อธิฐานรักข้ามภพ
เรื่องย่อบุพเพอาละวาดข้ามภพ (อธิฐานรักข้ามภพ)
ผู้แต่ง : อัปสรา

“วิลันดา ”หญิงสาวสวยผู้มีรูปร่างอรชร ใบหน้าอ่อนหวานดุจนางในวรรณคดี เธอต้องเจอมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อ ชัชวาล คนรักซึ่งวางแผนกำลังจะแต่งงานกัน แอบปันใจให้กับสาวในที่ทำงานเดียวกัน เธอจึงพาหัวใจอันบอบช้ำไปยัง “โบสถ์ปรกโพธิ์ “และอธิฐานจิตต่อหน้าองค์หลวงพ่อนิลมณีอันศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้พบกับคู่แท้ และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น “ขุนไกร” ทหารกล้าแห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ด้วยบุปเพสันนิวาส หรือบุปเพอาละวาดก็ไม่รู้ เขาพลัดหลงยุคมาพบกับเธอ เธอจึงจำเป็นต้องรับภาระดูแลเขา จนกว่าจะหาวิธีส่งเขากลับไปสู่ยุคกรุงธนบุรี เพียงเวลาไม่นานความรักเริ่มก่อตัวขึ้นแต่มิมีใครยอมพูดออกมา ปู่เจ้าแนะนำวิธีส่งขุนไกรกลับไปในคืนพระจันทร์เต็มดวงและนั่นเองทำให้ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปตลอดกาล เธอได้หลุดเข้าไปในยุคกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร และได้พบกับ “จมื่นราชภักดี” หรือพ่อเพ็ง เขาตกหลุมรักแม่หญิงวิลันดาตั้งแต่แรกพบและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้องสาวของขุนไกร ขุนไกรพาวิลันดาไปฝากไว้ที่คุ้มพระยามิตรไมตรี พ่อของเขา และขุนท้าวเฟื่องแม่ของขุนไกรรักใคร่เอ็นดูเธอมาก
ขุนไกรเคยช่วยยะโมหนั่ย สาวพม่าตาคมที่มีเชื้อไทยอยู่ครึ่งหนึ่งเธอเป็นกองสอดแนมฝีมือฉกาจที่พม่าส่งมาสอดส่องหาความเคลื่อนไหว ขุนไกรได้ช่วยเธอไว้จากการถูกงูกัดเธอตกหลุมรักเขาทันทีทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้และไม่ได้คิดหวังจะครองคู่ขอเพียงได้รักเขาเท่านั้น นั่นสร้างความไม่พอใจกับโบ๊ด๊ะฮูศิษย์ผู้พี่เป็นอันมากที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเธอ มีหญิงสาวมากมายมาหลงรักขุนไกรรวมถึงแม่ชบาลูกครึ่งแขกตาคมที่มีแม่เป็นอนุและร่วมพ่อเดียวกับขุนศรีเพื่อนรักของขุนไกรแต่ก็ไม่มีใครที่จะพิชิตใจขุนไกรได้สักคน
ระหว่างที่ขุนไกรอยู่ที่คุ้มจมื่นราชภักดีมาที่เรือนบ่อยครั้ง สร้างความไม่พอใจให้ขุนไกรเป็นอันมากเพราะเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าหลงรักแม่หญิงวิลันดาจนหมดหัวใจ แต่แม่หญิงวิลันดาปากหนักไม่ยอมรับรักขุนไกร เขาจึงรุกหล่อนหนักจนทั้งคู่ยอมสารภาพรักต่อกัน ขุนไกรตั้งใจให้เสร็จศึกจากค่ายบางกุ้งจะให้แม่ไปขอยกเลิกการหมั้นหมายแก่แม่ดาวเรืองเพราะเขาไม่เคยมีใจให้นาง ขุนท้าวเฟื่องยอมตามใจเพราะรู้ว่าขุนไกรแต่งกับแม่หญิงดาวเรืองไปก็คงไม่มีความสุข
แต่เมื่อมีคนรักย่อมมีคนเกลียดชังเช่นกัน “แม่หญิงดาวเรือง” คู่หมั้นคู่หมายของขุนไกร ซึ่งแม่ของขุนไกรเคยหมั้นหมายนางไว้ให้ เพราะคิดว่านางเป็นหญิงที่ดีมีคุณสมบัติเพียบพร้อม หล่อนสงสัยในตัวแม่หญิงวิลันดาจนให้บ่าวคนสนิทไปสืบและรู้ว่ามิใช่หลานขุนท้าวเฟื่องจึงหาทางกำจัดนาง ปุโรหิตศรีวิชัยได้มาที่คุ้มเล่าถึงอดีตชาติของวิลันดาให้ฟังและเขาคอยช่วยหล่อนในหลายเรื่องเพราะที่แท้แล้วเขาเคยเป็นบิดาของหล่อนในอดีตชาติสมัยทวารวดี
ในระหว่างที่ขุนไกรต้องกลับไปฝึกซ้อมให้ทหารที่ค่ายจีนบางกุ้งยะโมหน่าย สายลับสาวของพม่าที่มีเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่งและขุนไกรได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้หล่อนหลงรักขุนไกร ได้มาเตือนไม่ให้ขุนไกรกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่ขุนไกรไม่เชื่อเขาไม่คิดหนีเอาตัวรอดละทิ้งพี่น้องร่วมชาติ
