จันทร์ซ่อนใจ
ท่ามกลางคนมากมาย มีเพียงเธอที่เขาสามารถเชื่อ...ได้หมดใจ
การค้นหาความลับในใจมนุษย์ บทพิสูจน์เพื่อหาความจริงใจ
การค้นหาความลับในใจมนุษย์ บทพิสูจน์เพื่อหาความจริงใจ
Tags: อัมราน โรเมนติก สืบสวน
ตอน: ตอนที่ 1...50%
ตอนที่ 1
อีกสิบนาทีจะบ่ายสามโมง ท่ามกลางผู้คนมากมาย หลายคนเดินทางมาที่นี่เพื่อเดินทางต่อไปยังปลายทางแตกต่างกันออกไปและอีกหลายคนที่มารอรับคนสำคัญกลับบ้านไปด้วยกัน อรอินทุ์เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าความรู้สึกของการมารับไม่ได้ยินดีเต็มที่เหมือนกับใครๆ เมื่อตอนไป ไปสามคน แต่กลับ กลับมาเพียงสองคน หญิงสาวถอนใจพลางยกมือขึ้นมารวบผมที่ยาวถึงกลางหลังของตัวเองมัดก่อนจะหยิบไอแพดขึ้นมาทำงาน ริมฝีปากบางเม้มปิด รวคิ้วเข้มขมวดนิดๆ พรุ่งนี้ตอนบ่ายโมงตรงเธอต้องพรีเซ็นต์งาน...งานสุดท้ายหลังจากยื่นใบลาออกไปเมื่อเดือนก่อน สำหรับประสบการณ์การการทำงานหนึ่งปีเศษ คงพอจะเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจของเธอในการสมัครงานใหม่ได้ไม่ยาก
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผู้โดยสารทยอยเดินออกมาแล้ว อรอินทุ์ปิดไอแพดแล้วเดินมายืนรอพ่อกับพันธิน จะว่าไปแล้วเธอได้มีเวลาอยู่กับพ่อน้อยกว่าพันแสงหรือพันธินด้วยซ้ำ ตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าใครอีกคนไม่จากไปก็คงได้เดินทางกลับมาพร้อมกันในเที่ยวบินนี้ หญิงสาวถอนใจอีกครั้ง คนชอบสร้างปัญหาทำไมไม่อยู่สร้างปัญหา ทำไมจากไปเร็วจนหลายคำที่อยากบอกกลายเป็นความลับที่จะอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต ตอนนี้เขาไม่มีโอกาสได้ฟัง เช่นเดียวกับเธอที่ไม่มีโอกาสได้บอกอีกแล้ว พลันน้ำตาก็รื้นขึ้นมา เธอรีบเช็ดด้วยหลังมือก่อนที่ใครจะเห็นถึงความอ่อนแอ
ร่างท้วมเดินเคียงร่างสูงใหญ่ออกมาจากประตูทางออกและเป็นฝ่ายเข็นรถออกมา พ่อดูไม่เปลี่ยนไปนักยังคงมีใบหน้าใจดีและมีรอยยิ้มบางๆ ที่ริมฝีปาก ในขณะที่ลูกชายของคุณเธียร วิวัสวานยังคงมีใบหน้าไม่ต่างจากเดิม ดวงตาของเขาแข็งกระด้าง ริมฝีปากเม้มปิดราวกับไม่อยากเสวนากับใคร ผมยาวขึ้นและดูแข็งแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับตอนนี้เพียงแค่เดินออกมาได้ด้วยตัวเองพ่อก็คงพอใจแล้ว อุบัติเหตุทำให้หลายๆ สิ่งในชีวิตของพันธินเปลี่ยนไป แต่โดยรูปลักษณ์ภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เท่าที่รู้มีการผ่าตัดเกิดขึ้นสี่ครั้ง ตลอดเวลาสิบเอ็ดเดือนที่คุณเธียรต้องทำงานแทนลูกชาย ทั้งที่กำลังจะเกษียรตัวเองไปแล้ว
“ทางนี้ค่ะพ่อ” อรอินทุ์ตะโกนพลางชูมือให้เห็น
อิชย์หันไปตามเสียงของลูกสาวพลางยื่นมือไปสะกิดให้พันธินเดินตามมาด้วยกัน ร่างสูงกว่าชะลอฝีเท้าลงเป็นฝ่ายเดินตาม ทนายของพ่อที่ใกล้ชิดกับเขาเสียยิ่งกว่าพ่อทำตามที่เขาขอร้องไว้ว่าอยากกลับมาเงียบๆ และไปสุสาน คนที่เดือดร้อนต้องมารับจึงเป็นลูกสาวคนเดียวของลุงอิชย์นั้นเอง
