กรงพสุธา [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
ความดีและเลวก็มีแค่เส้นแบ่งบางๆขวางกั้น
หากก้าวผ่านมันไปแล้วคงไม่มีวันย้อนกลับ

คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ควรจะจบลงเมื่อสิบแปดปีที่แล้วกำลังย้อนรอยกลับมาอีกครั้ง!
เมื่อโชคชะตาพัดพาให้ เหมือนฝัน หลงเข้าไปในห้องแห่งดินของ บ้านปรารถนา ฝันร้ายของเธอก็กลับคืนมา หญิงสาวฝันถึงเหตุฆาตกรรมฝังดิน ซึ่งมีรูปแบบคล้ายคลึงกับคดีเมื่อสิบแปดปีก่อน จึงตัดสินใจออกค้นหาความจริง จนได้รู้จักกับ ปัถวี ชายหนุ่มผู้มีอำนาจจิตในการควบคุมธาตุดิน ทั้งสองพยายามตามหาตัวฆาตกรพร้อมๆกับการเกิดเหตุฆาตกรรมคดีแล้วคดีเล่า และดูเหมือนแต่ละคดีจะโยงใยถึงกัน ที่สุดแล้ว พวกเขาจะตามหาฆาตกรตัวจริงพบหรือไม่ แล้วมันเกี่ยวข้องอย่างไรกับฆาตกรรมต่อเนื่องเมื่อสิบแปดปีก่อน!
Tags: ๕ปรารถนา เหมือนฝัน ปัถวี วังวนวารี ทองพญามาร

ตอน: บทที่ ๓ ดรีมแลนด์แดนหรรษา (ครึ่งหลัง)

ครึ่งหลังนี้ปัถวีมาแบบเต็มๆแล้วเนอะ >___________<

---------------------------------------------------------------------------------------------

แม้จะลังเล แต่วินาทีที่สานสบดวงตาคม ประกายอบอุ่นจากเขาเรียกความกล้าบังเกิดขึ้นในใจ เหมือนฝันเดินย้อนกลับมาตรงกำแพงไม้เลื้อยอีกครั้ง พยายามเพ่งมองลอดความรกเรื้อของเงาไม้ออกไปนอกกำแพง เห็นเพียงเงาตะคุ่มเลือนรางในม่านราตรีกาล

“ตรงนี้เคยมีเครื่องเล่นอยู่ค่ะ”

“เคยมีเหรอครับ” คิ้วของชายหนุ่มเลิกสูง มองเธออย่างสงสัย

“ใช่ค่ะ เคยมี แต่ตอนนี้มีกำแพงไม้เลื้อยมากั้นไว้แทน” เธอบอกพลางหันมองหน้าเขา “คุณไม่เคยเห็นเลยเหรอคะ”

“ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก”

“อ้าว ฉันนึกว่าคุณเป็นพนักงานของสวนสนุกเสียอีก” หญิงสาวหน้าเหวอ ความเข้าใจคลาดเคลื่อนจนหน้าแตก

ชายหนุ่มมองเธอยิ้มๆ ใบหน้าคมสันยิ่งอ่อนโยนยามมีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปาก

“เปล่าครับ มันเป็นเครื่องเล่นแบบไหนกัน”

“เป็นบ้านค่ะ มีชื่อว่าบ้านปรารถนา” น้ำเสียงของเธอคล้ายคนกำลังละเมอตอนนึกย้อนถึงช่วงเวลาที่ตนกับเพื่อนๆเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้น

“คุณเข้าไปที่นั่นมาแล้วสินะ มีอะไรน่าสนใจขนาดต้องตามกลับมาเล่นซ้ำอีกครั้งเหรอ”

หลังคำถาม ชายหนุ่มเห็นร่างเพรียวระหงสั่นไหว คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ดูท่าเครื่องเล่นนี้คงไม่ได้ให้ความสนุกกับเธอเท่าไรกระมัง

“เปล่าค่ะ มันไม่สนุกเลย ไม่มีอะไรน่าสนุกสักนิด”

เหมือนฝันกอดตัวเองแน่น หลังจากเข้าไปในบ้านปรารถนา ฝันร้ายซึ่งเคยเลือนหายก็ย้อนกลับมาเป็นเงามืดติดตามตัว เพราะหญิงสาวทำเครื่องรางของอาจารย์ลือฤทธิ์ขาดในบ้านหลังนั้น

“ถ้างั้นทำไมคุณถึงอยากกลับไปบ้านหลังนั้นอีกครั้งล่ะ”

หลังคำถาม ชายหนุ่มเห็นคนยืนกอดตัวเองแน่นหันหน้ามองเขา ดวงตาเธอฉายทั้งแววตื่นตระหนกและผวาจนคนมองสะท้านใจ

“ฉันต้องการตามหาอะไรบางอย่าง”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ลางสังหรณ์ผุดขึ้นในใจ และเขาเลือกจะเชื่อสัญชาตญาณตนเอง จึงยื่นมือหนาข้างหนึ่งไปตรงหน้าเหมือนฝัน

“เอาใหม่ดีกว่า ผมคิดว่าเราควรจะเริ่มจากการทำความรู้จักกันก่อน ผมชื่อปัถวีครับ เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก และมาคนเดียวเหมือนคุณ”

“ฉัน เหมือนฝันค่ะ คุณจะเรียกว่าฝันก็ได้” เธอยิ้มให้เขา แต่ไม่คิดจะคลายอ้อมแขนออก ไม่นานหญิงสาวเห็นปัถวีลดมือตัวเองลงขณะเธอตั้งคำถามใหม่ “แล้วคุณมาทำอะไรในสวนสนุกตามลำพังล่ะคะ”

ปัถวีชั่งใจ เขามองลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มสวยของอีกฝ่าย เห็นแววไหวระริกของความหวาดกลัวแฝงอยู่ แต่กระนั้นเขาก็เลือกจะบอกจุดประสงค์ของการมาเยือนสวนสนุกในค่ำวันนี้กับเธอ

“ผมมาตามหาศพผู้หญิงคนหนึ่ง”

“คะ...คุณว่าอะไรนะ” เหมือนฝันมองหน้าเขาอย่างตื่นตระหนก สองเท้าก้าวถอยหลังห่างจากชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว

ปัถวีถอนหายใจ รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังกลัว จึงเลือกยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่แสดงท่าทีคุกคามให้เธอนึกหวาดกลัวเขามากขึ้น

“ผมมาตามหาศพของผู้หญิงคนหนึ่งครับ คุณเองก็พอจะระแคะระคายเกี่ยวกับเธอบ้างใช่ไหม” หางเสียงเขาส่อแววไม่แน่ใจ

ความจริงปัถวีไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเหมือนฝันเลย เขาแค่ ‘รู้สึก’ ว่าผู้หญิงตรงหน้ามีอะไรพิเศษกว่าคนทั่วไป แต่ดูเธอจะไม่รู้สึกอย่างเขา ท่าทีของเหมือนฝันส่อแวววิตกหวาดผวา เธอก้าวถอยห่าง ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเบิกโต

“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” เอ่ยจบ หญิงสาวก็ลนลานหาทางหนี

