ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: สัตว์พันปี : บทที่ ๒ ผีเสื้อโลหิต

สัตว์พันปี : บทที่ ๒ ผีเสื้อโลหิต

จะเกิดอะไรขึ้นหากปล่อยนางโลมโฉมงามเอาไว้กับองค์ชายเจ้าเสน่ห์ตามลำพังในห้องหับมิดชิด หนำซ้ำยังมีฝ่ายหนึ่งไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

คำตอบแรกที่แวบเข้ามาในใจหลายคนคงเป็นฉากเรตสิบแปดบวก ซึ่งในความเป็นจริงก็เกือบจะมีฉากอย่างว่าอยู่เหมือนกัน แต่เป็นฉากฆาตกรรม หาใช่ฉากโรมานซ์หวานชื่น คณิกาคนงามถึงกับมือไม้สั่นอยากจับหัวองค์ชายกดน้ำเพราะความกวนประสาทของอีกฝ่าย

องค์ชายลี่หมิงกลับมาเป็นตัวของตัวเองเมื่อได้ลงไปแช่ในอ่างน้ำอุ่น เมื่อบรรยากาศอึมครึมในจิตใจสลายหายไป คนขี้แกล้งก็หันมาหยอกล้อสาวงามที่กำลังทำความสะอาดร่างกายให้

“ข้าไว้ใจเจ้านะฟางเซียน ห้ามอดใจไม่ไหวแล้วล่วงเกินข้าเชียวนะ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาปิดแผงอกขาวเนียนของตัวเองเอาไว้ด้วยท่าทางเอียงอายผสมหวาดระแวง

“ไม่ต้องห่วงเพคะ ระดับองค์ชายไม่ทำให้หม่อมฉันหวั่นไหวหรอก” ว่าแล้วก็ตวัดสายตามองตั้งแต่หัวจนถึงส่วนที่แช่อยู่ใต้น้ำ

องค์ชายลี่หมิงกระตุกยิ้มที่มุมปาก คำตอบที่ไม่ต่างจากการปรามาสนี้เข้าทางคนเจ้าเล่ห์พอดี

“ดี...ถูตัวให้ข้าหน่อย” ว่าแล้วก็เอาขายกขึ้นมาพาดที่ขอบอ่าง แบบไม่แคร์เลยว่าหนอนน้อยจะโผล่พ้นผิวน้ำหรือเปล่า

ดีที่ว่าพวกมหาดเล็กเติมน้ำมาให้เต็มอ่าง แถมยังโรยกลีบดอกไม้มาให้เสียหนา ก็เลยไม่มีภาพอุจาดตาให้เห็น

เจ้หยิบผ้าขึ้นมาขัดตัวให้อย่างขอไปที คนที่นอนแช่น้ำสบายเลยยั่วต่อ

“ลงมาลึกหน่อยสิ ถูแบบนั้นแล้วจะสะอาดได้ยังไง”

องค์ชายสามมองคนข้างกายด้วยสายตาท้าทายว่ากล้าหรือเปล่า

“ได้เพคะ” เจ้รับคำแบบไม่กลัว

ก่อนจะมาโลกนี้เธอมีหนอนน้อยเป็นของตัวเองมาค่อนชีวิต ตอนเกณฑ์ทหารก็เห็นมาแล้วทั้งกองร้อย จะกลัวอะไรกับของคนบ้ากวนประสาทคนเดียว

มือเรียวนุ่มนิ่มลากผ้าไล้จากเหนือเข่าแหวกกลีบดอกไม้เหนือผิวน้ำตรงดิ่งไปที่โคนขาแน่นๆ แบบไม่ลังเล ยังไม่ทำได้ถึงเป้าหมาย องค์ชายจอมกวนก็ทำปากจิ๊จ๊ะ

“อ๊ะๆ จะทำอะไร”

“ขัดขาให้ไงเพคะ”

“ถูดีๆ สิ ไม่เห็นจะต้องล้วงลงลึกปานนั้น หวังอะไรอยู่ฮึฟางเซียน”

“ไม่ได้หวังเพคะ หม่อมฉันแค่ทำตามคำสั่ง” เจ้แยกเขี้ยวใส่

“นี่มันอ้างคำสั่งแล้วหาเรื่องลวนลามข้าชัดๆ ผู้หญิงหื่นกามอย่างเจ้านี่ไว้ใจไม่ได้เลย” พูดแล้วก็ดีดน้ำใส่หน้าทำอีกฝ่ายฉุนขาด

“อาบเองเลยไป”

