...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"

ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...



เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...

พบกับเขาและเธอ...

...ดารัล...ฟาเดล...

หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด

จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...

กับ

ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...

แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!




Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 8 วันวิวาห์


วันวิวาห์

สามวันก่อนวันวิวาห์…

“พี่ฟาเดลจะแต่งงานกับพี่รัลจริงๆเหรอค่ะ…”ฟาฮาน่าถามอีกฝ่ายด้วยแววตาปวดร้าว
เมื่อเผชิญหน้ากับเขาตรงสวนของโรงแรม
ซึ่งตอนนี้ไม่มีใคร นอกจากเขาและเธอ…

เขาพยายามหลบหน้าเธอมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งนั้น
เขาทำเหมือนเธอเป็นตัวน่ารังเกียจ...แม้เดินผ่านเขาก็ไม่มองหน้า…

“โปรดอย่ามองฮาน่าด้วยแววตาหมางเมินเลยนะคะ…”
หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้า…

“ที่ฮาน่าตามพี่ฟาเดลมาด้วย ฮาน่าไม่ได้หวังแค่อยากจะฝากหัวใจ
แต่ฮาน่าอยากจะฝากชีวิตที่เหลือไว้กับพี่…ฮาน่ารักพี่ฟาเดลจริงๆนะคะ
รักอย่างที่ไม่เคยรักใครมาก่อน…”หญิงสาวใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเอง

“ชีวิตฮาน่าไม่ได้สวยงามและสมบูรณ์เหมือนพี่รัล…ที่มีพร้อมทุกอย่างทั้งกายและใจ…
ฮาน่าต้องต่อสู้กับชีวิตมาเพียงลำพัง...

ตั้งแต่แม่แต่งงานใหม่…พ่อเองก็แต่งงานใหม่…
ไม่ว่าฮาน่าจะไปอยู่กับใคร ฮาน่าก็คือส่วนเกินของพวกเขา…

ถึงจะไม่ได้กำพร้าเหมือนพี่ แต่มันจะแตกต่างกันเหรอคะ…
ในเมื่อฮาน่าก็ไม่ได้มีไม้หลักให้พักพิง…
พี่ยังดีที่มีคุณปู่คุณย่าของพี่ช่วยประคอง…
แต่ฮาน่าไม่มีใคร…ไม่เคยมี…มาตั้งแต่คุณตากับคุณยายเสียไปแล้วล่ะค่ะ…”

ฟาเดลมองแววตาหมองเศร้าของคนตรงหน้าก็ให้เห็นใจและสงสาร

…ทำไมเขาจะไม่เข้าใจหัวอกของเธอ…
เขาถึงได้พาเธอมาด้วย หวังอยากจะช่วยดูแลให้เธอมีชีวิตที่ดีขึ้น…
เพียงแต่เขาไม่ได้รักเธอในแบบที่เขารักดารัล…

“พี่อยากให้เธอเข้าใจว่าพี่ไม่ได้รังเกียจเธอเลย…เธอเป็นลูกคุณน้า
เป็นเหมือนน้องสาวของพี่…พี่อยากดูแลให้เธอมีชีวิตที่ดีกว่านี้
พี่ไม่ได้รักเธออย่างที่ผู้ชายรักชอบพอกับผู้หญิง มันไม่ใช่แบบนั้น…”

“ทำไมล่ะคะ…ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไม่ได้…”เสียงนั้นดูอ่อนล้า

“เพราะพี่รักดารัล…พี่อยากใช้ชีวิตคู่กับเขา…”

ฟาฮาน่าถึงกับน้ำตาร่วงพรูลงมาอีกครั้ง…
เมื่อได้ยินประโยคที่กระแทกหัวใจเธอให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

“แล้วฮาน่าจะทำยังไง…ฮาน่าทำใจไม่ได้ค่ะ…ทำใจไม่ได้จริงๆ…”
หญิงสาวส่ายหน้าทั้งน้ำตาอาบแก้ม

“วันนึงเมื่อเธอเจอใครสักคนที่พร้อมจะดูแลเธอได้มากกว่าพี่
เธอก็จะลืมพี่ได้เอง…เชื่อพี่สิ…”

ฟาเดลยกมือขึ้นลูบหัวนั่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ…

“สำหรับฮาน่าแล้ว…จะไม่มีใครมาแทนที่พี่ฟาเดลในใจฮาน่าได้หรอก”
หญิงสาวยืนกรานด้วยแววตามั่นคง…

“กลับตัวกลับใจ กลับคืนสู่ศาสนาของเรา…
กลับมาทำให้ชีวิตเรามันถูกต้อง…แล้วพระเจ้าจะทำให้หัวใจเธอไม่ต้องอ้างว้างอีก…

ความเหงาจะไม่เข้ามาทำร้ายหัวใจเธอได้อีก
เมื่อในหัวใจเธอถูกบรรจุไว้ด้วยพระนามของพระองค์…เชื่อพี่นะ…”

หญิงสาวก้มหน้าร้องไห้ตัวโยน…แม้เขาจะจากไปแล้ว
แต่ไออุ่นของเขามันยังกรุ่นอยู่ในหัวใจเธอ…


…หลุดลอยไปอีกแล้ว…เหมือนทุกๆครั้งที่เจอ…
เธอไม่เคยจับหรือไขว่คว้าสิ่งใดได้เลย…
ราวกับเธอไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองอะไรสักอย่างเดียว…
ไม่มีอะไรเป็นของเธอเลย ทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมาช่างเหมือนมายาหลอนหลอก…

พอจะเอื้อมคว้าก็กลายเป็นเพียงแค่อากาศ สิ่งที่วาดหวังไว้ก็หายไปกับสายลม…
แล้วก็ได้ความขื่นขมมาถมหัวใจทุกที…

