อธิฐานรักข้ามภพ
เรื่องย่อบุพเพอาละวาดข้ามภพ (อธิฐานรักข้ามภพ)
ผู้แต่ง : อัปสรา

“วิลันดา ”หญิงสาวสวยผู้มีรูปร่างอรชร ใบหน้าอ่อนหวานดุจนางในวรรณคดี เธอต้องเจอมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อ ชัชวาล คนรักซึ่งวางแผนกำลังจะแต่งงานกัน แอบปันใจให้กับสาวในที่ทำงานเดียวกัน เธอจึงพาหัวใจอันบอบช้ำไปยัง “โบสถ์ปรกโพธิ์ “และอธิฐานจิตต่อหน้าองค์หลวงพ่อนิลมณีอันศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ได้พบกับคู่แท้ และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น “ขุนไกร” ทหารกล้าแห่งกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร ด้วยบุปเพสันนิวาส หรือบุปเพอาละวาดก็ไม่รู้ เขาพลัดหลงยุคมาพบกับเธอ เธอจึงจำเป็นต้องรับภาระดูแลเขา จนกว่าจะหาวิธีส่งเขากลับไปสู่ยุคกรุงธนบุรี เพียงเวลาไม่นานความรักเริ่มก่อตัวขึ้นแต่มิมีใครยอมพูดออกมา ปู่เจ้าแนะนำวิธีส่งขุนไกรกลับไปในคืนพระจันทร์เต็มดวงและนั่นเองทำให้ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปตลอดกาล เธอได้หลุดเข้าไปในยุคกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร และได้พบกับ “จมื่นราชภักดี” หรือพ่อเพ็ง เขาตกหลุมรักแม่หญิงวิลันดาตั้งแต่แรกพบและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นน้องสาวของขุนไกร ขุนไกรพาวิลันดาไปฝากไว้ที่คุ้มพระยามิตรไมตรี พ่อของเขา และขุนท้าวเฟื่องแม่ของขุนไกรรักใคร่เอ็นดูเธอมาก
ขุนไกรเคยช่วยยะโมหนั่ย สาวพม่าตาคมที่มีเชื้อไทยอยู่ครึ่งหนึ่งเธอเป็นกองสอดแนมฝีมือฉกาจที่พม่าส่งมาสอดส่องหาความเคลื่อนไหว ขุนไกรได้ช่วยเธอไว้จากการถูกงูกัดเธอตกหลุมรักเขาทันทีทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้และไม่ได้คิดหวังจะครองคู่ขอเพียงได้รักเขาเท่านั้น นั่นสร้างความไม่พอใจกับโบ๊ด๊ะฮูศิษย์ผู้พี่เป็นอันมากที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อเธอ มีหญิงสาวมากมายมาหลงรักขุนไกรรวมถึงแม่ชบาลูกครึ่งแขกตาคมที่มีแม่เป็นอนุและร่วมพ่อเดียวกับขุนศรีเพื่อนรักของขุนไกรแต่ก็ไม่มีใครที่จะพิชิตใจขุนไกรได้สักคน
ระหว่างที่ขุนไกรอยู่ที่คุ้มจมื่นราชภักดีมาที่เรือนบ่อยครั้ง สร้างความไม่พอใจให้ขุนไกรเป็นอันมากเพราะเริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าหลงรักแม่หญิงวิลันดาจนหมดหัวใจ แต่แม่หญิงวิลันดาปากหนักไม่ยอมรับรักขุนไกร เขาจึงรุกหล่อนหนักจนทั้งคู่ยอมสารภาพรักต่อกัน ขุนไกรตั้งใจให้เสร็จศึกจากค่ายบางกุ้งจะให้แม่ไปขอยกเลิกการหมั้นหมายแก่แม่ดาวเรืองเพราะเขาไม่เคยมีใจให้นาง ขุนท้าวเฟื่องยอมตามใจเพราะรู้ว่าขุนไกรแต่งกับแม่หญิงดาวเรืองไปก็คงไม่มีความสุข
แต่เมื่อมีคนรักย่อมมีคนเกลียดชังเช่นกัน “แม่หญิงดาวเรือง” คู่หมั้นคู่หมายของขุนไกร ซึ่งแม่ของขุนไกรเคยหมั้นหมายนางไว้ให้ เพราะคิดว่านางเป็นหญิงที่ดีมีคุณสมบัติเพียบพร้อม หล่อนสงสัยในตัวแม่หญิงวิลันดาจนให้บ่าวคนสนิทไปสืบและรู้ว่ามิใช่หลานขุนท้าวเฟื่องจึงหาทางกำจัดนาง ปุโรหิตศรีวิชัยได้มาที่คุ้มเล่าถึงอดีตชาติของวิลันดาให้ฟังและเขาคอยช่วยหล่อนในหลายเรื่องเพราะที่แท้แล้วเขาเคยเป็นบิดาของหล่อนในอดีตชาติสมัยทวารวดี
ในระหว่างที่ขุนไกรต้องกลับไปฝึกซ้อมให้ทหารที่ค่ายจีนบางกุ้งยะโมหน่าย สายลับสาวของพม่าที่มีเลือดไทยอยู่ครึ่งหนึ่งและขุนไกรได้เคยช่วยชีวิตเอาไว้หล่อนหลงรักขุนไกร ได้มาเตือนไม่ให้ขุนไกรกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่ขุนไกรไม่เชื่อเขาไม่คิดหนีเอาตัวรอดละทิ้งพี่น้องร่วมชาติ
ส่วนแม่หญิงดาวเรืองนำผงเสน่ห์จันทร์ ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัดชนิดหนึ่งมาให้จมื่นราชภักดี แต่เขาปฎิเสธน้องสาวไม่ยอมใช้วิธีสกปรกเช่นนั้นกับแม่หญิงวิลันดาเพราะเขาอยากได้หัวใจของนางมากกว่า แม่หญิงดาวเรืองจึงวางแผนกับบ่าวคนสนิทชวนพี่ชายและแม่หญิงวิลันดาไปชมผ้าที่ตลาดท่าจันทร์หวังให้วิลันดาต้องอับอายและรีบแต่งงานกับพี่ชายของนาง แต่บ่าวทีใช้ให้วางยากับหยิบยานอนหลับไปใส่แทนทำให้จมื่นราชภักดีมิได้ทำอะไรกับแม่หญิงวิลันดา ขุนท้าวเฟื่องและบ่าวไพร่ตามหาแม่หญิงและจมื่นราชภักดี
และมาพบในสภาพที่คิดเป็นอื่นไม่ได้ จมื่นราชภักดีรู้ว่าเขาโดนน้องสาววางแผนจัดฉาก แต่หากเขาไม่ยอมรับก็กลัวแม่หญิงวิลันดาจะเสียหายจึงยอมรับผิดเสียเอง ขุนไกลขอลาราชการกลับมาและตามไปจนพบภาพบาดตาบาดใจขาแทบจะฆ่าจมื่นราชภักดีให้ตายต่อหน้า แต่เชื่อมั่นในตัวแม่หญิงวิลันดาว่านางมิรู้เรื่องนี้ด้วย เขาเข้าใจผิดว่าจมื่นราชภักดีวางยานางและมิคิดรังเกียจในตัวแม่หญิงสักน้อยนิด
จมื่นราชภักดีให้พระยาสีหเดโชมาสู่ขอแม่หญิงวิลันดากับขุนท้าวเฟื่องและพระยามิตรไมตรีท่ามกลางความยินดีของแม่หญิงดาวเรืองคิดว่าจะหมดเสี้ยนหนาม แต่ขุนไกรโวยวายมิยอมให้แม่ยกให้เขาบอกแก่ทุกคนว่าหากแม่ยกให้ตัวเขาก็ต้องคงชิงแม่หญิงวิลันดาคืนมา วิลันดาไม่อยากให้ผู้ใหญ่ทั้งสองคุ้มบาดหมางกันเพราะเรืองของเธอ จึงยอมตกลงแต่งงานกันโดยบอกว่าตนเองมีใจให้แก่จมื่นราชภักดี ขุนไกรเสียใจมากกลับไปที่ค่ายบางกุ้งแต่รับปากจะกลับมาให้ทันงานแต่งแม่หญิงวิลันดากับจมื่นราชภักดี ระหว่างทางพบคนถูกทำร้ายที่แท้คือยายแดงเจ้าของเพิงพักวันนั้นที่แม่หญิงดาวเรืองบังคับให้ช่วยเหลือในแผนการครั้งนั้น นางซึ้งในน้ำใจของขุนไกรจึงเล่าเรื่องราวที่แม่หญิงดาวเรืองเป็นผู้วางแผนทั้งหมดให้ขุนไกรฟัง ขุนไกรพานางแดงไปที่งานแต่งเขาไม่ยอมเสียแม่หญิงยายแดงเล่าความจริงให้ทุกคนฟัง ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายโกรธแม่หญิงดาวเรืองมากจึงตำหนินงอย่างมิไว้หน้า ขุนไกรก็มิไยดีนาง แทนที่แม่หญิงดาวเรืองจะสำนึกในความผิด นางกับแค้นแม่หญิงวิลันดามากขึ้นและรู้ว่านางคงจะไม่มีทางได้หัวใจของขุนไกรเป็นแน่ จึงหยิบมีดสำหรับเจียนหมากพลูที่อยู่ในงาน แทงเข้าหมายจะให้ทิ่มแทงเข้าที่ขั้วหัวใจแม่หญิงวิลันดา แต่ด้วยความรักจมื่นราชภักดีเอาร่างเขาเข้ามาขวางไว้มีดของแม่หญิงดาวเรืองปักเข้าที่ร่างของเขางานมงคลจึงถูกเลื่อนออกไป จมื่นราชภักดีเป็นผู้ชายแม้นจะรักแม่หญิงมากเพียงไรแต่ก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจว่านางกับขุนไกรรักกันมากเขาจึงยอมยกเลิกงานแต่งงาน ส่วนแม่หญิงดาวเรืองทำชั่วไว้มากกรรมจึงสนองนาง นางเสียใจมากจึงหยิบขวดยาขึ้นมาหารู้ไม่ว่ายาขวดนั้นมิใช่ขวดยานอนหลับ กับเป็นผงว่านเสน่ห์จันทร์ซึ่งเป็นยาปลุกกำหนัด ยังโชคดีที่ผู้ชายที่พบนางในคืนนั้นคือขุนศรีซึ่งแอบมีใจให้นางทั้งสองจึงตกเป็นของกันและกัน ส่วนขุนไกรหลังจากเสร็จศึกที่ค่ายบางกุ้งและได้รับชัยชนะกลับมาเขาและแม่หญิงวิลันดาตัดสินใจแต่งงานกัน แม้นว่าประตูกาลเวลาจะให้โอกาสแม่หญิงวิลันดาได้เลือกอีกครั้ง แต่เธอเลือกที่จะอยู่เคียงข้างขุนไกรอยู่ที่กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรแม้นภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้นกรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร จะไม่ได้มีอายุที่ยืนยาวนับร้อยปี แต่ความรักของขุนไกรและวินดากลับยืนยาวไปชั่วกัลปวสาน