ส่วนแม่หญิงดาวเรืองนำผงเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัดชนิดหนึ่งมาให้จมื่นราชภักดี แต่เขาปฎิเสธน้องสาวไม่ยอมใช้วิธีสกปรกเช่นนั้นกับแม่หญิงวิลันดาเพราะเขาอยากได้หัวใจของนางมากกว่า แม่หญิงดาวเรืองจึงวางแผนกับบ่าวคนสนิทชวนพี่ชายและแม่หญิงวิลันดาไปชมผ้าที่ตลาดท่าจันทร์หวังให้วิลันดาต้องอับอายและรีบแต่งงานกับพี่ชายของนาง แต่บ่าวทีใช้ให้วางยากับหยิบยานอนหลับไปใส่แทนทำให้จมื่นราชภักดีมิได้ทำอะไรกับแม่หญิงวิลันดา ขุนท้าวเฟื่องและบ่าวไพร่ตามหาแม่หญิงและจมื่นราชภักดี
และมาพบในสภาพที่คิดเป็นอื่นไม่ได้ จมื่นราชภักดีรู้ว่าเขาโดนน้องสาววางแผนจัดฉาก แต่หากเขาไม่ยอมรับก็กลัวแม่หญิงวิลันดาจะเสียหายจึงยอมรับผิดเสียเอง ขุนไกลขอลาราชการกลับมาและตามไปจนพบภาพบาดตาบาดใจขาแทบจะฆ่าจมื่นราชภักดีให้ตายต่อหน้า แต่เชื่อมั่นในตัวแม่หญิงวิลันดาว่านางมิรู้เรื่องนี้ด้วย เขาเข้าใจผิดว่าจมื่นราชภักดีวางยานางและมิคิดรังเกียจในตัวแม่หญิงสักน้อยนิด
จมื่นราชภักดีให้พระยาสีหเดโชมาสู่ขอแม่หญิงวิลันดากับขุนท้าวเฟื่องและพระยามิตรไมตรีท่ามกลางความยินดีของแม่หญิงดาวเรืองคิดว่าจะหมดเสี้ยนหนาม แต่ขุนไกรโวยวายมิยอมให้แม่ยกให้เขาบอกแก่ทุกคนว่าหากแม่ยกให้ตัวเขาก็ต้องคงชิงแม่หญิงวิลันดาคืนมา วิลันดาไม่อยากให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคุ้มบาดหมางกันเพราะเรืองของเธอ จึงยอมตกลงแต่งงานกันโดยบอกว่าตนเองมีใจให้แก่จมื่นราชภักดี ขุนไกรเสียใจมากกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่รับปากจะกลับมาให้ทันงานแต่งแม่หญิงวิลันดากับจมื่นราชภักดี ระหว่างทางพบคนถูกทำร้ายที่แท้คือยายแดงเจ้าของเพิงพักวันนั้นที่แม่หญิงดาวเรืองบังคับให้ช่วยเหลือในแผนการครั้งนั้น นางซึ้งในน้ำใจของขุนไกรจึงเล่าเรื่องราวที่แม่หญิงดาวเรืองเป็นผู้วางแผนทั้งหมดให้ขุนไกรฟัง ขุนไกรพานางแดงไปที่งานแต่งเขาไม่ยอมเสียแม่หญิงยายแดงเล่าความจริงให้ทุกคนฟัง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายโกรธแม่หญิงดาวเรืองมากจึงตำหนินงอย่างมิไว้หน้า ขุนไกรก็มิไยดีนาง แทนที่แม่หญิงดาวเรืองจะสำนึกในความผิด นางกับแค้นแม่หญิงวิลันดามากขึ้นและรู้ว่านางคงจะไม่มีทางได้หัวใจของขุนไกรเป็นแน่ จึงหยิบมีดสำหรับเจียนหมากพลูที่อยู่ในงาน แทงเข้าหมายจะให้ทิ่มแทงเข้าที่ขั้วหัวใจแม่หญิงวิลันดา แต่ด้วยความรักจมื่นราชภักดีเอาร่างเขาเข้ามาขวางไว้มีดของแม่หญิงดาวเรืองปักเข้าที่ร่างของเขางานมงคลจึงถูกเลื่อนออกไป จมื่นราชภักดีเป็นผู้ชายแม้นจะรักแม่หญิงมากเพียงไรแต่ก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่านางกับขุนไกรรักกันมากเขาจึงยอมยกเลิกงานแต่งงาน ส่วนแม่หญิงดาวเรืองทำชั่วไว้มากกรรมจึงสนองนาง นางเสียใจมากจึงหยิบขวดยาขึ้นมาหารู้ไม่ว่ายาขวดนั้นมิใช่ขวดยานอนหลับ กับเป็นผงว่านเสน่ห์จันทร์ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัด ยังโชคดีที่ผู้ชายที่พบนางในคืนนั้นคือขุนศรีซึ่งแอบมีใจให้นางทั้งสองจึงตกเป็นของกันและกัน ส่วนขุนไกรหลังจากเสร็จศึกที่ค่ายบางกุ้งและได้รับชัยชนะกลับมาเขาและแม่หญิงวิลันดาตัดสินใจแต่งงานกัน แม้นว่าประตูกาลเวลาจะให้โอกาสแม่หญิงวิลันดาได้เลือกอีกครั้ง แต่เธอเลือกที่จะอยู่เคียงข้างขุนไกรอยู่ที่กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรแม้นภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้นกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จะไม่ได้มีอายุที่ยืนยาวนับร้อยปี แต่ความรักของขุนไกรและวินดากลับยืนยาวไปชั่วกัลปวสาน

