว่าเขาไม่เป็นแม่ไม้มวยไทย เดี๋ยวข้าตายนะเว้ย”

“คุณหนูขนาดนั้นจะไปเป็นอะไรวะ เอาน่า เรามาตั้งสองคน กับผู้หญิงตัวผอมๆ คนเดียวทำไมจะเอาไม่อยู่ แกไม่เคยดูละครไทยเหรอวะ พระเอกคนเดียวจับนางเอกไปทรมาทรกรรมได้เลย”

ปราณถลึงตาใส่ “ให้คุณนภิสาเปลี่ยนชื่อเป็นโสรยาก่อนสิวะ ข้าถึงจะเชื่อ อีกอย่างแกมันก็เป็นทายาทสวนกล้วย ไม่ใช่เจ้าของเกาะ อย่ามาแอ๊บเป็นพระเอก”

“หุบปากแกไปปราณ ไปทำตามที่ฉันสั่งไป”

“ถ้าแกผิดคำสัญญาว่าจะช่วยข้าจีบพี่หอม ข้าพาลูกหนี้ขัดดอกของแกกลับมาส่งบ้านแน่”

“เออๆ” น้ำไทรับคำส่งๆ รู้ดีว่าต่อให้ช่วยเพื่อนจีบพี่สาวตัวเองแค่ไหน หากหอมทองบอกว่าไม่ คนช่างตื๊ออย่างปราณก็หงอ กลัวหัวหดทุกที

ปราณปล่อยให้น้ำไทได้เขยิบตัวไปตามพุ่มไม้จนอยู่ห่างจากนภิสาที่นั่งอยู่ตรงลานหน้าบ้านไม่ถึงห้าก้าว ได้รับสัญญาณจากน้ำไทว่าพร้อมแล้ว หนุ่มล่ำบึกชุดดำจึงยืดตัวตรง กระแอมเสียงดัง เดินยืด อกผากไหล่ผึ่งเรียกความสนใจของนภิสาทันที

“เผาอะไรครับสาวน้อย”

“ไม่ใส่โม่งคลุมหัวเหรอคะ” นภิสาเขี่ยขี้เถ้าในถังอย่างไม่เดือดร้อน ดวงตาจ้องมองคนที่มาขัดเวลา ‘เผาของเก่า’ เธอ “ฉันจำหน้าคุณได้นะคะ ข้อหาผู้บุกรุกมาถึงตัวคุณแน่ๆ”

คนลืมสวมโม่งหน้าเสีย เพราะมัวแต่พล่ามกับน้ำไทเขาจึงเผลอสะเพร่า “ไว้ให้คุณมีโอกาสฟ้องตำรวจได้ก่อนเถอะ” ปราณเดินดุ่มไปข้างหน้า พุ่งไปหานภิสาอย่างเร็ว และเขาก็มึนงง เมื่อจู่ๆ ถังขี้เถ้าที่ตั้งวางบนพื้นถูกปามุมอัดใส่หน้าเขาจนมุม สมองของปราณมึนงง และร่างก็นอนสลบกับพื้นอย่างง่ายดาย

คนปาปี๊บอัดหัวคนตบฝ่ามือที่เปื้อนเขม่าดำ เธอยังไม่ทันลุกออกจากเก้าอี้เลยด้วยซ้ำไป ซึ่งถือว่าผู้ชายคนนี้...อ่อนหัดมาก

เสียงฝีเท้าที่ดังกระทบพื้น แม้จะพยายามให้เบา แต่นภิสาก็ยังได้ยิน หญิงสาวไม่คิดอยู่แล้วว่าคนที่บุกมาบ้านเธอจะมาเพียงคนเดียว มือขาวกำแท่งเหล็กที่ใช้เขี่ยขี้เถ้าไว้แน่น หลังนั่งตรงปกติ ไม่ได้เกร็งเกินไป กระทั่งสัมผัสก้าวหนักๆ อยู่ห่างจากเธอที่เบื้องหลัง ในระยะที่นภิสารู้สึกถึงไอร้อนจากร่างเขาได้

หญิงสาวกระตุกยิ้มขันกับโจรมือใหม่ที่ย่างก้าวนอกจากไม่ไร้เสียง ยังทำอะไรอืดอาดยืดยาด ร่างบางดีดตัวลุกขึ้น หันหลังกลับมาอย่างคล่องตัว มือชูแท่งเหล็กไประดับศีรษะ จ่อไว้ตรงคอหอยของร่างที่นิ่งค้างในท่าชูมือขวาที่มีผ้าสีขาวถือไว้อยู่