เธอท้อ…เธอเหนื่อย…เหนื่อยเหลือเกิน…

ยิ่งพยายามบินให้สูงขึ้นไปเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกเหน็บหนาว
หนาวจับขั้วหัวใจ…สิ่งที่ปรารถนา…ยิ่งไขว่คว้าก็ยิ่งไกล
เธอเหนื่อยเหลือเกินที่จะเดินต่อไป…ทุกอย่างมันพังหมดแล้ว
หมดแล้ว ไม่เหลืออะไร ไม่เหลือใคร…ไม่เหลือใครอีกแล้ว…
ไม่มีแม้แต่ความหวัง…เมื่อชีวิตมันพัง แล้วเธอจะอยู่ไปเพื่อใคร…
ไม่ว่าใครต่อใครก็หนีเธอไปไกลแสนไกล…
คงเป็นเพราะเธอไม่ได้เกิดมาเพื่อใคร…
ถึงได้ไม่มีใครอยู่กับเธอเลยสักคนเดียว…

“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย…ทำไมฉันต้องเป็นแบบนี้ด้วย…”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นไปยังเบื้องบน มองไปรอบๆ
มองหาพระเจ้าที่พี่ฟาเดลบอก…

พระเจ้าที่เธอเคยบอกใครๆว่าเธอศรัทธายิ่ง…

“ไหนล่ะพระองค์ พระองค์อยู่ที่ไหน…เวลานี้พระองค์อยู่ที่ไหน…
พระองค์เห็นแล้วใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับฮาน่า
พระองค์คงสะใจ สะใจแล้วใช่มั้ย…ที่ทำให้ฮาน่าเป็นแบบนี้
เพราะองค์ใจร้าย ใจร้ายเหลือเกิน…เอาคนที่ฮาน่ารักไปหมดเลย”
หญิงสาวร้องไห้และคุกเข่าลงบนพื้นหญ้า

“ความเมตตาเหรอ…ไหนล่ะการช่วยเหลือ…
พระองค์จะช่วยอะไรฮาน่าได้…”
หญิงสาวกล่าวขณะก้มหน้าร้องไห้…


“เมื่อมลาอิกะฮ์ (เทวทูต) ได้เรียกผู้ศรัทธาแล้วนำเขาไปหาอัลลอฮ์
ในหะดีสบอกว่า อัลลอฮฺได้เรียกบรรดาผู้ศรัทธาให้เข้ามา
พระองค์กล่าวว่า ‘บ่าวของข้าจงเข้ามาใกล้ๆข้า’

และจะมีบ่าวบางคนที่อัลลอฮฺจะตรัสกับเขาพิเศษว่า
‘จงเข้ามาใกล้ๆฉัน’

บ่าวคนนั้นจึงเข้าใกล้ ใกล้อีก ใกล้อีก
จนกระทั่ง มีแสงสว่างปกคลุมตัวเขา ซึ่งจะมีเพียงเขากับอัลลอฮฺ
ซึ่งเป็นม่านคลุมอีกแบบ จะไม่มีมลาอิกะฮ์ท่านไหนมองเห็นหรือได้ยิน
ยกเว้นเขากับอัลลอฮ์เท่านั้น

อัลลอฮ์จะพูดกับเขา คำพูดของอัลลอฮ์เราต่างรู้ว่าอัลลอฮ์ทรงตรัส
พระองค์บอกว่าตรัส ไม่ว่าจะในหะดีสหรือกุรอาน
แต่เราไม่สามารถรู้ว่าการตรัสของพระองค์เป็นเช่นไร
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้

ดังที่พระองค์บอกพระองค์ทรงเห็น ทรงได้ยิน ทรงตรัส
แต่พระองค์ทรงเห็น ได้ยินเป็นยังไงนั้น ไม่มีสิ่งใดเหมือน

ซึ่งเป็นมารยาทในการยกเกียรติแด่อัลลอฮฺ
เพราะไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์…”

ฟาฮาน่าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของน้ำเสียงอ่อนโยนนั่น…
หญิงสูงวัยทรุดึเข่าลงตรงหน้าเธอจับมือทั้งสองของเธอมากุมไว้เบื้องหน้า…
แล้วยิ้มละมุนละไมให้เธอขณะกล่าวอีกว่า

“แล้วอัลลอฮฺตรัสกับบ่าวคนนั้นว่า ‘จงดูที่บัญชีของเจ้า’

แล้วเขาก็เห็นบาปต่างๆที่ได้ทำ แล้วอัลลอฮ์ตรัสว่า

‘เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าข้านั้นมองเห็นแม้ว่าเจ้าจะแอบทำมันในที่ลับตาก็ตาม’
‘เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าวันกิยามะฮฺ (วันอวสานของโลก) จะมาถึง
ไม่รู้หรอกหรือว่าเจ้าจะถูกสอบสวน เจ้าไม่รู้หรอกหรือ’

แล้วเขาก็กล่าวว่า ข้าแด่พระเจ้าของข้า ข้าพระองค์รู้

อัลลอฮ์ก็ทรงตรัวว่า ‘แล้วทำไมเจ้าจึงทำมัน’

บ่าวคนนั้นก็กล่่าวว่า โอ้พระเจ้าของข้า
พระองค์สามารถจะโยนตัวของฉันลงไปในนรก
ง่ายกว่าที่จะมาตัดสินฉันในขณะที่ฉันยืนอยู่เบื้องหน้าพระองค์พร้อมกับความผิดนี้…