+++++++++++++++++++++++++++++++

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 4

ตอนที่ 4
หลังจากวิลันดาขับรถสีชมพูบานเย็นคันโปรดของหล่อนจนมาถึงหน้าบ้านหล่อนต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อ รถMazda 3คันงามสีขาวที่ดูคุ้นตาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นของเพื่อนสาวคนสนิทถูกจอดขวางประตูรั้วบ้านของหล่อนเอาไว้ โดยที่คนตัวสูงแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ด สวมกระโปรงตัวสั้นแหนือเข่าเมื่อมองเห็นหล่อนก็ รีบถลันตัวลงมาจากรถและวิ่งมาหาวิลันดาทันที

“วิ” แก้วกานดาวิ่งเข้ามากอดสาวสวยร่างบางเพื่อนรัก

“แก้ว” วิลันดากอดตอบเพื่อนพลางมองการแต่งตัวของหล่อนว่ายังเปรี้ยวจี๊ดไม่เปลี่ยนแปลง
แก้วกานดาหล่อนมาทำธุระที่กรุงเทพฯให้กับบิดาจึงมีโอกาสได้มาเยี่ยมเพื่อนรัก แม้คนทั้งคู่จะสนิทกันมากตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแต่หลังเรียนจบ แก้วกานดา ก็ต้องกลับไปช่วยกิจการทางบ้านที่จังหวัดนนทบุรีแม้ระยะทางจะห่างกันแต่ทั้งสองสาวก็ยังโทรศพัทพ์ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบกันอย่างสม่ำเสมอ และที่แก้วกานดามาวันนี้เพราะทราบข่าวว่าเพื่อนรักเลิกลากับชัชวาลแฟนหนุ่มได้ระยะหนึ่งจึงอยากมาปลอบใจหล่อน