+++++++++++++++++++++++++++++++

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2

ตอนที่2

ขุนไกรชายชาตินักรบแห่งกรุงธนบุรีเขายืดอกรับโชคชะตาที่เขามิได้เป็นผู้กำหนด ไม่หวั่นเกรง แม้จิตใต้สำนึกจะเตือนให้เขารู้แล้วว่านี่มิใช่การแสดงของแม่หญิงผู้ที่เขาคิดว่าหล่อนคงจักวิปลาสไปเสียแล้ว ความรู้สึกของเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงเพียงแต่เขาจะกล้ายอมรับมันได้หรือไม่ เขาลองเอาฝ่ามือใหญ่ของตน จับบริเวณต้นแขนด้านซ้ายและออกแรงหยิกมันลงไปแรงๆเพื่อเป็นการทดสอบว่าเขาจะมีความรู้สึกหรือไม่ แต่ผลลัพธิ์ก็คือความรู้สึกเจ็บแปลบๆที่กายเนื้อบริเวณนั้นมีรอยแดงขึ้ตามแรงกดจิกของนิ้ว นี่ไม่ใช่ความฝันของเขา หญิงสาวผู้มีใบหน้าหวานเลิศล้ำเกินหญิงใดที่ขุนไกรเคยพบพาน มองกิริยานั้นด้วยความรู้สึกขบขันแกมสนเท่ห์ในใจว่าชายตัวสูงใหญ่ผู้นี้คงคิดว่าตนเองกำลังฝัน


“แล้วข้าจักกลับไปยังยุคกรุงธนบุรีได้เยี่ยงไรกันเล่าแม่หญิง” เขาเองก็มิรู้จะทำอย่างไร จึงหันไปถามหล่อนซึ่งเขาคิดว่าหล่อนอาจจะเป็นผู้ชักพาเขามาที่นี่แลคงมีวิธีส่งเขากลับไป