เจ้โยนผ้าขัดตัวใส่หน้าคนกวนประสาทเต็มแรง ผลคืออีกฝ่ายหัวเราะร่วนด้วยความพอใจ

“เจ้ารู้ไหมว่าน่ารักเหลือเกินเวลาโกรธ”

รอยยิ้มกรุ้มกริ่มขององค์ชายรูปงามทั้งยั่วเย้าและเชิญชวน ทว่ากลับไม่มีผลใดๆ ต่อหัวใจที่มีป้อมปราการหนารายล้อม เจ้เดินหนีไปในทันที คนที่แช่น้ำอยู่เลยรีบลุกพรวดออกจากอ่างไปคว้าตัวเอาไว้

“ข้าล้อเล่นนิดเดียว อย่างอนสิ”

“ปล่อยหม่อมฉันเพคะ” เจ้ทำเสียงกระด้างใส่

“ถ้าข้ายอมปล่อย เจ้าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าจนเช้าไหม”

“ไม่มีทางเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องต้องทำ แต่ถ้าองค์ชายพอใจจะแก้ผ้ายืนอยู่อย่างนี้จนสว่าง หม่อมฉันก็คงทำอะไรไม่ได้”

องค์ชายลี่หมิงหัวเราะกับความดื้อรั้นของฟางเซียน ก่อนจะคลายมือออกจากตัวหญิงสาวแต่โดยดี

“ข้ายอมแพ้แล้ว เชิญแม่นางหลง ฟางเซียนออกไปจากห้องนี้ได้”

เจ้สาวเท้าไปที่ประตูแบบไม่รอช้า แต่แล้วก็ต้องชะงักยอมเหลียวหลังกลับมาเมื่อน้ำเสียงขององค์ชายสามเปลี่ยนเป็นจริงจังผิดหู

“ฟางเซียนไปได้ แต่ผีเสื้อโลหิตต้องอยู่ต่อ”

“นายใหญ่ปรารถนาสิ่งใด” เจ้หันมาเผชิญหน้าด้วยแววตาคมกล้า สรรพนามที่เปลี่ยนไปบ่งบอกว่าพร้อมที่จะรับงาน

กิริยาทุกอย่างของเจ้เป็นไปโดยอัตโนมัติ นาม ‘ผีเสื้อโลหิต’ ส่งผลกระทบกับเธออย่างรุนแรง เพราะมันคือฉายาที่ฟางเซียนใช้ในองค์กรพรานราตรี นามนี้คือมรดกที่นายใหญ่คนเก่าทิ้งเอาไว้ให้ เพื่อเป็นเกียรติแก่สายลับและมือสังหารอันดับหนึ่ง เวลาถูกเรียกด้วยนามนี้ทีไร ใจเจ้จะฮึกเหิมเป็นอย่างมาก พร้อมกับเกิดอาการกระหายในกลิ่นคาวเลือด ราวกับเป็นนักดื่มที่เฝ้าฝันถึงสุราชั้นเลิศ

เธออยากปักคมมีดลงในร่างเหยื่อ อยากจะได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาของพวกมัน ทรมานเสร็จแล้วค่อยตัดหัวมารับรางวัลจากนายท่านที่รักยิ่ง

ความคิดอันโหดเหี้ยมที่ปราศจากความรู้สึกผิดนี้คือสิ่งที่ได้มาพร้อมกับร่างกายอันแสนงดงามของฟางเซียน แม้ว่าเจ้จะควบคุมตัวเองได้ แต่บ่อยครั้งก็พ่ายต่อความต้องการในส่วนลึก ไม่ทันรู้ตัวเธอก็เผลอรับงานมาจากนายใหญ่เสียแล้ว


สายสืบของพรานราตรีที่ถูกส่งออกไปหาข่าว กลับมาแจ้งเบาะแสต่อองค์ชายสามในยามสายว่าพวกนักฆ่ามีความเกี่ยวข้องกับสนมเหอ ทว่าก็ยังขาดหลักฐาน เป็นคนอื่นคงจะขวนขวายหาทางเอาผิด แต่สำหรับองค์ชายสาม แค่มั่นใจว่าตัวการคือใครก็มากเกินพอแล้ว ชายหนุ่มแอบเคลื่อนไหวอยู่เงียบๆ รอเวลาและโอกาสที่จะแก้แค้นอีกฝ่ายอย่างสาสม