บางทีลุงอิชย์อาจจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจเขามากที่สุดก็ได้ ผ่านมาแล้วสิบเอ็ดเดือนหลังจากฟื้นขึ้นมา พันธินยังไม่สามารถเอ่ยชื่อของคนที่เข้าใจเขายิ่งกว่าใครออกมาได้ มันยากเกินไปที่จะพูดออกมา ความตายไม่เพียงพรากคนที่รักไป แต่ยังพาเอาความสุขในชีวิตจากไปด้วย
อิชย์ยิ้มให้ลูกสาวก่อนจะคว้าตัวเข้ามากอด ตลอดเวลาที่อยู่อเมริกา ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่คิดถึง ถ้าภรรยายังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยลูกสาวก็มีแม่คอยอยู่ใกล้ๆ เขาเป็นพ่อที่แย่ แต่ต่อไปเขาจะให้เวลากับลูกมากขึ้น
“ขอบใจนะลูกอร รอนานหรือเปล่า”
“ไม่นานค่ะ พ่ออ้วนขึ้นหรือเปล่าคะ คราวนี้กอดแล้วแขนอรกอดได้ไม่รอบตัวพ่อเลยค่ะ”
เธอกอดพ่อไว้แน่นพลางปรายตามองพันธิน ตอนนี้เขาหรือใครก็ห้ามแย่งพ่อไปจากเธอ เกือบปีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการต้องอยู่คนเดียวเพียงลำพัง เวลามีปัญหากลับต้องไปปรับทุกข์กับเพื่อน แทนที่จะเป็นพ่อของตัวเอง
“ก็ที่นั่นมันหนาว พ่อก็เลยต้องกินให้มากๆ ไม่ดีหรือ อรชอบบ่นว่าพ่อผอมไป” อิชย์หัวเราะเบาๆ
พันธินหยิบแว่นขึ้นมาใส่ ความคิดถึงในตัวเขาอยากเข้าไปกอดอรอินทุ์ไว้ แต่ความกังวลทำให้ไม่อาจทำได้ เขาจำสายตาแบบนั้นของยัยตุ๊กตากระเบื้องได้ดี สายตาของเด็กที่กลัวถูกแย่งพ่อไป เรียวปากหนากดยิ้มที่มุมปาก ยืนมองคนหวงพ่อ อายุปีนี้ก็ยี่สิบสี่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด
“ไปที่รถกันเถอะค่ะ พ่อมาเหนื่อยๆ จะได้พัก”
“คุณธินไปกันเถอะครับ”
พันธินพยักหน้ารับ อรอินทุ์เม้มปากอย่างไม่ชอบใจนัก สายตาคมตวัดผ่าน เธอรู้สึกได้แม้จะมีแว่นสีชาบังไว้ อิชย์ยิ้มพลางส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือไปจับแขนของร่างสูงแล้วปล่อย พันธินพยักหน้าไม่พูดอะไรก่อนจะเดินนำออกไป อรอินทุ์เดินตามไปพร้อมพ่อพร้อมกับช่วยเข็นกระเป๋าสามใบใหญ่ พันธินเป็นคนถือตัวและเคร่งครัดต่างจากพันแสงโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าพ่อทนคนแบบนี้ได้ยังไง เกือบปีที่ผ่านมาพ่อคงเป็นมือเป็นเท้าให้พันธินไปเลยกระมัง
อรอินทุ์นำทุกคนมาที่รถของเธอ แล้วคนที่ทำเหมือนไม่อยากหยิบจับอะไรกลับยกกระเป๋าขึ้นมาไว้ในรถให้โดยที่ไม่มีใครขอให้ช่วย เธอเลยแกล้งกอดอกมองเฉยๆ บ้าง อิชย์ยื่นมือไปจะช่วย แต่คนเหมือนไม่เคยต้องหยิบจับอะไรกลับเอ่ยขึ้นเหมือนอยากบอกเธอด้วยว่า
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำเองดีกว่า แขนของผมแข็งแรงดีแล้ว ถ้าลุงอิชย์จะช่วย ก็ช่วยเข้าไปนั่งในรถสบายๆ ก่อนดีกว่านะครับ”
เรียวคิ้วเข้มขมวด ดูเหมือนอุบัติเหตุจะทำให้เสียงของพันธินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังกังวานทรงอำนาจเหมือนเดิม แม้ว่าเขาจะพูดน้ำเสียงธรรมดาๆ แต่ก็เหมือนออกคำสั่งอยู่ดี
“อรดูแลคุณธินด้วยนะลูก” อิชย์บอกลูกสาวก่อนจะเปิดประตูข้างคนขับเข้าไปนั่ง