เธอวิ่งหนีเขามาตามทางเดินจนถึงต้นก้ามปู โดยมีร่างสูงกำยำตามกระชั้นชิด พลันรอบกายก็เกิดลมแรง พัดฝุ่นผงและเศษใบไม้ปลิวว่อน เจ้าของร่างระหงชะงักค้างอยู่กับที่ เศษฝุ่นพัดมาปะทะใบหน้าจนต้องหลับตา แรงลมกระโชกเข้าหาตัวจนแทบจะปลิว แล้วจู่ๆเธอก็ถูกกอดไว้ด้วยอ้อมแขนอุ่นซึ่งมาพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ เหมือนฝันตกใจแทบสิ้นสติ พยายามดิ้นรนหนีสุดฤทธิ์ แต่น้ำเสียงทุ้มกระซิบปลอบอยู่ข้างหูทำให้ชะงักงัน

“ชู่ว์ ใจเย็น ผมไม่ใช่คนร้ายสักหน่อย ไม่คิดทำร้ายคุณด้วย”

น่าแปลก อ้อมแขนกำยำของปัถวีให้ความรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด มันช่วยลดทอนความหวาดกลัวและไม่วางใจลงได้ หญิงสาวเลิกดิ้นรน ยอมตกอยู่ในวงแขนของชายแปลกหน้า เมื่อรู้ว่าเขาช่วยปกป้องเธอจากสายลมแรง ไม่นานสายลมค่อยอ่อนกำลังลง เธอลืมตามองโดยรอบ เห็นกิ่งไม้น้อยใหญ่หักโค่นลงจากลำต้น กระจัดกระจายเต็มพื้น แต่เธอและเขาซึ่งยืนอยู่ใต้ต้นก้ามปูกลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดเลย

เหมือนฝันเงยหน้ามองเจ้าของปราการหนา เห็นดวงตาสีนิลอ่อนโยนทอดมองอยู่ก่อน

“คุณเป็นใครกันแน่”

“แค่คนไม่ธรรมดาที่มีสัมผัสพิเศษ...เหมือนคุณไง”

“คุณรู้ได้ยังไงว่า...เอ่อ...ฉันมีสัมผัสพิเศษ” ดวงตาสีน้ำตาลหวานเบิกโตกับนิยามที่ปัถวีมีต่อเธอและตัวเขา

“มันเป็นความรู้สึกน่ะ ผมตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม” ชายหนุ่มยักไหล่อย่างไม่เข้าใจตนเองนัก “คุณไม่มีลางสังหรณ์บ้างเหรอ”

เหมือนฝันส่ายหน้า บอกไม่ถูกว่าสมควรจะเชื่อคำพูดเขามากน้อยแค่ไหน

“ไม่ค่ะ ไม่รู้เลย แล้วการที่...คุณมาตามหาอะไรเหมือนกับฉัน มันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าคุณ...เอ่อ...เป็นคนร้าย”

ปัถวีพยักหน้าเข้าใจ บางทีสัมผัสของเธออาจไม่แกร่งกล้าเท่าเขา

“คุณกำลังคิดว่าผมเป็นคนฆ่าผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม ตกลงคุณได้ยินเหมือนผมได้ยินสินะ มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ...” ชายหนุ่มเล่าในส่วนที่ตนเองสัมผัสได้ให้เธอฟัง ดวงตาคมก้มมองคนตัวเล็กกว่าอย่างชั่งใจ “จะไม่เล่าให้ผมฟังจริงๆเหรอ คุณได้ยินอะไรมาบ้าง”

น้ำเสียงทุ้มมีรอยเว้าวอนแฝงอยู่ในหางเสียง ดึงหัวใจคนฟังให้อ่อนยวบ ท้ายสุดเธอก็ยอมเปิดปากเล่าเรื่องราวในฝันร้ายให้ชายแปลกหน้าฟัง

“ฉันไม่ได้ยินค่ะ แต่ฉันฝันถึงเธอ ฝันถึงศพถูกฝังอยู่ใต้ดิน...”

ปัถวีฟังเรื่องราวในความฝันของเธอด้วยสีหน้าครุ่นคิด เขาค่อนข้างเชื่อคำพูดเธอ เพราะสังเกตจากแววตาหวาดกลัวและร่างกายสั่นระริกตอนเล่าเรื่อง อีกฝ่ายคงไม่โกหกแน่ ยิ่งประกอบกับสัมผัสซึ่งเขารับรู้มาก่อนหน้า เขายิ่งมั่นใจว่าต้องมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลจากจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ตอนนี้

“แปลว่าคุณเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นถูกฝังอยู่ในห้องแห่งดินของบ้านปรารถนา”

“ค่ะ จากภาพในฝัน ฉันเชื่อว่าจุดเกิดเหตุน่าจะเป็นห้องนั้น”

“ถ้างั้นเราไปตามหาบ้านหลังนั้นกัน” เอ่ยจบ ชายหนุ่มก็พาเธอเดินกลับมายังกำแพงไม้เลื้อย เขาหยุดยืนพิจารณากำแพงสีเขียวครึ้มตรงหน้าไม่นาน ก่อนหันมาสบตาเธอ “ในเมื่อคุณยอมเล่าเรื่องตัวเองให้ฟัง ผมก็จะยอมให้คุณได้รู้เช่นกัน ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ใช่คนร้าย ผมเดินทางมาถึงนี่เพราะได้ยินเสียงจากศพในดินขอร้องให้มา”

หลังคำยืนยันแน่นหนัก ปัถวียกฝ่ามือขึ้นกางหน้ากำแพงสีเขียว เสี้ยววินาทีถัดมากำแพงปูนหนาซึ่งมีเถาไม้รกทึบก็แปรสภาพประหนึ่งมีชีวิต เถาไม้เลื้อยลดเคลื่อนหาย แหวกกำแพงออกเป็นช่องว่าง เผยให้ได้เห็นสิ่งที่ซ่อนกายอยู่ทางด้านหลัง มันคือทางเดินตัดผ่านเนินหญ้าสีเขียวสู่บ้านกึ่งไม้กึ่งปูนหลังหนึ่ง ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ท่ามกลางรัตติกาลสีดำ เหมือนฝันยืนตะลึงค้าง มองสิ่งเหนือธรรมชาติตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา

“คุณทำได้ยังไง”

“ไม่ต่างจากคุณฝันเห็นศพหรอก พลังอำนาจของผมส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับธาตุดิน ทั้งต้นไม้และกำแพงพวกนี้ รวมถึงศพที่ถูกฝังอยู่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของผืนดิน ทำให้ผมสามารถบังคับและรับรู้การมีอยู่ของมันได้” คำตอบของปัถวีสร้างความตะลึงแก่หญิงสาว แต่เธอก็ไม่มีเวลาคิดมากนัก เมื่อชายหนุ่มถือวิสาสะคว้ามือเธอไปกุมหน้าตาเฉย “ไปเถอะ ไปพิสูจน์กันว่าความฝันของคุณเป็นเรื่องจริงรึเปล่า”

ครั้งนี้เหมือนฝันไม่คิดปฏิเสธ ความหวาดกลัวที่กำลังจะเผชิญกับสิ่งไม่รู้ ทำให้เธอเลือกจะไว้วางใจชายแปลกหน้า