นอกจากองค์ชายสามแล้ว คนที่รู้ความเป็นไปทุกสิ่งเป็นอย่างดีก็คือฮ่องเต้ ความผิดของสนมเหอไม่อาจรอดพ้นพระเนตรพระกรรณของพระองค์ไปได้ แม้จะไม่แสดงออกแต่ก็กริ้วเป็นอย่างมาก ทรงมีบัญชาให้ส่งสารเตือนไปยังเสนาบดีเหอ หนนี้พระองค์จะทำเป็นมองไม่เห็น แต่ถ้ายังมีเรื่องต่ำช้าอย่างนี้เกิดขึ้นอีก พระองค์จะสั่งประหารล้างโคตรสกุลเหอแบบไม่ลังเล

ในขณะที่สารกำลังเดินทางไปยังสกุลเหอ ผู้สมรู้ร่วมคิดโดยอ้อมอย่างองค์ชายรองกลับเพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับกุ้ยฮวาและองค์หญิงลี่จู

“เจ้ามั่นใจแค่ไหน” องค์ชายรองถามคนสนิทเสียงขรึม หากมันเป็นความจริงย่อมเป็นเรื่องใหญ่

“ข้าพระองค์สืบได้ว่ามีการว่าจ้างมาจากขุนนางที่มีความใกล้ชิดกับสกุลเหอ คนของเราที่ถูกเปลี่ยนตัวยังบอกอีกว่าเป็นคำสั่งลับจากองค์ชาย”

ได้ฟังเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องซักเพิ่มเติมอีก ก่อนออกมาจากเมืองหลวง สนมเหอได้เสนอความคิดว่าองค์ชายรองน่าจะหาวิธีมัดใจกุ้ยฮวา จะได้ดองกับสกุลเฉินเพื่อสร้างฐานอำนาจให้กับตัวเอง สนมเหอแนะว่าผู้หญิงย่อมประทับใจในบุรุษที่ห้าวหาญสามารถช่วยปกป้องตัวเองได้ จึงเสนอแผนการสร้างสถานการณ์ว่ารถม้าของนางพลัดหลงจากขบวนเสด็จ แล้วให้องค์ชายรองมาช่วยเหลือเอาไว้จากโจร เท่านี้ก็จะได้ใจนางและได้รับการยอมรับจากเสนาบดีเฉิน

องค์ชายรองมองว่ามันเป็นแผนการที่แยบยลพอใช้ จึงตัดสินใจส่งคนเข้าไปทำหน้าที่เป็นพลขับ เป็นเหตุให้สนมเหอใช้โอกาสนี้สลับคนของเขากับนักฆ่า

“ไปเก็บพวกนักฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือหลักฐานสาวตัวไปที่ใครได้”

องค์ชายรองออกคำสั่งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกซัดทอดมาถึงตัวเอง

“ทูลองค์ชาย ข้าพระองค์ส่งคนไปแล้วพะยะค่ะแต่ว่าไม่ทันการณ์ พวกมันถูกคนไม่ทราบกลุ่มสังหารไปแล้ว”

“ไปสืบมาว่าใครเป็นคนเก็บเจ้าพวกนั้น”

“พะยะค่ะ” ชายหนุ่มรับคำแข็งขัน ก่อนจะถามต่อ “แล้ว...เรื่องสนมเหอ”

“ไปตามไท่ตงมา เสร็จเรื่องก็เงียบไว้ จีบดูความเคลื่อนไหวของทุกคนให้ดี โดยเฉพาะฮ่องเต้กับองค์รัชทายาท ถ้ามีเรื่องผิดปกติไม่ว่าเล็กน้อยแค่ไหนก็ต้องรีบมารายงานข้า”

“รับด้วยเกล้า”

สายสืบในคราบของทหารองครักษ์ทำความเคารพแล้วหลบฉากออกไปทำงาน ปล่อยให้องค์ชายรองได้อยู่ตามลำพัง สถานการณ์ในตอนนี้จัดว่าเลวร้ายทีเดียว หากความถึงฮ่องเต้หรือมีหลักฐานมัดตัวย่อมหมายถึงความหายนะ

“นังผู้หญิงโง่เง่า” องค์ชายรองกำหมัดแล้วต่อยกำแพงด้วยความโมโห

เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่สนมเหอจะรู้อยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาทราบความจริงในตอนหลัง ทว่านางก็ยังทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ลง คงคิดกระมังว่าหากช่วยให้เขาได้แต่งงานกับบุตรสาวเจ้าเมืองหรืออ๋องคนใดคนหนึ่ง องค์ชายผู้ทะเยอทะยานคงย่อมยอมยกโทษให้และไม่เลิกล้มการเป็นพันธมิตรต่อกัน

