ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"
คำนำ
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้
ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"
ตารกา
คำนำ
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้
ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"
ตารกา
Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์
ตอน: สัตว์พันปี : บทที่ ๑ รวมตัวกันอีกครั้ง
สัตว์พันปี : บทที่ ๑ รวมตัวกันอีกครั้ง
‘โชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอ’
แว่นใช้คำนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยซึ้งถึงความหมายของมัน จวบจนกระทั่งประสบอุบัติเหตุวิญญาณทะลุมิติมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นบุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายขวา แว่นรู้สึกหวาดกลัวจับจิต เขารู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนถูกจับมาปล่อยกลางเกาะร้างที่ปราศจากผู้คน แม้ในเวลาต่อมาจะปรับตัวได้ก็ยังรู้สึกแปลกแยก
ในขณะที่กำลังพยายามทำใจยอมรับชะตากรรม เขากลับได้พบว่าเพื่อนสนิทอย่างหน่อมและเจ้ก็หลงมาอยู่ในโลกนี้ด้วยในฐานะองค์หญิงและคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง การได้พบเพื่อนทำให้แว่นเริ่มมีกำลังใจว่าจะได้เจอโบ้ เพื่อนคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันก่อนถูกฟ้าผ่า
เขากับเพื่อนอีกสองคนทุ่มกำลังตามหาโบ้ หมดเปลืองเงินทองไปมากมาย แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยังไม่ได้เบาะแส จนกระทั่งวันนี้ขณะที่เขากับหน่อมถูกมือสังหารไล่ล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โบ้กลับปรากฏกายตรงหน้าในฐานะจอมยุทธ์หญิงแล้วช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ที่ตลกไปกว่านั้นคือยังไม่ข้ามวันดี ทุกคนกลับได้พบกับเจ้ในสถานที่ที่ไม่น่าจะมีผู้คนหลงเข้ามา
เจ้เป็นคณิกาชื่อดัง อยู่ในหอนางโลมชั้นสูงในเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าที่ตัดขาดจากผู้คนภายนอก แต่ถึงจะเป็นไปไม่ได้มันก็เกิดขึ้นแล้ว เจ้ยืนอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ เธอกำลังโผเข้าไปกอดโบ้ เมื่อรู้ความจริงว่าผู้หญิงชุดขาวคนนี้เป็นใคร
“แกไปอยู่ไหนมา รู้ไหมว่าตามหาแทบแย่” เจ้ถามขณะคลายอ้อมแขนออก
โบ้ที่กำลังสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลอาบแก้ม ตอบเสียงเครือกลับมาว่า ‘หุบเขาหิมะ’ ถ้าเดาไม่ผิดหุบเขาที่เอ่ยถึงคือดินแดนทางเหนือสุดของอาณาจักร โบ้อยู่ไกลอย่างนี้เองจึงตามหากันไม่เจอเสียที
“จะร้องไห้สะอึกสะอื้นอะไรนักหนา เจอฉันกับหน่อมไม่เห็นจะดีใจเท่านี้ ลำเอียงรักเพื่อนไม่เท่ากันนี่หว่า”
“ไม่ได้ลำเอียงค่ะ” โบ้สูดจมูกแล้วทำปากยื่น “แค่ผิดหวังจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่”
“ผิดหวังอะไรเหรอ” หน่อมถามด้วยความสนใจ
“ก็ร่างใหม่ของเจ้นี่สิคะ โคตรสวย หนูอุตส่าห์ว่าจะข่มสักหน่อย ดันข่มไม่ลงซะงั้น”
ไป๋หลินเป็นหญิงสาวที่งามเลิศ นางมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเรียวได้รูปดำขลับ คิ้วโค้งรับกับรูปตา จมูกเชิดรั้นน้อยๆ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเป็นธรรมชาติ เรียกว่าเป็นความงามในอุดมคติที่สาวแท้สาวเทียมทั้งหลายเฝ้าฝัน ความงามพิสุทธิ์นี้ถือเป็นที่หนึ่งหากเปรียบเทียบกันในหมู่จอมยุทธ์หญิง แต่พอเอามาประชันกับคณิกาที่งดงามด้วยการปรุงโฉมและจริตมารยาแล้ว กลับไม่สามารถหาตัวผู้ชนะได้
ตอนยังเป็นกะเทยหุ่นล่ำกล้ามโต โบ้เคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าชาติหน้าเมื่อไรจะเกิดใหม่ให้สวยแซ่บ เอาชนิดฆ่าคนให้ตายได้ การได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้จึงไม่ต่างจากการฝันที่เป็นจริง โบ้เลยอยากจะลองสะบัดบ๊อบใส่เจ้ว่าฉันสวยกว่าสักครั้ง
“อิบ้า! ไร้สาระได้ตลอดนะแก มาแต่วิญญาณจริงๆ สินะ ไม่ได้เอาสมองมาด้วย” เจ้เหน็บ
“เจ้พูดผิดแล้ว มันเคยมีสมองที่ไหน” แว่นแก้
“จะพูดอะไรก็พูดไปค่ะ ตอนนี้คนสวยไม่แคร์แล้ว ขอแค่ได้เป็นชะนีหนังหน้าเลิศ จะให้เป็นควายหนูก็ยอม” ว่าแล้วก็เอามือประคองที่หน้าตัวเองพลางโปรยยิ้มหวานหยด สร้างความหมั่นไส้ให้เหลือประมาณ
“แล้วไม่อิจฉาเรากับแว่นบ้างเหรอ เราสองคนก็สวยนะ” หน่อมถามบ้าง
“ไม่หรอกค่ะ หน่อมน่ารัก นิสัยดี คนสวยเลยให้อภัย” พูดเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วก็เบนสายตาไปทางแว่น “ส่วนอิแว่น ไม่รู้จะอิจฉามันไปทำไม หนังหน้าดูดีแต่ดันไม่มีนม เสียชาติเกิดค่ะ”
แว่นเอามือแตะหน้าอกในทันที ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สังเกตสัดส่วนตัวเองเท่าไร พอถูกว่าเลยเปรียบเทียบกับคนอื่นดู แล้วก็พบว่าตัวเองเป็นสาวจอแบนจริงๆ นั่นแหละ
โบ้ยืดตัวอวดอกอึ๋มๆ ของตัวเองเย้ยเพื่อน พลางร้องเพลงไปด้วย
“เอ บี ซี ยกทรงชั้นดีมีมาตรฐาน สวมใส่แล้วเราเบิกบาน เป็นมาตรฐานของเอ บี ซี”
แน่นอนว่าเพลงนี้ต้องมีท่าประกอบ ทุกครั้งที่พูดถึงคัพเอโบ้เป็นต้องชี้มาที่อกแบนๆ ของกุ้ยฮวาทุกที
“หุบปากไปเลยอิชัชชาติ” แว่นแหวกลับ
คราวนี้ตุ๊ดแรมโบ้หยุดร้องเพลงกวนประสาทเปลี่ยนไปกรีดร้อง
‘ชัชชาติ’ คือชื่อจริงของโบ้ ที่ไม่ว่าฟังกี่ครั้งก็ยังแสลงหู นอกจากจะฟังดูแมนเกินร้อยแล้ว ยังไปเหมือนกับชื่อรัฐมนตรีท่านหนึ่งโดยบังเอิญ โบ้ก็เลยได้รับฉายาพิเศษมาว่า ‘ตุ๊ดที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’ เจ้าตัวฟังแล้วไม่ปลื้มเอาเลย เขารักจะหลอกตัวเองว่าเป็นสาวน้อยบอบบางน่าทะนุถนอมมากกว่า
เห็นโบ้กรีดร้อง ทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะแบบไม่คิดจะสงสาร การโต้เถียงกันไปมาอย่างนี้ คือเรื่องที่ทำกันเป็นประจำเวลารวมกลุ่ม ถึงบางครั้งจะมีคำพูดแรงๆ หลุดมาบ้างแต่ทุกคนก็ไม่เคยถือสากัน
เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลงก็มีเสียงกระแอมดังตามมา ต้นเสียงมาจากคนที่ยืนฟังสี่สาวคุยกันได้พักใหญ่แล้ว
“ลืมไปเลย!” เจ้อุทานอย่างนึกขึ้นได้ เธอเดินไปหาชายหนุ่มหน้าหวานที่มาด้วยกัน แล้วพาตัวเขามาหาเพื่อนๆ “นี่เต้กุนเป็นสหายข้า”
เจ้กลับมาใช้ภาษาเจียงอย่างเดิมเพื่อที่เต้กุนจะได้เข้าใจ ไม่ทันที่เจ้จะได้แนะนำเพิ่มเติม เจ้าของบ้านก็ออกมาต้อนรับแขกเสียก่อน ท่านเผิงไม่ได้เรียกเต้กุนด้วยชื่ออย่างสนิทสนมเหมือนฟางเซียน แต่เรียกเขาว่า ‘ท่านฮั่ว’ อย่างเคารพนบนอบ
ท่านเผิงเป็นชายชราที่มีความองอาจอยู่ในตัว แต่กลับมาทำตัวประหนึ่งผู้น้อยต่อหน้าเด็กหนุ่มคราวหลาน สร้างความประหลาดใจให้บรรดาผู้ที่สังเกตเห็น ทั้งแว่นและหน่อมต่างก็รู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดา
“เจ้าคงอยากอยู่กับเพื่อน คืนนี้ข้อตกลงของเราเป็นอันว่ายกเลิกก็แล้วกัน” เต้กุนหันมาบอกฟางเซียน
น้ำเสียงของเขาดูทุ้มห้าวตรงข้ามกับภาพลักษณ์ หากหลับตาลงแล้วฟังแค่เสียงคงจะคิดว่านี่เป็นเสียงของผู้ชายร่างสูงใหญ่เป็นแน่