“คุณเชื่อฉันแล้วใช่ไหม” แต่ในความคิดของหล่อนกับตอบว่าฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้นี่ฉันกำลังฝันไปหรือเปล่า วิลันดาหยิกแขนตัวเองเบาๆเช่นกันและรับรู้ได้ว่ามันยังเจ็บอยู่

ขุนไกรนิ่งไม่ตอบ แต่วิลันดาจับความรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มจะเชื่อหล่อนบ้างแล้ว ใช่ว่าเขาคนเดียวเท่านั้นที่คงจะกำลังสับสน แม้แต่ตัวหล่อนเองก็ยากจะเชื่อว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นจริง หล่อนเคยดูละครเคยอ่านนิยายมาบ้างและมักจะรู้สึกคัดค้านในความคิดเสมอว่ามันคงจะเป็นเพียงจินตนาการของบรรดานักเขียนที่วาดฝันไปเท่านั้นไม่สามารถจะเกิดขึ้นจริงได้แต่ว่าวันนี้ ณ.เวลานี้สิ่งที่หล่อนกำลังเผชิญอยู่คืออะไร

“แม่หญิงมีวิธีส่งข้ากลับไปได้รึไม่” ในเมื่อมาได้ก็น่าจะกลับไปได้ความคิดของขุนไกรในเวลานี้ ไม่มีสิ่งใดดีเกินกว่าการหาทางกลับไปยังสถานที่เดิม เขากวาดตาไปรอบๆโบสถ์มีหล่อนคนเดียวเท่านั้นฉะนั้นหล่อนผู้นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการมาที่นี่ของเขา

“ฉันไม่ทราบ คุณมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นซิคะ” ตากลมโตเบิกกว้างขึ้น และส่ายหัวช้าๆเป็นเชิงปฏิเสธ

วิลันดากล่าวหล่อนคิดอย่างที่พูดจริงๆก็หล่อนไหว้พระของหล่อนอยู่ดีๆเขาก็โผล่พรวดมาอย่างนี้จะให้หล่อนทำอย่างไรถ้าหล่อนไปเล่าให้ใครฟังมีหวังต้องถูกหาว่าบ้ากันแน่

“เจ้ามิได้เป็นผู้เรียกข้ามาที่นี่ดอกรึ” สายตาคมกริบนัยน์ตาดำสนิทดั่งสีนิลจ้องมองมาอย่างสงสัย

“เปล่าเลยฉันจะเรียกคุณมาทำไมกัน ฉันไม่ใช่พ่อมดหมอผี จะได้เรียกคุณมาที่นี่ได้” หล่อนรีบปัดข้อหาที่กำลังจะถูดยัดเยียดทันที

“แล้วข้าจักกลับบ้านข้าได้เยี่ยงไรเล่า” ขุนไกรทหารกล้าฝีมือดีแห่งกรุงธนบุรี บัดนี้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ไม่รู้จะทำเช่นไรกับชีวิตของตน แม้ขุนไกรจะเป็นคนแห่งยุคกรุงธนบุรีแต่เขาเองก็เป็นบุคคลที่ได้ขึ้นชื่อว่าหัวทันสมัยในยุคของเขาจึงเชื่อว่าเขาข้ามภพมาจริงๆแต่จะหาทางกลับไปอย่างไร นั่นคือเรื่องที่เขาต้องคิด

“เอาอย่างนี้ละกันฉันจะพาคุณไปหาตำรวจ” ยามนี้หล่อนก็คิดอะไรไม่ออกการพาเขาไปส่งตำรวจคงจะดีที่สุดและจะทำให้เขาไม่ต้องมาเป็นตัวปัญหาของหล่อนอีกต่อไป

“เจ้าจักพาข้าไปหาตำรวจรึ” เขาย้อนถามหล่อนเพราะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่หล่อนเรียกว่าตำรวจคืออะไรกันแน่น

“ตำรวจ เอ่อๆ สมัยของคุณเขาคงเรียกว่าโปลิศนะคะ” วิลันดาคิดว่าเขาคงไม่เข้าใจความหมายของคำว่าตำรวจเพราะในยุคก่อนหล่อนเคยอ่านหนังสือผ่านๆตาว่าเขาเรียกตำรวจทับศัพท์กันว่าโปลิศ