ความคิดของสนมเหอถือว่าถูกต้องในแง่ของคนที่มองเฉพาะผลประโยชน์ ทว่ากลับใช้ไม่ได้กับองค์ชายรอง มีเพียงชายหนุ่มเท่านั้นที่รู้ว่าสายสัมพันธ์ที่มีต่อกุ้ยฮวา คืออารมณ์อ่อนไหวเดียวที่เขามี ชายหนุ่มไม่อาจปล่อยให้คนที่ทำร้ายคนสำคัญของตัวเองลอยนวลอยู่ได้ แต่ก็ไม่อาจทำลายฐานอำนาจของตัวเองทิ้งได้เช่นกัน สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มสามารถทำเพื่อระบายความโกรธเกรี้ยวของตนเองได้ มีเพียงการโต้ตอบทางจิตใจเท่านั้น

องค์ชายรองส่งคนควบม้าเร็วไปส่งข่าวให้องค์ชายแปดที่ตำหนักมังกรน้ำ เพื่อบอกเล่าความจริงถึงพฤติกรรมอันโหดเหี้ยมของสนมเหอ คนขององค์ชายรองฉลาดพอที่จะโน้มน้าวให้องค์ชายน้อยเชื่อโดยไม่กังขาว่าความริษยาของสนมเหอจะนำภัยมาสู่ตน ถ้าอยากรอดก็ตัดแม่ตัดลูกกับนางเสีย องค์ชายรองจะช่วยพูดให้ว่าองค์ชายแปดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการกระทำในครั้งนี้ ไม่ว่าองค์ชายแปดจะตัดสินใจอย่างไร องค์ชายรองก็เชื่อมั่นว่าสนมเหอจะต้องได้รับการลงทัณฑ์จากเพชฌฆาตที่มีนามว่า ‘โอรส’


ความจริงเรื่องกุ้ยฮวากับองค์หญิงลี่จูถูกมือสังหารลอบทำร้ายรู้กันในวงแคบ ไม่เพียงแต่ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ห้ามเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้ประสบเหตุทั้งสองยังถูกกำชับไม่ให้พูดด้วย คำสั่งนี้มาจากฮ่องเต้โดยตรง พระองค์ตรัสกับพระธิดาและหลานสาวอย่างมีเหตุผล ว่าไม่ต้องการให้สนมเฉินและบิดาของกุ้ยฮวาเป็นห่วง รวมถึงเป็นการรักษาเกียรติของทั้งสองด้วย เรื่องจึงจบลงโดยมีบทสรุปว่าหลงทางเพราะความสะเพร่าของพลขับ

สำหรับเรื่องของชุนหลัน ทุกคนต่างเห็นว่านางควบม้าออกไปตามหาองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา เพื่อไม่ให้ผู้คนสงสัยจึงปล่อยข่าวออกไปว่านางเกิดอุบัติเหตุตกจากหลังม้า หน่อมค่อนข้างเสียใจกับเรื่องนี้พอสมควร เขาเห็นว่าชุนหลันยอมเสี่ยงตายเพื่อช่วยเจ้านาย แต่กลับต้องปิดวีรกรรมอันแสนกล้าหาญนี้เอาไว้เป็นความลับ หน่อมเลยทูลขอร้องให้พระบิดาพระราชทานรางวัลให้ชุนหลันอย่างลับๆ ฮ่องเต้ทรงรับปาก ทั้งยังประทานรางวัลให้คนที่ช่วยเหลือพระธิดาเอาไว้มากมาย

ไป๋หลินกับหยางเจี้ยนได้รับทองคำถาดใหญ่กับเครื่องประดับเพื่อตอบแทนน้ำใจ ตามธรรมเนียมปฏิบัติแล้วไม่มีใครสามารถปฏิเสธของพระราชทานได้ ต่อให้เป็นยาพิษก็ต้องดื่ม หยางเจี้ยนจึงรับมาแบ่งกันกับไป๋หลิน เขายกเครื่องประดับมีค่าให้หญิงสาวทั้งหมด ทองคำส่วนของตัวเองก็เอาไปแจกจ่ายให้ผู้ยากไร้ ด้วยถือคติช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

หลายคนมองว่าชายหนุ่มโง่ แต่หยางเจี้ยนกลับยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วบอกไปว่าชาวยุทธ์อย่างเขา มีเงินมากไปก็รังแต่จะทุกข์ใจเพราะหวาดระแวง องค์ชายหกได้ยินก็รู้สึกถูกใจจึงทาบทามให้มาทำงานด้วย องค์รัชทายาทเองก็ยื่นข้อเสนอมาให้เช่นกัน เสียดายว่าชายหนุ่มปฏิเสธ หยางเจี้ยนทูลตามตรงว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ไม่เหมาะกับกฏระเบียบที่เคร่งครัด เกรงว่าจะสร้างปัญหาให้