“ขอโทษด้วยนะเต้กุน คราวหน้าข้าจะชดใช้ให้” เจ้ว่า
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวด้านในตามคำเชิญของท่านเผิง ส่วนสาวงามทั้งสี่นางย้ายสถานที่มาคุยกันด้านนอก เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนเจ้าของบ้าน
หน่อมเอาตะเกียงที่ถือมาวางเอาไว้ตรงกลางลานบ้าน แล้วชวนให้ทุกคนนั่งบนขอนไม้แทนเก้าอี้
“ผู้ชายคนนั้นใครเหรอเจ้” แว่นถาม
“เป็นลูกค้าที่หอซูเมิงน่ะ พอดีคุยกันถูกคอก็เลยกลายเป็นเพื่อนกัน”
แว่นนึกขึ้นมาได้ว่าองค์ชายสามเคยบอกว่าฟางเซียนรีบร้อนออกจากวังเพราะมีนัดกับคนรัก เลยลองตะล่อมถามต่อเผื่อว่าจะเป็นพ่อหนุ่มหน้าสวยคนนี้
“แล้วเจ้กับหนุ่มสวยนั่นมาทำอะไรกันที่นี่”
“ฉันถูกเต้กุนจ้างมาเล่นดนตรี แต่ตอนนี้ไม่ต้องเล่นแล้ว” เจ้ยกเครื่องดนตรีที่หอบหิ้วมาประกอบคำพูด
เต้กุนชื่นชอบฝีมือการบรรเลงซอเอ้อหูของฟางเซียนเป็นอย่างมาก จึงอยากให้สหายเก่าแก่ได้ลองฟังดู
“เพราะพวกเราหรือเปล่า เจ้ก็เลยเสียงาน” หน่อมเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ใช่หรอก แค่จังหวะไม่เหมาะเท่านั้นเอง เต้กุนไม่ชอบคนเยอะๆ”
ชายหนุ่มยอมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อที่จะได้ฟังฟางเซียนเล่นซอเอ้อหูตามลำพัง ทุกคราวที่บรรเลงเพลงเขาจะนั่งนิ่งหลับตา ปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับทำนองดนตรี เขาหลงใหลเสียงเพลงของฟางเซียน ทั้งยังรักที่จะสนทนากับนาง แต่ไม่เคยคิดล่วงเกินเลยสักหน
“เต้กุนไม่ใช่ชาวเจียงเฉียงใช่ไหม”
แว่นสงสัยเพราะชาวเจียงเฉียงส่วนใหญ่ต่างก็นิยมไว้ผมยาว ตามความเชื่อว่าเส้นผมเป็นสิ่งสูงค่า หากดูแลให้ดีมันจะนำพาสิริมงคลมาสู่ตนเอง ความยาวที่นิยมคือประมาณกลางหลัง นอกจากนักบวชแล้วพวกที่ไว้สั้นหรือโกนเลยก็มีแต่คนหัวล้านกับคนที่ไว้ทุกข์ ในกรณีที่บิดามารดาเสียชีวิต ลูกชายมักจะตัดผมออกจนเหลือความยาวอยู่ที่ระดับประบ่า ส่วนลูกสาวไม่นิยมให้ตัดผมแต่เปลี่ยนมาถือศีล งดรับประทานเนื้อสัตว์จนกว่าจะไว้ทุกข์ครบกำหนดแทน ทรงผมของเต้กุนเป็นผมซอยสั้นแบบรากไทร ปลายผมยาวแค่ระต้นคอเท่านั้น มองอย่างไรก็ขัดต่อประเพณีนิยม
“ใช่ เต้กุนไม่ใช่ชาวเจียงเฉียง แต่จะเป็นคนที่ไหน ฉันไม่รู้หรอกนะ”
ตัวเต้กุนมีความลับอยู่มากมายและมีอยู่หลายเรื่องที่ไม่สมควรจะแพร่งพรายออกไป
“จะคนชาติไหนก็ช่างมันเถอะค่ะ คนสวยแค่อยากรู้ว่าเจ้เปลี่ยนไปตีฉิ่งตอนไหน” โบ้ถามแทรก
แว่นรึอุตส่าห์ตะล่อมค่อยๆ ถามมาตั้งนาน แต่โบ้กลับปล่อยหมัดตรงไปเสียอย่างนั้น
“เต้กุนเป็นชายแท้ย่ะ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่แกคิด เราเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ คบกันเหมือนฉันกับพวกแกนั่นแหละ” เจ้ย้ำอย่างหนักแน่น
เธอคนนี้มีจุดยืนที่ชัดเจนเสมอว่าคนไหนเพื่อนคนไหนแฟน แว่นเลยกลอกตาอย่างเสียดาย สู้อุตส่าห์หวังว่าจะได้ฟังเรื่องรักครั้งใหม่ของเจ้ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่มีอะไรในกอไผ่
คนอื่นเชื่อเจ้กันหมด เว้นก็แต่โบ้ที่ยังทำหน้าสงสัย เจ้าตัวเลยบอกอย่างใจกว้างว่ามีอะไรสงสัยเรื่องเธอกับเต้กุนก็ให้ถามมา
“เรื่องเจ้กับหนุ่มหวานนั่นคนสวยไม่ติดใจแล้วค่ะ แค่สงสัยว่าทุกคนมาที่นี่ได้ยังไง”
“อิบ้า! ยังมีหน้ามาถามอีกนะ เพราะเข็มทิศมหาซวยของแกนั่นไง” เจ้แว้ดใส่
“มหาลาภต่างหากล่ะคะ” โบ้แก้ “ที่คนสวยสงสัยคืออีกเรื่องต่างหาก เรื่องนั้นน่ะค่ะที่มาตรงนี้” โบ้พยายามยกมือยกไม้อธิบายแต่ก็ไม่ช่วยให้กระจ่างขึ้น
“อีกเรื่องอะไรของแก พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย” แว่นติงทั้งๆ ที่ก็ชินแล้ว
ตุ๊ดแรมโบ้นางนี้เป็นประเภทพวกไร้สติ บางทีก็โพล่งออกมาแบบไม่คิด บางคราวก็พูดไม่รู้เรื่องเหมือนอย่างตอนนี้ ร้อนถึงหน่อมต้องมาแปลให้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสองนางนี้เขาสื่อสารกันรู้เรื่องได้ยังไง
“โบ้หมายถึงว่าอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับร่างใหม่ของพวกเราแล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้”
“ใช่เลยค่ะ อย่างที่หน่อมบอกทุกอย่าง”
“ก็สบายดี สวย รวย มีความสุขอย่างที่เห็น” เจ้พูดง่ายๆ
แว่นเห็นว่ามันรวบไปก็เลยช่วยสรุปรายละเอียดของแต่ละคนให้ สรุปแล้วโดยรวมทุกคนมีร่างใหม่ที่สวยสดงดงาม สถานะทางสังคมก็ดีไม่ลำบาก ได้ฟังอย่างนี้โบ้ก็ถอนหายใจออกมอย่างโล่งอก
“ดีจังนะคะที่ได้ตามอย่างที่อธิษฐาน นึกกลัวอยู่ตั้งนานว่าบางคำขอจะไม่เป็นจริง”
ตอนที่อธิษฐานขอพรกับเข็มทิศมหาลาภ โบ้ตั้งจิตขอให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นสาวสวย รวมถึงมีน้ำใจเผื่อแผ่อธิษฐานให้เพื่อนด้วย นอกจากนี้ยังขออีกว่าขอให้ได้เจอกับเพื่อนรักทุกชาติไป
“ทำไมแกถึงกลัว” แว่นนึกสะกิดใจก็เลยถาม
“ทำไมเหรอคะ...” โบ้เอานิ้วเข้าปากขณะเรียบเรียงความคิด “...ก็คนที่พามา เขาบอกไว้น่ะค่ะ ว่าบางคำอธิษฐานอาจจะไม่เป็นจริง”
“เขาได้พูดอะไรอีกบ้างไหม มีวิธีกลับบ้านหรือเปล่า” แว่นถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่ค่ะ เขาให้เลือกแค่ว่าจะอยู่ต่อหรือตาย อ้อ! มีบอกด้วยนะคะว่าพวกเราจะได้เจอกัน ประมาณว่า ‘สี่จอมนางคือชะตากรรม’ อะไรประมาณนี้”
“ชะตากรรมอะไร” เจ้ถามบ้าง
“ไม่รู้ค่ะ เขาพูดแค่นี้แล้วก็ไป”
“สรุปก็ไม่ได้อะไรเลย แกนี่ไม่ได้ความจริงๆ” แว่นพ่นลมหายใจใส่อย่างมีอารมณ์
ถ้าคนที่พาเขามาโลกนี้พูดมากเหมือนของโบ้ คงจะได้ข้อมูลมามากกว่านี้อีกเยอะ รวมถึงอาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมด้วย
“เครียดไปก็เท่านั้น ตอนนี้พวกเรายังไม่ตาย แถมยังได้เจอกันอีก น่าดีใจออก” หน่อมช่วยเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการคิดบวก
ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด แว่นคือคนที่อยากกลับไปโลกเดิมมากที่สุด เพราะมีครอบครัวที่รักและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ได้อยู่ในสถานที่ที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้นแล้วต่อให้ต้องอยู่อย่างผิดเพศก็ยังไม่อยากจากมา เจ้เข้าใจความรู้สึกนี้ จึงดึงความสนใจไปที่หัวข้อคำอธิษฐานแทน
ทุกคนผลัดกันตอบคำถาม โบ้ยืนยันว่าขอความสวยอย่างที่บอกไปข้างต้น แว่นบอกว่าตอนนั้นกำลังเบื่อๆ เหงาๆ เลยอธิษฐานขอให้เจอคู่แท้ ส่วนหน่อมบอกว่าอยากจะเลิกสับสนในเพศตัวเองเสียที
“เจ้ล่ะ ขออะไรไป” หน่อมถาม
“ไม่ได้ขอ”
“อ้าว! ทำไมล่ะ” ทุกคนแทบจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เรื่องมันบ้าบอจะตาย ใครจะคิดว่าเป็นความจริง ก็เลยแค่หลับตาไม่ได้คิดอะไรสักอย่าง”
“งั้นต้องขอบคุณคนสวยนะคะที่ขอเผื่อให้ เจ้เลยเลิศได้ขนาดนี้” โบ้ยืดอกรับความดีความชอบเต็มที่
“ถ้าจะให้เจ้ขอบคุณ ฉันขอด่าแกก็แล้วกัน ตอนขอนี่คิดบ้างไหมว่าเพื่อนจะเป็นชะนีอ่อนแอแถมยังนมเล็ก รับผิดชอบมาเลยนะยะ” ใจจริงแว่นไม่คิดโทษโบ้แต่ว่าหมั่นไส้ก็เลยพูด