“อย่างน้อยๆ ก็ไม่สะเพร่าเหมือนเพื่อนนะ” นภิสามองโม่งดำตัวสูงและหนา ใช้แท่งเหล็กชี้ด้วยท่าทางไม่ประมาท “มีโจรกระจอกมาเพิ่มอีกไหม”

“โจรกระจอก!” น้ำไทโพล่งออกมาอย่างเหลืออด แค่นี้หน้าเขาก็เสียพอแล้ว ผู้หญิงคนเดียวทุ่มปี๊บใส่มนุษย์ยักษ์จนล้ม ไหนจะถือแท่งเหล็กจ่อคอหอยเขา ยังจะใช้คำเรียกขานมาดูถูกกันอีก

เสียงที่หลุดออกมาทำให้นภิสาหรี่ตามอง หญิงสาวลดแท่งเหล็กลง และยืนเว้นระยะห่างหนึ่งเมตรจากคนร้าย “ตามมาถึงบ้านเลยเหรอคะ”

“คุณพูดอะไร”

“แค้นที่ฉันขับรถแกล้งจะชนคุณ เลยพาพวกมาขู่ฉัน”

“...”

“แต่คุณคงจะดูถูกฉันมาก คิดว่าฉันจะสิ้นท่าให้กับมนุษย์กระจอกอย่างคุณง่ายๆ ฉันพูดถูกใช่ไหม”

น้ำไทลดมือที่กะใช้ผ้าโปะยาสลบกับนภิสาลง ดวงตาสีเปลือกไม้ที่มีแสงไฟจากโรงรถสะท้อนมาให้เห็นนั้นเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด ไม่ได้โง่ หรืออ่อนแอ เขาน่าจะฉุกใจคิด ผู้หญิงคนหนึ่งคงไม่อยู่บ้านคนเดียวตลอดอาทิตย์ที่เขาเฝ้าตามสืบได้ ถ้าตัวเองไม่เก่งพอตัว

มือข้างที่ว่างดึงโม่งออกจากศีรษะ ดวงตาฉุนเฉียวหงุดหงิดทั้งเพื่อนที่นอนอืดสลบอยู่กลางลานปูน และผู้หญิงตรงหน้าที่กำลังยิ้มถูกใจกับการจับได้ว่าเป็นเขา

“นั่งคุกเข่า ชูมือเหนือหัวซะ ถ้าไม่อยากให้ฉันแจ้งเรื่องนี้ถึงตำรวจ”

“ผมไม่ทำ”

“ไม่ทำ!” นภิสาทวนเสียงสูง ค่อยๆ เยื้องย่างอ้อมร่างของน้ำไท มือเคาะแท่งเหล็กไปบนพื้นด้วยอาการข่มขู่ จนมาหยุดเหนือร่างบึกของปราณ ปลายแท่งเหล็กจิ้มสะกิดไปบนกล้ามท้องของคนที่มึนสลบไป เขาค่อยๆ ได้สติ ลุกขึ้นมาตบขมับอยู่หลายทีเพื่อขับไล่ความมึน ก่อนจะมองหาเพื่อน และเลยไปถึงคนที่ถือแท่งเหล็กข่มขวัญเขาอยู่ข้างๆ

“เฮ่ย! อะไรวะไอ้หอมเล็ก ไหนแกบอกข้าว่าคุณเขาจัดการง่ายๆ ไง”

“บอกชื่อจริงมา” แท่งเหล็กเปลี่ยนเป้าหมายไปจ่อคอหอยของปราณ ชายหนุ่มหดคอด้วยความสยดสยอง แค่กลืนน้ำลายยังไม่กล้า

“น้ำไท”

“ไอ้เพื่อนเลว ชื่อของฉันไม่ใช่แกเว้ย” น้ำไทโวยออกมาอย่างเหลืออด

“ก็นี่มันแผนแก แกคิดเองทั้งหมด คุณเขาก็ต้องอยากรู้ชื่อหัวหน้ามากกว่าลูกกระจ๊อกท้ายแถวล่ะวะ” ปราณหดคอหนีก่อนตอบ

“นิสัยเอาตัวรอดดีมาก” นภิสาจดจำชื่อของผู้ชายที่เธอดูถูกไว้ไม่น้อยในวันนี้อย่างสังเกต “คุณอยากเอาอะไรอีกล่ะ กาแฟ เงิน หรือหิวผู้หญิง แต่ที่แน่ๆ การกระทำของคุณมันสิ้นคิดมากนะ”