เมื่อเจ้าตัวไม่สมัครใจก็ไม่มีใครรั้งเอาไว้อีก หยางเจี้ยนเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น ทว่ากลับติดปัญหาเพราะไป๋หลินไม่ยอมเดินทางไปด้วยกัน นางอยากอยู่กับองค์หญิงลี่จูและบรรดาเพื่อนใหม่อีกสักระยะ

“เราไปถึงช้าหลายวันแล้ว ถ้าไม่รีบกลับไปส่งข่าวให้พ่อเจ้า ท่านจะเป็นห่วงเอาได้นะ เจ้าอยากให้ท่านส่งคนมาตามตัวกลับไปหรือไง” หยางเจี้ยนยกชื่อท่านประมุขมู่มาขู่

“ไม่เอานะพี่หยาง ข้าไม่อยากกลับไปหุบเขาหิมะตอนนี้” โบ้ร้องลั่น

แต่ไหนแต่ไรมาไป๋หลินไม่เคยกลัวใครนอกจากบิดา ก่อนมาอยู่โลกนี้โบ้เองก็กลัวพ่อชนิดขึ้นสมอง พ่อสั่งซ้ายก็ต้องหันซ้าย สั่งหันขวาก็ต้องหันขวา พอรวมร่างกันนิสัยนี้จึงไม่เคยหายไปจากตัว

“ถ้าเช่นนั้นก็รีบเก็บของแล้วเดินทางไปด้วยกันเถอะ”

“พี่หยางไปก่อนแล้วรายงานท่านพ่อว่าถึงแล้วไม่ได้หรือ” โบ้ต่อรอง

“ไม่ได้ พี่รับปากท่านลุงแล้วว่าจะดูแลเจ้า จะปล่อยเอาไว้ที่นี่ตามลำพังได้อย่างไร”

หยางเจี้ยนมักจะตามใจไป๋หลินเสมอ ทว่าหนนี้เขากลับเร่งให้นางออกจากที่นี่ ด้วยเกรงว่าความงามของนางจะเป็นที่ต้องใจขององค์ชาย ต่อให้สมัครใจฐานะอย่างไป๋หลินเป็นได้อย่างมากแค่นางบำเรอ จึงอยากตัดไฟตั้งแต่ต้นลม โบ้ไม่เข้าใจความปรารถนาดีของหยางเจี้ยน จึงเป็นเหตุทำให้ทะเลาะกัน พอเถียงกันหนักเข้าดวงตาคู่สวยของไป๋หลินก็มีหยาดน้ำคลอ

หากยึดเอาตามความรู้สึกของไป๋หลิน หยางเจี้ยนคือพี่ชายที่รักและเข้าใจนางมากกว่าใคร พอโบ้ได้คลุกคลีกับเขาด้วยตัวเอง ก็ยิ่งรักและนับถือผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก ตอนอยู่โลกเดิมเขามีพี่ชายแต่ก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก มาโลกนี้ก็ไม่สนิทกับพวกพี่ๆ ของตัวเอง มีหยางเจี้ยนนี่แหละที่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีพี่ชายจริงๆ กับเขาสักคน นอกจากนี้เวลาอยู่กับหยางเจี้ยนเธอยังสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่ พอชายหนุ่มไม่ยอมฟังเหตุผลเลยรู้สึกน้อยใจมาก

“ข้าขอโทษที่ขึ้นเสียง” หยางเจี้ยนเอ่ยอย่างรู้สึกผิดเมื่อเห็นว่าหญิงสาวตั้งท่าจะร้องไห้

“พี่หยางให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้หรือ ข้าอยู่แต่ในหุบเขา เพื่อนวัยเดียวกันที่คุยกันรู้เรื่องแทบจะไม่มี ถ้าองค์หญิงลี่จูกลับวังไปก็คงไม่มีโอกาสได้พบนางอีกแล้ว”

ทั้งที่อ้อนวอนขนาดนี้หยางเจี้ยนก็ยังใจแข็ง ซ้ำร้ายยังยกเรื่องในอดีตมากดดัน

“จำตอนที่เจ้าแอบไปฝึกวิชาได้ไหม เจ้าสัญญาว่าจะดูแลตัวเองอย่างดี ข้าเลยช่วยปิดบังทุกคนให้ แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร หากข้าไม่สะกิดใจนึกเป็นห่วงเจ้าคงตายไปแล้ว ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แผ่นดินกว้างใหญ่ผู้คนมากมาย ไม่มีอะไรมารับประกันได้หรอกว่าผู้หญิงอ่อนเดียงสาอย่างเจ้าจะดูแลตัวเองได้”