อย่างน้อยสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว



บรรยากาศรอบกายให้ความรู้สึกวิเวกวังเวงยิ่งกว่าตอนเธอเดินทางมากับเพื่อนทั้งห้า มือของเหมือนฝันเย็นเฉียบจนคนเดินนำหน้ารู้สึก

“ใจเย็นๆคุณ คงไม่มีอะไรหรอก” ปัถวีปลอบทั้งที่เขาเองก็รับรู้ถึงบรรยากาศอึดอัดอวลไออยู่รายรอบกาย

เขากวาดตาสำรวจ สัญชาตญาณระแวงภัยพร้อมทำงานเต็มที่ แต่ละย่างก้าวหลังจากเดินพ้นประตูหน้าบ้านมาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ปัถวีเห็นป้ายชื่อบ้านปรารถนาปรากฏเด่นอยู่ตรงทางเข้าเมื่อสักครู่ อุปาทานรึเปล่าก็สุดรู้เมื่อเขาเห็นป้ายมีสีแดงคล้ำประหนึ่งอาบด้วยเลือด ไม่นานทั้งสองก็เดินมาหยุดอยู่ตรงโถงใหญ่กลางบ้าน เขามองเห็นบานประตูสองบานปิดสนิท แต่ดูเหมือนฝันจะไม่สนใจบานประตูทั้งสอง เธอชี้ไปที่ทางเชื่อมสู่ชั้นใต้ดินเบื้องล่าง

“ห้องแห่งดินอยู่ข้างล่างค่ะ เราต้องลงไป” เธอบอกด้วยน้ำเสียงสั่น บ่งบอกชัดว่าเจ้าตัวกำลังรวบรวมแรงกาย ควบคุมจิตใจตนเองให้เข้มแข็งอยู่

ปัถวียิ้มปลอบเธอนิดหนึ่ง เขายกหลังมือบอบบางมาตบเบาๆอย่างให้กำลังใจ

“คุณจะรอผมอยู่ตรงนี้ก็ได้นะ”

“ไม่ค่ะ” เหมือนฝันปฏิเสธทันที คว้ามือหนาซึ่งกำลังจะปล่อยมือเธอมากุมมั่น ด้วยเขาเป็นที่พึ่งเดียวที่มีอยู่ตอนนี้ “ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เหมือนมีใครกำลังจ้องมองอยู่ ขอไปด้วยกันได้ไหม”

ชายหนุ่มมองแววตาหวาดหวั่นของเธออย่างชั่งใจ แต่จากประสาทสัมผัสนับตั้งแต่เหยียบย่างผ่านบานประตูเข้ามา ทำให้เขาตัดสินใจบอกความจริง

“บ้านหลังนี้มีชีวิต มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง” คำพูดของปัถวีพาขนคอเธอลุกชันในทันที

“อะไรนะคะ” หญิงสาวเขยิบกายเข้าใกล้เขาอีกหน่อย ลมหายใจสะดุดเป็นห้วงๆ จนต้องใช้มืออีกข้างยึดแขนเสื้ออีกฝ่ายมั่น

“ผมคิดว่าคุณคงพอสัมผัสได้บ้าง พวกเรากำลังถูกจับตามองอยู่ ยังไงก็ระวังตัวด้วย” เขาเตือนเธอ แล้วจับจูงคนตัวเล็กกว่าเดินตามหลังสู่ทางเดินลาดยาว

เวลานี้เหมือนฝันเลิกเหนียมอาย เกาะติดชายหนุ่มแจ มือข้างหนึ่งของเธออยู่ในอุ้งมือหนาอุ่น ขณะมืออีกข้างกำเสื้อแจ็กเกตเขาแน่น ด้วยกลัวตัวเองจะพลัดหลงหรือโดนแยกห่างจากเขา เธอระมัดระวังตัวมากกว่าครั้งแรกตอนมาพร้อมเพื่อนๆ

“ทางนี้ค่ะ” เหมือนฝันชี้ไปยังทางลาดด้านซ้ายเมื่อทั้งสองหยุดยืนอยู่ตรงโถงเล็กกลางทางลาด

“แล้วด้านโน้นคืออะไร”

“ไม่ทราบสิคะ ฉันไม่เคยเดินลงไป”

ขาดคำของหญิงสาว ปัถวีก็จูงเธอเดินลงไปตามทางลาดด้านขวา เห็นประตูบานโตเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงสุดปลายทางลาด ชายหนุ่มกวาดตาสำรวจบานประตูคร่าวๆ ไม่พบสิ่งใดน่าสนใจนัก จึงชวนหญิงสาวเดินย้อนกลับ

“กลับไปหาห้องแห่งดินดีกว่า” สังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าไม่ควรเข้าใกล้ประตูบานนี้

ไม่นานปัถวีก็เดินนำเธอกลับมายังทางลาดด้านซ้าย ลึกลงไปในชั้นใต้ดิน ที่สุดแล้วเขาพบประตูดินบานหนึ่งตรงสุดปลายทางลาด มันดูใหญ่โตกว่าบานประตูเมื่อสักครู่มาก ทั้งบานทำจากดินแดงสีคล้ำ ดูเทอะทะและหนาหนัก

“ห้องแห่งดิน” ปัถวีพึมพำ แหงนมองประตูบานใหญ่ เห็นป้ายชื่อห้องเขียนด้วยลายมือหวัดๆ กดลึกลงไปในเนื้อดินบนบานประตู

เขาลองยกมือทาบลงตรงกึ่งกลางบานประตู เพียงสัมผัสเบาๆ มันก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มหันหน้ามามองคนข้างกาย เห็นดวงตาสีน้ำตาลปรากฏรอยไหวระริก ท่าทีของเหมือนฝันดูหวาดกลัว แต่ไม่ได้ก้าวถอยหนี หญิงสาวใช้เวลาทำใจอยู่ครู่จึงพยักหน้าให้เขาทีหนึ่ง เป็นสัญญาณว่าพร้อมเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังบานประตู

เลยลึกเข้าไปภายในห้องแห่งดิน แสงไฟจากโถงทางเดินสาดส่องเข้ามาพอให้มองเห็นสภาพโล่งๆของห้องขนาดไม่ใหญ่ ทั้งพื้น ผนังห้อง และเพดาล้วนก่อขึ้นจากดินแดง ทุกอย่างภายในห้องแทบไม่ผิดเพี้ยนไปจากภาพในความฝันเลย ห้องนี้แน่นอนที่เธอเห็นในความฝัน

“เธอถูกฝังอยู่ในนี้แน่ค่ะ” เหมือนฝันบอกเขาขณะเงยหน้าสานสบดวงตาคม ทำให้เขาเห็นแววตื่นๆปรากฏอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวย

“คุณแน่ใจนะ”

“ค่ะ ฉันเห็นห้องนี้ในความฝัน ศพนั่นน่าจะถูกฝังอยู่ใต้ดินนี้” เอ่ยจบ หญิงสาวก็ก้มลงมองพื้น