แว่นกับโบ้โต้กันไปมาพักหนึ่ง ประเด็นการสนทนาก็เปลี่ยนเป็นจะอธิบายกับหยางเจี้ยนถึงความสัมพันธ์ของพวกเธออย่างไร เนื่องจากบอกความจริงไม่ได้เลยต้องโกหก ครั้นจะให้โบ้คิดเองก็ไม่ไว้ใจ เลยต้องเตรียมบทให้ท่องก่อน
ตลอดคืนนั้นไม่มีใครติดใจสงสัยเรื่องที่เจ้ไม่ได้อธิษฐานขอพรเลย มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่ากำลังโกหก ในตอนนั้นเจ้ต้องการหนีไปให้ไกลจากนพพร เธออยากอยู่ในที่ที่ความเจ็บปวดจะตามมาไม่ถึง ทว่าแม้จะถูกส่งมาอยู่อีกโลก หัวใจของเจ้ก็ยังเจ็บแปลบยามเมื่อนึกถึงเขา
‘นี่กระมัง คำอธิษฐานที่ไม่มีวันเป็นจริง’
ข่าวเรื่องรถม้าที่องค์หญิงลี่จูหายไปจากขบวนเสด็จ รู้ถึงฮ่องเต้ในตอนบ่ายคล้อยวันเกิดเหตุ พระองค์จึงทรงนำกำลังทหารที่มีอยู่ ออกตามหาพระธิดาด้วยองค์เอง โดยไม่ทรงฟังเสียงคัดค้านของผู้ใด แม้จะมีคนกราบทูลว่าพระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ อาจจะถูกลอบสังหารหรือติดกับดักของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ พระองค์ก็ไม่ทรงฟัง ฮ่องเต้โหย่งซินตรัสอย่างเด็ดขาดว่าบิดาที่ไม่สามารถทำเพื่อบุตรได้ จะต่างอะไรกับคนไร้สามารถ ตรัสเสร็จก็ทรงหยิบพระแสงแล้วนำกำลังทหารออกตามรอยรถม้าในทันที
ในขณะที่ฮ่องเต้ทรงออกตามหาองค์หญิงลี่จู องค์ชายองค์อื่นๆ ที่เหลือต่างก็กระจายกำลังออกค้นหาในแนวกว้าง โดยมีองค์รัชทายาทรับหน้าที่เป็นฝ่ายประสานงาน รั้งอยู่ที่พลับพลาที่ประทับคอยสั่งการและส่งข่าวแจ้งความคืนหน้าให้คนอื่นรู้
ฮ่องเต้มีรับสั่งเอาไว้ว่าถึงยามมืดแล้วยังไม่พบองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา ให้แจ้งข่าวไปยังเจ้าเมืองห่าวซินเพื่อขอกำลังทหารเข้าไปค้นหาต่อในป่าลึก
ก่อนถึงเวลาส่งข่าวไปยังเจ้าเมืองประมาณครึ่งชั่วยาม ก็มีจอมยุทธ์คนหนึ่งมาแจ้งที่อยู่ขององค์หญิงลี่จูให้ทราบ ชายหนุ่มมีจดหมายเป็นลายมือขององค์หญิงสิบมาด้วย ใจความในกระดาษบอกว่าตัวเองกับกุ้ยฮวาปลอดภัยดี แต่นางกำนัลชื่อชุนหลันบาดเจ็บ จึงอยากได้หมอหลวงมาดูอาการ
องค์รัชทายาทเห็นว่าน่าเชื่อถือจึงสั่งรวมพลทหารที่เหลืออยู่ทั้งหมดก่อน แล้วเรียกบรรดาองค์ชายทั้งหลายกลับมายังจุดรวมพล เมื่อเห็นว่ามีกำลังพอสมควรแล้วจึงค่อยส่งคนไปกับหยางเจี้ยน แล้วค่อยแจ้งข่าวให้ฮ่องเต้ทรงทราบเป็นอย่างสุดท้าย
ที่ทำเช่นนี้เพราะองค์รัชทายาทคำนึงถึงความปลอดภัยของพระบิดาเป็นสำคัญ เสด็จพ่อกำลังร้อนพระทัยเพราะเป็นห่วงลี่จู หากบอกข่าวให้ทราบก่อน ย่อมเสด็จไปรับโดยไม่เกรงกลัวว่าอาจมีคนคิดร้ายหรือดักซุ่มโจมตี องค์รัชทายาทยอมรับว่าบรรดาราชองครักษ์ที่ตามเสด็จไปกับฮ่องเต้ล้วนเป็นยอดฝีมือ กระนั้นก็ไม่อยากประมาท จึงให้นำกำลังล่วงหน้าไปก่อน ระหว่างทางก็ให้ทิ้งหินเรืองแสงเป็นสัญญาณเอาไว้ เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงติดตามไปได้สะดวก
องค์รัชทายาททรงส่งคนไปเฉพาะแต่ทหารฝีมือดี ไม่ได้มีคำสั่งให้บรรดาองค์ชายตามไปด้วย แต่องค์ชายหกก็ยังควบม้าออกนำขบวนไปรับน้องสาวด้วยตัวเอง เขาร้อนใจจนทนรอเฉยๆ ไม่ไหว จึงอยากไปเห็นว่าน้องสาวปลอดภัยด้วยตาตัวเองให้เร็วที่สุด
หยางเจี้ยนนำทางทุกคนมาถึงหมู่บ้านไผ่เขียวตอนกลางดึก การมาของกองกำลังขนาดย่อมสร้างความแตกตื่นให้กับลูกบ้านทุกคน เว้นก็แต่หัวหน้าชุมชนอย่างท่านเผิงที่ดูสงบนิ่งราวกับรับรู้ว่าจะมีคนมา ท่านเผิงบอกชาวบ้านทุกคนว่าพวกนี้ไม่ได้มาร้าย พวกเขาเพียงแต่มารับแขกที่มาพักอยู่เท่านั้น
ฐานะขององค์หญิงลี่จูมาเปิดเผยเอาตอนนี้เอง พอท่านเผิงกับฮูหยินรู้ก็รีบคุกเข่าขออภัยนางต่อหน้าองค์ชายหก
“ข้ากับภรรยามีตาหามีแววไม่ ขอองค์หญิงโปรดอภัย”
“ท่านทั้งสองลุกขึ้นเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย ข้าจะโกรธผู้มีพระคุณได้อย่างไร” หน่อมรีบประคองสองตายายให้ลุกขึ้นมาแล้วหันไปทางพี่ชาย “ท่านเจ้าบ้านเผิงกับฮูหยินช่วยให้ที่พักพิงข้า ทั้งยังตามหมอมารักษาชุนหลันด้วย”
“ข้าขอขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยเหลือ ข้าจ้าว ลี่หยาง ติดค้างพวกท่านแล้ว” องค์ชายหกประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วค้อมศีรษะลง สื่อว่าซาบซึ้งใจมาก
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พวกข้ามิกล้ารับความดีความชอบ” ท่านเผิงว่า
คุยโต้ตอบกันไปมาได้พักหนึ่ง องค์ชายหกก็บอกให้องค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวาเตรียมตัวเดินทาง องค์ชายลี่หยางปฏิเสธการนอนพักค้างคืน โดยให้เหตุผลว่านำกำลังพลมามากมายเกรงว่าจะเป็นการรบกวน อีกทั้งขณะนี้ฮ่องเต้ทรงร้อนพระทัยอยากพบพระธิดาโดยเร็ว รีบกลับกันเลยจะดีกว่า
องค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวาไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง เพราะรถม้าที่ใช้โดยสารมาที่นี่ยังใช้การได้ดี แต่ชุนหลันยังต้องพักรักษาตัว ไม่ควรได้รับการกระทบกระเทือน จึงตกลงกันว่าจะให้หมอหลวงอยู่ที่นี่เพื่อดูอาการนางก่อน ถ้าดีขึ้นแล้วค่อยเดินทางไปยังที่พักที่สะดวกขึ้น
หน่อมกับแว่นชวนโบ้กับเจ้ให้มาด้วยกัน โบ้ตอบรับคำเชิญในทันที ส่วนเจ้ปฏิเสธ
“หม่อมฉันมากับสหาย ทิ้งเขาไปคงไม่สมควร” เจ้ใช้ราชาศัพท์กับหน่อมเพราะขณะนี้รอบกายมีทั้งคนของท่านเผิง บรรดาทหาร รวมถึงองค์ชายหก
“ถ้าเจ้าหมายถึงท่านฮั่วเขากลับไปแล้วล่ะ ฝากบอกให้ข้าช่วยส่งเจ้ากลับเมืองหลวงด้วย” เผิงฮูหยินบอก
เจ้ถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าถูกทิ้ง ก็รู้อยู่หรอกว่าเต้กุนไม่ชอบผู้คน แต่ไม่นึกเลยว่าจะเผ่นหนีทิ้งกันไปแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ เธอคงด่าสหายตัวแสบให้ท่านเจ้าบ้านได้ยินไปแล้ว
หน่อมเห็นว่าเจ้ไม่มีธุระแล้วก็เลยชวนอีกครั้ง เจ้หมดข้ออ้างจึงจำใจต้องตามไปด้วย ทั้งที่ไม่อยากไปเจอกับคนกวนประสาทอย่างองค์ชายสาม ระยะนี้เจอหน้ากันทีไรเป็นได้โต้คารมกันตลอด เจ้เลยเบื่อที่ต้องเจอกับคนขี้แกล้ง
องค์ชายหกพาน้องสาวทั้งสองและผู้ติดตามออกจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาพบกับฮ่องเต้โหย่งซินระหว่างทาง ฮ่องเต้จึงเข้ามาประทับในรถม้ากับพระธิดาและหลานสาว คนนอกอย่างไป๋หยินและฟางเซียนจึงลงมาขี่ม้าแทน เรื่องขี่ม้าสำหรับจอมยุทธ์หญิงไม่ใช่เรื่องลำบาก ส่วนนางโลมอย่างเจ้ก็สามารถทำได้ดีผิดคาด การเดินทางจึงไม่ขลุกขลัก
ทั้งหมดมาถึงพลับพลาที่ประทับตอนดึกสงัด กระนั้นรอบบริเวณก็มีแสงไฟสว่างจ้า ทั้งฮองเฮาและบรรดาองค์หญิงทั้งหลายต่างก็มารอรับองค์หญิงสิบเพื่อสอบถามเรื่องราว แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันมากนักเพราะฮ่องเต้มีรับสั่งให้องค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวาพักผ่อนเสียก่อน ส่วนหยางเจี้ยน ไป๋หลินและฟางเซียน ถูกเชิญมาพบกับหัวหน้าองครักษ์เพื่อขอร้องไม่ให้พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