น้ำไทเท้าสะเอว เสยผมด้วยท่าที่คิดว่าดูดี ไม่อยากโดนกดให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ดวงตาคมจ้องประสานกับสายตาเย็นชา

“ผมต้องการคุณ...แต่อย่าเข้าใจผิดคิดว่าผมพิศวาสล่ะ ผมต้องการให้คุณไปขัดดอกที่สวนกล้วย”

“ขอเหตุผลที่ชัดกว่านั้น ฉันให้โอกาสคุณอีกแค่สิบพยางค์ ถ้าเกินฉันจะแจ้งตำรวจ”

ปราณตาเหลือก มองปลายแท่งเหล็กที่เลื่อนจากคอมายังส่วนหัวแล้วอกสั่นขวัญหาย “ตอบดีๆ นะเหวย อย่าให้ข้าตาย”

“หุบปาก!” นภิสาพูดเสียงเย็น ติดยานคาง แต่เข้าใจง่ายให้ปราณรีบเม้มปากเงียบอย่างว่าง่าย

“ลืมยายของคุณแล้วเหรอ” แทนที่จะเป็นการอธิบาย น้ำไทกลับเลือกถามคำถามกลับมา “เขายังไม่ตาย”

“ใครวะยายคุณเขา” ปราณสงบปากได้ไม่ถึงนาทีก็โพล่งมาอีก

“ยายบัว” น้ำไทตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขาไม่เคลื่อนสายตาหนีไปจากดวงตาสีเปลือกไม้ อยากให้รู้ว่าที่เขาพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง!

“ยายบัวที่มีพยาบาลส่วนตัวเป็นสาวน้อยหน้าแฉล้มสวยๆ ใช่ไหม”

นภิสามองคนพูดไม่ดูเวลาอย่างขุ่นเคือง “ถ้ายังไม่หุบปาก ฉันตีหัวจริงๆ” ปราณเก็บปากอย่างเร็ว นภิสาจึงหันมาหาน้ำไทอีกครั้ง “ถ้ายายยังมีชีวิต ทำไมไม่มีใครพูดเรื่องยายให้ฉันฟัง คุณรู้เหตุผลนั้นไหม”

“ถ้าอยากรู้ คุณก็ต้องไปกับผม”

ร่างบางกลับมานั่งลงยังเก้าอี้ และไขว่ห้าง หน้าตาเรียบสนิทกำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง ปล่อยให้น้ำไทประคองเพื่อนลุกขึ้นยืน นภิสาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา และลังเลใจชั่วครู่เมื่อเลขหมายที่เธอต้องการจะโทรออกนั้นเป็นเลขหมายต่างประเทศ

“พาฉันไปเลยดีกว่า” นภิสาเก็บโทรศัพท์ หน้าเชิดขึ้น

“คุณจะไปทั้งอย่างนี้หรือไง ที่โน่นบ้านสวน ชุดสวยๆ ของคุณเห็นทีจะไม่เข้าพวก”

“ฉันไปเพราะอยากรู้เรื่องยาย ส่วนอีกเหตุผลคือฉันกำลังเบื่อ ฉันจะเข้าพวกไม่เข้าพวก ไม่ใช่คุณที่จะมาตัดสิน” นภิสาปรายตามองน้ำไท ก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่งเมื่อพบว่าหางตาของน้ำไทกำลังกระตุก “คุณโกรธฉันเหรอ”

น้ำไทส่งเสียงหึ เดินก้าวมั่นคงไปหานภิสา และเว้นระยะไว้หนึ่งเมตรไม่ให้หญิงสาวรู้สึกถึงความคุกคาม “ผมอยากรู้อยู่อย่างหนึ่ง ทำไมวันนี้คุณถึงปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณได้” รอยตาวูบไหวชั่วครู่ปรากฏชัดให้เขาเห็นอยู่เต็มตา ก่อนจะหายไปเมื่อนภิสากะพริบตา ริมฝีปากเหยียดยิ้มสมเพช ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเธอสมเพชผู้ชายคนนั้น หรือสมเพชตัวเอง

“บางครั้งมนุษย์เราก็ต้องการวิธีแรงๆ ที่จะทำให้ตัวเองตาสว่าง”