พื้นดินแห้งสีคล้ำดูค่อนข้างร่วน แต่เธอมองหาอุปกรณ์การขุดไม่พบ แล้วแบบนี้เธอจะเอาศพขึ้นมาได้อย่างไร

เหมือนปัถวีจะอ่านความคิดของหญิงสาวออก เขาหันมาบอกเธอด้วยน้ำเสียงนิ่ง แต่ดวงตาคมฉายรอยลึกล้ำ ยากจะอ่านความนัย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมจัดการเอง คุณถอยไปยืนอยู่ตรงมุมห้องก่อน”

เหมือนฝันไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร แต่เธอก็ยอมถอยห่างจากเขาไปหยุดตรงมุมผนังด้านในสุด เห็นชายหนุ่มเดินสำรวจไปรอบๆ ก่อนหยุดยืนอยู่กึ่งกลางห้อง แยกเท้าทั้งสองออกกว้างกว่าปกติเล็กน้อย จากนั้นก็บดส้นเท้าลงกับพื้นดินคล้ายเตรียมพร้อมรับสถานการณ์บางอย่าง

ทันใดนั้นเหมือนฝันรู้สึกเหมือนมีกระแสพลังงานบางอย่างไหลวนออกมาจากร่างของชายตรงหน้า มันเป็นพลังงานซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสได้จากความรู้สึก กระแสพลังงานนั้นหมุนวนจากฝ่ามือทั้งสองข้างกระแทกลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับรอยแตกเป็นทาง จากจุดที่ปัถวียืนอยู่ไล่มาถึงมุมห้องทั้งสี่ทิศ หัวใจของเหมือนฝันเต้นแรง เพิ่งรับรู้ถึงพลังมหาศาลของอีกฝ่าย ผู้ชายคนนี้ทำอะไรได้บ้างนะ

ช่วงจังหวะหนึ่ง หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัวชายหนุ่มแปลกหน้าโดยไม่รู้สาเหตุ แต่เธอในตอนนี้คงจนหนทางเกินกว่าจะถอยหนี สองตาของเหมือนฝันเบิกโตเมื่อเห็นปัถวีพลิกฝ่ามือตนเองหงายขึ้น จังหวะนั้นผืนดินตรงหน้าเขาแยกห่างจากกันพร้อมๆกับอะไรบางอย่างลอยขึ้นมา

หญิงสาวยกมือปิดปากกลั้นเสียงกรีดร้องของตัวเอง ดวงตาเบิกค้างยามเห็นบางสิ่งลอยขึ้นจากผืนดินเบื้องล่าง

ศพ! ตรงหน้าคือศพของผู้หญิงในความฝัน ทว่าคืนนี้ทุกอย่างกลายเป็นความจริงอันน่าสยดสยอง ร่างของศพบวมฉึ่ง เป็นสีคล้ำจัด ผิวหนังหลายส่วนนอกร่มผ้าหลุดหายไปจนสังเกตเห็นส่วนด้านใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้า เนื้อเยื่อหลุดหายเกือบหมด มองเห็นกระดูกหน้าผากและโหนกแก้มชัดตา ยิ่งบวกกับดวงตาถลนออกมานอกเบ้า ยิ่งสร้างความสลดสยองแก่คนขวัญอ่อนเป็นอย่างมาก

แข้งขาของเหมือนฝันสั่นจนเธอจำต้องทรุดกายลงนั่งบนพื้น ลมหายใจสะดุด รู้สึกคล้ายอากาศภายในห้องลดต่ำลง กอปรกับกลิ่นเน่าเหม็นโชยออกมาจากศพ ยิ่งทำให้เธอแทบอยากจะเป็นลม

ปัง! ช่วงจังหวะกำลังสั่นผวา จู่ๆบานประตูก็ปิดเอง แสงสว่างจากโถงทางเดินดับวูบเมื่อภายในห้องไม่มีไฟบนเพดาน ทุกอย่างพลันมืดสนิท สร้างความตระหนกแก่เหมือนฝันมากกว่าเดิม หญิงสาวแทบจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง แต่ร่างกายเอาแต่สั่นเทาเกินระงับ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดจากริมฝีปากบาง แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีมืออุ่นจัดวางลงมาบนท่อนแขน แต่เสียงอบอุ่นที่ตามมาระงับความตระหนกได้ชะงัด

“คุณ ผมเอง เป็นอะไรรึเปล่า”

เป็นสิ ทำไมจะไม่เป็น เหมือนฝันอยากจะตอบ แต่ลำคอแห้งผาก ไร้สรรพเสียงใดเล็ดลอด เธอพยุงตัวขึ้นตามแรงฉุดของปัถวี เผลอกระเถิบตัวเข้าใกล้ความอบอุ่นข้างกาย รับรู้ถึงอุ้งมือใหญ่บีบกระชับลงมาบนมือเธอครั้งหนึ่ง ก่อนคลายออกเล็กน้อย ไม่นานแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็สว่าง พลอยให้หญิงสาวได้สติ หยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองมาใช้แทนไฟฉาย เหมือนฝันสาดไฟสำรวจโดยรอบห้องอย่างกล้าๆกลัวๆ เห็นศพวางเด่นอยู่กลางพื้น ตัวศพไม่มีผ้าคลุม จึงสามารถมองเห็นรายละเอียดทุกส่วนชัดตา ถัดไปคือบานประตูปิดสนิท

“ไม่เป็นไร คนตายแล้วทำอะไรเราไม่ได้หรอก”

คำปลอบของปัถวีไม่ได้ช่วยคลายความหวาดผวาในใจเลย เหมือนฝันยังสั่นและผวากับเหตุการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญหน้าอยู่

“ระ...เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ”

“ไปสิ” ฝ่ามืออุ่นจัดเลื่อนมากุมมือข้างหนึ่งของเธอ พาเดินอ้อมร่างศพมาถึงบานประตู ชายหนุ่มใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือสำรวจประตูบานนั้นอยู่นานพักใหญ่ พยายามดึงบานประตูง้างออก แต่นิ้วก็ไม่อาจลอดผ่านเข้าไปในช่องว่างของประตูกับวงกบได้

“เปิดไม่ได้เหรอคะ” เธอถามอีกฝ่ายอย่างหวั่นใจ มองไม่เห็นลูกบิดหรือตัวจับบนประตูบานใหญ่เลย

“คงต้องใช้แรงมากกว่านี้ คุณถอยไปก่อน”

เหมือนฝันกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ รู้สึกไม่อยากถอยห่างจากเขาเท่าไร แน่ละ ขืนถอยไปไกล เธอก็ต้องชนกับร่างไร้ชีวิตตรงกลางห้องแน่ แต่คำสั่งของปัถวีไม่ใช่สิ่งควรละเลย เมื่อรอบกายเขาเริ่มมีกระแสพลังงานก่อตัว หญิงสาวก้าวถอยหลังออกมาหน่อย พลังงานนั้นก่อตัวรวมกันแล้วพุ่งตรงไปยังบานประตู เสียงครืนครั่นดังลั่นไปทั่วห้อง เธอเห็นบานประตูถูกง้างเปิดออกทั้งที่เขาไม่ได้ผลัก เศษฝุ่นดินทรายปลิวว่อนจนต้องหยีตา และแสงไฟจากโถงด้านนอกลอดผ่านเข้ามาในห้องพอให้เริ่มมองเห็นรำไร