แล้วพระองค์ก็ดูที่บัญชีหน้าถัดไป
แล้วพระองค์ก็เห็นการทำบาปอีก บาปมากกว่าอันแรกอีก
ทำบาปที่ร้ายแรงขึ้น บาปเยอะขึ้นต่อเนื่อง

และบ่าวผู้ต่ำต้อยคนนี้ได้นั่งลงและกล่าวว่า

โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์
และสุดท้ายเขาก็พูดว่า ฉันต้องตกนรกแน่ๆ ความดีของฉันไม่ถูกตอบรับ
ฉันก็ได้ทำทั้งหมดพลาดไป…นั่นถึงทำให้ความดีของฉันเป็นโมฆะ…”

ดวงตาที่ดูอ่อนโยนและมือที่เหี่ยวย่นนั้นบีบมือฟาฮาน่าที่นั่งก้มหน้านิ่ง
ก่อนจะกล่าวต่อไปอีกว่า


“เมื่อเขารู้แล้วว่าต้องตกนรกแน่ๆ…”
คราวนี้ฟาฮาน่าก็เงยหน้าขึ้นมองคนพูดด้วยแววตาหวาดหวั่นขึ้นมา
อย่างหาสาเหตุไม่ได้เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว...

“อัลลอฮ์กล่าวกับเขาว่า ‘โอ้บ่าวของข้า’
‘เจ้ารู้ใช่ไหมว่าได้เก็บบาปนี้เป็นความลับตลอดชีวิตที่ผ่านมา”

เขากล่าวว่า ‘ใช่’

พระองค์กล่าวว่า ‘ทำไมเจ้าถึงเก็บมันไว้เป็นความลับ’

เขาตอบว่า ‘ฉันละอายต่อบาปของฉันโอ้พระเจ้าของฉัน’

อัลลอฮ์ตรัสว่า

‘เจ้าเห็นใช่ไหมว่าข้าได้เก็บมันไว้เป็นความลับเช่นกันตลอดดุนยาที่ผ่านมา’
ข้าไม่ได้เผยบาปนั้น นั่นคือหนึ่งในเมตตาของข้า”


แล้วหญิงสูงวัยก็ลูบศีรษะนั้นอย่างเบามือ

“และวันนี้ข้าก็จะเก็บมันไว้เป็นความลับเช่นกัน…”

ฟาฮาน่าได้ฟังมาถึงตรงนี้ก็ถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลพราก
ด้วยความรู้สึกละอายต่อความผิดบาปต่างๆที่ตนเองเคยกระทำมา…
ไม่ว่าจะเป็นการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามที่ศาสนาสั่งใช้และสั่งห้ามไว้...
เธอช่างเป็นผู้ละเมิดแท้ๆ...

“และมีอีกหะดีสนึงที่อัลลอฮ์ทรงตรัสกับบ่าวบางคนว่า

เจ้าได้รู้ความผิดของคนอื่นแต่เจ้าได้ปกปิดมัน
วันนี้ข้าก็จะปกปิดความผิดของเจ้าเช่นกัน…

แล้วพระองค์เปิดบัญชีหน้าถัดไป และเริ่มเห็นความดีแรก
และเปิดหน้าถัดไปก็เห็นความดีที่ดียิ่งขึ้นและเพิ่มขึ้น
พระองค์ทรงเปิดบัญชีย้อนกลับไป (หน้าของบาป)
บันทึกว่างเปล่าซึ่งความบาป ไม่มีมลาอิกะฮ์ผู้ไหนรู้เรื่องนี้…”

หญิงสูงวัยจ้องเข้าไปในดวงตาที่มีน้ำตาหล่อลื่นอยู่แล้วยิ้ม
ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“บาปถูกลบออก บาปนั้นได้ถูกลืมไป…”

แล้วหญิงสูงวัยก็โอบกอดร่างที่กำลังสั่นสะท้านนั้นเอาไว้เพื่อปลอบประโลม…

“อย่าหมดหวังต่อความเมตตาของพระเจ้านะลูก…
หากเราเชื่อฟังพระองค์ เดินตามแนวทางที่พระองค์ทรงส่งมาให้…
เราก็จะได้รับการให้อภัย…แล้วเราก็จะปลอดภัย…
ประตูแห่งการกลับเนื้อกลับตัวถูกเปิดอยู่เสมอสำหรับเรา
จนกว่าลมหายใจของเราจะถึงลูกกระเดือก…”

ฟาฮาน่าพยักหน้ารับท้ังที่ยังซบอยู่ในอ้อมอกของหญิงสูงวัย…


“ก่อนที่ตากับยายเธอจะลาจากโลกนี้ไป…ตอนนั้นเขาได้ฝากฝังยาย
ให้ดูแลเธอให้ด้วย…แต่เพราะยายเห็นว่าเธออยู่กับพ่อกับแม่
มันน่าจะดีกว่าต้องมาอยู่กับคนแก่ขี้บ่นอย่างยาย…ยายก็เลย
ไม่ได้มารับตัวเธอไปอยู่ด้วยกัน ไม่อยากพรากแม่พรากลูก…”

หญิงสูงวัยซึ่งเป็นย่าของฟาเดลอธิบายให้หญิงสาวที่เธอกอดอยู่ฟัง

แม้หญิงสาวผู้นี้จะไม่ได้มีความข้องเกี่ยวทางสายเลือดกับเธอเลย
แต่เมื่อได้เห็นชะตาชีวิตของหญิงสาวผู้นี้ หญิงสูงวัยก็ิอดไม่ได้
ที่จะบอกให้หลานชายคนเดียวนำตัวมาให้ด้วย…

“แต่ตอนนี้…เธอไม่มีใคร…ยายก็เลยจะขอทำตามสัญญา
ที่เคยรับปากไว้กับยายของเธอ…ไปอยู่กับยายนะ…”