ทุกคนถูกสั่งให้ตอบเหมือนกันว่ารถม้าขององค์หญิงพลัดหลงกลางป่า ทั้งสามคนจึงได้ให้ความช่วยเหลือ ห้ามไม่ให้มีการพูดถึงพวกนักฆ่าหรือการต่อสู้เด็ดขาด โบ้ไม่พอใจที่ต้องโกหกแต่ก็ยอมเก็บปากเก็บคำเมื่อหัวหน้าองครักษ์อธิบายว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเกียรติยศขององค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา หากมีข่าวเรื่องผู้ร้ายออกไป อาจมีคนไม่ประสงค์ดีเอาไปลือว่าพวกนางถูกคนร้ายย่ำยี
เมื่อทุกคนยอมรับปากแล้วก็ถูกปล่อยตัวกลับออกมายังที่พักที่จัดเตรียมเอาไว้ให้ เจ้กับโบ้ได้พักอยู่กับพวกนางกำนัล ส่วนหยางเจี้ยนนั้นแยกไปนอนในกระโจมของพวกผู้ชาย อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะเช้าแล้ว แต่เจ้ยังตาสว่างเพราะติดนิสัยนอนกลางวันตื่นกลางคืน เธอไม่อยากทนอึดอัดอยู่ในห้องคับแคบที่มีแต่คนแปลกหน้านอนเรียงกัน จึงออกมาเดินเล่น
การเดินเล่นครั้งนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดทีเดียว ออกมาจากห้องพักได้ไม่กี่สิบก้าวก็มีมือปริศนามาปิดปากเธอเอาไว้ แล้วลากเข้าไปในพุ่มไม้ลับตาคน
“ข้าเอง เกาเล่อ คนสนิทของนายใหญ่” ชายหนุ่มรีบอธิบายเพื่อจะได้ไม่มีการขัดขืน
นายใหญ่ที่ว่าก็คือองค์ชายสาม เจ้คุ้นเคยกับเกาเล่อดีเพราะเขามักจะเป็นคนนำคำสั่งของนายใหญ่มาแจ้งให้คนที่หอซูเมิ่งทราบ พอรู้สถานะของนายใหญ่ เธอเลยพลอยรู้ว่ายามปกติเขาคือหัวหน้ามหาดเล็กขององค์ชายลี่หมิง
“มีอะไร” เจ้ทำตาดุใส่พลางปัดมือชายหนุ่มออกจากตัว
เกาเล่อค้อมกายขอโทษที่ใช้วิธีการไม่สุภาพ ชายหนุ่มอ้อนวอนอย่างรีบร้อนว่าอยากจะให้ช่วยไปด้วยกันหน่อย
“นายใหญ่โกรธจนขาดสติ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเลย เจ้าช่วยจัดการทีเถอะ”
เกาเล่อดึงแขนให้หญิงสาวตามมา แล้วเล่าให้ฟังอย่างย่อว่าองค์ชายสามโมโหมากตอนรู้ความจริงว่าองค์หญิงลี่จูเกือบตายเพราะมือสังหาร องค์ชายพาคนของพรานราตรีมาด้วย จึงรู้อย่างรวดเร็วว่าพวกนักฆ่าที่ลงมือเป็นใคร พอทราบว่าน้องสาวปลอดภัยแล้วก็เลยพาคนไปจัดการกับพวกมัน
“ก็ดีแล้วนี่ ข้าไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหน” เจ้ถามอย่างสงสัยเมื่อถูกลากมาถึงที่พักขององค์ชายสาม
“เจ้าเข้าไปดูเองเถอะแล้วจะเข้าใจ”
เกาเล่อจึงส่งสัญญาณให้มหาดเล็กเข้ามาหา แล้วบอกว่าให้รอรับคำสั่งจากแม่นางหลง นางต้องการสิ่งใดก็ให้เร่งจัดเตรียมมาให้
“ฝากจัดการด้วยนะ องค์ชายต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้แต่เช้า” กล่าวจบก็ผลักตัวหญิงสาวให้เข้าไปในห้อง โดยไม่ถามความสมัครใจเลยสักนิดเดียว
เจ้ถอนใจหนักๆ ขณะที่เดินเข้าไป อึดใจก็ต้องตะลึงเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดเหม็นคลุ้ง ที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์นี้มาจากองค์ชายรูปงาม ซึ่งบัดนี้ทั่วทั้งร่างถูกชโลมไปด้วยเลือด องค์ชายลี่หมิงตวาดลั่นว่าให้ออกไป แววตาเขาในตอนนี้ลุกโชนประหนึ่งกลายร่างเป็นอสูรร้าย มิน่าเล่าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“ข้าก็ไม่ได้อยากมานักหรอก” เจ้เอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัด
เสียงของหญิงสาวทำให้องค์ชายลี่หมิงหันมา แววตาของชายหนุ่มอ่อนลงกว่าครึ่ง แต่กระแสเสียงยังคงกระด้าง
“ไม่อยากมาก็ออกไป”
“ข้าไปแน่ แต่ขอจัดการท่านก่อน”
เจ้หันกลับไปที่ประตู เธอตะโกนสั่งให้คนข้างนอกเตรียมอ่างอาบน้ำมาให้ พวกมหาดเล็กรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ไม่นานของทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการอาบน้ำ รวมถึงเสื้อผ้าชุดใหม่ก็ถูกนำมาตั้งวางตรงหน้า ส่งของเสร็จพวกส่วนเกินก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสองหนุ่มสาวให้อยู่ลำพังอีกครั้ง
“อาบน้ำซะ ท่านอยู่ในสภาพนี้ถ้าน้องสาวสุดที่รักมาเห็นจะตกใจเอานะ”
ข้อความนี้ได้ผลชะงัด องค์ชายสามยอมหยิบผ้าที่เจ้โยนให้ในตอนแรกมาซับหน้า พอเช็ดคราบเลือดออกไปจากใบหน้าหล่อเหลาชายหนุ่มก็ดูผ่อนคลายขึ้น เจ้จึงสั่งอีกครั้งว่าให้รีบอาบน้ำ
“อาบให้หน่อย” องค์ชายสามร้องขอ
เจ้บ่นองค์ชายจอมเรื่องมากในใจ เธอมองเขาอย่างหงุดหงิด แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้พิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียด วันนี้องค์ชายลี่หมิงดูแตกต่างจากที่เคย ทั้งที่สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นแท้ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกอ่อนแออย่างประหลาด
ลี่หมิงกำลังช็อกที่ไม่เคยระแคะระคายเรื่องการจ้างมือสังหาร ทั้งๆ ที่มีองค์กรข่าวอันดับหนึ่งอยู่ในมือ คนอย่างเขามีความทระนงสูง เชื่อมั่นว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามการควบคุม จึงไม่รู้จักรับมือกับอารมณ์ผิดหวังเวลาที่ทุกอย่างไม่เป็นดังต้องการ ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าโลกนี้ช่างโหดร้าย เห็นแล้วทำใจปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ลง
“แค่หนนี้หนเดียวเท่านั้นนะ” เจ้พึมพำ ก่อนจะย่อตัวลงไปช่วยถอดเสื้อชายหนุ่มออก
-โปรดติดตามตอนต่อไป-
“ท่านผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ นิยายเรื่องนี้กำลังจะถูกย้ายไปหมวด 18+ ในตอนหน้านะคะ”
ไม่ใช่แล้วค่ะไม่ใช่!!! เค้าอำเล่นเฉยๆ ขอเก็บหน้านิยายเอาไว้แบบหมวดสีขาวก่อนนะคะ อยากได้ความโรมานซ์ เราค่อยมาแอบจัดกันทีหลัง (ขึ้นอยู่กับแรงยุของนักอ่าน5555) ตอนนี้จิ้นคู่เจ้กับองค์ชายสามไปก่อนนะฮ้า
ในที่สุดเราก็เข้าสู่ตอนที่สองแล้ว (ปาดน้ำตา) นิยายเรื่องนี้สปีดเต่ามากค่ะ ค่อยๆ คลานไปด้วยกันนะคะ ในตอนสองนี้เราจะอยู่ในป่า ล่าสัตว์กันไปเรื่อยๆ มีมุ้งมิ้งสลับดราม่าคั่นอารมณ์ แว่นยังเด่นอยู่แต่มีเจ้กับโบ้มาแจมมากขึ้น ส่วนหน่อม นางก็จะเป็นตัวประกอบต่อไปจนกว่าจะถึงภาคนางอย่างแท้จริง แฟนคลับนางอดทนนะคะ เชียร์ใครชอบใครก็อย่าลืมติดตามนะคะ
คืนนี้นอนหลับฝันดี เห็นตุ๊ดสี่นางนะจ๊ะ
‘โชคชะตามักเล่นตลกกับเราเสมอ’
แว่นใช้คำนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยซึ้งถึงความหมายของมัน จวบจนกระทั่งประสบอุบัติเหตุวิญญาณทะลุมิติมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นบุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีฝ่ายขวา แว่นรู้สึกหวาดกลัวจับจิต เขารู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนถูกจับมาปล่อยกลางเกาะร้างที่ปราศจากผู้คน แม้ในเวลาต่อมาจะปรับตัวได้ก็ยังรู้สึกแปลกแยก
ในขณะที่กำลังพยายามทำใจยอมรับชะตากรรม เขากลับได้พบว่าเพื่อนสนิทอย่างหน่อมและเจ้ก็หลงมาอยู่ในโลกนี้ด้วยในฐานะองค์หญิงและคณิกาอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง การได้พบเพื่อนทำให้แว่นเริ่มมีกำลังใจว่าจะได้เจอโบ้ เพื่อนคนสุดท้ายที่อยู่ด้วยกันก่อนถูกฟ้าผ่า