ปัง!! ประตูดินบานหนากระแทกปิดกลับเข้าที่เดิมหลังจากปัถวีง้างมันออกได้เพียงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่กำยำทรุดกายลงนั่งกับพื้นห้อง

“คุณ เป็นอะไรรึเปล่า” หญิงสาวถลาเข้าไปหาเงาตะคุ่มตรงหน้า

ความร้อนจัดแนบลงมาบนท่อนแขนนวล เสียงหอบหายใจของอีกฝ่ายดังชัดขณะฝ่ามือเธอบังเอิญสัมผัสถูกใบหน้าชุ่มเหงื่อ

“ไม่เป็นไร แค่ใช้พลังมากเกินไป” น้ำเสียงเหนื่อยหอบของเขาทำหญิงสาวหวั่นใจอีก

มากเกินไป แต่ยังเปิดประตูไม่ออก แล้วแบบนี้เธอกับเขาจะออกจากห้องนี้ได้อย่างไร

“แล้วเราควรทำยังไงดี เราสองคนถูกขังอยู่ที่นี่เหรอ” น้ำเสียงของเหมือนฝันบ่งบอกความหวาดกลัวชัดเจน

“ไม่หรอก เดี๋ยวผมจะลองใหม่ มันต้องมีหนทางสิ”

ปัถวีพยุงกายลุกขึ้นโดยมีสองแขนบอบบางคอยช่วยประคอง แต่เรี่ยวแรงจากร่างระหงดูน้อยนิดนักเมื่อเทียบกับเรือนร่างใหญ่โตอย่างเขา ดังนั้นเพียงแค่แรงสั่นสะเทือนเบาๆก็ทำเอาทั้งสองคนเซถลา ล้มลงกองกับพื้นอีกครั้ง โดยร่างของเหมือนฝันเสียหลักล้มทับอยู่บนตักของผู้ชายตัวโต

ครืน...ครืน... สถานการณ์ตรงหน้าเลวร้ายเกินกว่าเหมือนฝันจะทันสนใจสภาพของตนเอง เมื่อแรงสั่นสะเทือนไม่ได้เกิดจากบริเวณพื้นห้อง แต่มันคือผนังทั้งสี่ด้านกำลังหดเข้าใกล้ ร่างของสองหนุ่มสาวถูกดันเข้าสู่ใจกลางห้องอันเป็นที่ตั้งของศพ

“ทะ...ทำยังไงกันดี” น้ำเสียงของหญิงสาวสั่น ตื่นตระหนกเต็มที่

“หาทางออกไปจากที่นี่กัน” ปัถวีพยุงตัวเองและหญิงสาวขึ้นจากพื้น แขนข้างหนึ่งโอบลงบนเอวบาง คล้ายต้องการบอกเธออย่างเป็นนัยว่าเขาปกป้องเธอได้

ทว่าผนังที่กำลังหดตัวเข้ามาหาทุกขณะทำให้หัวใจเธอสั่นระรัวหวาดหวั่น ยามนี้ร่างของทั้งสองโดนดันมาจนชิดเกือบจะถึงกึ่งกลางห้องซึ่งมีผนังด้านอื่นกำลังบีบเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นหญิงสาวก็รับรู้ถึงกระแสพลังงานไหลวนออกมาจากร่างของปัถวี แรกทีเดียวกระแสพลังงานนี้เกือบจะพัดเธอปลิว แต่เพราะอ้อมแขนแข็งแรงโอบลงมารอบเอวบางทำให้ตลอดทั้งเรือนร่างของเธอแนบชิดไปกับเรือนกายแกร่งกำยำ ร่างของปัถวีร้อนผ่าวราวจับไข้ แต่เหมือนฝันเลือกจะกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย รู้จากสัญชาตญาณว่าตัวเธอจะรอดหากอยู่กับเขา

เสียงครืนครั่นดังระงมลั่นอยู่ในหู ชั่วขณะของความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ เหมือนฝันมองไม่เห็นบานประตูของห้องแห่งดินอีก ความจริงเธอมองไม่เห็นผนังห้องทั้งสี่แล้วต่างหาก เมื่อผนังห้องและเพดานกลับกลายสภาพเป็นกองดินร่วน ไหลลงมาทับคนทั้งสอง แต่พลันร่างของเหมือนฝันก็ลอยสูงจากพื้นด้วยพละกำลังมหาศาลจากชายหนุ่มข้างกาย

“เร็ว! ขึ้นไป” หลังคำสั่ง หญิงสาวแหงนหน้ามองเพดาน เศษฝุ่นดินปลิวตกลงมาทำให้ต้องหยีตา แต่ก็สังเกตเห็นได้ว่ายามนี้เหนือศีรษะเธอไม่ใช่เพดานห้องอีกต่อไป แต่มันมีลักษณะคล้ายโพรงดินร่วนๆ มองผ่านรอยแยกของโพรงดินไปคือท้องฟ้ายามราตรีประดับดวงดาวนับล้านดวง

ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีกแล้ว หญิงสาวตะกายพาตนเองขึ้นสู่ด้านบนอย่างทุลักทุเล โดยมีแขนกำยำคอยช่วยส่งจากด้านล่าง ไม่นานเธอก็คลานออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ได้สำเร็จ พร้อมกับชายหนุ่มปีนตามมาสมทบ

เหมือนฝันนั่งโก่งคออาเจียนจนตัวงอเพราะสำลักฝุ่นดินที่หายใจและกลืนลงท้อง กลิ่นดินและหญ้าลอยกรุ่นอวลอยู่ในโพรงจมูกและปากจนแสบไปหมดทั้งลำคอ สายลมเย็นยามดึกโชยผ่านตอนเงยหน้ามองรอบกายอีกครั้ง เธอพบว่าตนเองอยู่กลางทุ่งหญ้าสูง มีแสงไฟจากอาคารและเครื่องเล่นของสวนสนุกส่องสว่างมาจากทางด้านหลัง แต่ในรัศมีอันใกล้รอบกายกลับไม่ปรากฏบ้านปรารถนา ราวกับบ้านหลังนั้นเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย



ทุกอย่างเป็นความฝันรึเปล่า นั่นคือคำถามแรกในใจเหมือนฝันหลังจากลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือเพดานรถยนต์คันหนึ่ง ฝ่ามือบางยกกุมขมับขณะพยายามชันตัวลุกจากเบาะ

“ใจเย็นๆคุณ เดี๋ยวก็เป็นลมไปอีกรอบหรอก” น้ำเสียงดุๆแต่แฝงรอยอบอุ่นบอกเธอ พร้อมฝ่ามือหนาตรงเข้ากดหัวไหล่มนไม่ให้ลุก

เหมือนฝันกะพริบตาอีกหลายครั้ง ฝุ่นผงซึ่งยังติดอยู่ในดวงตาทำให้เกิดระคายเคืองจนต้องหยีตามอง แล้วเธอก็รับรู้ในทันทีว่าทุกอย่างไม่ใช่ฝัน เมื่อภาพดวงหน้าคมเข้มของชายแปลกหน้ากำลังชะโงกลงใกล้เธอ