เสียงเอ่ยชวนนั้นสร้างความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอ้างว้างของอีกฝ่ายขึ้นมา
จนรู้สึกดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง…

หญิงสาวน้ำตาไหลในขณะพยักหน้าพร้อมรอยย้ิมเต็มตื้น…

“ค่ะคุณยาย…”

“ที่เรารู้สึกอ้างว้าง ไม่มีใคร…ใครๆก็ทอดทิ้งเราไปหมด…
นั่นเพราะว่า ในหัวใจเราไม่เคยระลึกถึงอัลลอฮ์…
เราลืมพระองค์…และนั่นแหล่ะคือความปวดร้าวที่สุดของเรา…”

หญิงสูงวัยกล่าวโอวาทให้แก่หญิงสาวตรงหน้า

“เราลืมผู้ที่สร้างเรา ผู้ที่ให้ทุกอย่างแก่เรา…ผู้ที่ไม่เคยหยุดที่จะให้
พระองค์คือผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่…จำไว้นะลูก…ว่าพระองค์คือที่พักพิง
คือผู้ช่วยเหลือที่แท้จริง…”
หญิงสูงวัยยกมือขึ้นซับน้ำตาให้อีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน…

“และอย่าพึ่งพาใครมากจนเกินไปในโลกนี้
เพราะแม้แต่เงาของเรามันก็ยังทอดทิ้งเราขณะที่เราอยู่ในความมืดมิด…

และอัลลอฮฺเท่านั้น คือผู้ที่จะนำแสงสว่างที่แท้จริงมาสู่เรา…”

หญิงสูงวัยระบายยิ้มเมื่อเห็นแววตาที่ดูหม่นเศร้าของคนตรงหน้าค่อยๆฉายแสงขึ้น…

“เปลี่ยนหยดน้ำตาแห่งความเสียใจ ให้เป็นความซาบซึ้งใจ
ในความเมตตาของพระองค์ที่มีต่อเราดีกว่านะ…

ลองมองไปรอบๆตัวสิ ไหนล่ะที่ไม่ใช่ความเมตตาของพระองค์…
ท้องฟ้า แผ่นดิน ทุกสิ่งอย่าง
พระองค์สร้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเราทั้งนั้น…

แล้วใยเราถึงไม่ก้มลงซูญูด (กราบ) แล้วกล่าวขอบคุณพระองค์…
กล่าวสดุดีต่อความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์…ที่ไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะเสมอเหมือน…”

ฟาฮาน่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มที่เปลี่ยนไปจากเดิม
หัวใจเธอที่เคยคับแน่นไปด้วยการตัดพ้อต่อว่า
บัดนี้มันเปลี่ยนเป็นใสสว่างอย่างไม่น่าเชื่อ…

“หนูรู้แล้วค่ะคุณยาย ว่าจะทำยังไงกับชีวิตที่เหลือของตัวเอง…”








และแล้ววันวิวาห์ก็มาถึง เป็นวันที่มีสองเจ้าบ่าวกับสองเจ้าสาว
ซึ่งกำลังยืนต้อนรักแขกเหรื่อตรงด้านหน้าของงาน
หลังจากพิธีนิกะห์ (สมรส) ตามบทบัญญัติแห่งอิสลาม
ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…

ซึ่งคนที่ดูจะลุ้นระทึกเป็นที่สุดตอนพิธีนิกะห์นั้นคงหนีไม่พ้นเจ้าบ่าวอย่างฟาเดล
ที่ตั้งหน้้าตั้งตารอคำตอบจากเจ้าสาวที่อยู่ในห้องเก็บตัวที่ถูกจัดไว้
หลังจากที่เขาตอบรับเธอไปเป็นที่เรียบร้อยก่อนหน้านั้นแล้ว
เหลือเพียงเธอเท่านั้นว่าจะตอบรับเขาหรือปฏิเสธ

ซึ่งอย่างหลังนั้นเขาคงไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว…
มันเลยอดลุ้นไม่ได้

แล้วการรอคอยที่ทำให้เหงื่อของเขาแตกพลั่กก็มาถึงเมื่อผู้ทำพิธี (อิหม่าม)
เดินเข้ามาบอกเขาว่าเธอตอบรับเขา…

แม้จะเป็นเพียงแค่การพยักหน้ารับโดยปราศจากคำพูด มันก็ทำให้เขาและเธอ
กลายเป็นสามีภรรยากันด้วยอนุมัติของพระเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง…

และเหตุผลแค่นี้เองที่ทำให้เจ้าบ่าวอย่างฟาเดลถึงกับหน้าบาน
แม้เจ้าสาวที่เดินเคียงข้างรับแขกกับเขาจะหน้าตูมสักแค่ไหนก็ตาม…

เพราะสำหรับเขา…การตอบรับเขาของเธอ มันเพียงพอแล้ว
เพียงพอที่จะทำให้เขามีสิทธิ์ในตัวเธออย่างถูกต้อง…

“ขอบใจนะที่ไม่ปฏิเสธพี่…”ฟาเดลได้โอกาสเลยกระซิบขอบอกขอบใจ
เจ้าสาวที่ทำตัวได้น่ารักเหลือเกินในวันนี้…

“ไม่เสียแรงที่พี่เฝ้าติดตามเรื่องชุดให้เธอตลอด…มันช่างเหมาะสมกับเธอมาก…”