ชายหนุ่มอยากสื่อถึงความห่วงใย ทว่าอีกฝ่ายกลับคิดว่าเป็นถ้อยคำปรามาส เหมือนอย่างที่ท่านพ่อและพวกพี่ๆ ชอบดูถูก ก็เลยตะโกนเถียง

“ต่อให้ท่านไป ข้าก็ไม่ได้อยู่ตามลำพังสักหน่อย”

โบ้ก้มลงเก็บก้อนหินขึ้นมาจากพื้น กวาดตามองหาบางอย่างได้สักครู่ก็ขว้างหินไปที่ต้นไม้สุดแรง อึดใจก็มีเสียงคนร้องลั่น ตามมาด้วยเสียงวัตถุร่วงลงมาจากต้นไม้

แว่นกับหน่อมกำลังยืนสังเกตการณ์โบ้กับหยางเจี้ยนอยู่พอดี เลยพร้อมใจกันหันไปมอง แล้วก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนอนกองอยู่ใต้ต้นไม้ ท่าทางจุกทีเดียวเพราะโดนหินอัดเข้าที่หน้าท้อง

ขณะนี้ทุกคนอยู่ในเขตพลับพลาที่ประทับ รอบบริเวณมีทหารเดินตรวจตราอยู่ การปรากฏกายของชายแปลกหน้าจึงก่อให้เกิดความตื่นตระหนก ไม่ทันได้สอบถามว่าคนคนนี้เป็นใครก็มีเสียงตะโกนว่าผู้บุกรุก พริบตาเดียวคมดาบจำนวนมากก็ไปจ่ออยู่ที่คอชายหนุ่มปริศนาแล้ว

“นำตัวไปให้หัวหน้าองครักษ์” หัวหน้าทหารยามออกคำสั่ง ก่อนจะหันไปทางกลุ่มขององค์หญิงลี่จู “องค์หญิงโปรดหลบเข้าที่ประทับไปก่อน ที่นี่ไม่ปลอดภัย”

“ช้าก่อนพวกท่านพี่ทั้งหลาย ข้ามาดีไม่ได้มาร้าย” ชายปริศนารีบถอดหน้ากากออกเพื่อแสดงตัว

ผู้ชายคนนี้อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับไป๋หลิน ที่สะดุดตาคือใบหน้าที่งดงามชวนมอง หากรู้จักสังเกตก็จะรู้ในทันทีว่าคนคนนี้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับไป๋หลิน

“เขาชื่อมู่ ไป๋อวี้ เป็นน้องชายฝาแฝดของข้าเอง” โบ้อธิบายเพิ่มเติมให้กับพวกทหาร

ทว่าพวกนั้นกลับไม่ยอมปล่อย หัวหน้าทหารยามยืนกรานว่าจะคุมตัวชายหนุ่มไปโทษฐานบุกรุก หน่อมก็เลยต้องออกหน้าช่วย

“น้องชายของเพื่อนเรา ก็เหมือนเป็นเพื่อนเรา พวกเจ้าห้ามเสียมารยาทนะ”

“ถึงจะเป็นเช่นนั้นองค์ชายก็ไม่สมควรไว้ใจคนที่ไม่มีหัวน้อยปลายเท้า โปรดมอบตัวชายผู้นี้ให้ข้าพระองค์ตรวจสอบก่อนเถอะพะยะค่ะ ยืนยันเจตนาได้แล้วเราจะปล่อยตัวในทันที”

ฟังแล้วก็ดูดีอยู่ แต่ตามหลักปฏิบัติ เขาจะต้องถูกคุมตัวอย่างน้อยเจ็ดวัน มีเพียงแว่นเท่านั้นที่รู้ เลยแกล้งบอกอย่างอ้อมๆ

“เจ้าอย่าทำให้พวกทหารลำบากใจเลยนะลี่จู เขาก็แค่ทำตามหน้าที่ เจ้าเองก็อดทนหน่อยนะ” แว่นหันไปทางไป๋อวี้ “ถูกสอบสวนไม่เกินเจ็ดวัดหรอก แต่อาจจะต้องอดข้าวสักสามสี่วัน”