“เคืองตาเหรอ ล้างหน้าหน่อยไหม”

หญิงสาวพยักหน้าตอบรับความเอื้ออาทร เขาประคองเธอขึ้นนั่ง โดยให้ทิ้งขาทั้งสองข้างออกมานอกรถแล้วยื่นขวดน้ำเปล่ามาตรงหน้า

“ล้างมือก่อนค่อยล้างหน้า” ปัถวีคว้าสองมือบางมาเทน้ำราด ใช้นิ้วหัวแม่โป้งตนคลึงลงบนฝ่ามือเพื่อถูคราบดินทราย ชายหนุ่มรอจนกระทั่งอีกฝ่ายกลับมามีสติสมบูรณ์เต็มร้อย จึงยื่นน้ำขวดใหญ่ให้เธอล้างหน้า ตามด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาว “ผ้าของผมเอง ยังไม่ได้ใช้ รับรองสะอาด”

เหมือนฝันพึมพำขอบคุณเบาๆ นาทีนี้เธอไม่นึกรังเกียจความสกปรกใดแล้ว เมื่อทั้งเนื้อตัวเปรอะไปด้วยคราบโคลนและฝุ่นดิน หญิงสาวยกผ้าขนหนูซับน้ำบนใบหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆจากผืนผ้าขาวกรุ่นติดปลายจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่เธอสัมผัสได้ยามอยู่ใกล้ชายหนุ่ม เธอหันมองใบหน้าคมสันของคนกำลังนั่งยองๆอยู่ข้างกายพลางลำดับความคิด

“นี่ฉันฝันไปรึเปล่าคะ”

ปัถวียิ้มกับคำถามของหญิงสาว รู้ดีว่าเธออาจไม่พร้อมยอมรับความเป็นจริงก่อนหน้า แต่เขาก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรกับการหลีกหนีความจริง

“คุณก็รู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน”

“แล้วฉันกลับมาอยู่ในรถตัวเองได้ยังไงคะ คุณอุ้มฉันกลับมาเหรอ”

“ครับ หลังจากเราหนีออกมาจากห้องได้ คุณก็เป็นลมอยู่ตรงนั้น ผมเลยพาคุณมาส่ง”

“คุณหารถฉันเจอได้ยังไงกัน”

“กุญแจรถอยู่ในกระเป๋าสะพายนี่นา ผมลองรื้อดูเลยเจอ แล้วตีหนึ่งกว่าอย่างนี้ ลานจอดรถของสวนสนุกก็แทบไม่เหลือรถคันไหนแล้ว”

หลังคำตอบของปัถวี เหมือนฝันจึงเพิ่งเห็นว่าตนเองยังสะพายกระเป๋าติดกาย โชคดีว่าค่ำนี้เธอดึงกระเป๋ามาสะพายแล่งไว้ ทำให้ข้าวของทั้งหมดไม่หล่นหายตอนตาลีตาเหลือกหนีออกมาจากห้องแห่งดิน

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยพามาส่ง แล้วรถของคุณล่ะ” เธอถามขณะกวาดตามองรอบๆลานจอดรถ เห็นรถยนต์จอดนิ่งสนิทอยู่เพียงแค่สองสามคันเท่านั้น

ทว่าพาหนะคันใกล้รถของเธอมากที่สุดกลับเป็นมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่แบบบิกไบค์สีดำตัดเงิน

“ครับ นั่นแหละรถของผม” ปัถวีตอบเมื่อเห็นสายตาของหญิงสาวหยุดลงตรงรถมอเตอร์ไซค์ของเขา จากนั้นสายตาคมก็วกกลับมาสำรวจดวงหน้ารูปไข่ที่ยังเผือดซีด “คุณสบายดีแล้วใช่ไหม เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

“ไม่ค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร” ตอบจบ คนพูดก็มือไม้สั่น

เหมือนฝันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม เพราะเมื่อฟื้นคืนสติ เธอคิดว่าตนเองหายกลัวแล้วแท้ๆ แต่พอนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ตอนโดนขังอยู่ในห้องแห่งดินอีก ร่างกายเธอก็สั่นขึ้นมาเองอย่างห้ามไม่อยู่

คล้ายอีกฝ่ายจะเดาความคิดเหมือนฝันออก ฝ่ามืออุ่นเอื้อมมาลูบผมยาวฟูๆของเธอให้เข้าที่ แล้วเลยมาใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบดินตรงข้างแก้มออก จากนั้นเขาก็กอบสองมือบางอันเย็นชื้นไปกุมไว้ให้ความอบอุ่น ขณะนั่งยองๆลงนอกรถตรงหน้าเธอ

“ครับ คุณไม่เป็นไร เราปลอดภัยแล้วนะรู้ไหม”

“ละ...แล้วศพของผู้หญิงคนนั้นล่ะคะ”

“ผมเอาขึ้นมาไว้บนทุ่งหญ้าด้านหลังสวนสนุกแล้ว คิดว่าอีกไม่นานคงมีคนพบเธอ”

“คุณแจ้งความแล้วเหรอคะ”

เห็นได้ชัดว่าดวงตาคมของคนตรงหน้าไหววูบกับคำถามเธอ ปัถวีนิ่งไปนิดแล้วเอ่ย

“ถ้าผมบอกว่ายัง และไม่อยากแจ้งความ คุณจะคิดยังไง”

“ฉัน...” เหมือนฝันไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้ หญิงสาวเหลือบตามองออกไปยังแสงสว่างจากเสาไฟริมทาง “เธอน่าจะได้กลับไปหาครอบครัว” หญิงสาวบอกความกังวลใจในส่วนของตัวเองให้ปัถวีฟัง ทำให้นึกถึงลุงพัทธ์ขึ้นมาทันที

แต่ปัถวีกลับค้านก่อนเธอจะทันพูดต่อ

“พรุ่งนี้คงมีคนมาพบศพอยู่แล้ว บริเวณนั้นไม่ได้ห่างไกลบ้านคนนัก ผมคิดว่าน่าจะให้คนอื่นเป็นคนพบศพมากกว่าเราสองคน เพราะไม่รู้จะอธิบายเรื่องของเราสองคนกับตำรวจว่าอย่างไร”

“เรื่องความสามารถของคุณกับฉัน แล้วก็บ้านปรารถนาน่ะเหรอคะ” เหมือนฝันถามแล้วนึกเรื่องสำคัญอีกอย่างออก “ตรงทุ่งนั้นไม่มีบ้านปรารถนาแล้วใช่ไหม มันหายไปไหนแล้ว”

“ผมไม่รู้” คำถามนี้ ปัถวีตอบหญิงสาวไม่ได้เช่นกัน ชายหนุ่มมองเธอนิ่งแล้วจึงถอนหายใจ “ถ้าเรื่องในคืนนี้เป็นสิ่งเหลือเชื่อสำหรับคุณ ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก ถึงชีวิตผมจะคุ้นเคยกับพลังอำนาจมากกว่าคนทั่วไป แต่โดยปกติผมใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาเหมือนคุณนั่นแหละ”