“วิแกพาใครมาด้วย” แก้วกานดาพลางมองเหล่ไปยังชายหนุ่มหล่อล่ำสันที่ยืนอยู่ด้านหลังวิลันดาด้วยสายตาเปล่งประกายฉายแววสงสัยว่าเพื่อนรักมีหนุ่มดามใจเร็วเหลือเกินนะ

ด้วยความสนิทสนมทำให้วิลันดาพอจะอ่านสายตาเพื่อนออกว่าคิดอะไร“เออเรื่องมันยาวเดี๋ยวฉันค่อยๆเล่าให้แกฟังนะ” แต่ก็แอบคิดอยู่ในใจว่าถ้าเล่าไปแล้วแก้วกานดาจะหาว่าหล่อนบ้ารึเปล่า

อืม! ก็ได้

“เข้าบ้านก่อนดีกว่า” วิลันดาพาเพื่อนรักเข้าบ้าน เมื่อนั่งพักกินน้ำจนหายเหนื่อย สายตาของวิลันดาที่มองเพื่นรักบอกให้รู้ว่าแก้วกานดาอยากจะให้หล่อนเล่าเรื่องของขุนไกรให้ฟังสักที หล่อนคงสงสัยว่าเขาเป็นใครวิลันดาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องให้แก้วกานดาฟัง หลังจากวิลันดาเล่าเรื่องเหนือธรรมชาติของขุนไกรให้กับเพื่อนรักฟังแล้ว

“เป็นไปไม่ได้แกจะบอกฉันว่าขุนไกรอะไรของแกเนี่ยเขามาจากสมัยกรุงธนบุรีนะหรือ”แก้วกานดามองสลับซ้ายทีขวาทีไปยังขุนไกรกับวิลันดาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง

“ใช่แล้วเพื่อน” สายตาวิลันดาบอกเพื่อนรักว่าหล่อนไม่ได้ล้อเล่น

“วิแกไม่ได้อ่านนิยายข้ามภพ ย้อนยุคมากไปนะเพื่อน”

“เปล่า..เลย”

“แกก็รู้ฉันไม่ชอบอ่านหนังสือ”อันนี้เป็นเรื่องจริงที่เพื่อนรู้กันดี ไม่รู้เหมือนกันว่าคนไม่ชอบอ่านหนังสืออย่างวิลันดาคว้าเกียรตินิยมมาได้อย่างไร

“เออใช่ว่ะ “ฮิฮิ..” แก้วกานดาหัวเราะชอบใจ

“ไม่ตลกนะแก” วิลันดากล่าว

“เหลือเชื่อวะ นี่ถ้าฉันเป็นนักเขียนนะจะเอาเรื่องของแกไปเขียนเป็นนิยายมีหวังขายดีแน่เลย”
“โอเวอร์ไปแล้วเพื่อน” วิลันดารู้สึกขำกับความคิดของเพื่อนสาว

ขุนไกรคนถูกจ้องจากสาวสวยเปรี้ยวจี๊ดก็ทำหน้าไม่ถูกเช่นกัน เขาอยากจะบอกหล่อนเหมือนกันว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยที่ตนเองต้องหลงมายุคแห่งอนาคต และให้สองสาวที่อายุน้อยกว่าราวสักสองร้อยกว่าปีนั่งมองเหมือนเขาเป็นวัตถุโบราณที่พึ่งถูกค้นพบ

“เอแต่ฉันว่าฉันคลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเคยเห็นหน้าคุณที่ไหนนะ” แก้วกานดาลองสังเกตใบหน้าของทหารรูปหล่อแห่งยุคกรุงธนบุรีผู้นี้แล้วรู้สึกว่าคุ้นเหลือเกินแต่หล่อนจำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน

เนื่องจากวันนี้เพื่อนรักของหล่อนที่นานๆจะได้พบกันมาเยี่ยม และวิลันดาก็อยากทำอาหารพิเศษให้เพื่อนรักและพ่อหนุ่มกรุงธนบุรีได้ลองทานอาหารแปลกๆที่ไม่มีในสมัยของเขา วิลันดาหล่อนจึงเสนอไอเดียปาร์ตี้หมูกะทะ ผักสดทั้งกะหล่ำปลี ผักกาดขาว เห็ดหอม หมูสไลด์ กุ้ง ปลาหมึกและอีกนับสิบอย่างถูกยกมาวางรอบเตาไฟฟ้าที่มีเหล็กร้อนสำหรับใช้ย่างและมีขอบตั้งขึ้นเพื่อใส่น้ำซุปและลวกอาหาร

ฮึ! ขุนไกรมองอาหาร

“อาหารเยี่ยงนี้ข้ามิเคยเห็นมาก่อน” เขามองหน้าตาของอาหารยอดฮิตด้วยสายตาสงสัย

“เราเรียกมันว่าหมูกะทะค่ะ” วิลันดาตอบเสียงใส

“แก้วรับลองว่าอร่อยค่ะ ไม่แน่นะคะถ้าขุนไกรกลับบ้านไปแล้วต้องอยากทานอีกแน่คะ”

“เมื่อข้ากลับไปเห็นทีจักต้องวาดแบบไปจ้างช่างตีเหล็กให้ทำเตาแบบของพวกเจ้าบ้างแล้วกระมัง”
สองสาวต่างสาธิตวิธีการกินให้ขุนไกรทำตามพวกหล่อนใช้ตะเกียบครีบเนื้อสัตว์ ไปวางบนกะทะร้อนฉี่ส่งกลิ่นหอมหวน และนำมันไปจิ้มกับน้ำจิ้มสุกี้รสเด็ดจากนั้นบรรจงส่งเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยแต่สาวน้อยทั้งสองต้องแปลกใจเมื่อเห็นขุนไกรใช้ตะเกรียบอย่างคล่องแคล่ว

เอ๊!