ฟาเดลแอบตะลึงตั้งแต่เห็นเธอเดินออกมาในชุดเจ้าสาว
หลังจากตอบรับคำนิกะห์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ตอนนั้นเธอดูสวย สง่า ซ่อนความน่ารักเอาไว้ราวกับเจ้าหญิงในนิยาย
หลุดออกมาเดินอยู่ในงานนี้…แขกเหรื่อเองต่างจับจ้องไปที่เธอเป็นตาเดียวกัน
หลังจากที่ตะลึงไปกับความงามของเจ้าสาวของดารุสแล้ว

“ขอให้บอกมา ว่าจะให้พี่ทำอะไร พี่ยินดีทำ…เพื่อ…เจ้าหญิงของพี่…”

ฟาเดลกระซิบหยอกเย้าอีกฝ่าย หวังจะได้เห็นเธอยิ้มออกมาบ้าง
ทว่า กลับไม่พบรอยยิ้มนั้นเลย…และไม่พบคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของเธอ

แต่อย่างน้อยเธอก็สวมชุดนี้ได้พอดิบพอดี
ซ้ำรูปร่างและหน้าตาก็ไม่ได้ซูบผอมลงอย่างที่เขาเคยคิดกังวล…

นั่นแสดงให้เห็นว่า แผนการที่เขาวางไว้ ก็สำเร็จไปหนึ่ง!

เธอสามารถกินข้าว นอนหลับได้ดี แม้ปากจะบอกว่าไม่พอใจ
ที่จะแต่งงานกับเขาก็ตาม…

“ใครๆต่างก็บอกว่า บ่าวสาวทั้งสองคู่ดูดีสวยหล่อสมกันทั้งนั้นเลยอ่ะพี่รัล…”
นาดีญาในชุดราตรีสีชมพูหวานเดินมาหาพี่สาวพร้อมกับรอยยิ้ม
ดารัลจึงยึดมือของน้องสาวมากุมเอาไว้ ก่อนจะกระซิบว่า

“พี่หิวจังเลยนีล…เมื่อเช้าทานอะไรไม่ลง ตอนเที่ยงก็ไม่กล้ากิน
เพราะชุดมันยาวมากๆ กลัวปวดห้องน้ำ…เลยไม่อยากกินอะไรเข้าไป”

นาดีญาเห็นหน้าที่ดูสวยหยดของพี่สาวแล้วก็ได้แต่ยิ้ม
เพราะปกติที่ไม่ตกแต่งอะไรพี่สาวเธอก็สวยอยู่แล้ว

มาวันนี้จัดเต็มขนาดนี้ เธอมองแล้วอดยอมรับไม่ได้ว่าพ่ีสาวเธอสวยสุดจะบรรยาย ฃ

มิน่า พี่ฟาเดลเกาะติดแจไม่ยอมให้ห่่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว

“เดี๋ยวพี่พาไปนะ…พี่เองก็หิวเหมือนกัน…”ฟาเดลได้ยินเลยอาสา
ทว่า ดารัลกลับสะบัดหน้าพรืดดดดด...

“เก็บฤทธิ์เดชเอาไว้ใช้คืนนี้ดีกว่ามั้ยน้องรัล…กรุณาเชื่อฟังพี่บ้าง
ไม่อย่างนั้น…เธออาจจะได้อายคนทั้งงานก็ได้นะ…
ก็รู้ๆอยู่นี่ว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้ว จะให้จูบหรือหอมแก้ม
ต่อหน้าแขกเหรื่อก็ไม่ใช่ปัญหา…”ฟาเดลกระซิบบอกอย่างเหนื่อยอ่อน
ที่อีกฝ่ายดูจะต่อต้านเขาไม่เลิก…

“ให้พี่ฟาเดลพาไปเถอะพี่รัล…นีลกับฟ้ากะจะไปคุยกับเพื่อนๆหน่อย”
นาดีญาบอกปัด ก่อนจะยิ้มให้แล้วเดินไปหาเพื่อนฝูง
ทิ้งให้พี่สาวอยู่ในกำมือของพี่เขย…

แล้วฟาเดลก็ลากหญิงสาวไปยังห้องส่วนตัวของโรงแรม…
พร้อมกับสั่งอาหารที่เธอชอบมาด้วย

เมื่ออาหารพร้อมเขาและเธอก็เริ่มลงมือ…

“ดูเธอจะหิวมากนะเนี่ย…”ฟาเดลยิ้มอย่างเอ็นดูที่เห็นอีกฝ่าย
ก้มหน้าก้มตาทานอาหารตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่ยอม
โต้ตอบบทสนทนากับเขา…พอเธอเงยหน้าขึ้นมาเขาก็เลยหัวเราะนิดๆ
ก่อนจะหยิบทิชชูเพื่อจะเช็ดตรงขอบปากให้เธอ

“อย่ายุ่งได้มั้ย…”หญิงสาวหลบหลีกพร้อมบอกปัด…

“เธอนั่นแหล่ะอยู่นิ่งๆ…เดี๋ยวมันจะเลอะกันไปใหญ่…”ฟาเดลห้าม
แล้วเขาก็เดินไปนั่งคุกเข่าเช็ดขอบปากที่เลอะครีมสลัดให้อย่างเบามือ
ทำเอาหญิงสาวถึงกับใจสั่น…ยิ่งเขาเงยหน้าขึ้นสบตากับเธอ
ยิ่งทำให้ใจที่สั่นกลับเต้นรัว…

จนฟาเดลชักอยากจะประทับริมฝีปากของเขาลงบนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อนั่นเหลือเกิน…แต่…

“ไม่ดีกว่า…เดี๋ยวลิปสติกของเธอเลอะ…”เหตุผลของเขาทำเอาคนฟังหน้าแดงก่ำ…
เพิ่งได้สติหลังจากโดนเขาร่ายมนต์ด้วยแววตาหวานซึ้งเมื่อครู่…