“เจ้าหมายความว่าเจ้าจักนำพาข้าไปหาเจ้าพนักงานกรมเวียงกระนั้นรึ” เขาเองก็งงหล่อนจะพาเขาไปหาโปลิศพวกที่สังกัดอยู่ในกรมเวียง แล้วคนพวกนั้นในยุคนี้มีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถส่งเขากลับไปยังยุคของเขาด้วยหรือ

“อืม! ใช่ซินะ ฉันก็ลืมไป คุณหลงยุคมาถ้า ฉันพาคุณไปแจ้งความกับตำรวจให้พวกเขาพาคุณกลับบ้าน ฉันคงต้องเข้าไปนอนในคุกข้อหาแจ้งความเท็จแน่นอนเลย”

เฮ้อ! แล้วฉันจะทำยังไงกับคุณดีนะ วิลันดาถอนหายใจ

“เพลานี้ก็ใกล้ย่ำค่ำแล้วบางทีเจ้าอาจจักมีที่พักให้ข้าได้พักก่อน แล้วข้าจักหาทางกลับไปยังบ้านของข้า แม่หญิงเจ้าจักพอช่วยเหลือข้าได้รึไม่”

“ที่พัก”

“เอาแล้วซิซวยแล้ววิลันดา” หล่อนพึมพรำอยู่เบาๆ

หากอากัปกิริยานั้นก็ไม่พ้นสายตาของขุนไกรทหารกล้า

“หากข้าทำให้เจ้าต้องลำบากใจ ข้าก็จักมิขอร้องเจ้าอีก” ขุนไกรก้าวเดินผ่านหน้าหล่อนมุ่งไปยังประตูทางออกของโบสถ์

“เดี๋ยวซิคุณทำเป็นงอนไปได้ ฉันพึ่งรู้นะว่าผู้ชายยุคคุณเขาก็ขี้งอนกันแบบนี้” หล่อนเรียกเขาเอาไว้กลัวว่าเขาจะเดินออกไปจากโบสถ์

ขุนไกรหันหลังก้าวเดินกลับมาหาหล่อนซึ่งยืนทำคิ้วย่นอย่างกับจะผูกกันเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ข้ามิได้งอนเจ้าดอกหนา กิริยาเยี่ยงที่เจ้าพูดเขาใช้กับแม่หญิงเยี่ยงเจ้า ชายชาติทหารกล้าเยี่ยงข้านี้มิได้เป็นเยี่ยงนั้นดอกหนา ข้าเพียงแต่มิอยากให้เจ้าต้องลำบากใจ”

“เอาล่ะ ๆพอทีเถอะ เอาเป็นว่าฉันจะให้คุณไปพักที่บ้านฉันก่อนจนกว่าคุณจะหาทางกลับบ้านได้ละกัน ฉันคงช่วยคุณได้เท่านี้” หล่อนพูดจากใจจริงและก็อดนึกสงสารเขาไม่ได้อย่างน้อยเขาก็เป็นบรรพบุรุษของไทยคนหนึ่งที่ได้เคยปกป้องบ้านเมืองไว้ แม้หล่อนเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านประวัติศาสตร์ตอนเรียนก็มักจะสอบตกวิชานี้เพราะขี้เกียจอ่านหนังสือแต่ก็จำได้ว่าในยุคที่เขาจากมามีวีรชนคนกล้าที่ต้องพลีชีพไปไม่รู้เท่าไหร่กว่าประเทศไทยจะเป็นปึกแผ่นเช่นทุกวันนี้

ทั้งเขาและหล่อนหันกลับไปมองหลวงพ่อนิลมณีที่ประดิษฐานอยู่เบื้องหน้าและย่อตัวลงนั่งคุกเข่ายกมือไหว้โดยมิได้นัดกันล่วงหน้า

“ขอให้ข้าได้กลับไปยังบ้านเมืองของข้าด้วยเถิดขอรับ ตอนนี้บ้านเมืองกำลังระส่ำระสายข้ามีหน้าที่จักต้องรับใช้ชาติบ้านเมือง”