ได้ยินอย่างนั้นไป๋อวี้ก็ร้องเสียงหลง

“ไม่เอานะ! ถูกขังไม่ว่าแต่อดข้าวข้าทนไม่ได้แน่ อาเจ๊ช่วยหยกน้อยด้วย” ไป๋อวี้หันมามองพี่สาวอย่างวิงวอน

“ข้าช่วยเจ้าแน่ ไม่ต้องห่วงนะ” โบ้รับคำน้องเพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดเรื่อง “หน่อม เอ๊ย! องค์หญิงได้โปรดช่วยน้องชายหม่อมฉันด้วย”

หน่อมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปทางทหารองค์รักษ์ว่าจะขอรับผิดชอบทุกอย่างเอง ทหารยามเห็นแก่องค์หญิงจึงไม่จับกุมตัวไป๋อวี้เอาไว้ แต่มีคำสั่งให้ออกไปจากเขตนี้ในทันที เรื่องก็เลยไปเข้าทางหยางเจี้ยน

ประมุขมู่มีความเป็นห่วงธิดาเป็นอย่างมาก แม้ว่าหยางเจี้ยนจะรับปากว่าจะดูแลนางอย่างดีก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ เพื่อไม่ให้หยางเจี้ยนรู้สึกไม่ดีที่ตนไม่ไว้ใจ จึงให้ไป๋อวี้ที่มีวิชาพรางตัวเป็นเลิศแอบตามมาอย่างเงียบๆ ถ้าถูกจับได้ก็บอกไปว่านึกสนุกก็เลยแอบตามมา

ไป๋อวี้เก่งพอที่จะหลบซ่อนตัวเองจากสายตาของหยางเจี้ยนได้ ก็เลยประมาทเผลอตัวเข้าใกล้มากเกินไป จนพี่สาวฝาแฝดจับกลิ่นอายได้ สายสัมพันธ์พิเศษของพี่น้องทำให้โบ้รับรู้ว่าไป๋อวี้อยู่ใกล้ๆ จึงจงใจให้เผยตัว หยางเจี้ยนจะได้เลิกใช้ข้ออ้างว่าไม่วางใจให้อยู่คนเดียว แต่ถ้าไป๋อวี้ต้องออกไปจากเขตนี้ก็เท่ากับโบ้หมดข้ออ้างที่จะอยู่ต่อ

แว่นเข้าใจสถานการณ์จึงหาทางช่วยด้วยการทำเป็นพูดเสียงเข้ม

“ปล่อยไปง่ายๆ ไม่ได้นะ จะอย่างไรผู้ชายคนนี้ก็บุกรุก แต่เห็นแก่ว่าเป็นญาติของผู้มีพระคุณของข้ากับองค์หญิง เราจะส่งตัวให้องค์ชายหกพิจารณาโทษแทน”

ถ้าขอร้ององค์ชายหกต้องช่วยอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่ไป๋อวี้จะปลอดภัย ไป๋หลินยังได้ข้ออ้างอยู่ที่นี่ต่อไปด้วย หน่อมอ่านเกมออกและเห็นว่าโบ้คงไม่เข้าใจ ก็เลยส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบเอาไว้ก่อน

พวกทหารเห็นด้วยกับความคิดนี้จึงเตรียมคุมตัวไป๋อวี้ให้ไปหาองค์ชายหก ทว่าทุกอย่างกลับผิดแผนเพราะการปรากฏตัวขององค์ชายรอง ชายหนุ่มสอบถามเหตุการณ์ทุกอย่างจนรู้เรื่องราว เมื่อทราบที่มาที่ไปของชายแปลกหน้าแล้ว เขาก็หันไปพูดกับไป๋อวี้อย่างสุภาพ

“ข้าทราบดีว่าท่านไม่ได้มาร้าย แต่ที่นี่อยู่ในเขตที่ประทับ ย่อมต้องมีกฎให้ปฏิบัติ ขอเชิญท่านจอมยุทธ์ไปสนทนากับข้าสักพักจะได้ไหม”

ไป๋อวี้หยุดร้องโวยวายในทันทีเมื่อได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติ ชายหนุ่มยอมให้คนขององค์ชายรองคุมตัวไปอย่างง่ายดาย คนที่เหลือในที่นั้นต่างก็ไม่มีใครสามารถทักท้วงได้เพราะมีอำนาจน้อยกว่า และไม่อาจปฏิเสธน้ำใจของสุภาพบุรุษอย่างองค์ชายรองได้

ก่อนไปชายหนุ่มหันมายิ้มให้กับองค์หญิงลี่จู แล้วจึงค่อยเบนสายตาไปทางแว่น

“ไม่ต้องห่วงนะ”