“รีบกินข้าวให้เสร็จดีกว่า…พี่กลัวว่าถ้าชักช้า
พี่อาจจะเผลอกินของหวานแถวนี้เอาได้…”เท่านั้นแหล่ะ ดารัลก็รีบวางช้อนส้อม
แล้วยกน้ำขึ้นดื่มพร้อมกับลุกขึ้นทันที…

“อ้าว…อิ่มแล้วเหรอ…”หญิงสาวพยักหน้า

“งั้นรอพี่แป้บนึง…จะได้ออกไปต้อนรับแขกพร้อมกัน”

ว่าพลางก็จัดการอาหารตรงหน้าในทันที…ทำเอาคนที่ยืนมองดูอยู่
ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางของคนเจริญอาหาร

“ไปกัน…”ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นแล้วจูงมือเธอเตรียมตัวจะออกไป
แต่ดารัลกลับกระตุกแขนเขา แล้วหันมาจัดชุดของเขา
ที่ยังดูไม่เข้าที่เข้าทางให้อย่างเอาใจใส่…

ทำเอาฟาเดลถึงกับระบายยิ้มออกมา
ด้วยความประทับใจที่เธอดูจะใส่ใจเขา…

“ขอบใจนะ…แล้วพี่จะตบรางวัลให้อย่างงาม…”แววตาของเขา
ดูมีเลศนัยน์จนทำเอาหญิงสาวถึงกับหายใจติดขัด…

พอออกมา ดารัลก็เจอเข้ากับแขกคนสำคัญ…

“อัสสลามุอะลัยกุม…”ชายหนุ่มกล่าวทักทายทั้งสอง

“วะอะลัยกุมมุสลาม…”บ่าวสาวตอบรับคำทักทาย

“ยินดีด้วยนะครับ…ไม่คิดเลยว่าคุณรัลจะแต่งงานเร็วขนาดนี้
ตอนผมมาเมื่อเดือนก่อน ไม่เห็นมีวี่แววเลย…”แขกทักทายด้วยรอยยิ้ม
ซ่อนแววเสียดายเอาไว้ไม่มิด ทำเอาคนที่กำลังจับผิดอยู่ถึงกับอารมณ์ขุ่นมัว

เลยหันมาจับมือเจ้าสาวของตัวเองเสียแน่น
ดารัลรับรู้ได้ถึงสัมผัสนั้น…

“ชีวิตมักมีเรื่องคาดไม่ถึงเสมอค่ะ…รัลเองก็คิดไม่ถึง
ว่าจะมีงานแต่งพร้อมๆกับพี่รุส…เราสองคนรู้จักกันมานานแล้วค่ะ
ผู้ใหญ่เลยเห็นชอบว่าควรจะแต่งงานกันสักที...แต่งทีเดียวสองคู่จะได้อบอุ่น”
ดารัลตอบโดยไม่ต้องคิด เพราะเธอกับเขารู้จักกันมานานแล้วจริงๆ
เพียงแต่ระยะเวลามันก็หาได้สลักสำคัญเลย...

ก่อนจะกล่าวอย่างให้เกียรติทั้งตัวเองและคนข้างๆไปด้วย...

“ยังไงผมก็ยังยินดีและเต็มใจท่ี่จะสอนงานและถ่ายทอดความรู้ให้อยู่นะครับ…”

“ขอบคุณคุณฟารุกมากนะคะ…แต่ต่อไป รัลคงต้องขออนุญาตสามี
แทนการขออนุญาตคุณพ่อซะแล้วล่ะค่ะ…"

หญิงสาวตอบอย่างฉะฉานอีกเช่นกัน เพราะสำหรับเธอ การวางตัวให้อยู่
ในกรอบของอิสลามย่อมสำคัญกว่าความรู้สึกหรืออารมณ์
หากเรามุ่งในเรื่องอารมณ์ หรือทำตามอารมณ์ในทุกๆสถานการณ์
หรือปล่อยให้ปากอยู่ที่หัวใจ...เธอคงอยากจะบีบคอคนที่กำลังบีบมือเธอ
อยู่ตอนนี้ให้หายแค้นเคืองไปแล้ว

“ก็สุดแล้วแต่เขาว่าจะยอมให้รัลไปศึกษางานที่ไทยรึเปล่าน่ะค่ะ…”

คราวนี้ดารัลถึงกับพูดในเชิงมัดมือชกอีกฝ่ายบ้าง
ทำเอาฟาเดลถึงกับหันมามองคนที่เขาจูงมืออยู่
ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับแขก

“ถ้าเธอไม่ยุ่งมากนัก…ผมคงไม่ว่าอะไรหรอกครับ…
เพื่อความรู้ ผมไม่ขัดข้อง…แต่คงต้องเฝ้าติดตามเธอไปด้วย…
เกรงว่าเธอจะไม่สบายขึ้นมาน่ะครับ เพราะพักหลังๆ
น้องรัลไม่สบายบ่อยเหลือเกิน…”

ชายหนุ่มพูดพลางก็กุมมือเจ้าสาวขึ้นมา แสดงสีหน้าว่ารักและหวงแหนแค่ไหน
ทำเอาแขกคนสำคัญถึงกับถอนใจ…ด้วยความอาลัยอาวรณ์…

“ไปทานข้าวกันค่ะ…ทางเรามีอาหารอร่อยๆคอยรับรอง
ไปนั่งกับคุณพ่อม้ัยคะ ท่านอยู่ทางโน้น…”ดารัลตัดบท
ด้วยการเชื้อเชิญแขกแล้วพาไปยังโต๊ะที่บิดากำลังนั่งอยู่