อรอินทุ์ปัดความคิดร้ายๆ ของเด็กออกไปจากสมองแล้วเข้าไปช่วยพันธินขนกระเป๋าใส่กระโปรงท้ายรถ ตอนนี้พ่อกลับมาอยู่กับเธอแล้ว แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่อยากให้พ่อทำงานกับเอ็มไพร์ กรุ๊ปอยู่ดี ถ้าเจ๊งๆ ไปได้เธอจะดีใจมาก เรียวปากหนากลับมาเม้มปิด ใบหน้าเข้มดุหันมามองอรอินทุ์ก่อนจะปิดกระโปรงท้ายรถ เขาเดินไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งด้วยใบหน้าเหมือนโกรธใครมา อรอินทุ์เดินไปทำหน้าที่คนขับ ทว่ายังไม่ทันสตาร์ทรถคนที่ทำหน้าเหมือนโกรธใครมาก็เอ่ยขึ้นให้เธอถอนใจอีกรอบ
“ผมอยากไปที่สุสานครับลุงอิชย์”
“อรไปที่สุสานก่อนไปที่วัสวานแล้วกันนะลูก”
มือบางกำพวงมาลัยรถเหมือนอยากทำหรือพูดอะไร แต่ทำและพูดไม่ได้ สุดท้ายสิ่งเดียวที่ทำได้คงมีเรื่องเดียวนั่นคือการตามใจพ่อ ทั้งที่ไม่อยากทำ
“ก็ได้ค่ะ ถ้าพ่อเหนื่อยก็หลับก่อนนะคะ ถ้าถึงแล้วอรจะปลุก”
“ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ต่อไปฉันจะไม่รบกวนเธออีก” พันธินเอ่ยก่อนจะหลับตาลง
อรอินทุ์อยากย้อนใส่ว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ในเมื่อพ่อยังทำงานที่เอ็มไพร์ กรุ๊ป การรบกวนของพวกเขาก็คือการปล้นเวลาที่เธอควรได้จากพ่อไปอยู่ดี รวมทั้งการที่พันแสงจะไม่กลับมาอีกแล้ว เขาไม่ใช่หรือที่ทำให้พันแสงต้องไปอเมริกา ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากไป พี่ชายควรทำกับน้องชายแบบนั้นหรือ
ไม่ถึงชั่วโมงต่อมารถญี่ปุ่นที่เพิ่งถอดป้ายแดงแล้วเปลี่ยนเป็นป้ายขาวได้ไม่นานก็มาจอดที่โบสถ์ย่านชานเมือง บาทหลวงรู้จักกับอิชย์และทุกคนในตระกูลวิวัสวานดี คุณพริมาและพันแสงอยู่ที่นี่ อรอินทุ์รู้สึกเศร้าทุกครั้งที่มาที่แห่งนี้ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่เบาะหลัง เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจบ้างเลยใช่ไหม น้องชายตายไปทั้งคน
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เขาหรือที่ยืนกรานไม่ให้น้องชายอยู่เมืองไทย หลังจากเกิดเรื่องเกิดราวและมีคนตายไปหนึ่งคน เธอเชื่อมั่นว่าพันแสงไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ไม่มีใครฟังพันแสงสักคน เขาถูกส่งไปอเมริกา เธอไม่ได้ล่ำลาเขาสักคำ แค่ได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
มือหนากำแน่น ใบหน้าหมือนได้รับความเจ็บปวด อิชย์หันมาเห็นพอดี เขายื่นมือไปจับที่ข้อมือของพันธินพลางส่ายหน้า ไม่พูดอะไร มือหนาคลายออกก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนใจ
“ให้ผมลงไปด้วยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากอยู่ที่นั่นคนเดียวสักครู่” เขาตอบแล้วเปิดประตูเดินออกไป
อรอินทุ์มองตามอย่างไม่เข้าใจนักว่าพันธินเป็นอะไร จริงอยู่ที่เขามักเคร่งเครียดเสมอ นั่นเพราะการเป็นทายาทคนโตที่ต้องสืบทอดกิจการของเอ็มไพร์ กรุ๊ป แต่เขาไม่ได้ดูเคร่งเครียดคล้ายระเบิดที่ถูกถอดสลักแบบนี้ ในขณะที่พ่อก็เหมือนมีบางอย่างในใจ