“ขุนไกร คุณใช้ตะเกียบเป็นด้วยหรือคะ” วิลันดาทำหน้าสงสัย

“พวกทหารที่ข้าฝึกอยู่นั้น ส่วนใหญ่มีเชื้อสายจีน ข้าเองก็มีเพื่อนเป็นลูกหลานคนจีนที่พ่อแม่หอบเสื่อผืนหมอนใบเข้ามาพึ่งพระบารมีด้วยกันหลายคนจึงได้คุ้นเคยกับการใช้ตะเกียบเป็นอย่างดี”

“ใช่แล้วยายวิ กฉันยังเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ จำได้ว่าค่ายบ้างกุ้งเนี่ย แต่เดิมในประวัติศาสตร์เขาเรียกว่าค่ายจีนบ้างกุ้ง เพราะมีคนไทยเชื้อสายจีนเข้ามารับการฝึกเป็นทหารจำนวนมาก ”

“นี่ถ้าเพื่อนพ้องของข้าได้กินอาหารเยี่ยงนี้บ้างคงจักดีมิน้อย” ขุนไกรมีศรีหน้าเศร้าลงเขากำลังนึกถึงบรรดาเหล่าทหารอาสาที่ยามนี้บ้านเมืองยังมิได้สงบเรื่องกินดีอยู่ดีคงไม่มีแน่ เพียงแค่ได้อิ่มไปอีกมื้อก็นับว่าดีแล้ว

“ยุคของคุณอาหารการกินคงจะลำบากมากซิคะ.ในยามนี้” วิลันดาเอ่ยถาม เพราะรู้ว่าในช่วงกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแม้ระยะสั้น 15 ปี แต่มีศึกมากมายใหญ่น้อยความเป็นอยู่จึงไม่สบายนัก

“ใช่”

“ยามนี้บ้านเมืองละส่ำละสายนัก อาหารการกินเสื้อผ้าอาภรณ์ของทหารและชาวบ้านต่างขาดแคลน แต่ตัวข้าเองมิได้อดยากแต่อย่างใด เพราะพ่อของข้าเป็นถึงจ้าพระยามีศักดินาหมื่นไร่ พ่อของข้ามักจะนำอาหารไปแจกจ่ายให้กับทหารและชาวบ้านเสมอ”

ทันใดนั้นเสียงจากโทรทัศน์ที่หล่อนเปิดทิ้งไว้ก็ดึงความสนใจของคนทั้งสามซึ่งขุนไกรเองเมื่อมาอยู่ที่นี่เขาเริ่มชินกับโทรทัศน์บ้างแล้วไม่ตกใจเหมือนคราวแรกที่เขาเห็น ภาพนั้นที่ถ่ายทอดมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนไทยสองฝ่ายซึ่งมีปัญหาไม่เข้าใจกันและนำมาสู่ปัญหาบ้านเมืองที่กำลังวุ่นวายมีการเผาบ้านเผาเมืองแม้ขุนไกรเองยังไม่ค่อยเข้าใจความเป็นไปของโรคปัจจุบันแต่ก็พอเข้าใจได้ว่าตอนนี้สยามประเทศหรือประเทศไทยในยุคปัจจุบันกำลังเข้าขั้นวิกฤต ไม่ใช่มีพวกพม่ายกทัพเข้ามาประชิดเมืองแต่เป็นคนไทยที่ทะเลาะห่ำหันกันเอง

“คนยุคเจ้านี่ช่างแปลกนักพวกเจ้าเป็นคนเชื้อชาติเดียวกันทั้งสิ้นไยพวกเจ้าถึงทะเลาะเบาะแว้งกันเองเยี่ยงนี้ ถ้าคนไยุคของข้ารับรู้ได้พวกเขาคงจักเสียใจมิน้อยที่ปกป้องบ้านเมื่องเพื่อพวกเจ้าแต่พวกเจ้ากับเป็นเยี่ยงนี้ ” สีหน้าของเขาและแววตาบ่งบอกถึงความเสียใจที่พวกของตนพยามปกป้องรวบรวมบ้านเมืองไว้เป็นปึกแผ่นแต่ลูกหลานกับไม่รักกัน

สองสาวนิ่งอึ้งไปพวกเธอเข้าใจความรู้สึกของขุนไกรดี เธออยากบอกให้ทั้งสองฝ่ายยุติกันเสียทีและอยากให้เขารับรู้ว่าบรรพบุรุษผู้ปกป้องบ้านเมืองของเขาคนหนึ่งกำลังเสียใจในสิ่งที่พวกคนหล่านั้นกระทำกันอยู่ แต่พวกเธอเองคงทำอะไรไม่ได้มากนอกเสียจากภาวนาให้พระสยามเทวธิราชช่วยปกป้องคุ้มครองประเทศไทยให้กับมาสงบเช่นเดิม

“เอาละซิงานกร่อยเลยเศร้ากันใหญ่แล้วทานต่อเถอะค่ะขุนไกร ยายวิเสร็จแล้วพวกเราคงต้องไปช่วยกันสวดภวานาขอให้บ้านเมืองรอดวิกฤตครั้งนี้ไป” เสียงใสของแก้วกานดาปลุกคนทั้งคู่ที่กำลังเศร้าอยู่กับความคิดของตนเองให้

“นางแต่งกายคล้ายแม่หญิงในยุคของข้า” ขุนไกรมองไปยังโทรทัศน์ซึ่งตอนนี้กำลังถ่ายทอดหนังเรื่องขุนช้างขุนแผนอยู่เป็นฉากเข้าพระเข้านาง

“ ละคะเรื่องขุนช้าง-ขุนแผนค่ะ” วิลันดาบอกแก่ขุนไกร

ขุนไกรมองหน้าวิลันดา สลับกับนางเอกในละครโทรทัศน์

เขากลับไปพูดภาษาของตนเองเพราะทำให้เขาพูดได้ตามความรู้สึก เพราะการพูดแบบคนในยุคปัจจุบันยังเขายังไม่รู้ว่าจะหาคำใดมาปรุงแต่งชมโฉมหล่อน ไม่ใช่เขาเป็นคนเจ้าชู้แต่ชายในยุคเขาเมื่อคิดสิ่งใดก็จะพูดตามนั้นไม่ได้เก็บงำความรู้สึก หรือซ่อนเร้นไว้เช่นคนปัจจุบันทำกัน

“เจ้างามนักแม่หญิง หากเจ้าได้แต่งกายเยี่ยงนางแล้วคงจะงามกว่านางในตู้สี่เหลี่ยมมากนัก” จริงๆขุนไกรมิใช่ชายเจ้าชู้แต่เขาพูดตามความรู้สึกเท่านั้น