“ขอโทษค่ะ ฉันกำลังสับสน แล้วก็ต้องการคำตอบในหลายๆอย่าง” หญิงสาวว่าพลางดึงมือออกจากอุ้งมือเขา ยกมือข้างนั้นขึ้นกุมขมับที่กำลังปวดหนึบ

“ผมเข้าใจ แต่ก็คงให้คำตอบอะไรคุณไม่ได้มากนักหรอก ผมตามมาถึงที่นี่เพราะได้ยินเสียงศพจากใต้ดินร้องเรียกมาเท่านั้นจริงๆ” เขาบอกอย่างเสียใจ มองสีหน้าซึ่งเริ่มกลับมามีสีเลือดขณะกล่าวต่อ “ถ้าคุณดีขึ้นแล้ว เราควรออกจากตรงนี้กันดีกว่า”

หลังคำชักชวน หญิงสาวเพิ่งมีโอกาสกวาดตามองความวิเวกรอบกาย แม้ตอนนี้บริเวณลานจอดรถจะมีแสงจากเสาไฟฟ้าส่องให้ความสว่าง แต่ห่างออกไปไม่ไกลนักคือความทะมึนของสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่

สวนสนุกตอนปิดไฟเกือบหมดให้ความรู้สึกขนลุกขนพองเพียงนี้เชียว

“ค่ะ เราควรกลับบ้านกันเสียที” เหมือนฝันเลือกทำตามคำแนะนำของชายแปลกหน้าอย่างปัถวี เธอคิดว่าปล่อยเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจในท้องที่น่าจะดีกว่า จึงตัดสินใจไม่โทร.บอกลุงพัทธ์

“บ้านคุณอยู่กรุงเทพฯใช่ไหม แถวไหนเหรอ”

หญิงสาวชั่งใจกับคำถามของชายหนุ่มอยู่เพียงไม่นาน เธอก็ยอมบอกตำแหน่งที่ตั้งของบ้านตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง แล้วต้องแปลกใจเมื่อได้ยินประโยคต่อมา

“เดี๋ยวผมขับรถไปเป็นเพื่อน”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันสบายดีแล้ว”

“แต่มือคุณยังสั่นอยู่เลย” ปัถวีพยักพเยิดไปยังสองมือบางซึ่งยังไม่หายจากอาการสั่น

เธอเลยได้แต่ส่งยิ้มซีดเซียวให้ ไม่กล้าปฏิเสธความหวังดีของเขา



บิกไบค์สีดำตัดเงินคันโตที่ขับตีคู่มากับรถยนต์ของเธอตลอดทาง ให้ความรู้สึกปลอดภัยและลดอัตราการเต้นของหัวใจจนกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ แต่กระนั้นเหมือนฝันก็ยังรู้สึกไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้าจนขนาดยอมให้อีกฝ่ายขับรถตามไปส่งถึงบ้าน ดังนั้นหลังจากขับรถออกจากสวนสนุกเข้ากรุงเทพฯมาจนถึงถนนใหญ่ห่างจากบ้านเธอไปไม่ไกล หญิงสาวก็เปิดไฟกะพริบ เลี้ยวเข้าไปจอดยังร้านฟาสต์ฟูดริมถนนซึ่งเปิดไฟสว่าง ให้บริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

หลังจากดับเครื่องยนต์และก้าวลงจากรถ เธอเห็นมอเตอร์ไซค์คันโตเลี้ยวเข้ามาจอดในลานจอดรถห่างไปไม่ไกล หญิงสาวเรียกกำลังใจให้ตัวเองแวบหนึ่ง จึงเดินเข้าไปหาคนกำลังถอดหมวกกันน็อกออก ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มดูดีกว่าตอนอยู่หน้าสวนสนุกมาก

“ฉันคิดว่าคุณมาส่งแค่นี้ก็พอค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับทุกอย่างในคืนนี้”

“คุณขับรถกลับบ้านเองคนเดียวได้เหรอ”

“ได้ค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอบอกขณะยกสองมือประสานกันแน่น

ท่าทีของเหมือนฝันยังฉายแวววิตกในสายตาเขาอยู่มาก แต่ดูจากท่าทีของเธอแล้ว ปัถวีค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาตามไปส่งถึงบ้าน ดวงตาคมหรี่มองผู้หญิงตรงหน้าอย่างสงสัย

“เหมือนฝัน คุณกำลังกลัวผมอยู่รึเปล่า”

“เปล่านะคะ” สีหน้าของเธอฉายแววตระหนก เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ฉันแค่...เอ่อ...แค่...”

ปัถวีมองท่าทีอึกอักด้วยแววตาอ่อนโยน คาดเดาความรู้สึกเธอออกทันที

“ไม่เป็นไร ผมพอเข้าใจว่าคุณคงไม่อยากไว้ใจผู้ชายประหลาดๆอย่างผมนัก”

คำพูดของเขาพาใบหน้ารูปไข่สลด ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจดวงน้อย

“ขอโทษนะคะ ทั้งที่คุณช่วยชีวิตฉันไว้แท้ๆ” เธอกล่าวเสียงอ่อย รับรู้ถึงแรงเขยิบของผู้ชายตัวโตก้าวเข้าใกล้

“ไม่เป็นไร ถ้าคุณยืนยันว่าตัวเองสบายดี ส่งแค่นี้ก็ได้” น้ำเสียงของปัถวีฟังดูอบอุ่นอ่อนโยน ชวนให้คิดว่าเธอหวาดระแวงมากเกินไปรึเปล่า

นั่นสิ ถ้าเขาเป็นคนร้าย ขณะเธอหมดสติไปเป็นนานสองนาน คงไม่รอดชีวิตกลับมา

“ขอบคุณจริงๆนะคะสำหรับคืนนี้” หญิงสาวไม่รู้จะกล่าวคำอื่นใดได้ดีไปกว่านี้แล้ว

“แล้วถ้าเปลี่ยนคำขอบคุณเป็นเบอร์โทรศัพท์คุณแทนจะได้ไหม”

หลังคำถาม หญิงสาวเงยหน้ามองอีกฝ่าย เห็นดวงหน้าคมสันกำลังก้มมองอยู่ แววตาสีนิลลึกล้ำจดจ้องเธออย่างตรงไปตรงมา พาให้ยากเกินกว่าจะเอ่ยปฏิเสธ เหมือนฝันรับโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มมากดหมายเลขตนเองลงไป ไม่นานเสียงเพลงเรียกเข้าก็ดังมาจากกระเป๋า หญิงสาวหยิบโทรศัพท์สีดำรุ่นเก่าขึ้นกดตัดสาย แล้วจัดแจงบันทึกเบอร์โทร.ของอีกฝ่ายลงในเครื่อง

ปัถวีมองการกระทำของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าพอใจ

“ถ้าฝันร้ายอีก โทร.บอกผมได้นะ” น้ำเสียงทุ้มพึมพำอยู่เหนือศีรษะเธอไม่ไกล

“แต่ฉันหวังว่าจะไม่ฝันถึงเรื่องน่ากลัวแบบนี้อีกนะคะ” เธอบอกอย่างจริงใจ พลอยให้อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆกับคำพูดอย่างตรงไปตรงมา