เขากับเพื่อนอีกสองคนทุ่มกำลังตามหาโบ้ หมดเปลืองเงินทองไปมากมาย แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ยังไม่ได้เบาะแส จนกระทั่งวันนี้ขณะที่เขากับหน่อมถูกมือสังหารไล่ล่าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด โบ้กลับปรากฏกายตรงหน้าในฐานะจอมยุทธ์หญิงแล้วช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ที่ตลกไปกว่านั้นคือยังไม่ข้ามวันดี ทุกคนกลับได้พบกับเจ้ในสถานที่ที่ไม่น่าจะมีผู้คนหลงเข้ามา
เจ้เป็นคณิกาชื่อดัง อยู่ในหอนางโลมชั้นสูงในเมืองหลวง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าที่ตัดขาดจากผู้คนภายนอก แต่ถึงจะเป็นไปไม่ได้มันก็เกิดขึ้นแล้ว เจ้ยืนอยู่ห่างไปไม่ถึงคืบ เธอกำลังโผเข้าไปกอดโบ้ เมื่อรู้ความจริงว่าผู้หญิงชุดขาวคนนี้เป็นใคร
“แกไปอยู่ไหนมา รู้ไหมว่าตามหาแทบแย่” เจ้ถามขณะคลายอ้อมแขนออก
โบ้ที่กำลังสะอึกสะอื้นน้ำตาไหลอาบแก้ม ตอบเสียงเครือกลับมาว่า ‘หุบเขาหิมะ’ ถ้าเดาไม่ผิดหุบเขาที่เอ่ยถึงคือดินแดนทางเหนือสุดของอาณาจักร โบ้อยู่ไกลอย่างนี้เองจึงตามหากันไม่เจอเสียที
“จะร้องไห้สะอึกสะอื้นอะไรนักหนา เจอฉันกับหน่อมไม่เห็นจะดีใจเท่านี้ ลำเอียงรักเพื่อนไม่เท่ากันนี่หว่า”
“ไม่ได้ลำเอียงค่ะ” โบ้สูดจมูกแล้วทำปากยื่น “แค่ผิดหวังจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่”
“ผิดหวังอะไรเหรอ” หน่อมถามด้วยความสนใจ
“ก็ร่างใหม่ของเจ้นี่สิคะ โคตรสวย หนูอุตส่าห์ว่าจะข่มสักหน่อย ดันข่มไม่ลงซะงั้น”
ไป๋หลินเป็นหญิงสาวที่งามเลิศ นางมีใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเรียวได้รูปดำขลับ คิ้วโค้งรับกับรูปตา จมูกเชิดรั้นน้อยๆ ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเป็นธรรมชาติ เรียกว่าเป็นความงามในอุดมคติที่สาวแท้สาวเทียมทั้งหลายเฝ้าฝัน ความงามพิสุทธิ์นี้ถือเป็นที่หนึ่งหากเปรียบเทียบกันในหมู่จอมยุทธ์หญิง แต่พอเอามาประชันกับคณิกาที่งดงามด้วยการปรุงโฉมและจริตมารยาแล้ว กลับไม่สามารถหาตัวผู้ชนะได้
ตอนยังเป็นกะเทยหุ่นล่ำกล้ามโต โบ้เคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่าถ้าชาติหน้าเมื่อไรจะเกิดใหม่ให้สวยแซ่บ เอาชนิดฆ่าคนให้ตายได้ การได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้จึงไม่ต่างจากการฝันที่เป็นจริง โบ้เลยอยากจะลองสะบัดบ๊อบใส่เจ้ว่าฉันสวยกว่าสักครั้ง
“อิบ้า! ไร้สาระได้ตลอดนะแก มาแต่วิญญาณจริงๆ สินะ ไม่ได้เอาสมองมาด้วย” เจ้เหน็บ
“เจ้พูดผิดแล้ว มันเคยมีสมองที่ไหน” แว่นแก้
“จะพูดอะไรก็พูดไปค่ะ ตอนนี้คนสวยไม่แคร์แล้ว ขอแค่ได้เป็นชะนีหนังหน้าเลิศ จะให้เป็นควายหนูก็ยอม” ว่าแล้วก็เอามือประคองที่หน้าตัวเองพลางโปรยยิ้มหวานหยด สร้างความหมั่นไส้ให้เหลือประมาณ
“แล้วไม่อิจฉาเรากับแว่นบ้างเหรอ เราสองคนก็สวยนะ” หน่อมถามบ้าง
“ไม่หรอกค่ะ หน่อมน่ารัก นิสัยดี คนสวยเลยให้อภัย” พูดเสียงอ่อนเสียงหวานแล้วก็เบนสายตาไปทางแว่น “ส่วนอิแว่น ไม่รู้จะอิจฉามันไปทำไม หนังหน้าดูดีแต่ดันไม่มีนม เสียชาติเกิดค่ะ”
แว่นเอามือแตะหน้าอกในทันที ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สังเกตสัดส่วนตัวเองเท่าไร พอถูกว่าเลยเปรียบเทียบกับคนอื่นดู แล้วก็พบว่าตัวเองเป็นสาวจอแบนจริงๆ นั่นแหละ
โบ้ยืดตัวอวดอกอึ๋มๆ ของตัวเองเย้ยเพื่อน พลางร้องเพลงไปด้วย
“เอ บี ซี ยกทรงชั้นดีมีมาตรฐาน สวมใส่แล้วเราเบิกบาน เป็นมาตรฐานของเอ บี ซี”
แน่นอนว่าเพลงนี้ต้องมีท่าประกอบ ทุกครั้งที่พูดถึงคัพเอโบ้เป็นต้องชี้มาที่อกแบนๆ ของกุ้ยฮวาทุกที
“หุบปากไปเลยอิชัชชาติ” แว่นแหวกลับ
คราวนี้ตุ๊ดแรมโบ้หยุดร้องเพลงกวนประสาทเปลี่ยนไปกรีดร้อง
‘ชัชชาติ’ คือชื่อจริงของโบ้ ที่ไม่ว่าฟังกี่ครั้งก็ยังแสลงหู นอกจากจะฟังดูแมนเกินร้อยแล้ว ยังไปเหมือนกับชื่อรัฐมนตรีท่านหนึ่งโดยบังเอิญ โบ้ก็เลยได้รับฉายาพิเศษมาว่า ‘ตุ๊ดที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี’ เจ้าตัวฟังแล้วไม่ปลื้มเอาเลย เขารักจะหลอกตัวเองว่าเป็นสาวน้อยบอบบางน่าทะนุถนอมมากกว่า
เห็นโบ้กรีดร้อง ทุกคนก็พร้อมใจกันหัวเราะแบบไม่คิดจะสงสาร การโต้เถียงกันไปมาอย่างนี้ คือเรื่องที่ทำกันเป็นประจำเวลารวมกลุ่ม ถึงบางครั้งจะมีคำพูดแรงๆ หลุดมาบ้างแต่ทุกคนก็ไม่เคยถือสากัน
เมื่อเสียงหัวเราะเงียบลงก็มีเสียงกระแอมดังตามมา ต้นเสียงมาจากคนที่ยืนฟังสี่สาวคุยกันได้พักใหญ่แล้ว
“ลืมไปเลย!” เจ้อุทานอย่างนึกขึ้นได้ เธอเดินไปหาชายหนุ่มหน้าหวานที่มาด้วยกัน แล้วพาตัวเขามาหาเพื่อนๆ “นี่เต้กุนเป็นสหายข้า”
เจ้กลับมาใช้ภาษาเจียงอย่างเดิมเพื่อที่เต้กุนจะได้เข้าใจ ไม่ทันที่เจ้จะได้แนะนำเพิ่มเติม เจ้าของบ้านก็ออกมาต้อนรับแขกเสียก่อน ท่านเผิงไม่ได้เรียกเต้กุนด้วยชื่ออย่างสนิทสนมเหมือนฟางเซียน แต่เรียกเขาว่า ‘ท่านฮั่ว’ อย่างเคารพนบนอบ
ท่านเผิงเป็นชายชราที่มีความองอาจอยู่ในตัว แต่กลับมาทำตัวประหนึ่งผู้น้อยต่อหน้าเด็กหนุ่มคราวหลาน สร้างความประหลาดใจให้บรรดาผู้ที่สังเกตเห็น ทั้งแว่นและหน่อมต่างก็รู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดา
“เจ้าคงอยากอยู่กับเพื่อน คืนนี้ข้อตกลงของเราเป็นอันว่ายกเลิกก็แล้วกัน” เต้กุนหันมาบอกฟางเซียน
น้ำเสียงของเขาดูทุ้มห้าวตรงข้ามกับภาพลักษณ์ หากหลับตาลงแล้วฟังแค่เสียงคงจะคิดว่านี่เป็นเสียงของผู้ชายร่างสูงใหญ่เป็นแน่
“ขอโทษด้วยนะเต้กุน คราวหน้าข้าจะชดใช้ให้” เจ้ว่า
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องส่วนตัวด้านในตามคำเชิญของท่านเผิง ส่วนสาวงามทั้งสี่นางย้ายสถานที่มาคุยกันด้านนอก เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนเจ้าของบ้าน
หน่อมเอาตะเกียงที่ถือมาวางเอาไว้ตรงกลางลานบ้าน แล้วชวนให้ทุกคนนั่งบนขอนไม้แทนเก้าอี้
“ผู้ชายคนนั้นใครเหรอเจ้” แว่นถาม
“เป็นลูกค้าที่หอซูเมิงน่ะ พอดีคุยกันถูกคอก็เลยกลายเป็นเพื่อนกัน”
แว่นนึกขึ้นมาได้ว่าองค์ชายสามเคยบอกว่าฟางเซียนรีบร้อนออกจากวังเพราะมีนัดกับคนรัก เลยลองตะล่อมถามต่อเผื่อว่าจะเป็นพ่อหนุ่มหน้าสวยคนนี้
“แล้วเจ้กับหนุ่มสวยนั่นมาทำอะไรกันที่นี่”
“ฉันถูกเต้กุนจ้างมาเล่นดนตรี แต่ตอนนี้ไม่ต้องเล่นแล้ว” เจ้ยกเครื่องดนตรีที่หอบหิ้วมาประกอบคำพูด
เต้กุนชื่นชอบฝีมือการบรรเลงซอเอ้อหูของฟางเซียนเป็นอย่างมาก จึงอยากให้สหายเก่าแก่ได้ลองฟังดู
“เพราะพวกเราหรือเปล่า เจ้ก็เลยเสียงาน” หน่อมเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ไม่ใช่หรอก แค่จังหวะไม่เหมาะเท่านั้นเอง เต้กุนไม่ชอบคนเยอะๆ”
ชายหนุ่มยอมทุ่มเงินไม่อั้นเพื่อที่จะได้ฟังฟางเซียนเล่นซอเอ้อหูตามลำพัง ทุกคราวที่บรรเลงเพลงเขาจะนั่งนิ่งหลับตา ปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มไปกับทำนองดนตรี เขาหลงใหลเสียงเพลงของฟางเซียน ทั้งยังรักที่จะสนทนากับนาง แต่ไม่เคยคิดล่วงเกินเลยสักหน
“เต้กุนไม่ใช่ชาวเจียงเฉียงใช่ไหม”