“หากแม้นนี่คือความปรารถนาที่องค์หลวงพ่อจะให้ลูกได้ช่วยเหลือชายผู้นี้ลูกก็ยินดีจะช่วยเขาเจ้าค่ะ” วิลันดาก้มลงกราบลาองค์หลวงพ่อนิลมณีอันศักดิ์สิทธิ์

++++++++++++++++++

“เจ้าจักให้ข้าเข้าไปอยู่ในไอ้วัตถุหน้าตาประหลาดนี่กระนั้นรึ” ขุนไกรอิดออดทำถ้าไม่ยอมขึ้นรถ Jazz สีชมพูของหล่อน

“นี่เขาเรียกว่ารถยนต์ค่ะ ถ้าคุณไม่ขึ้นรถ จะให้ขี่ม้ากลับกรุงเทพฯหรือไง” วิลันดาอ่อนใจกับทหารหนุ่มหล่อยุคกรุงธนบุรีผู้นี้เสียจริง

“ข้าขี่ม้าได้ เจ้ารู้รึไม่ข้าขี่ม้าได้เก่งไม่เป็นรองผู้ใดเชียวหนา” เขาคิดถึงเจ้าม้าตัวโปรดที่ผูกไว้ใต้ตนไม้ใหญ่ทางเข้าโบสถ์ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะเป็นอย่างไรบ้าง

“แต่ฉันไม่มีม้าให้คุณขี่หรอกนะคะ แล้วถ้าคุณยังไม่ขึ้นมาก็ยืนอยู่ตรงนี้รอคนอื่นมาช่วยละกัน ฉันจะกลับบ้านแล้ว ไม่เห็นหรือว่ามืดค่ำแล้วเนี่ย”

ขุนไกรไม่รอช้าจำต้องขึ้นรถของหล่อนอย่างขัดใจ ทำให้รถJazz ดูอึดอัดไปถนัดตาเพราะเขามีร่างกายสูงใหญ่กำยำ

“เอ่อ...เจ้าจักให้ข้าช่วยอันใดเจ้าได้บ้างรึไม่ ”ขุนไกรเห็นหล่อนกำลังขยับอะไรบางอย่างซึ่งเขาไม่รู้จักและหมุนบางสิ่งที่มีลักษณะกลมเป็นวงเบื้องหน้าหล่อนแต่มันทำให้รถวิ่งไปข้างหน้าได้เขาจึงอยากจะช่วยหล่อนบ้าง

“ไม่ต้องคุณนั่งเฉยๆก็พอ”

“แต่ข้าเป็นชายชาติทหารจักปล่อยให้สตรีเยี่ยงเจ้าลำบากมันมิสมควรดอกหนา”

“ถ้าฉันให้คุณขับรถพรุ่งนี้ก็คงไม่ถึงกรุงเทพฯ คงได้นอนกันแถวนี้นี่แหละ”

หล่อนเร่งความเร็วรถเพื่อจะรีบกลับให้ถึงบ้านที่กรุงเทพฯไม่ดึกเกินไปนัก

“รถของเจ้านี่วิ่งเร็วกว่าม้าของข้านัก หากข้ามีไว้ใช้ยามออกศึกสงครามคงจักดีมิน้อย”

“โอ้โฮคิดไปได้” หญิงสาวแอบยิ้มกับความคิดของทหารหนุ่มแห่งกรุงธนบุรี

“ในสมัยนี้เขาก็มีการนำรถไปใช้ในการทหาร แต่จะเป็นรถถังค่ะ ไม่ใช่รถแบบนี้”

“แล้วฉันลืมบอกไปช่วงที่คุณต้องอยู่ที่นี่คุณควรจะปรับตัวเสียใหม่นะคะเพื่อที่จะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวคุณ”

“บางทีเจ้าคงจักพอแนะนำข้าได้บ้างรึไม่ ว่าข้าควรจักทำเยี่ยงไร”

“ก็อย่างเช่น การพูดจาของคุณต้องเปลี่ยนเสียใหม่ เพราะคำพูดแบบที่คุณใช้คนสมัยนี้เขาไม่ได้ใช้กันแล้ว อย่างเช่นการแทนตัวเองก็เหมือนกัน”

“แล้วเจ้าจักให้ข้าเรียกแทนตัวข้าว่ากระไรรึ”