บาทหลวงในวัยห้าสิบปลายๆ ซึ่งรู้จักทุกคนในตะกูลวิวัสวานเดินมาหาพันธินแล้วถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บอยู่หลายคำก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินเพียงลำพังไปตามทางเดินที่สองข้างทางมีดอกกุหลาบสีขาวกำลังบานสะพรั่ง ขายาวก้าวต่อไปผ่านหลุมศพของผู้จากไป หลายร้อยหลายพันหยาดน้ำตาเคยหลั่งรินที่นี่และจะมีต่อไปจนกว่าโลกใบนี้จะดับสลาย
หลุมศพที่ตามหาอยู่ลึกเข้าไป มีต้นลั่นทมอยู่ใกล้ที่สุด มือของพันธินกำแน่นอีกครั้งเมื่อมันสั่นจนเขาไม่อาจระงับตัวเองได้ ขายาวหยุดลงที่ป้ายหน้าหลุมศพซึ่งช่อดอกกุหลาบแห้งวางอยู่ เขาคุกเข่าลงมองชื่อของเจ้าของร่างที่รออยู่ที่นี่ เปลือกตาของเขาปิดลง เฝ้าแต่ถามตัวเองว่าทำไมไม่เป็นเขาที่ต้องมาอยู่ที่นี่ ทำไมเขาถึงเป็นคนที่รอดชีวิต น้ำตาของเขาหมดไปตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่รอดชีวิต ทำไมพระเจ้าไม่พาเขาไป ทำไมต้องทำให้เขายังมีชีวิต มือหนายื่นไปสัมผัสป้ายชื่อเบามือ หัวใจกระตุกวาบเมื่อไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปแล้วว่าความตายได้เกิดขึ้นมานานแล้ว
มีบางอย่างทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราสองคนพี่น้องไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะกลับมาจัดการทุกเรื่องราวได้ทันการณ์ แต่ต่อจากนี้ไป เขาจะเข้มแข็งกว่าที่เคยเข้มแข็งและเลือดเย็นให้มากพอหรือมากกว่าคนที่ต้องการฆ่าเราสองคน
“เราจะแก้แค้นให้นายเอง!” พันธินคำรามลั่น
ใครบางที่เดินมาใกล้สะดุ้งพลางชะงักเท้า ใบหน้าเข้มดุหันมามอง ดวงตาคู่นั้นโชนฉายด้วยความโกรธที่อ่อนแสงลงเมื่อเห็นว่าเป็นเธอที่เดินมาก่อนจะหันหน้ากลับไป อรอินทุ์ถอนใจ เขาคงแค้นใจที่น้องชายต้องมาตายเพราะอุบัติเหตุที่ตัวเองเป็นคนขับรถคันนั้น เธอเดินต่อไปแล้วหยุดลงที่ด้านหลังของเขา ระหว่างเราไม่เคยใช้คำว่าสนิทสนมได้ ในฐานะลูกชายคนโตของบ้าน เขามักวางตัวเองเหนือกว่าลูกสาวของลูกจ้างเสมอ แม้ว่าพ่อของเธอจะเป็นน้องชายบุญธรรมของคุณเธียรก็ตาม
“พ่อให้ฉันมาดูคุณ” เธอเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าควรปลอบโยนหรือว่าทำเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูดไปเมื่อครู่
เงียบ...
เสียงเดียวที่ได้ยินมีเพียงเสียงลมที่พัด ปลายเดือนธันวาคมช่างหนาวเหน็บ แต่ความหนาวไม่อาจทำร้ายเราได้ตราบเท่าที่ยังใส่เสื้อผ้าหนา แล้วคนที่ดูแข็งแกร่งดั่งภูผาล่ะ อะไรสามารถทำร้ายเขาได้ สำหรับตอนนี้คำตอบเด่นชัดอยู่ตรงหน้าของเขานั่นเอง
“ขอบใจ” เนิ่นนานกว่าพันธินจะเอ่ยออกมาพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้ามามองอรอินทุ์ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ เธอเลิกคิ้วอย่างห้ามตัวเองไม่ทัน
“กลับกันเถอะ”
ร่างสูงเดินนำไปยังทางที่เพิ่งเดินมาเมื่อเกือบชั่วโมงก่อน อรอินทุ์เดินตามไป ดูเหมือนว่าพ่อของเธออาจห่วงเขามากเกินไป คนอย่างพันธินหรือแม้กระทั่งคุณเธียรไม่เหมาะกับการปลอบโยนหรือการยอมให้แสดงออกถึงความเห็นใจมาแต่ไหนแต่ไร ผู้ชายในตระกูลวิวัสวานเป็นอย่างนั้นทุกคน มีเพียงพันแสงเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น อย่างน้อยสิ่งเดียวที่เธออยากขอบใจพันธินคงมีเพียงการที่เขายังมีชิวิตอยู่ ไม่เช่นนั้นพ่อของเธอคงทุกข์ใจ ส่วนพันแสง คงได้แต่หวังว่าเขาจะรู้ว่าเธออยากบอกอะไร เราจะไม่เข้าใจผิดกันอีกแล้วใช่ไหม