วิลันดาหน้าแดงซ่านขึ้นทันที ไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะชมหล่อนขึ้นมาต่อหน้าแก้วกานดาแบบนี้ ซึ่งแก้วกานดาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ยังเขินแทนเพื่อนและรู้สึกทันทีว่าขุนไกรจะต้องคิดอะไรบางอย่างกับวิลันดาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย อย่างนี้รึเปล่าที่เขาเรียกว่าบุพเพสันนิวาส

“ไม่เอา วิไม่อยากเป็นนางวันทองค่ะ”

“เหตุใดรึ ข้าดูเหมือนเจ้าจักมิชอบนาง”

“อย่าเที่ยวไปชมสาวที่ไหนสวยเหมือนนางวันทองอีกนะคะ” วิลันดากำลังคิดว่าจะอธิบายขุนไกรอย่างไรดี

“ข้ามิใคร่จักเข้าใจ”ความสงสัยก็บังเกิดทุกครั้งกับคนขี้สงสัย

แก้วกานดาจึงชิงตอบแทนเพื่อน “ก็วันทองสองใจยังไงคะ”

“สองใจรึ ” เขาไม่ได้มีเจตนาจะว่าวิลันดาแบบนั้น

ดูเหมือนขุนไกรจะถามต่อไปอีก วิลันดาเริ่มสังเกตว่าขุนไกรเป็นคนที่ช่างซักถามเหมือนกันแต่จะให้เล่าวรรณคดีเรื่องขุนช้าง-ขุนแผน ให้จบคงอีกยาวหล่อนจึงตัดบทเสียก่อน

“เอาไว้วันหลังวิจะเล่าให้คุณฟัง แต่จำไว้นะห้ามไปชมสาวๆว่าสวยเหมือนแม่วันทอง”วิลันดาย้ำ
+++++++++++++++++++

ความมืดเริ่มโรยตัวลงมา ค่ำคืนนี้อากาศเย็นกว่าทุกคืนเหมือนฝนกำลังจะตก ลมเย็นๆพัดมา ปะทะผิวกายจนหญิงสาวร่างบางในชุดนอนผ้าฝ้ายเนื้อบางสีขาว รู้สึกเย็นจนยกมือมาขึ้นมากอดอกเพื่อเรียกความอบอุ่นหล่อน ยืนเหม่อมองพระจันทร์ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง บรรยากาศแบบนี้พระจันทร์ดวงกลมลอยเด่น ทำให้หล่อนนึกถึงเพลงจันทร์ ของศิลปินคนโปรด จนหล่อนเผลอยืนคลอเพลงโปรดไปเรื่อยๆ
จันทร์คืนแรม วับแวมอยู่บนปลายฟ้า คงล้าอ่อนแรง ทอแสงแหว่งเว้าครึ่งดวง
คืนเหงามันเศร้ามันซึมในทรวง จันทร์เพียงครึ่งดวง คล้ายจันทร์เจ้ารอใคร
จันทร์คืนแรม วับแวมมีเพียงครึ่งใบ คงดังกับใจฉันที่มีเพียงครึ่งดวง
คอยรักที่จักเติมเต็มในทรวง โอ้ใจครึ่งดวง เฝ้ารอมาเนิ่นนาน
จันทร์เอ๋ยจันทร์ที่ลอยเด่นฟ้า จะมีน้ำตาหลั่งมาเหมือนฉันบ้างไหม
ความรักมันช่าห่างไกลแสน......................

วิลันดาไม่ได้สังเกตว่าขุนไกรมายืนอยู่ด้านหลังหล่อนนานแล้ว แม้นเขาจะไม่รู้จักเพลงที่หล่อนร้องอยู่นั้น แต่มันช่างไพเราะเสียจริง เพลงหวานปนเศร้า ขุนไกรนึกสงสัยว่าในใจหล่อนกำลังคิดถึงใครอยู่ใช่ชายคนนั้นหรือไม่

“เพลงที่เจ้าขับร้องเพราะนัก แม้ข้าจักมิเคยได้ยินมันมาก่อนก็ตามที”

วิลันดาเหลียวกลับมามองตามเสียงของหนุ่มหล่อยุคกรุงธนบุรี ขุนไกรยืนอยู่นี่หล่อนคงจะเหม่อจนไม่รู้ตัว“มันเป็นเพลงโปรดของฉันค่ะ”

“`เจ้าคงคิดถึงชายผู้นั้นใช่รึไม่”

ชายหนุ่มใบหน้าคมสันหุ่นร่ำสูงใหญ่ สวมเพียงกางเกงผ้าแพรสีน้ำเงินเนื้อดี ปล่อยอกกว้างเปลือยเปล่าเดินเข้ามาหยุดเบื้องหลังของวิลันดา

หน้าหล่อนแดงซ่านเมื่อเห็นมัดกล้ามตามส่วนต่างๆ ของร่างกายท่อนบนพลางคิดในใจว่าทหารสมัยก่อนช่างหุ่นดีสมเป็นชายชาติทหารเสียจริงนี่ละมั้งที่เรียกว่าชายอกสามศอก ถ้าอยู่ในยุคนี้เขาคงได้เป็นพระเอกหนังแน่นอน

“เปล่าค่ะฉันก็แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” ทั้งที่จริงหล่อนก็แอบคิดถึงชัชวาลเพียงแต่หล่อนไม่ได้คิดที่จะกลับไปหาเขาแล้วเท่านั้น

“อากาศเย็นคุณไม่สวมเสื้อไม่หนาวหรือคะ”

“ข้ามิหนาวดอก เมื่อคราครั้งข้าอยู่ที่เรือนข้า ก็มิได้สวมใส่ดอก จักสวมใส่กันยามออกนอกเรือน ยกเว้นข้าราชการชั้นสูงพระบรมศานุวงศ์ที่จักแต่งองค์งดงามสมฐานันดร” ขุนไกรกล่าว

หล่อนยิ้มบางๆ “ดีนะคะ ไม่เปลืองเสื้อผ้า”

“แล้วคุณคิดถึงบ้านบ้างไหมขุนไกร ป่านนี้คนรักของคุณคงตามหาแย่แล้วมั้ง”

“ข้ายังมิมีแม่หญิงมาเป็นคู่ครองเรือนดอก” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ราวกับว่าต้องการตอบคำถามนี้ให้หล่อนได้รู้