แว่นสงสัยเพราะชาวเจียงเฉียงส่วนใหญ่ต่างก็นิยมไว้ผมยาว ตามความเชื่อว่าเส้นผมเป็นสิ่งสูงค่า หากดูแลให้ดีมันจะนำพาสิริมงคลมาสู่ตนเอง ความยาวที่นิยมคือประมาณกลางหลัง นอกจากนักบวชแล้วพวกที่ไว้สั้นหรือโกนเลยก็มีแต่คนหัวล้านกับคนที่ไว้ทุกข์ ในกรณีที่บิดามารดาเสียชีวิต ลูกชายมักจะตัดผมออกจนเหลือความยาวอยู่ที่ระดับประบ่า ส่วนลูกสาวไม่นิยมให้ตัดผมแต่เปลี่ยนมาถือศีล งดรับประทานเนื้อสัตว์จนกว่าจะไว้ทุกข์ครบกำหนดแทน ทรงผมของเต้กุนเป็นผมซอยสั้นแบบรากไทร ปลายผมยาวแค่ระต้นคอเท่านั้น มองอย่างไรก็ขัดต่อประเพณีนิยม
“ใช่ เต้กุนไม่ใช่ชาวเจียงเฉียง แต่จะเป็นคนที่ไหน ฉันไม่รู้หรอกนะ”
ตัวเต้กุนมีความลับอยู่มากมายและมีอยู่หลายเรื่องที่ไม่สมควรจะแพร่งพรายออกไป
“จะคนชาติไหนก็ช่างมันเถอะค่ะ คนสวยแค่อยากรู้ว่าเจ้เปลี่ยนไปตีฉิ่งตอนไหน” โบ้ถามแทรก
แว่นรึอุตส่าห์ตะล่อมค่อยๆ ถามมาตั้งนาน แต่โบ้กลับปล่อยหมัดตรงไปเสียอย่างนั้น
“เต้กุนเป็นชายแท้ย่ะ แล้วก็ไม่ได้มีอะไรกันอย่างที่แกคิด เราเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ คบกันเหมือนฉันกับพวกแกนั่นแหละ” เจ้ย้ำอย่างหนักแน่น
เธอคนนี้มีจุดยืนที่ชัดเจนเสมอว่าคนไหนเพื่อนคนไหนแฟน แว่นเลยกลอกตาอย่างเสียดาย สู้อุตส่าห์หวังว่าจะได้ฟังเรื่องรักครั้งใหม่ของเจ้ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่มีอะไรในกอไผ่
คนอื่นเชื่อเจ้กันหมด เว้นก็แต่โบ้ที่ยังทำหน้าสงสัย เจ้าตัวเลยบอกอย่างใจกว้างว่ามีอะไรสงสัยเรื่องเธอกับเต้กุนก็ให้ถามมา
“เรื่องเจ้กับหนุ่มหวานนั่นคนสวยไม่ติดใจแล้วค่ะ แค่สงสัยว่าทุกคนมาที่นี่ได้ยังไง”
“อิบ้า! ยังมีหน้ามาถามอีกนะ เพราะเข็มทิศมหาซวยของแกนั่นไง” เจ้แว้ดใส่
“มหาลาภต่างหากล่ะคะ” โบ้แก้ “ที่คนสวยสงสัยคืออีกเรื่องต่างหาก เรื่องนั้นน่ะค่ะที่มาตรงนี้” โบ้พยายามยกมือยกไม้อธิบายแต่ก็ไม่ช่วยให้กระจ่างขึ้น
“อีกเรื่องอะไรของแก พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย” แว่นติงทั้งๆ ที่ก็ชินแล้ว
ตุ๊ดแรมโบ้นางนี้เป็นประเภทพวกไร้สติ บางทีก็โพล่งออกมาแบบไม่คิด บางคราวก็พูดไม่รู้เรื่องเหมือนอย่างตอนนี้ ร้อนถึงหน่อมต้องมาแปลให้ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสองนางนี้เขาสื่อสารกันรู้เรื่องได้ยังไง
“โบ้หมายถึงว่าอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับร่างใหม่ของพวกเราแล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ในตอนนี้”
“ใช่เลยค่ะ อย่างที่หน่อมบอกทุกอย่าง”
“ก็สบายดี สวย รวย มีความสุขอย่างที่เห็น” เจ้พูดง่ายๆ
แว่นเห็นว่ามันรวบไปก็เลยช่วยสรุปรายละเอียดของแต่ละคนให้ สรุปแล้วโดยรวมทุกคนมีร่างใหม่ที่สวยสดงดงาม สถานะทางสังคมก็ดีไม่ลำบาก ได้ฟังอย่างนี้โบ้ก็ถอนหายใจออกมอย่างโล่งอก
“ดีจังนะคะที่ได้ตามอย่างที่อธิษฐาน นึกกลัวอยู่ตั้งนานว่าบางคำขอจะไม่เป็นจริง”
ตอนที่อธิษฐานขอพรกับเข็มทิศมหาลาภ โบ้ตั้งจิตขอให้ชาติหน้าเกิดมาเป็นสาวสวย รวมถึงมีน้ำใจเผื่อแผ่อธิษฐานให้เพื่อนด้วย นอกจากนี้ยังขออีกว่าขอให้ได้เจอกับเพื่อนรักทุกชาติไป
“ทำไมแกถึงกลัว” แว่นนึกสะกิดใจก็เลยถาม
“ทำไมเหรอคะ...” โบ้เอานิ้วเข้าปากขณะเรียบเรียงความคิด “...ก็คนที่พามา เขาบอกไว้น่ะค่ะ ว่าบางคำอธิษฐานอาจจะไม่เป็นจริง”
“เขาได้พูดอะไรอีกบ้างไหม มีวิธีกลับบ้านหรือเปล่า” แว่นถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่ค่ะ เขาให้เลือกแค่ว่าจะอยู่ต่อหรือตาย อ้อ! มีบอกด้วยนะคะว่าพวกเราจะได้เจอกัน ประมาณว่า ‘สี่จอมนางคือชะตากรรม’ อะไรประมาณนี้”
“ชะตากรรมอะไร” เจ้ถามบ้าง
“ไม่รู้ค่ะ เขาพูดแค่นี้แล้วก็ไป”
“สรุปก็ไม่ได้อะไรเลย แกนี่ไม่ได้ความจริงๆ” แว่นพ่นลมหายใจใส่อย่างมีอารมณ์
ถ้าคนที่พาเขามาโลกนี้พูดมากเหมือนของโบ้ คงจะได้ข้อมูลมามากกว่านี้อีกเยอะ รวมถึงอาจจะได้กลับไปยังโลกเดิมด้วย
“เครียดไปก็เท่านั้น ตอนนี้พวกเรายังไม่ตาย แถมยังได้เจอกันอีก น่าดีใจออก” หน่อมช่วยเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการคิดบวก
ในบรรดาเพื่อนทั้งหมด แว่นคือคนที่อยากกลับไปโลกเดิมมากที่สุด เพราะมีครอบครัวที่รักและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ได้อยู่ในสถานที่ที่สมบูรณ์แบบขนาดนั้นแล้วต่อให้ต้องอยู่อย่างผิดเพศก็ยังไม่อยากจากมา เจ้เข้าใจความรู้สึกนี้ จึงดึงความสนใจไปที่หัวข้อคำอธิษฐานแทน
ทุกคนผลัดกันตอบคำถาม โบ้ยืนยันว่าขอความสวยอย่างที่บอกไปข้างต้น แว่นบอกว่าตอนนั้นกำลังเบื่อๆ เหงาๆ เลยอธิษฐานขอให้เจอคู่แท้ ส่วนหน่อมบอกว่าอยากจะเลิกสับสนในเพศตัวเองเสียที
“เจ้ล่ะ ขออะไรไป” หน่อมถาม
“ไม่ได้ขอ”
“อ้าว! ทำไมล่ะ” ทุกคนแทบจะพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เรื่องมันบ้าบอจะตาย ใครจะคิดว่าเป็นความจริง ก็เลยแค่หลับตาไม่ได้คิดอะไรสักอย่าง”
“งั้นต้องขอบคุณคนสวยนะคะที่ขอเผื่อให้ เจ้เลยเลิศได้ขนาดนี้” โบ้ยืดอกรับความดีความชอบเต็มที่
“ถ้าจะให้เจ้ขอบคุณ ฉันขอด่าแกก็แล้วกัน ตอนขอนี่คิดบ้างไหมว่าเพื่อนจะเป็นชะนีอ่อนแอแถมยังนมเล็ก รับผิดชอบมาเลยนะยะ” ใจจริงแว่นไม่คิดโทษโบ้แต่ว่าหมั่นไส้ก็เลยพูด
แว่นกับโบ้โต้กันไปมาพักหนึ่ง ประเด็นการสนทนาก็เปลี่ยนเป็นจะอธิบายกับหยางเจี้ยนถึงความสัมพันธ์ของพวกเธออย่างไร เนื่องจากบอกความจริงไม่ได้เลยต้องโกหก ครั้นจะให้โบ้คิดเองก็ไม่ไว้ใจ เลยต้องเตรียมบทให้ท่องก่อน
ตลอดคืนนั้นไม่มีใครติดใจสงสัยเรื่องที่เจ้ไม่ได้อธิษฐานขอพรเลย มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่ากำลังโกหก ในตอนนั้นเจ้ต้องการหนีไปให้ไกลจากนพพร เธออยากอยู่ในที่ที่ความเจ็บปวดจะตามมาไม่ถึง ทว่าแม้จะถูกส่งมาอยู่อีกโลก หัวใจของเจ้ก็ยังเจ็บแปลบยามเมื่อนึกถึงเขา
‘นี่กระมัง คำอธิษฐานที่ไม่มีวันเป็นจริง’
ข่าวเรื่องรถม้าที่องค์หญิงลี่จูหายไปจากขบวนเสด็จ รู้ถึงฮ่องเต้ในตอนบ่ายคล้อยวันเกิดเหตุ พระองค์จึงทรงนำกำลังทหารที่มีอยู่ ออกตามหาพระธิดาด้วยองค์เอง โดยไม่ทรงฟังเสียงคัดค้านของผู้ใด แม้จะมีคนกราบทูลว่าพระองค์เป็นถึงฮ่องเต้ อาจจะถูกลอบสังหารหรือติดกับดักของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ พระองค์ก็ไม่ทรงฟัง ฮ่องเต้โหย่งซินตรัสอย่างเด็ดขาดว่าบิดาที่ไม่สามารถทำเพื่อบุตรได้ จะต่างอะไรกับคนไร้สามารถ ตรัสเสร็จก็ทรงหยิบพระแสงแล้วนำกำลังทหารออกตามรอยรถม้าในทันที
ในขณะที่ฮ่องเต้ทรงออกตามหาองค์หญิงลี่จู องค์ชายองค์อื่นๆ ที่เหลือต่างก็กระจายกำลังออกค้นหาในแนวกว้าง โดยมีองค์รัชทายาทรับหน้าที่เป็นฝ่ายประสานงาน รั้งอยู่ที่พลับพลาที่ประทับคอยสั่งการและส่งข่าวแจ้งความคืนหน้าให้คนอื่นรู้
ฮ่องเต้มีรับสั่งเอาไว้ว่าถึงยามมืดแล้วยังไม่พบองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา ให้แจ้งข่าวไปยังเจ้าเมืองห่าวซินเพื่อขอกำลังทหารเข้าไปค้นหาต่อในป่าลึก
ก่อนถึงเวลาส่งข่าวไปยังเจ้าเมืองประมาณครึ่งชั่วยาม ก็มีจอมยุทธ์คนหนึ่งมาแจ้งที่อยู่ขององค์หญิงลี่จูให้ทราบ ชายหนุ่มมีจดหมายเป็นลายมือขององค์หญิงสิบมาด้วย ใจความในกระดาษบอกว่าตัวเองกับกุ้ยฮวาปลอดภัยดี แต่นางกำนัลชื่อชุนหลันบาดเจ็บ จึงอยากได้หมอหลวงมาดูอาการ