อีกสิบนาทีจะบ่ายสามโมง ท่ามกลางผู้คนมากมาย หลายคนเดินทางมาที่นี่เพื่อเดินทางต่อไปยังปลายทางแตกต่างกันออกไปและอีกหลายคนที่มารอรับคนสำคัญกลับบ้านไปด้วยกัน อรอินทุ์เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแต่ว่าความรู้สึกของการมารับไม่ได้ยินดีเต็มที่เหมือนกับใครๆ เมื่อตอนไป ไปสามคน แต่กลับ กลับมาเพียงสองคน หญิงสาวถอนใจพลางยกมือขึ้นมารวบผมที่ยาวถึงกลางหลังของตัวเองมัดก่อนจะหยิบไอแพดขึ้นมาทำงาน ริมฝีปากบางเม้มปิด รวคิ้วเข้มขมวดนิดๆ พรุ่งนี้ตอนบ่ายโมงตรงเธอต้องพรีเซ็นต์งาน...งานสุดท้ายหลังจากยื่นใบลาออกไปเมื่อเดือนก่อน สำหรับประสบการณ์การการทำงานหนึ่งปีเศษ คงพอจะเป็นคุณสมบัติที่น่าสนใจของเธอในการสมัครงานใหม่ได้ไม่ยาก
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผู้โดยสารทยอยเดินออกมาแล้ว อรอินทุ์ปิดไอแพดแล้วเดินมายืนรอพ่อกับพันธิน จะว่าไปแล้วเธอได้มีเวลาอยู่กับพ่อน้อยกว่าพันแสงหรือพันธินด้วยซ้ำ ตั้งแต่เด็กจนโต ถ้าใครอีกคนไม่จากไปก็คงได้เดินทางกลับมาพร้อมกันในเที่ยวบินนี้ หญิงสาวถอนใจอีกครั้ง คนชอบสร้างปัญหาทำไมไม่อยู่สร้างปัญหา ทำไมจากไปเร็วจนหลายคำที่อยากบอกกลายเป็นความลับที่จะอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต ตอนนี้เขาไม่มีโอกาสได้ฟัง เช่นเดียวกับเธอที่ไม่มีโอกาสได้บอกอีกแล้ว พลันน้ำตาก็รื้นขึ้นมา เธอรีบเช็ดด้วยหลังมือก่อนที่ใครจะเห็นถึงความอ่อนแอ
ร่างท้วมเดินเคียงร่างสูงใหญ่ออกมาจากประตูทางออกและเป็นฝ่ายเข็นรถออกมา พ่อดูไม่เปลี่ยนไปนักยังคงมีใบหน้าใจดีและมีรอยยิ้มบางๆ ที่ริมฝีปาก ในขณะที่ลูกชายของคุณเธียร วิวัสวานยังคงมีใบหน้าไม่ต่างจากเดิม ดวงตาของเขาแข็งกระด้าง ริมฝีปากเม้มปิดราวกับไม่อยากเสวนากับใคร ผมยาวขึ้นและดูแข็งแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ สำหรับตอนนี้เพียงแค่เดินออกมาได้ด้วยตัวเองพ่อก็คงพอใจแล้ว อุบัติเหตุทำให้หลายๆ สิ่งในชีวิตของพันธินเปลี่ยนไป แต่โดยรูปลักษณ์ภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เท่าที่รู้มีการผ่าตัดเกิดขึ้นสี่ครั้ง ตลอดเวลาสิบเอ็ดเดือนที่คุณเธียรต้องทำงานแทนลูกชาย ทั้งที่กำลังจะเกษียรตัวเองไปแล้ว
“ทางนี้ค่ะพ่อ” อรอินทุ์ตะโกนพลางชูมือให้เห็น
อิชย์หันไปตามเสียงของลูกสาวพลางยื่นมือไปสะกิดให้พันธินเดินตามมาด้วยกัน ร่างสูงกว่าชะลอฝีเท้าลงเป็นฝ่ายเดินตาม ทนายของพ่อที่ใกล้ชิดกับเขาเสียยิ่งกว่าพ่อทำตามที่เขาขอร้องไว้ว่าอยากกลับมาเงียบๆ และไปสุสาน คนที่เดือดร้อนต้องมารับจึงเป็นลูกสาวคนเดียวของลุงอิชย์นั้นเอง
บางทีลุงอิชย์อาจจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจเขามากที่สุดก็ได้ ผ่านมาแล้วสิบเอ็ดเดือนหลังจากฟื้นขึ้นมา พันธินยังไม่สามารถเอ่ยชื่อของคนที่เข้าใจเขายิ่งกว่าใครออกมาได้ มันยากเกินไปที่จะพูดออกมา ความตายไม่เพียงพรากคนที่รักไป แต่ยังพาเอาความสุขในชีวิตจากไปด้วย