“คุณอายุเท่าไหร่แล้วทำไมถึงยังไม่มีคนรักอีก เอ!..แต่สมัยคุณฉันจำได้เขามักจะแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ใช่หรือคะ”

“อายุของข้าปีนี้ย่างเข้า 27 แต่หาใช่ที่เจ้าเข้าใจไม่ มิใช่ผู้ชายทุกคนดอกที่ต้องแต่งงานเร็วดอก”

วิลันดาแอบเถียงอยู่ในใจว่าไม่มีเมียแต่ง แต่นางเล็กๆ คงจะมีจนเต็มเรือน

“แต่ข้าเองก็มีคู่หมายแล้ว ชื่อแม่หญิงดาวเรือง”

“เธอคงสวยมากซิคะ” หล่อนถามรอยยิ้มของหล่อนและนัยน์ตาวาวซุกซนนั้นทำให้หนุ่มหล่อยุคกรุงธนบุรีรู้สึกใจสั่นไหวอย่างไม่เคยรู้สึกกับหญิงใดมาก่อน

“แม่หญิงดาวเรืองได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงที่งามนัก”แต่ขุนไกรไม่ได้บอกหล่อนไปว่าเขาเจอหญิงที่งามกว่าแม่หญิงดาวเรืองมากนัก ซึ่งหญิงผู้นั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

“พรุ่งนี้แล้วซินะคะคืนวันพระจันทร์เต็มดวงโอกาสที่คุณจะได้กลับบ้าน ฉันกับยายแก้วจะพาคุณไปที่โบสถ์ปรกโพธิ์นั่น

“ถ้าข้ากลับไปแล้วเจ้าจักคิดถึงข้าบ้างรึไม่” เขาถามอย่างคนรอคำตอบ

“ขุนไกร” เธอเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สำหรับการได้พบคุณมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตฉันถึงแม้คุณกลับไปแล้วฉันก็จะระลึกถึงคุณเสมอคะหล่อนแย้มยิ้มให้เขา

ขุนไกรฉีกยิ้มบางๆเมื่อรับคำตอบที่เขาพอใจกับแม่หญิงตรงหน้าอดใจหายไม่ได้ที่จะต้องจากหล่อนไปแต่เขาเองก็มีหน้าที่ต่อบ้านเมืองเช่นกัน

++++++++++++++++++++++++++++++++++
เช้าวันนี้อากาศดีเป็นพิเศษค่อนข้างเย็นสบาย ทำให้แก้วกานดาหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่สามารถนอนตื่นสายได้เพราะเมื่อคืนได้รับข่าวด่วนจากคุณแม่ของเธอให้รีบเดินทางกลับนนทบุรี

“ฉันไปก่อนนะคะขุนไกรยายวิ”

หญิงสาวหุ่นเพรียวแต่งตัวด้วยชุดแสคสีน้ำเงินรัดรูปเหนือเข่า ปล่อยผมยาวสยายเต็มหลังเอ่ยลาคนทั้งคู่เพราะหล่อนมีธุระต้องกับนนทบุรีด่วนเนื่องจากได้รับการติดต่อจากทางบ้านว่าคุณย่าทวชของเธอป่วยหนักและอยากเห็นหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้ายจึงจำเป็นต้องลาเพื่อนรักทั้งที่ทีแรกตั้งใจจะพักอยู่ด้วยสัก2-3 วัน

“ขับรถกลับดีๆนะแก้ว เดี๋ยวฉันเสร็จธุระเรื่องขุนไกรเมื่อไหร่จะแวะไปกราบแม่แกที่นนทบุรี” วิลันดากล่าวด้วยความเป็นห่วง

“ข้าดีใจนักที่ได้พบกับเจ้า” ขุนไกรยิ้มกว้างๆให้หล่อนแต่เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมเขารู้สึกเอ็นดูเพื่อนของวิลันดาคนนี้อย่างประหลาดเพี่ยง แต่มิใช่ความรู้สึกเดียวกับแม่หญิงที่ยืนอยู่เคียงข้างเขาแน่นอน
สาวร่างบางหน้าหวานกับพ่อหนุ่มหลงยุคในชุดนอนเมื่อคืนเดินมาส่งเพื่อนสาวขึ้นรถ
หลังจากรถคันงามของเพื่อนสาวลับตาไป

คนทั้งคู่หมุนกลายเตรียมจะเข้าบ้านกลับต้องหันหลังกลับมาเมื่อมีรถเก๋งยี่ห้อดังสีดำมันวาวป้ายแดงขับมาด้วยความเร็วสูงจอดหน้าบ้านหล่อน หญิงสาวหน้าใสไว้ ผมทรงหน้าม้าแลรวบผมยาวยกสูงไว้ด้านหลัง แต่งตัวแบบสมัยใหม่กระโปรงสั้นเหนือเข่าสีดำ กับเสื้อสายเดี่ยวยี่ห้อแบรด์ดังรัดรูปลงจากรถเดินเข้ามาหาวิลันดาทันที

เพี้ยะ! เร็วจนวิลันดาตั้งรับไม่ทัน

“อะไรกันคุณมาตบฉันทำไม” วิลันดาเอ่ยถามขณะยกมือกุมแก้มหล่อนที่กำลังปรากฏลอยนิ้วมือของหญิงฝั่งตรงข้าม

“แม่หญิงเหตุใดนางจึงทำเยี่ยงนี้” ขุนไกรจับมือวิลันดาแล้วดันหล่อนให้หลบไปอยู่ด้านหลังของเขา

“อ๋อ.....นี่คงเป็นแฟนใหม่ของหล่อนสินะ ไวไฟเหมือนกันนี่เลิกกับคุณชัชได้ไม่เท่าไหร่ก็พาผู้ชายเข้าบ้านซะแล้ว” หล่อนเหยีดริมฝีปากบางจนหน้าเกลียดไม่สมกับหน้าตาอ่อนวัยที่ดูไร้เดียงสา
“นี่เธอคงเป็นคุณอรล่ะซิ” หญิงสาวถามพลางก้าวออกมายืนด้านข้างขุนไกรอย่างไม่กลัวฝ่ายตรงข้าม เธอเคยเห็นผู้หญิงคนนี้ในรูปที่เพื่อนสาว ฟอร์เวริดเมลล์มาให้