องค์รัชทายาทเห็นว่าน่าเชื่อถือจึงสั่งรวมพลทหารที่เหลืออยู่ทั้งหมดก่อน แล้วเรียกบรรดาองค์ชายทั้งหลายกลับมายังจุดรวมพล เมื่อเห็นว่ามีกำลังพอสมควรแล้วจึงค่อยส่งคนไปกับหยางเจี้ยน แล้วค่อยแจ้งข่าวให้ฮ่องเต้ทรงทราบเป็นอย่างสุดท้าย
ที่ทำเช่นนี้เพราะองค์รัชทายาทคำนึงถึงความปลอดภัยของพระบิดาเป็นสำคัญ เสด็จพ่อกำลังร้อนพระทัยเพราะเป็นห่วงลี่จู หากบอกข่าวให้ทราบก่อน ย่อมเสด็จไปรับโดยไม่เกรงกลัวว่าอาจมีคนคิดร้ายหรือดักซุ่มโจมตี องค์รัชทายาทยอมรับว่าบรรดาราชองครักษ์ที่ตามเสด็จไปกับฮ่องเต้ล้วนเป็นยอดฝีมือ กระนั้นก็ไม่อยากประมาท จึงให้นำกำลังล่วงหน้าไปก่อน ระหว่างทางก็ให้ทิ้งหินเรืองแสงเป็นสัญญาณเอาไว้ เพื่อให้ฮ่องเต้ทรงติดตามไปได้สะดวก
องค์รัชทายาททรงส่งคนไปเฉพาะแต่ทหารฝีมือดี ไม่ได้มีคำสั่งให้บรรดาองค์ชายตามไปด้วย แต่องค์ชายหกก็ยังควบม้าออกนำขบวนไปรับน้องสาวด้วยตัวเอง เขาร้อนใจจนทนรอเฉยๆ ไม่ไหว จึงอยากไปเห็นว่าน้องสาวปลอดภัยด้วยตาตัวเองให้เร็วที่สุด
หยางเจี้ยนนำทางทุกคนมาถึงหมู่บ้านไผ่เขียวตอนกลางดึก การมาของกองกำลังขนาดย่อมสร้างความแตกตื่นให้กับลูกบ้านทุกคน เว้นก็แต่หัวหน้าชุมชนอย่างท่านเผิงที่ดูสงบนิ่งราวกับรับรู้ว่าจะมีคนมา ท่านเผิงบอกชาวบ้านทุกคนว่าพวกนี้ไม่ได้มาร้าย พวกเขาเพียงแต่มารับแขกที่มาพักอยู่เท่านั้น
ฐานะขององค์หญิงลี่จูมาเปิดเผยเอาตอนนี้เอง พอท่านเผิงกับฮูหยินรู้ก็รีบคุกเข่าขออภัยนางต่อหน้าองค์ชายหก
“ข้ากับภรรยามีตาหามีแววไม่ ขอองค์หญิงโปรดอภัย”
“ท่านทั้งสองลุกขึ้นเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย ข้าจะโกรธผู้มีพระคุณได้อย่างไร” หน่อมรีบประคองสองตายายให้ลุกขึ้นมาแล้วหันไปทางพี่ชาย “ท่านเจ้าบ้านเผิงกับฮูหยินช่วยให้ที่พักพิงข้า ทั้งยังตามหมอมารักษาชุนหลันด้วย”
“ข้าขอขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยเหลือ ข้าจ้าว ลี่หยาง ติดค้างพวกท่านแล้ว” องค์ชายหกประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วค้อมศีรษะลง สื่อว่าซาบซึ้งใจมาก
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พวกข้ามิกล้ารับความดีความชอบ” ท่านเผิงว่า
คุยโต้ตอบกันไปมาได้พักหนึ่ง องค์ชายหกก็บอกให้องค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวาเตรียมตัวเดินทาง องค์ชายลี่หยางปฏิเสธการนอนพักค้างคืน โดยให้เหตุผลว่านำกำลังพลมามากมายเกรงว่าจะเป็นการรบกวน อีกทั้งขณะนี้ฮ่องเต้ทรงร้อนพระทัยอยากพบพระธิดาโดยเร็ว รีบกลับกันเลยจะดีกว่า
องค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวาไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง เพราะรถม้าที่ใช้โดยสารมาที่นี่ยังใช้การได้ดี แต่ชุนหลันยังต้องพักรักษาตัว ไม่ควรได้รับการกระทบกระเทือน จึงตกลงกันว่าจะให้หมอหลวงอยู่ที่นี่เพื่อดูอาการนางก่อน ถ้าดีขึ้นแล้วค่อยเดินทางไปยังที่พักที่สะดวกขึ้น
หน่อมกับแว่นชวนโบ้กับเจ้ให้มาด้วยกัน โบ้ตอบรับคำเชิญในทันที ส่วนเจ้ปฏิเสธ
“หม่อมฉันมากับสหาย ทิ้งเขาไปคงไม่สมควร” เจ้ใช้ราชาศัพท์กับหน่อมเพราะขณะนี้รอบกายมีทั้งคนของท่านเผิง บรรดาทหาร รวมถึงองค์ชายหก
“ถ้าเจ้าหมายถึงท่านฮั่วเขากลับไปแล้วล่ะ ฝากบอกให้ข้าช่วยส่งเจ้ากลับเมืองหลวงด้วย” เผิงฮูหยินบอก
เจ้ถึงกับอึ้งเมื่อรู้ว่าถูกทิ้ง ก็รู้อยู่หรอกว่าเต้กุนไม่ชอบผู้คน แต่ไม่นึกเลยว่าจะเผ่นหนีทิ้งกันไปแบบนี้ ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ เธอคงด่าสหายตัวแสบให้ท่านเจ้าบ้านได้ยินไปแล้ว
หน่อมเห็นว่าเจ้ไม่มีธุระแล้วก็เลยชวนอีกครั้ง เจ้หมดข้ออ้างจึงจำใจต้องตามไปด้วย ทั้งที่ไม่อยากไปเจอกับคนกวนประสาทอย่างองค์ชายสาม ระยะนี้เจอหน้ากันทีไรเป็นได้โต้คารมกันตลอด เจ้เลยเบื่อที่ต้องเจอกับคนขี้แกล้ง
องค์ชายหกพาน้องสาวทั้งสองและผู้ติดตามออกจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาพบกับฮ่องเต้โหย่งซินระหว่างทาง ฮ่องเต้จึงเข้ามาประทับในรถม้ากับพระธิดาและหลานสาว คนนอกอย่างไป๋หยินและฟางเซียนจึงลงมาขี่ม้าแทน เรื่องขี่ม้าสำหรับจอมยุทธ์หญิงไม่ใช่เรื่องลำบาก ส่วนนางโลมอย่างเจ้ก็สามารถทำได้ดีผิดคาด การเดินทางจึงไม่ขลุกขลัก
ทั้งหมดมาถึงพลับพลาที่ประทับตอนดึกสงัด กระนั้นรอบบริเวณก็มีแสงไฟสว่างจ้า ทั้งฮองเฮาและบรรดาองค์หญิงทั้งหลายต่างก็มารอรับองค์หญิงสิบเพื่อสอบถามเรื่องราว แต่ก็ไม่ได้พูดคุยกันมากนักเพราะฮ่องเต้มีรับสั่งให้องค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวาพักผ่อนเสียก่อน ส่วนหยางเจี้ยน ไป๋หลินและฟางเซียน ถูกเชิญมาพบกับหัวหน้าองครักษ์เพื่อขอร้องไม่ให้พูดอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
ทุกคนถูกสั่งให้ตอบเหมือนกันว่ารถม้าขององค์หญิงพลัดหลงกลางป่า ทั้งสามคนจึงได้ให้ความช่วยเหลือ ห้ามไม่ให้มีการพูดถึงพวกนักฆ่าหรือการต่อสู้เด็ดขาด โบ้ไม่พอใจที่ต้องโกหกแต่ก็ยอมเก็บปากเก็บคำเมื่อหัวหน้าองครักษ์อธิบายว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเกียรติยศขององค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา หากมีข่าวเรื่องผู้ร้ายออกไป อาจมีคนไม่ประสงค์ดีเอาไปลือว่าพวกนางถูกคนร้ายย่ำยี
เมื่อทุกคนยอมรับปากแล้วก็ถูกปล่อยตัวกลับออกมายังที่พักที่จัดเตรียมเอาไว้ให้ เจ้กับโบ้ได้พักอยู่กับพวกนางกำนัล ส่วนหยางเจี้ยนนั้นแยกไปนอนในกระโจมของพวกผู้ชาย อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะเช้าแล้ว แต่เจ้ยังตาสว่างเพราะติดนิสัยนอนกลางวันตื่นกลางคืน เธอไม่อยากทนอึดอัดอยู่ในห้องคับแคบที่มีแต่คนแปลกหน้านอนเรียงกัน จึงออกมาเดินเล่น
การเดินเล่นครั้งนี้นับว่าเป็นความผิดพลาดทีเดียว ออกมาจากห้องพักได้ไม่กี่สิบก้าวก็มีมือปริศนามาปิดปากเธอเอาไว้ แล้วลากเข้าไปในพุ่มไม้ลับตาคน
“ข้าเอง เกาเล่อ คนสนิทของนายใหญ่” ชายหนุ่มรีบอธิบายเพื่อจะได้ไม่มีการขัดขืน
นายใหญ่ที่ว่าก็คือองค์ชายสาม เจ้คุ้นเคยกับเกาเล่อดีเพราะเขามักจะเป็นคนนำคำสั่งของนายใหญ่มาแจ้งให้คนที่หอซูเมิ่งทราบ พอรู้สถานะของนายใหญ่ เธอเลยพลอยรู้ว่ายามปกติเขาคือหัวหน้ามหาดเล็กขององค์ชายลี่หมิง
“มีอะไร” เจ้ทำตาดุใส่พลางปัดมือชายหนุ่มออกจากตัว
เกาเล่อค้อมกายขอโทษที่ใช้วิธีการไม่สุภาพ ชายหนุ่มอ้อนวอนอย่างรีบร้อนว่าอยากจะให้ช่วยไปด้วยกันหน่อย
“นายใหญ่โกรธจนขาดสติ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งเลย เจ้าช่วยจัดการทีเถอะ”
เกาเล่อดึงแขนให้หญิงสาวตามมา แล้วเล่าให้ฟังอย่างย่อว่าองค์ชายสามโมโหมากตอนรู้ความจริงว่าองค์หญิงลี่จูเกือบตายเพราะมือสังหาร องค์ชายพาคนของพรานราตรีมาด้วย จึงรู้อย่างรวดเร็วว่าพวกนักฆ่าที่ลงมือเป็นใคร พอทราบว่าน้องสาวปลอดภัยแล้วก็เลยพาคนไปจัดการกับพวกมัน
“ก็ดีแล้วนี่ ข้าไม่เห็นว่าจะมีปัญหาตรงไหน” เจ้ถามอย่างสงสัยเมื่อถูกลากมาถึงที่พักขององค์ชายสาม
“เจ้าเข้าไปดูเองเถอะแล้วจะเข้าใจ”
เกาเล่อจึงส่งสัญญาณให้มหาดเล็กเข้ามาหา แล้วบอกว่าให้รอรับคำสั่งจากแม่นางหลง นางต้องการสิ่งใดก็ให้เร่งจัดเตรียมมาให้