อิชย์ยิ้มให้ลูกสาวก่อนจะคว้าตัวเข้ามากอด ตลอดเวลาที่อยู่อเมริกา ไม่มีวันไหนเลยที่เขาไม่คิดถึง ถ้าภรรยายังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยลูกสาวก็มีแม่คอยอยู่ใกล้ๆ เขาเป็นพ่อที่แย่ แต่ต่อไปเขาจะให้เวลากับลูกมากขึ้น
“ขอบใจนะลูกอร รอนานหรือเปล่า”
“ไม่นานค่ะ พ่ออ้วนขึ้นหรือเปล่าคะ คราวนี้กอดแล้วแขนอรกอดได้ไม่รอบตัวพ่อเลยค่ะ”
เธอกอดพ่อไว้แน่นพลางปรายตามองพันธิน ตอนนี้เขาหรือใครก็ห้ามแย่งพ่อไปจากเธอ เกือบปีที่ผ่านมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการต้องอยู่คนเดียวเพียงลำพัง เวลามีปัญหากลับต้องไปปรับทุกข์กับเพื่อน แทนที่จะเป็นพ่อของตัวเอง
“ก็ที่นั่นมันหนาว พ่อก็เลยต้องกินให้มากๆ ไม่ดีหรือ อรชอบบ่นว่าพ่อผอมไป” อิชย์หัวเราะเบาๆ
พันธินหยิบแว่นขึ้นมาใส่ ความคิดถึงในตัวเขาอยากเข้าไปกอดอรอินทุ์ไว้ แต่ความกังวลทำให้ไม่อาจทำได้ เขาจำสายตาแบบนั้นของยัยตุ๊กตากระเบื้องได้ดี สายตาของเด็กที่กลัวถูกแย่งพ่อไป เรียวปากหนากดยิ้มที่มุมปาก ยืนมองคนหวงพ่อ อายุปีนี้ก็ยี่สิบสี่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด
“ไปที่รถกันเถอะค่ะ พ่อมาเหนื่อยๆ จะได้พัก”
“คุณธินไปกันเถอะครับ”
พันธินพยักหน้ารับ อรอินทุ์เม้มปากอย่างไม่ชอบใจนัก สายตาคมตวัดผ่าน เธอรู้สึกได้แม้จะมีแว่นสีชาบังไว้ อิชย์ยิ้มพลางส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือไปจับแขนของร่างสูงแล้วปล่อย พันธินพยักหน้าไม่พูดอะไรก่อนจะเดินนำออกไป อรอินทุ์เดินตามไปพร้อมพ่อพร้อมกับช่วยเข็นกระเป๋าสามใบใหญ่ พันธินเป็นคนถือตัวและเคร่งครัดต่างจากพันแสงโดยสิ้นเชิง ไม่รู้ว่าพ่อทนคนแบบนี้ได้ยังไง เกือบปีที่ผ่านมาพ่อคงเป็นมือเป็นเท้าให้พันธินไปเลยกระมัง
อรอินทุ์นำทุกคนมาที่รถของเธอ แล้วคนที่ทำเหมือนไม่อยากหยิบจับอะไรกลับยกกระเป๋าขึ้นมาไว้ในรถให้โดยที่ไม่มีใครขอให้ช่วย เธอเลยแกล้งกอดอกมองเฉยๆ บ้าง อิชย์ยื่นมือไปจะช่วย แต่คนเหมือนไม่เคยต้องหยิบจับอะไรกลับเอ่ยขึ้นเหมือนอยากบอกเธอด้วยว่า
“ไม่เป็นไรครับ ผมทำเองดีกว่า แขนของผมแข็งแรงดีแล้ว ถ้าลุงอิชย์จะช่วย ก็ช่วยเข้าไปนั่งในรถสบายๆ ก่อนดีกว่านะครับ”
เรียวคิ้วเข้มขมวด ดูเหมือนอุบัติเหตุจะทำให้เสียงของพันธินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังกังวานทรงอำนาจเหมือนเดิม แม้ว่าเขาจะพูดน้ำเสียงธรรมดาๆ แต่ก็เหมือนออกคำสั่งอยู่ดี
“อรดูแลคุณธินด้วยนะลูก” อิชย์บอกลูกสาวก่อนจะเปิดประตูข้างคนขับเข้าไปนั่ง
อรอินทุ์ปัดความคิดร้ายๆ ของเด็กออกไปจากสมองแล้วเข้าไปช่วยพันธินขนกระเป๋าใส่กระโปรงท้ายรถ ตอนนี้พ่อกลับมาอยู่กับเธอแล้ว แต่ถึงอย่างไรเธอก็ไม่อยากให้พ่อทำงานกับเอ็มไพร์ กรุ๊ปอยู่ดี ถ้าเจ๊งๆ ไปได้เธอจะดีใจมาก เรียวปากหนากลับมาเม้มปิด ใบหน้าเข้มดุหันมามองอรอินทุ์ก่อนจะปิดกระโปรงท้ายรถ เขาเดินไปเปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่งด้วยใบหน้าเหมือนโกรธใครมา อรอินทุ์เดินไปทำหน้าที่คนขับ ทว่ายังไม่ทันสตาร์ทรถคนที่ทำหน้าเหมือนโกรธใครมาก็เอ่ยขึ้นให้เธอถอนใจอีกรอบ