“ใช่ฉันนี่แหละอรอิสรา” หล่อนพูดพลางยิ้มหยันที่มุมปาก

“ที่ฉันมาวันนี้ฉันจะมาบอกเธอว่าอย่ามายุ่งกับพี่ชัชของฉันอีก ถ้าฉันเห็นหล่อนเจอกับเขาเมื่อไหร่หล่อนตายแน่

“คุณอรคงเข้าใจผิดแล้วละคะวิกับชัชเราเลิกกันแล้วไม่เกี่ยวข้องกันอีก” หล่อนตอบตามความเป็นจริง

โกหก! “ ถ้าอย่างนั้นทำไมพี่ชัชไม่ยอมแต่งงานกับฉัน”

“นั่นฉันไม่ทราบ”

แท้ที่จริงอรอิสรารู้ดีว่าที่ชัชวาลไม่ยอมแต่งงานกับเธอเพราะเขารู้แล้วว่าเธอไม่ได้มีเขาคนเดียวยังเที่ยวคั่วกับเสี่ยอดีตนักการเมืองท้องถิ่นอีกคน แต่เธอก็ยังจะเลือกชัชอยู่ดีเพราะถ้าเธอเลือกจริงจังกับเสี่ยคนดังแล้วละก็คงต้องตกเป็นเมียน้อย ไม่ใช่เมียแต่งอย่างชัชวาลเป็นแน่เธอแค่หวังให้เสี่ยคนดังปนเปอเธอด้วยข้าวของมีราคาแอบกิ๊กกันเท่านั้นและกรุณาออกไปจากบ้านก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจ

“แกไม่ต้องมาไล่ฉันหรอกนางวิลันดา ฉันกลับแน่แต่ขอตบอีกสักทีนะ” หล่อนอยากจะฝากรอยนิ้วมือไว้ที่ใบหน้าสวยกว่าหล่อนอีกครั้งหนึ่ง

ฝ่ามือของสาวหน้าใสแต่หัวใจร้ายกาจถูกมือใหญ่แข็งแรงของขุนไกรรับเอาไว้ก่อนจะถึงใบหน้าวิลันดา เขาปล่อยมือของหล่อนออกพลางนึกว่า แม่หญิงผู้นี้แม้จักสวยน่ารักสักปานใดแต่ทำตัวเยี่ยงนี้ในยุคของเขาแล้วหล่อนคงไม่มีชายใดรับเอาไปเป็นเมียเป็นแน่

“ถ้าเจ้ายังคิดจักทำร้ายนางอีกข้าจักมิไว้หน้าเจ้า”

“ไอ้บ้า”

“ดูซิ พูดจาอะไรของแกเพ้อเจ้อ” อรอิสราแหวใส่ผู้ชายหล่อคมสันตรงหน้าหล่อน แม้ความหล่อของเขาจะทำให้หล่อนใจสั่นเช่นกัน แต่ดูถ้าจะเป็นคนไม่เต็มพูดจาแปลกๆจึงตกสเปคของหล่อนไป แต่เธอก็ยอมขึ้นรถกลับออกไปอย่างโดยดีเพราะสายตาดุจัดนั้นทำให้หล่อนกลัวเขาเช่นกัน

“นางคนนี้เองรึที่คนรักเก่าของเจ้าปันใจให้” เขาถามหล่อนซึ่งยืดหน้าซีดขาวอยู่ อย่างนึกว่ามิมีอะไรเทียบได้กับแม่หญิงข้างกายเขาเลยทำไมชายผู้นั้นถึงได้โง่เง่าเช่นนี้

“ใช่ค่ะเขาเป็นคนรักของแฟนเก่าฉัน” หล่อนตอบเสียงสั่นเครือแม้ไม่ได้เสียใจเรื่องที่ชัชวาลแอบไปมีอรอิสราแล้วก็ตาม แต่เสียใจที่หล่อนทำไมต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วยในเมื่อหล่อนเองไม่เคยที่จะไปละลานอรอิสราเลยสักครั้ง

“ข้าอยากปกป้องเจ้า” ขุนไกรเอ่ยเสียงอ่อนโยนแผ่วเบา ดึงมือเรียวบางขึ้นมาแนบอกกว้างจนมือของหล่อนสัมผัสได้ถึงเสียงเต้นของหัวใจหนุ่มกรุงธนบุรีผู้นี้ ส่วนอีกมือเอื้อมไปเช็ดน้ำตาของหล่อนที่กำลังร่วงอย่างอ่อนโยน ตาสบตากันขุนไกร

+++++++++++++++++++++
ภายในคอนโดหรูย่านบางบัวทอง ชัชวาลหยิบกรอบรูปไม้สีโอ๊คซึ่งเป็นรูปของเขาถ่ายคู่กับวิลันดาในสมัยเรียนมหาวิทยาลัยขึ้นมาดู ตอนนี้เขามีความรู้สึกว่าเขาได้ทำผิดที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิต เขาโยนแก้วในมือทิ้งแล้วไปหยิบกรวดขึ้นมาแทน เขาจะทำอย่างไรดีให้ได้วิลันดากับมาอีกครั้ง ดูเหมือนผู้ชายแปลกหน้า และทำตัวแปลกๆ แต่แฝงด้วยความน่ายำเกรงคนนั้นจะลงสนามมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญของหัวใจเขาเสียแล้ว
“วิ ผมขอโทษ เราจะต้องกลับมารักกันอีกครั้ง” เขาพูดกับกรอบรูปในมือ ก่อนจะวางมันลงที่เดิม เขาจะต้องหาวิธีคืนดีกับหล่อนให้จงได้

+++++++++++++++++++++++++++
“ขณะที่แก้วกานดาขับรถด้วยความเร็วสูงมุ่งสู่จังหวัดนนทบุรี เพื่อให้ทันได้เห็นหน้าคุณย่าทวดของหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายหล่อนคิดถึงคุณย่าทวดเหลือเกินท่านเป็นคนใจดีมักเล่าเรื่องราวสมัยก่อนรวมถึงประวัติของต้นตระกูลให้ฟังอย่างสม่ำเสมอ จะมีใครเชื่อหรือไม่ว่าท่านมีอายุยืนยาวถึง 109 ปีเข้าไปแล้ว

ต้นตระกูล !