“นั่นสินะ คงไม่สนุกนักกับความฝันน่ากลัวแบบนี้” ชายหนุ่มแตะมือลงเบาๆแถวติ่งหูข้างซ้ายของเธอ ก่อนปลายนิ้วเรียวจะลูบเลื่อยไปตามเครื่องรางชิ้นสำคัญที่ใส่ติดหู แล้วไล้เลยมาถึงข้างแก้ม แถวๆบริเวณที่เคยเปรอะคราบดิน “แต่ผมหวังว่าเราจะได้พบกันอีก ราตรีสวัสดิ์ครับ”

หลังคำกล่าวลา ความอุ่นซ่านก็แตะลงมาแผ่วเบาบนแก้มนวลแล้วผละออก เหมือนฝันได้แต่ตัวแข็งค้างราวกับก้อนหิน จวบจนกระทั่งเสียงเครื่องมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ดังกระหึ่ม เธอจึงเพิ่งตั้งสติได้ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น หญิงสาวยกสองมือจับแก้มเห่อร้อนจัด สายตามองตามบิกไบค์คันโตแล่นออกจากลานจอดรถสู่ถนนใหญ่ เห็นอีกฝ่ายชูมือโบกลามาให้ น่าเสียดายที่เธอมองไม่เห็นแววตาภายใต้หมวกกันน็อก จึงไม่รู้ว่าปัถวีคิดอะไรหลังจากหอมแก้มเธอ






ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ย. 2557, 08:16:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ย. 2557, 08:16:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1294





<< บทที่ ๓ ดรีมแลนด์แดนหรรษา (ครึ่งแรก)   บทที่ ๔ ผู้ชายอันตราย (๑) >>
ริญจน์ธร 13 ก.ย. 2557, 08:28:00 น.
ตอบคอมเมนต์ค่ะ
คุณ Ketza มาไวชิงตำแหน่งมือวางอันดับหนึ่งกลับไปครองได้แล้ว ตอบก่อนเค้าตอบเมนต์จบอีก สุดยอดจริงๆ

คุณ อสิตา วันนี้จะมาลงไหมพี่เก้า หรือว่ามัวแต่เล่นกับตัวนุ่มอยู่

คุณ บุลินทร จมูกชนจมูกแบบหวานไปแล้ว เรื่องนี้ขอเปลี่ยนแนวบ้างไง 555

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ไม่ใช่ค่ะ คนนี้คือปัถวี เป็นผู้ชายที่กล่าวถึงในฉากแรกตอนบทนำค่ะ คนที่เหมือนฝันเจอที่บ้านครูฤทธิ์จะเป็นอีกคนนะคะ แต่เขาคือใคร สำคัญอย่างไร อีกไม่นานมีเฉลยแน่นอนค่ะ

คุณ patok อยากบอกว่าตอนเขียนคนเขียนเครียดมากกกก เพราะไม่เคยจับแนวนี้แบบเต็มๆเลย แต่คิดว่าเราควรทำอะไรที่ไม่เคยทำบ้าง ก็เลยออกมาเป็นผลงานชิ้นนี้ค่า

คุณ lovemuay เย้ ดีใจที่เห็นคุณ lovemuay ค่า เรื่องนี้ฉีกจากแนวเดิมๆหน่อย ว่าแต่จบบท๓ตอนนี้เริ่มเชียร์ใครเป็นพิเศษรึยังคร้าา

คุณ goldensun อาจารย์ลือฤทธิ์เป็นคนเก่ง แต่บางครั้งก็ไม่สามารถช่วยลูกศิษย์ได้ทุกอย่างค่ะ ตอนนี้เจอศพแล้ว แต่ใครคือคนร้ายน้อออ ต้องติดตามต่อไปนะคร้า

คุณ พันธุ์แตงกวา ตกลงพี่แตงกวาเลือกคนเน้เป็นพระเอกแล้วใช่ม้าาาา หล่อล่ำ แถมท้ายด้วยบิกไบค์ให้ซ้อนท้ายได้ด้วยนะ

คุณ ภาวิน 555 ก็ต้องมีหวานกันบ้าง เหมือนๆกับอ้อมกอดจากเสื้อสูทของวารินั่นแหละ


ketza 13 ก.ย. 2557, 08:52:18 น.
กรี๊ดดดด
มาแว้ววว


อัศวินนภา 13 ก.ย. 2557, 08:59:10 น.
อร๊าย เขิลลลล ถูกหอมแก้ม


ketza 13 ก.ย. 2557, 09:12:52 น.
ว๊าววว
กรี๊ดดดด
คุงวีเก่งงงงง
เท่ค้าาาาา
เริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆแล้วววว คุงวีน่าร๊ากกก แอบหอมแก้มเค้าเฉยเยยย 0;0


ภาวิน 13 ก.ย. 2557, 09:30:56 น.
ตอนนี้ทั้งหวานทั้งตื่นเต้นเบย อัลไลกัน เจอหน้าครั้งแรก คุณวีก็ค่ากำไรเกินควรแระ วาริหึง ฟาดด้วยเสื้อสูท เอณะ ผิดเรื่องรึ 555


ภาวิน 13 ก.ย. 2557, 09:32:07 น.
เอ๊ะ ไม่ใช่เอณะ พิมพ์ผิด


lovemuay 13 ก.ย. 2557, 10:22:16 น.
คุณวีโผล่มาแบบหล่อๆเลยค่ะ เชียร์ให้เป็นพระเอก อิอิ


yimyum 13 ก.ย. 2557, 10:23:41 น.
อ๊าาา เขินแทน 555555


นักอ่านเหนียวหนึบ 13 ก.ย. 2557, 11:59:15 น.
คือออ จะดีใจ เขิล ฟิน หรือหลอน หรือ อัลไลดี!
เห่ยยย เค้าเอาจุมพิตฝันดี มาแทน dream catcher ให้สินะ กิ้วๆๆ


บุลินทร 13 ก.ย. 2557, 12:10:55 น.
ถึงจะหลอนแต่ยังไม่ทิ้งลายเซ็นริญจน์ธรที่หวานๆเลย


nako 13 ก.ย. 2557, 12:30:07 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


ใบบัวน่ารัก 13 ก.ย. 2557, 19:26:24 น.
ว้ายๆๆๆ ถูกหอมแก้ม
เอดไลน์ด้วยนะ ได้เบอร์มาแล้วนิ


พันธุ์แตงกวา 14 ก.ย. 2557, 02:26:32 น.
แอร้ายยยย คุณวีอย่าเพิ่งไป เจ้ก็ยังมือสั่นอยู่ ไม่ใช่เหมือนฝันจะมือสั่นคนเดียวน้า กลับมาก๊อนนนนนน
มีคนมาช่วยศพแล้ว จะได้โยงใยไปถึงตัวฆาตกรแล้วนะ


Pat 14 ก.ย. 2557, 09:38:38 น.
หลอนอ่ะ ดีนะที่ยังตบท้ายด้วยความหวานหน่อยนึง


ผักหวาน 23 ก.ย. 2557, 12:44:27 น.
เค้าปิ๊งหนูฝันรึเปล่าจ๊ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account