บุคลิกปิดตัวอย่างที่นภิสาแสดงออกมานั้น ดูน่าค้นหา และมีเสน่ห์อย่างประหลาด แต่เขารู้ว่าเมื่อใดที่ยื่นมือเข้าใกล้ เขาจะถูกตีจนมือหัก ถึงจะน่าค้นหาขนาดไหน แต่ก็แตะต้องไม่ได้

“คุณกำลังใช้สายตาผู้ชายเจ้าชู้กับฉัน วันนี้ฉันด่าคุณไม่มากพอเหรอ คุณถึงยังกล้าคิดสัปดนกับฉันอีก”

คนคิดสัปดนหลุดเสียงหัวเราะ ความรู้สึกแปลกๆ ถูกนิสัยสุดมั่นใจของนภิสาทำลายลงย่อยยับ เขาเองก็เหมือนถูกปลุกแรงๆ ให้ตื่น และก็ไม่คิดอยากจะกลับไปรู้สึกขนลุกอย่างนั้นอีก

“ต่อให้คุณหน้าตาดีจริง แต่ถ้าหลงตัวเองมากๆ เสน่ห์ของคุณจะลดนะ”

“ฉันขอความเห็นจากคุณเหรอ” นภิสาลุกขึ้น ทำท่าบิดขี้เกียจ มือที่ถือแท่งเหล็กก็ยื่นออกไปข้างหน้าให้น้ำไทรีบถอยห่างไปอีกก้าว มีรอยยิ้มสะใจเล็กๆ ขณะหมุนตัวกลับเข้าไปในบ้าน “ฝากเก็บกวาดขยะด้วย ฉันจะไปหลับสักงีบ แล้วค่อยเดินทาง”

“คุณใช้ชีวิตประมาทอย่างนี้ตลอดหรือเปล่า ให้ผู้ชายแปลกหน้าสองคนที่ไม่รู้จักมักจี่มาอยู่ในบ้าน หรือทำบ่อย”

“ไอ้หอมเล็ก!” ปราณเดินเร็วมาโบกหัวเพื่อนอย่างแรง โทษฐานพูดจาไม่เข้าหู

“ก็คุณมันผู้ชายกระจอก ไม่มีอะไรให้ฉันต้องกลัว” นภิสาหันไปยิ้มหวานให้ปราณ หลังทำหน้าเข้มใส่น้ำไท “ส่วนคุณฉลาดกว่าเพื่อนคุณเยอะเลยนะคะ สอนวิชาสงบปากให้เขาบ้างก็ดี”

นภิสาเดินกลับเข้าไปในบ้าน น้ำไทก็ยังรู้สึกหงุดหงิดไม่หาย ยิ่งหันกลับมามองหน้าเพื่อนพบว่าอีกฝ่ายกำลังอ้าปากอึ้งอย่างคนไม่ได้สติ น้ำไทก็ถือโอกาสโบกหัวคืนเรียกสติ หลังถูกปราณโบกหัวไปทีหนึ่ง

“ฝันไปถึงสวรรค์ชั้นไหนแล้วไอ้ปราณ”

“ชั้นไหนไม่สำคัญ แต่ขออยู่ในฉันมีเธอก็พอ คนอะไรยิ้มแล้วสวยกว่าเดิมสักล้านเท่า ปกติก็เป็นนางฟ้าเดินดินอยู่แล้วนะเว่ย”

“เว่อร์!” น้ำไทหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก อีกครั้งที่เขาจัดการนภิสาไม่ได้ และภาพแววตาวูบไหวตอนที่เขาถามถึงเรื่องในวันนี้ที่เธอโดนผู้ชายหน้าตัวเมียคนนั้นตบเอาเขาก็รู้

เธอไม่ใช่หญิงเหล็กมาจากไหนหรอก นภิสาก็ยังเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง

...............................

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ อ่านคอมเมนต์แล้วฮาแทน ไว้ไปเรื่อยๆ ถ้ามุกยังไม่ออก คงเหลือแค่โรแมนติกค่ะ (พระนางกัดกันไปมา จะไปโรแมนติกตอนไหน ฮา)

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ^^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ย. 2557, 10:21:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ย. 2557, 19:44:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1111





<< บทที่ 1 ตามหาลูกหนี้   บทที่ 3 ไม่มีคุณหนูในสวนตองหอม >>
Chii 7 ก.ย. 2557, 23:12:26 น.
เอ๋ น่าอ่านนะคะนี่

รอ~


นักอ่านเหนียวหนึบ 12 ก.ย. 2557, 00:28:42 น.
อ่ออออ พอจะฮาละ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account