“แทนตัวคุณเองว่าผม และเราจะใช้คำว่าคุณในการเรียกผู้อื่นแต่ถ้าสนิทมากเราสามารถเรียกชื่อเขาได้”

“แล้วคุณชื่ออะไรรึ” เขาถามหล่อนกับทันควัน

“โอ้โฮ คุณนี่สมองไวสุดยอดไปเลยนะ”หญิงสาวหันเหลียวมองค้อนเขาเข้าให้

“ฉันชื่อวิลันดา ”หล่อนตอบ

“แต่คุณไม่ต้องพูดคำว่า รึ ,ฤา ,กระไร,เยี่ยงนี้ เยี่ยงนั้น ลงท้ายคำพูด”

“วิลันดา”ขุนไกรทวนคำนั้นอยู่ในใจ

“ผมจักเรียกคุณว่าวิลันดา”สายตาของขุนไกรทหารกล้าเปล่งประกายวาวขึ้น ยามมองหล่อนชัดๆใกล้อย่างนี้เขาคิดว่าหล่อนสวยกว่าหญิงกรุงธนบุรีคนอื่นๆที่เคยพบมากนัก มากเสียกว่าแม่หญิงดาวเรืองโฉมงาม คู่หมั้นคู่หมายของเขาที่เจ้าพระยานิมิตรไมตรีผู้เป็นพ่อของเขาได้สู่ขอจากเพื่อนรักเอาไว้ให้

“ถึงแล้วค่ะบ้านของฉัน”หล่อนจอดรถตรงหน้าบ้านเดี่ยวสไตล์ยุโรป2ชั้นขนาด 50 ตรว .กลางเก่ากลางใหม่ มีสนามหญ้าหน้าบ้าน ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ มีต้นพิกุลปลูกเป็นรั้วแนวยาวดูสวยงาม

ขุนไกรก้าวลงจากรถ และมองบ้านเรือนแปลกตาด้วยความสงสัย

“เรือนของคุณวิลันดาเหมือนตึกของพวกโปรตุเกสที่ข้าเคยเห็น แต่ตึกพวกนั้นดูมิสวยเท่าเรือนของคุณ”

คำพูดไทยโบราณผสมผสานภาษาไทยในยุคปัจจุบัน ก็ทำเอาวิลันดาอดจะขำไม่ได้แต่ก็พอจะฟังรู้เรื่อง อย่างน้อยก็ดีกว่าเจอชาวต่างชาติหลงยุคถ้าเช่นนั้นแล้ววิลันดาคงจนปัญญาจริงๆ

“เรียกว่าบ้านจะดีกว่าค่ะ เป็นการปลูกเรียนแบบสไตล์ยุโรปค่ะ”

“เข้าบ้านซิคะ”

ขุนไกรเดินตามหล่อนเข้าบ้าน ภายในบ้านของหล่อนเขามองไม่เห็นใครสักคนเห็นแต่โต๊ะ
ตู้สิ่งของต่างๆที่ดูแปลกตากว่าในยุคสมัยของเขามากนัก

“แล้วพ่อแม่ของเจ้ามิอยู่ดอกรึ”

“เอาอีกแล้วนะ” หล่อนหันมายิ้ม

“พ่อแม่ของคุณไม่อยู่หรือครับ” หล่อนแก้ให้และหันไปยิ้มเยาะหยอกเอินเขาพอเป็นพิธี
“ พ่อแม่ฉันเสียไปได้ 3 ปีแล้วละ” หล่อนตอบเขา ดูนัยน์ตาเศร้าลงแวบหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำรินลงในแก้วแล้วยกดื่มแก้กระหาย

“แล้วผัวของคุณไม่อยู่หรือครับ”

หล่อนสำลักน้ำที่ดื่มหน้าตาตื่นกับคำถามของเขา แต่ก็รู้อยู่ในใจว่าเขาพูดไปโดยมิได้มีเจตนาไม่ดีกับหล่อน

“ฉันยังไม่มีสามีหรอกค่ะ ส่วนแฟนก็พึ่งจะเลิกกันไป”