เมื่อได้เวลาส่งตัวบ่าวสาวทั้งสองคู่…คู่แรกคือคู่ดารุสกับมิรันตี
ถูกส่งเข้าห้องหอนำหน้าคู่ที่สอง…

เมื่อเสร็จจากคู่แรกฟาเดลและดารัลก็ถูกส่งเข้าห้องหอ
ซึ่งเป็นห้องนอนของดารัลที่ถูกตกแต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด…

ข้าวของทุกอย่างของฟาเดลก็ถูกนำมาจัดวางไว้ในตู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว…


หลังจากที่ได้รับฟังโอวาทจากผู้หลักผู้ใหญ่เสร็จ…
ดารัลก็โผเข้ากอดมารดาแน่น น้ำตาซึม ไม่อยากให้แม่
เดินออกไปจากห้องนี้…

“ดูซิ…เหมือนตอนเด็กๆไม่มีผิด…เราน่ะโตจนจะสามสิบแล้วนะน้องรัล”

อะมานีเห็นหลานสาวเอาแต่กอดแม่ไม่ยอมปล่อยก็ได้แต่ยิ้มขันปนเอ็นดู
ก่อนจะหันมายิ้มให้มารดาของนาดา…แล้วหันไปยิ้มให้เพื่อนสนิท

“จะกอดพ่อด้วยก็ได้นะ…”ดานีสกางแขนขึ้นเพื่อรับลูกสาว
ดารัลเห็นท่าทางนั้นของพ่อก็ผละจากอ้อมกอดแม่มากอดบิดาแทน

“ต่อไป…คงเป็นเขาที่จะมาคอยดูแลลูกแทนพ่อ…เพราะวันนี้
พ่อได้ยกสิทธิ์นั้นให้ฟาเดลไปแล้ว น้องรัลอย่าดื้อกับสามีนะลูก
เพราะพระเจ้าย่อมจะไม่พอใจภรรยาที่ดื้อดึงกับสามีของนาง

และจงทำให้เขามีความสุข ให้เขาพอใจในตัวลูก
แล้วสวรรค์ของพระเจ้าจะเป็นของลูก…โลกหน้ายั่งยืนกว่าโลกนี้...จำไว้นะลูก…

ดังนั้น…อะไรที่ไม่ขัดกับหลักการอิสลาม…ลูกก็จงทำให้เขาพอใจเถิด…
เพราะนั่นย่อมทำให้พ่อเองพอใจในตัวลูกด้วยเช่นกัน…

พ่อหวังให้ลูกไปสู่ปลายทางที่ดี นั่นคือ ความพึงพอพระทัยของพระเจ้า…
จงอดจงทนให้มาก แล้วลูกจะประสบความสำเร็จ…”

ดารัลกระชับอ้อมกอดแน่นเข้าไปอีก
ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาร่วงลงบนบ่าของพ่อ…
ดานีสผละลูกสาวแล้วหันไปทางฟาเดล

“ฉันฝากลูกสาวด้วย…ฉันหวังว่าเธอจะเป็นคนดี
ไม่ทำให้ลูกสาวของฉันเสียใจ รักเขาอย่างที่ฉันรัก…”

“ครับ…ผมจะพยายามไม่ทำให้เธอเสียใจ…”ฟาเดลรับปาก
ก่อนจะหันไปทางผู้เป็นปู่และย่า

“โตแล้ว มีเมียแล้ว ก็ดูแลกันดีๆนะเจ้าฟาเดล…
ปู่ขอให้อยู่กันนานๆ รักและเข้าใจกันเหมือนปู่กับย่า…

เราอยู่กับปู่กับย่ามาตั้งแต่เด็ก…คงจะรู้ใช่ไหมว่าปู่ไม่เคยตบตีย่าแม้แต่ครั้งเดียว…
การลงโทษภรรยาที่ดื้อดึงมีหลายวิธี...ขอให้นุ่มนวลและไม่ใช้อารมณ์อยู่เหนือสติ
ความรักมันอาจจะจืดได้ แต่ขออย่าให้ความดี ความเอื้อาทรจืดจาง...”
ฟาเดลยิ้มรับพร้อมพยักหน้า

“ครับคุณปู่ ผมจะจำไว้…”

“ย่าเองก็ขอให้หลานของย่าครองคู่กับหนูดารัลไปจนถึงโลกหน้า…
ดังนั้น…เราต้องเป็นคนดี มีศรัทธาที่มั่นคง
ทำตัวให้เป็นคนรักของพระเจ้า…โลกหน้าจะได้มีความสุข
อยู่ในสวนสวรรค์ของพระองค์ด้วยกันอีก…

โลกนี้เป็นทางผ่านและไม่ได้ยั่งยืน…วันนึงเราก็ต้องทิ้งมันไป…
และกลับคืนสู่พระเจ้า...อะไรที่อดทนได้ก็จงอดทนนะฟาเดล…”

ฟาเดลกุมมือผู้เป็นย่าแล้วสวมกอดท่าน…

“ครับคุณย่า…ขอบคุณครับสำหรับคำอวยพร…
ผมจะพยายามทำให้ได้ครับคุณย่า…”

แล้วทั้งหมดก็เดินออกจากห้องนั้นไป แต่ไม่วายดารัลยังยื้อยุดฉุดมารดามากอดอีกครั้ง…
นาดาเลยลูบหลังลูกสาว…

“อย่ากังวลไปลูก…จำที่แม่สอนตอนเด็กๆได้มั้ย…”ดารัลขมวดคิ้ว
นาดาเลยเฉลยว่า

“แม่บอกว่า…ภาระหน้าที่ที่ผู้หญิงจะต้องแบกไว้เมื่ออยู่บนโลกนี้
ก็คือ การเป็นลูกสาวที่ดีอยู่ในโอวาทของพ่อแม่
เป็นภรรยาที่ดีทำให้สามีพึงพอใจ แล้วก็เป็นแม่ที่ดีของลูกๆ…