“ผมอยากไปที่สุสานครับลุงอิชย์”
“อรไปที่สุสานก่อนไปที่วัสวานแล้วกันนะลูก”
มือบางกำพวงมาลัยรถเหมือนอยากทำหรือพูดอะไร แต่ทำและพูดไม่ได้ สุดท้ายสิ่งเดียวที่ทำได้คงมีเรื่องเดียวนั่นคือการตามใจพ่อ ทั้งที่ไม่อยากทำ
“ก็ได้ค่ะ ถ้าพ่อเหนื่อยก็หลับก่อนนะคะ ถ้าถึงแล้วอรจะปลุก”
“ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ต่อไปฉันจะไม่รบกวนเธออีก” พันธินเอ่ยก่อนจะหลับตาลง
อรอินทุ์อยากย้อนใส่ว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ในเมื่อพ่อยังทำงานที่เอ็มไพร์ กรุ๊ป การรบกวนของพวกเขาก็คือการปล้นเวลาที่เธอควรได้จากพ่อไปอยู่ดี รวมทั้งการที่พันแสงจะไม่กลับมาอีกแล้ว เขาไม่ใช่หรือที่ทำให้พันแสงต้องไปอเมริกา ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากไป พี่ชายควรทำกับน้องชายแบบนั้นหรือ
ไม่ถึงชั่วโมงต่อมารถญี่ปุ่นที่เพิ่งถอดป้ายแดงแล้วเปลี่ยนเป็นป้ายขาวได้ไม่นานก็มาจอดที่โบสถ์ย่านชานเมือง บาทหลวงรู้จักกับอิชย์และทุกคนในตระกูลวิวัสวานดี คุณพริมาและพันแสงอยู่ที่นี่ อรอินทุ์รู้สึกเศร้าทุกครั้งที่มาที่แห่งนี้ อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่เบาะหลัง เขาไม่ได้รู้สึกเสียใจบ้างเลยใช่ไหม น้องชายตายไปทั้งคน
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เขาหรือที่ยืนกรานไม่ให้น้องชายอยู่เมืองไทย หลังจากเกิดเรื่องเกิดราวและมีคนตายไปหนึ่งคน เธอเชื่อมั่นว่าพันแสงไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ไม่มีใครฟังพันแสงสักคน เขาถูกส่งไปอเมริกา เธอไม่ได้ล่ำลาเขาสักคำ แค่ได้เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น
มือหนากำแน่น ใบหน้าหมือนได้รับความเจ็บปวด อิชย์หันมาเห็นพอดี เขายื่นมือไปจับที่ข้อมือของพันธินพลางส่ายหน้า ไม่พูดอะไร มือหนาคลายออกก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนใจ
“ให้ผมลงไปด้วยไหมครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากอยู่ที่นั่นคนเดียวสักครู่” เขาตอบแล้วเปิดประตูเดินออกไป
อรอินทุ์มองตามอย่างไม่เข้าใจนักว่าพันธินเป็นอะไร จริงอยู่ที่เขามักเคร่งเครียดเสมอ นั่นเพราะการเป็นทายาทคนโตที่ต้องสืบทอดกิจการของเอ็มไพร์ กรุ๊ป แต่เขาไม่ได้ดูเคร่งเครียดคล้ายระเบิดที่ถูกถอดสลักแบบนี้ ในขณะที่พ่อก็เหมือนมีบางอย่างในใจ
บาทหลวงในวัยห้าสิบปลายๆ ซึ่งรู้จักทุกคนในตะกูลวิวัสวานเดินมาหาพันธินแล้วถามไถ่ถึงอาการบาดเจ็บอยู่หลายคำก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะเดินเพียงลำพังไปตามทางเดินที่สองข้างทางมีดอกกุหลาบสีขาวกำลังบานสะพรั่ง ขายาวก้าวต่อไปผ่านหลุมศพของผู้จากไป หลายร้อยหลายพันหยาดน้ำตาเคยหลั่งรินที่นี่และจะมีต่อไปจนกว่าโลกใบนี้จะดับสลาย