“ใช่แล้ว” แก้วกานดานึกออกแล้วว่าทำไมหล่อนจึงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนเคยเห็นขุนไกรมาก่อนที่แท้รูปวาดนั้น ผู้เป็นท่านทวดต้นตระกูล “หลวงไกรพิชิตพลพ่าย” ซึ่งอยู่ในห้องของคุณย่าเป็นรูปที่ได้งชาวโปตุเกสเพื่อนของท่านวาดในสมัยนั้นเป็นผู้ถ่ายให้คู่กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือคุณย่าทวดของหล่อน แต่กาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปทำให้รูปท่านทวดหญิงเลือนลางมิชัดเจน น่าเสียดายเหลือเกินไม่อย่างนั้นหล่อนคงจะได้เห็นว่าท่านทวดหญิงงามขนาดไหน
“ขุนไกรเป็นบรรพบุรุษของเราหรือนี่ พูดออกไปใครจะชื่อ”

++++++++++++++++++++
“วันนี้แล้วซินะ วันพระจันทร์เต็มดวงวันที่คุณจะต้องกลับบ้าน” เช้านี้วิลันดาตื่นมาแต่เช้าเธอเดินลงมาจากชั้นสองหยุดตรงบันไดขั้นสุดท้าย สายตาของหล่อนหยุดที่ใบหน้าคมเข้ม หุ่นล่ำสันต์ที่นอนหลับอยู่บนโซฟาตัวใหญ่หนาหนุ่มสีน้ำตาลทอง หล่อนเดินไปใกล้เขามากขึ้น ใกล้จนแทบประชิดโซฟาตัวนั้น พลันสายตาคู่คมของเขา ก็ค่อยๆลืมตาขึ้น

“ข้านี่แย่นักมาขอพักเรือนเจ้ากับตื่นสายกว่าเจ้าผู้เป็นเจ้าของบ้านเสียอีก” พลางยันกายลุกขึ้นมานั่งเขาอยากจะบอกหล่อนว่าเขาอยากตื่นมาแล้วมองเห็นหล่อนอยู่ข้างแบบนี้ทุกวัน

“นอนต่อก็ได้ค่ะขุนไกร นี่ยังเช้าอยู่มากพอดีวิแค่อยากจะใส่บาตรก็เลยตื่นเร็ว” หญิงสาวส่งยิ้มบางๆให้เขา


“ถ้าข้าจักขอทำบุญร่วมกับเจ้า เจ้าจักยินดีรึไม่”ขุนไกรนึกอยากใส่บาตรร่วมกับวิลันดา

“ได้สิคะ เดี๋ยวฉันจะได้เตรียมของใส่บาตรให้คุณด้วย” วิลันดาจึงเข้าครัวไปจัดของใส่บาตรเพิ่มสำหรับขุนไกร

ขุนไกรช่วยหล่อนเตรียมอาหารของคาวหวานใส่บาตร เขารู้สึกมีความสุขมากอยากให้เขาและหล่อนได้หยุดเวลาไว้ตรงนี้แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อเขาเอง มีหน้าที่ต้องกลับไปทำ เมื่อหลวงตาองค์หนึ่งเดินผ่านมายังหน้าบ้านของวิลันดา ด้วยท่าทีสงบนิ่งดูหน้าเลื่อมใสยิ่งนัก

“นิมนต์ขอรับพระคุณเจ้า” ขุนไกรกล่าวด้วยท่าทีอ่อนน้อมเป็นที่สุด

“เจริญพรเถอะโยม”`หลวงตาเพ่งมองขุนไกรแวบหนึ่ง

ขุนไกรและวิลันดาร่วมกันตักบาตรพระภิษุเบื้องหน้า หากใครมาเห็นหนุ่มสาวคู่นี้คงคิดว่าหน้าจะเป็นคู่แต่งงานใหม่ที่สมกันราวกิ่งทองใบหยกเป็นแน่


“ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขัน มีบุพเพสันนิวาสต่อกัน เจ้าทั้งสองจึงได้มาพบพาน พร้อมรอยยิ้มน้อยๆผุดที่ใบหน้า แลดูสงบยิ่งนักก่อนที่ท่านจะออกเดินต่อไปอย่างช้าๆ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กรุงธนบุรีศรีมหาสมุทร

“แม่ชบาเจ้ามานั่งริมศาลาแต่เพียงผู้เดียว บ่าวไพร่ไปไหนของกันหมดรึ” ขุนศรีมองน้องสาวเพียงคนเดียว เขารู้ว่าแม่หญิงชบาแอบมีใจให้เพื่อนรัก แต่อุปสรรคนั้นคงมีอยู่มากเพราะขุนไกรมีคูหมั่นคู่หมายแล้วคือแม่หญิงดาวเรืองซึ่งขุนศรีได้ยินคำล่ำลือว่านางงามนัก และนางเป็นถึงบุตรีท่านเจ้าพระยาสีหเดโช
“น้องยังมิอยากจักขึ้นเรือน อยากจักนั่งรับลมสักชั่วครู่เจ้าค่ะ” แม่ยิ่งซ่อนอารมณ์บางอย่างเอาไว้ แต่มันไม่อาจพ้นสายตาของขุนศรีพี่ชายได้

“พี่จักพูดกับน้องตามตรง เจ้าควรจักทำใจเสียแต่ตอนนี้ เจ้าก็รู้มิใช่รึว่าขุนไกรเกลอรักของพี่ได้มีคู่หมายไปแล้ว”

“ท่านพี่” แม่หญิงชบารู้สึกละอายพี่ชายร่วมสายเลือดบิดา เขามองออกว่าหล่อนคิดอะไรอยู่

“ที่พี่พูดเพราะห่วงน้องนัก มิอยากให้ชอกช้ำระกำใจในภายภาคหน้า หาได้คิดซ้ำเติมไม่”`ขุนศรีกล่าว

“น้องมิได้คิดชั่วแย่งชิงขุนไกรจากแม่หญิงดาวเรืองเยี่ยงนั้นไม่ เพียงน้องมิอาจห้ามใจไปรักพี่ขุนไกรได้”

“โธ่ แม่ชบาน้องพี่” ขุนศรีบีบมือน้องสาวอย่างให้กำลังใจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++




อัปสรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ค. 2554, 12:50:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ค. 2554, 12:50:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 3395





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
lovemuay 4 ก.ค. 2554, 20:47:40 น.
น่าสนุกดีนะคะ ขุนไกรนิแอบเนื้อหอมนะคะ อิอิ


ปูสีน้ำเงิน 5 ก.ค. 2554, 01:14:35 น.
เคยลงให้อ่านแล้วจริงๆ ด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account