ที่ผ่านมาแม่พอใจในตัวของลูก ต่อไปลูกก็ต้องทำให้สามีพอใจ…

และการแต่งงานจะทำให้ศาสนาในตัวเราสมบูรณ์ขึ้น…
ขอแค่เราตั้งมั่นอยู่บนศาสนา…”ดารัลจำได้ เธอจำได้
เพราะแม่สอนเธอมาตลอดถึงสิ่งนี้…


"คนที่อยู่เป็นโสดจะเสียโอกาสที่ลูกกำลังได้รับอยู่...
ดังนั้น...เมื่อได้รับโอกาสแล้ว จงทำมันให้ดีที่สุด
ให้สุดกำลังความสามารถของเรา...ไม่มีสิ่งใดง่ายดายเลยในโลกใบนี้
แต่นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่แม่สามารถบอกหนูได้ว่า...มันเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดในชีวิตแม่
เพราะมันคือประตูนรกและประตูสวรรค์...ลูกต้องเลือกว่าจะให้ชีวิตคู่ของเรา
เข้าไปในประตูไหน..."สิ้นเสียงนาดา ดานีสก็โอบไหล่ภรรยาพร้อมพยักหน้า
ยืนยันกับทั้งสองคน...

"อยู่ด้วยกันแล้ว...ต้องรู้จักอดทนและให้อภัยกันให้มากๆนะลูก..."
ดานีสกล่าวปิดท้าย...


....โปรดติดตามตอนต่อไป.....

ประโยคท้ายสุดนั้น เหมือนจะเว้าวอนหรือเชิญชวนให้เราอยากแต่งงานเนอะ...อิอิ

ชีวิตเต่านั้น...เจอสองประโยคหลักๆที่ได้จากคนที่แต่งงานไปแล้วก็คือ

...คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า...จะแต่งทำไม๊ อยู่โสดต่อไปนั่นแหล่ะดีแล้ว
...แต่งเถอะ...เกิดมาแล้วทั้งทีจะได้เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์เราได้มากขึ้น
เสียดายนะถ้าไม่ได้แต่งงาน...

แล้วประโยคที่เต่ามักจะสงสัยและถามคนที่บอกประโยคแรกก็คือ

ถ้าการแต่งงานมันห่วยจริงๆ แล้วทำไมคนที่หย่าร้างแล้วยังต้องหาคนใหม่อีกล่ะ
ถ้าการแต่งงานมันแย่ๆไปซะหมด ทำไมคนที่ทะเลาะกันเกือบจะฆ่ากันได้
ถึงยังจะอยู่ด้วยกันต่อไปอีก...มันก็ต้องมีดีบ้างล่ะน่า...


ปรากฏว่าได้รอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนที่แต่งงานไปแล้วทันที...


นักอ่านเคยรู้สึกบ้างมั้ยว่า

...บางอย่าง เรายิ่งหนีก็ยิ่งเข้าใกล้
...บางอย่าง เราพยายามไขว่คว้าแต่ว่ามันกลับยิ่งหนีเราไกลออกไป...



...ขอคุยกับนักอ่านจากบทที่แล้วค่ะ...

1.คุณคิมหันตุ์...ขอบคุณค่ะที่เข้ามาส่งกำลังใจให้กัน
ยกหน้า...มาลุ้นกันต่อน้าาาาา

2.คุณตุ๊งแช่...นั่นน่ะสิคะ...วันวิวาห์หรือวันวิวาทนะ
บทนี้แค่หอมปากหอมคอ ยกหน้าต้องมากันต่อค่ะ...
น่าสงสารกับน่าหมั่นไส้นั้น โยว่ามันใกล้กันแค่เส้นยาแดงผ่าแปดเองน้าาาา อิอิ...

3.คุณแว่นใส...เด็กหรือผู้ใหญ่ใช่วัดกันที่อายุเนอะ...อิอิ
ถ้ายังจำกันได้ นาดาแต่งงานกับหมอดานีส ตอนนั้น อายุ 18
แต่ก็ยังดูโตกว่าดารัลในตอนนี้เสียอีก ว่ามั้ยคะ...
มันมีปัจจัยที่ต้องยอมรับว่า...เบ้าหลอมนั้นสำคัญยิ่ง...

4.คุณphakarat...มีคนเข้ามาเชียร์ฟาเดลแว้วววววว...อิอิ
ต่อไปอาจจะเปลี่ยนใจหันไปเชียร์อีกฝ่ายก็ได้นะคะ...เหอๆ..
ขอบคุณค่ะที่เข้ามาส่งเสียงให้เต่าโยมีกำลังใจ


สุดท้ายไม่ท้ายสุด

ขอบคุณนักอ่านทุกๆท่านนะคะ...


...รักษาสุขภาพค่ะ...




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ย. 2557, 14:50:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2557, 14:50:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 3814





<< บทที่ 7 เหตุผลที่ยอมทน   บทที่ 9 อาทิตย์อุทัย >>
แว่นใส 12 ก.ย. 2557, 17:29:42 น.
ขอให้ปฏิบัติได้อย่างที่สัญญานะ


คิมหันตุ์ 12 ก.ย. 2557, 23:34:39 น.
ฮาน่าน่าสงสาร. รอชมตอนหน้าค่ะว่าพี่ฟาเดลจะหวานขนาดไหน


pseudolife 16 ก.ย. 2557, 00:47:39 น.
ทรุดึเข่า ---> ทรุดเข่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account