ขุนไกรสังเกตว่าแวบหนึ่งแววตาของแม่หญิงผู้นี้หม่นลง ก่อนจะกลับคืนเป็นปกติ

“เอ่อ...คืออย่างนี้นะขุนไกร สมัยนี้เขาจะไม่พูดคำว่าผัว เพราะมันฟังดูไม่สุภาพจะใช้คำว่าสามีแทน และส่วนคนที่เขารักกันแต่ยังไม่แต่งงานกันเรียกว่าแฟนก็ได้”


เฮ้อ! เขาถอนใจเป็นคนยุคสมัยใหม่ทำไมถึงยากนักเขาคิด “ทำไมสมัยของคุณต้องเปลี่ยนแปลงให้มันยุ่งยากด้วย”

วิลันดาไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบอย่างไร

“เอาเป็นว่าเดี๋ยวฉันจะไปหาเสื้อผ้าของคุณพ่อที่เหลืออยู่มาให้คุณเปลี่ยน แล้วจะจัดที่ให้คุณนอน”

หล่อนหายไปพักหนึ่งแล้วกลับมาพร้อมเสื้อผ้าในมือ หล่อนจัดการแนะนำวิธีการใช้ห้องน้ำของคนยุคปัจจุบันให้ขุนไกร เพราะคิดว่าหากหล่อนไม่บอกขุนไกรจะต้องตกใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่เขาพบ และเขาจะต้องตั้งคำถามกับหล่อนอีกมากมาย


“เข้าใจแล้วใช่ไหมคะ” หล่อนส่งยิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินออกจากห้องน้ำ
ขุนไกรอาบน้ำล้างคราบเหงื่อไครออกจนสิ้น เสื้อผ้าของพ่อแม่หญิงผู้นี้ช่างใกล้เคียงกับขนาดของรูปร่างของเขาจนไม่เป็นปัญหามากนัก

วิลันดาหันไปมองคนที่กำลังเดินออกมาจากห้องน้ำ หล่อนไม่อยากจะเชื่อสายตาหลังจากเขาอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ ขุนไกรจะดูดีขึ้นขนาดนี้ ในความรู้สึกของวิลันดาเขาหล่อเหมือนพระเอกหนังไทยไม่มีผิด แต่หล่อนก็ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรออกมาให้ปรากฏ เพียงแต่นึกชื่นชมเขาอยู่ในใจเท่านั้น
“ฉันจัดที่นอนไว้ให้คุณแล้ว คุณนอนพักเอาแรงเสียหน่อยดีกว่านะคะแล้วฉันจะค่อยๆ หาวิธีช่วยคุณกลับไป”

“คุณจะให้ผมนอนที่ห้องของคุณมันจะไม่เหมาะ เรายังมิได้แต่งงานกันมิสมควรนอนร่วมเตียงเคียงหมอนกัน” ขุนไกรแย้งขึ้น

หล่อนส่ายศรีษะทันที “ใครว่าฉันจะให้คุณนอนเตียงเดียวกับฉัน”

“ที่นอนของคุณอยู่ตรงนั้น” หล่อนชี้ไปยังโซฟารับแขก

“ที่นั่นหรือ” เขามองตามมือหล่อนชี้ตาปริบๆแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร เพียงแต่นึกอยู่ในใจว่าผู้อาศัยไม่มีสิทธิต่อรอง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้เป็นวันหยุดของวฉันพอดี จะลองพาคุณไปสำนักปู่เจ้าดูท่านอาจจะมีทางช่วยคุณกลับบ้าน”หล่อนนึกถึงหมอทรงที่สำนักปู่เจ้า แม้เธอจะไม่ค่อยเชื่อเรื่องทรงเจ้าสักเท่าใดแต่ก็ไม่มีหนทางอื่นและที่นี่เองเพื่อนที่ทำงานของหล่อนต่างเอ่ยปากว่าแม่นกันนัก


+++++++++++++++++++++++++++++++++




อัปสรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2554, 12:41:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2554, 12:41:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1978





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
จ๊ะจ่า 4 ก.ค. 2554, 14:01:27 น.
ขุนไกร ดาวเรือง คล้ายเรื่องสายโลหิต


อัปสรา 4 ก.ค. 2554, 14:15:15 น.
แต่เนื้อหาและพล็อตเรื่องต่างกันมากจ้า..คนละยุคด้วยค่ะแต่ชื่อนี่คงไปพ้องกันจากที่มาของตัวละครตอนแม่ดาวเรืองเกิด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account