หลุมศพที่ตามหาอยู่ลึกเข้าไป มีต้นลั่นทมอยู่ใกล้ที่สุด มือของพันธินกำแน่นอีกครั้งเมื่อมันสั่นจนเขาไม่อาจระงับตัวเองได้ ขายาวหยุดลงที่ป้ายหน้าหลุมศพซึ่งช่อดอกกุหลาบแห้งวางอยู่ เขาคุกเข่าลงมองชื่อของเจ้าของร่างที่รออยู่ที่นี่ เปลือกตาของเขาปิดลง เฝ้าแต่ถามตัวเองว่าทำไมไม่เป็นเขาที่ต้องมาอยู่ที่นี่ ทำไมเขาถึงเป็นคนที่รอดชีวิต น้ำตาของเขาหมดไปตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่รอดชีวิต ทำไมพระเจ้าไม่พาเขาไป ทำไมต้องทำให้เขายังมีชีวิต มือหนายื่นไปสัมผัสป้ายชื่อเบามือ หัวใจกระตุกวาบเมื่อไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไปแล้วว่าความตายได้เกิดขึ้นมานานแล้ว
มีบางอย่างทำให้มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราสองคนพี่น้องไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะกลับมาจัดการทุกเรื่องราวได้ทันการณ์ แต่ต่อจากนี้ไป เขาจะเข้มแข็งกว่าที่เคยเข้มแข็งและเลือดเย็นให้มากพอหรือมากกว่าคนที่ต้องการฆ่าเราสองคน
“เราจะแก้แค้นให้นายเอง!” พันธินคำรามลั่น
ใครบางที่เดินมาใกล้สะดุ้งพลางชะงักเท้า ใบหน้าเข้มดุหันมามอง ดวงตาคู่นั้นโชนฉายด้วยความโกรธที่อ่อนแสงลงเมื่อเห็นว่าเป็นเธอที่เดินมาก่อนจะหันหน้ากลับไป อรอินทุ์ถอนใจ เขาคงแค้นใจที่น้องชายต้องมาตายเพราะอุบัติเหตุที่ตัวเองเป็นคนขับรถคันนั้น เธอเดินต่อไปแล้วหยุดลงที่ด้านหลังของเขา ระหว่างเราไม่เคยใช้คำว่าสนิทสนมได้ ในฐานะลูกชายคนโตของบ้าน เขามักวางตัวเองเหนือกว่าลูกสาวของลูกจ้างเสมอ แม้ว่าพ่อของเธอจะเป็นน้องชายบุญธรรมของคุณเธียรก็ตาม
“พ่อให้ฉันมาดูคุณ” เธอเอ่ยได้เพียงเท่านั้น ไม่แน่ใจว่าควรปลอบโยนหรือว่าทำเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูดไปเมื่อครู่
เงียบ...
เสียงเดียวที่ได้ยินมีเพียงเสียงลมที่พัด ปลายเดือนธันวาคมช่างหนาวเหน็บ แต่ความหนาวไม่อาจทำร้ายเราได้ตราบเท่าที่ยังใส่เสื้อผ้าหนา แล้วคนที่ดูแข็งแกร่งดั่งภูผาล่ะ อะไรสามารถทำร้ายเขาได้ สำหรับตอนนี้คำตอบเด่นชัดอยู่ตรงหน้าของเขานั่นเอง
“ขอบใจ” เนิ่นนานกว่าพันธินจะเอ่ยออกมาพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้ามามองอรอินทุ์ ขายาวก้าวเข้าไปใกล้ เธอเลิกคิ้วอย่างห้ามตัวเองไม่ทัน
“กลับกันเถอะ”
ร่างสูงเดินนำไปยังทางที่เพิ่งเดินมาเมื่อเกือบชั่วโมงก่อน อรอินทุ์เดินตามไป ดูเหมือนว่าพ่อของเธออาจห่วงเขามากเกินไป คนอย่างพันธินหรือแม้กระทั่งคุณเธียรไม่เหมาะกับการปลอบโยนหรือการยอมให้แสดงออกถึงความเห็นใจมาแต่ไหนแต่ไร ผู้ชายในตระกูลวิวัสวานเป็นอย่างนั้นทุกคน มีเพียงพันแสงเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น อย่างน้อยสิ่งเดียวที่เธออยากขอบใจพันธินคงมีเพียงการที่เขายังมีชิวิตอยู่ ไม่เช่นนั้นพ่อของเธอคงทุกข์ใจ ส่วนพันแสง คงได้แต่หวังว่าเขาจะรู้ว่าเธออยากบอกอะไร เราจะไม่เข้าใจผิดกันอีกแล้วใช่ไหม
บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ย. 2557, 14:34:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ย. 2557, 14:34:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 1068
<< บทนำ | ตอนที่ 1 ครึ่งหลัง >> |