“ฝากจัดการด้วยนะ องค์ชายต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้แต่เช้า” กล่าวจบก็ผลักตัวหญิงสาวให้เข้าไปในห้อง โดยไม่ถามความสมัครใจเลยสักนิดเดียว
เจ้ถอนใจหนักๆ ขณะที่เดินเข้าไป อึดใจก็ต้องตะลึงเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดเหม็นคลุ้ง ที่มาของกลิ่นไม่พึงประสงค์นี้มาจากองค์ชายรูปงาม ซึ่งบัดนี้ทั่วทั้งร่างถูกชโลมไปด้วยเลือด องค์ชายลี่หมิงตวาดลั่นว่าให้ออกไป แววตาเขาในตอนนี้ลุกโชนประหนึ่งกลายร่างเป็นอสูรร้าย มิน่าเล่าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“ข้าก็ไม่ได้อยากมานักหรอก” เจ้เอ่ยด้วยเสียงดังฟังชัด
เสียงของหญิงสาวทำให้องค์ชายลี่หมิงหันมา แววตาของชายหนุ่มอ่อนลงกว่าครึ่ง แต่กระแสเสียงยังคงกระด้าง
“ไม่อยากมาก็ออกไป”
“ข้าไปแน่ แต่ขอจัดการท่านก่อน”
เจ้หันกลับไปที่ประตู เธอตะโกนสั่งให้คนข้างนอกเตรียมอ่างอาบน้ำมาให้ พวกมหาดเล็กรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ไม่นานของทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการอาบน้ำ รวมถึงเสื้อผ้าชุดใหม่ก็ถูกนำมาตั้งวางตรงหน้า ส่งของเสร็จพวกส่วนเกินก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งสองหนุ่มสาวให้อยู่ลำพังอีกครั้ง
“อาบน้ำซะ ท่านอยู่ในสภาพนี้ถ้าน้องสาวสุดที่รักมาเห็นจะตกใจเอานะ”
ข้อความนี้ได้ผลชะงัด องค์ชายสามยอมหยิบผ้าที่เจ้โยนให้ในตอนแรกมาซับหน้า พอเช็ดคราบเลือดออกไปจากใบหน้าหล่อเหลาชายหนุ่มก็ดูผ่อนคลายขึ้น เจ้จึงสั่งอีกครั้งว่าให้รีบอาบน้ำ
“อาบให้หน่อย” องค์ชายสามร้องขอ
เจ้บ่นองค์ชายจอมเรื่องมากในใจ เธอมองเขาอย่างหงุดหงิด แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้พิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียด วันนี้องค์ชายลี่หมิงดูแตกต่างจากที่เคย ทั้งที่สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นแท้ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกอ่อนแออย่างประหลาด
ลี่หมิงกำลังช็อกที่ไม่เคยระแคะระคายเรื่องการจ้างมือสังหาร ทั้งๆ ที่มีองค์กรข่าวอันดับหนึ่งอยู่ในมือ คนอย่างเขามีความทระนงสูง เชื่อมั่นว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามการควบคุม จึงไม่รู้จักรับมือกับอารมณ์ผิดหวังเวลาที่ทุกอย่างไม่เป็นดังต้องการ ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งได้ตระหนักเป็นครั้งแรกว่าโลกนี้ช่างโหดร้าย เห็นแล้วทำใจปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ลง
“แค่หนนี้หนเดียวเท่านั้นนะ” เจ้พึมพำ ก่อนจะย่อตัวลงไปช่วยถอดเสื้อชายหนุ่มออก
-โปรดติดตามตอนต่อไป-
“ท่านผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ นิยายเรื่องนี้กำลังจะถูกย้ายไปหมวด 18+ ในตอนหน้านะคะ”
ไม่ใช่แล้วค่ะไม่ใช่!!! เค้าอำเล่นเฉยๆ ขอเก็บหน้านิยายเอาไว้แบบหมวดสีขาวก่อนนะคะ อยากได้ความโรมานซ์ เราค่อยมาแอบจัดกันทีหลัง (ขึ้นอยู่กับแรงยุของนักอ่าน5555) ตอนนี้จิ้นคู่เจ้กับองค์ชายสามไปก่อนนะฮ้า
ในที่สุดเราก็เข้าสู่ตอนที่สองแล้ว (ปาดน้ำตา) นิยายเรื่องนี้สปีดเต่ามากค่ะ ค่อยๆ คลานไปด้วยกันนะคะ ในตอนสองนี้เราจะอยู่ในป่า ล่าสัตว์กันไปเรื่อยๆ มีมุ้งมิ้งสลับดราม่าคั่นอารมณ์ แว่นยังเด่นอยู่แต่มีเจ้กับโบ้มาแจมมากขึ้น ส่วนหน่อม นางก็จะเป็นตัวประกอบต่อไปจนกว่าจะถึงภาคนางอย่างแท้จริง แฟนคลับนางอดทนนะคะ เชียร์ใครชอบใครก็อย่าลืมติดตามนะคะ
คืนนี้นอนหลับฝันดี เห็นตุ๊ดสี่นางนะจ๊ะ
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2557, 00:00:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ย. 2557, 00:00:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 1415
<< ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๒๓ มู่ ไป๋หลิน (พบกันในเล่ม1นะคะ) | สัตว์พันปี : บทที่ ๒ ผีเสื้อโลหิต >> |
จ๊ะจ๋า 16 ก.ย. 2557, 00:32:13 น.
คำอธิษฐานที่ไม่มีวันเป็นจริง สงสัยว่าจะเป็นของแว่น นางจะได้เจอคู่แท้มั๊ยนะ ในฮาเร็มนางมีเยอะเกิน
คำอธิษฐานที่ไม่มีวันเป็นจริง สงสัยว่าจะเป็นของแว่น นางจะได้เจอคู่แท้มั๊ยนะ ในฮาเร็มนางมีเยอะเกิน
สีฟ้า 16 ก.ย. 2557, 00:56:27 น.
สงสารเจ้ ยังเจ็บปวดเพราะคิดถึงนพพร ขอให้องค์ชายสามรักษาแผลใจเร็วๆ ชอบนาง อยากเห็นนางสมหวัง
สงสารเจ้ ยังเจ็บปวดเพราะคิดถึงนพพร ขอให้องค์ชายสามรักษาแผลใจเร็วๆ ชอบนาง อยากเห็นนางสมหวัง
นักอ่านเหนียวหนึบ 16 ก.ย. 2557, 04:30:43 น.
อ้าววววว อ่านมาตั้งนานนน นี่นิยายสีขาวเหรอเนี่ยยย
ไม่ได้นะ fc ไม่ยอม นี่กะทำป้ายไฟรอเลยนะ แค่เหลืิอเลือกพระเอกแค่นั้นจริงๆ อะๆๆ หยวนๆ ให้คู่เจ้ก่อนก็ได้ อาวุโสสุดนี่นา
อืมมมม เจ้ดูน่าสงสารนะ แล้วฝากบอกแว่นด้วยนะ ได้มาอยู่ชาตินี้ ภพนี้ ชีวิตก็ดีขนาดนี้ อยู่ต่อเหอะ อย่ากลับเลย สงสารโบ้บ้างงง ชาติที่แล้วร่างกายอาจจะไม่ได้ แต่ชาตินี้ นางก็สวยและแกร่งสุดในปฐพีแล้ว ให้นางสมใจบ้าง อะเคนะ ตามนี้ เค้าจะเปิดเต๊นท์รอดูฉากเจ้นะ 555
อ้าววววว อ่านมาตั้งนานนน นี่นิยายสีขาวเหรอเนี่ยยย
ไม่ได้นะ fc ไม่ยอม นี่กะทำป้ายไฟรอเลยนะ แค่เหลืิอเลือกพระเอกแค่นั้นจริงๆ อะๆๆ หยวนๆ ให้คู่เจ้ก่อนก็ได้ อาวุโสสุดนี่นา
อืมมมม เจ้ดูน่าสงสารนะ แล้วฝากบอกแว่นด้วยนะ ได้มาอยู่ชาตินี้ ภพนี้ ชีวิตก็ดีขนาดนี้ อยู่ต่อเหอะ อย่ากลับเลย สงสารโบ้บ้างงง ชาติที่แล้วร่างกายอาจจะไม่ได้ แต่ชาตินี้ นางก็สวยและแกร่งสุดในปฐพีแล้ว ให้นางสมใจบ้าง อะเคนะ ตามนี้ เค้าจะเปิดเต๊นท์รอดูฉากเจ้นะ 555
ใบบัวน่ารัก 16 ก.ย. 2557, 05:45:44 น.
ว้ายๆๆๆๆ><
เจ้ลงอ่างเลยค้า เดี้ยนเชียร์สุดตัว ทำหน้าที่ให้ประทับใจเลยค้า ว้ายๆๆ เลือดกำเดาไหล
แว่นคะ ได้จอแบน มา อายุยังน้อย ต้องรีบบำรุง ออกกำลังกาย จะได้มีภูเขาน้อยๆกะเค้าบ้าง
ได้ร่างใหม่มาจิ้นจอแบน จะไปอ่อยใครได้บ้างเนี่ย ฮ้อ
ว้ายๆๆๆๆ><
เจ้ลงอ่างเลยค้า เดี้ยนเชียร์สุดตัว ทำหน้าที่ให้ประทับใจเลยค้า ว้ายๆๆ เลือดกำเดาไหล
แว่นคะ ได้จอแบน มา อายุยังน้อย ต้องรีบบำรุง ออกกำลังกาย จะได้มีภูเขาน้อยๆกะเค้าบ้าง
ได้ร่างใหม่มาจิ้นจอแบน จะไปอ่อยใครได้บ้างเนี่ย ฮ้อ
ribbin 16 ก.ย. 2557, 22:31:30 น.
สีขาวจริงอ่ะ ... ไม่เคยคิดเลยว่าจะสีขาว 555
ถ้าไม่ติดว่าเจ้อยู่หอ ต้องคิดว่าคู่กะองค์ชายสามแน่เลย อิอิ
สีขาวจริงอ่ะ ... ไม่เคยคิดเลยว่าจะสีขาว 555
ถ้าไม่ติดว่าเจ้อยู่หอ ต้องคิดว่าคู่กะองค์ชายสามแน่เลย อิอิ
yoko 19 ก.ย. 2557, 00:52:27 น.
กรี๊ดดดดด ชอบค่ะชอบ เจ้กะองค์ชายสามดูเป็นคู่ที่น่่าลุ้นมั่กๆ จะได้ลืมๆตานพพรไปเสียที
กรี๊ดดดดด ชอบค่ะชอบ เจ้กะองค์ชายสามดูเป็นคู่ที่น่่าลุ้นมั่กๆ จะได้ลืมๆตานพพรไปเสียที
Zephyr 6 ต.ค. 2557, 09:14:59 น.
โฮ้ยยยย ขัดใจ เปลี่ยนโหมดเซ่ะ
เปลี่ยนเลยๆๆๆๆๆๆ
อิอิอิ น้ำอุ่นจยร้อนป่ะนะ
เหม่ คู่นี้ดูท่าทางจะ 25++++
โฮ้ยยยย ขัดใจ เปลี่ยนโหมดเซ่ะ
เปลี่ยนเลยๆๆๆๆๆๆ
อิอิอิ น้ำอุ่นจยร้อนป่ะนะ
เหม่ คู่นี้ดูท่าทางจะ 25++++