ประโยคนี้เขาจงใจพูดกับกุ้ยฮวาโดยเฉพาะ แววตาขององค์ชายจงเต๋อแฝงเอาไว้ด้วยความห่วงใย ทว่าแทนที่จะสบายใจ แว่นกลับรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีตอนดึกค่ะ พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ใครได้หยุดยกมือขึ้น คนเขียนโบกมือด้วยคนค่ะ งานไม่เสร็จแต่ไม่แคร์ (เอ๊ะ! ยังไง)

นัดกลุ่มพี่ๆ เพื่อนๆ ที่สนิทกันเอาไว้ ไม่ได้เจอกันนานมาก พวกเราเลยจะไปตะลุยกินตั้งแต่สายยันค่ำ เย่!!! (T25 ก็เอาไม่อยู่ละงานนี้) ใครผ่านไปแถวไลน์รถไฟฟ้าอารีย์ แล้วเห็นแก๊งชะนีผู้หิวหื่นก็อย่าตื่นตระหนกนะคะ พวกเราไม่กัด แต่จะลากลงน้ำไหมอีกเรื่อง 5555

เวิ่นเว้อมาพอแล้วกลับมาที่เนื้อเรื่องกันบ้าง เค้าไม่ได้ลืมแพนด้านะตัวเอง ตอนหน้าแพนด้ามาแล้วจ้ะ แม่ยกอ้วนแพนเตรียมรอรับนะจ๊ะ

ก่อนจากขอขายของนิดนึงนะคะ ตอนนี้เปิดให้จองนิยายข้ามกาลในราคาพิเศษค่ะ หมดเขตวันที่ 23 นี้นะคะ ทิ้งชื่อและอีเมลไว้ ท่านจะซื้อได้ในราคาถูกกว่างานหนังสือค่ะ(ลด 30-35%)

โปรนี้สำนักพิมพ์จัดมาให้พิเศษเพื่อการโปรโมท หลังจากนั้นนักเขียนไม่รับสั่งแล้วนะคะ สามารถหาซื้อได้ตามร้านกับสั่งทางเว็บเท่านั้น ซึ่งจะได้ลดอย่างมากแค่ 20% ค่ะ เลยมาแจ้งเอาไว้ก่อน เดี๋ยวจะงอนคนเขียนทีหลังว่าไม่แจ้งข่าว

คืนนี้ฝันดีมีความสุขนะคะ จุ๊บๆ ^3^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ย. 2557, 00:00:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ย. 2557, 00:00:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1412





<< สัตว์พันปี : บทที่ ๑ รวมตัวกันอีกครั้ง   สัตว์พันปี : บทที่ ๓ ท่านหญิงฮุ่ยเสียน >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 20 ก.ย. 2557, 01:08:57 น.
โอ๊ะ ฉากหวาบหวิว เรท 66+ ตอนต้นเรื่องนี่มัน!!! เฮ้ออ ตกลงสองคนนั้นเค้ามีสัมพันธ์กันแนวไหนนะ (แนวนอนอ๊ะเป่า ฮี่ๆๆๆ)
อิจาชายรองเนี่ย ท่าทางจะไม่ใช้พระเอกของใครละ ดูแบดบอย ไม่ถูกเวลาเกิ๊นนน เห้อ เรื่องนี้ เดายากจิงๆ


คิมหันตุ์ 20 ก.ย. 2557, 01:48:11 น.
สนุกดีค่าาาาากางแผนภาพความสัมพันธ์ตามแปปนะคะ.


ใบบัวน่ารัก 20 ก.ย. 2557, 07:56:11 น.
โบ้มีน้องชายแฝด เป็นตุ๊ดหรือกระเทยหรือเปล่าดูอ่อนแอจัง
เป็นลูกชายจอมยุธ น่าจะแมนๆๆนะ
เสียใจที่ไม่มีฉากเลิฟซีน คนสวยอารมเสียเลย
เจ้มีหนอนน้อยเห็นมาทั้งกองร้อง ของนายใหญ่ ใหญ่อะเป่า
สู้ของคนรักเจ้ได้กะ ว้ายยยยเขิล


yoko 26 ก.ย. 2557, 00:17:29 น.
องค์ชายรองมามีความักความหลังอะไรกะกุ้ยฮวาเนี่ย


Zephyr 6 ต.ค. 2557, 09:29:08 น.
ฮ่วย เดาเรื่องไม่ถูกแล้ว
เอาฮา หื่น ขำ ติดเรท พี่น้อง ซึ้ง เศร้า
เราสี่คน แต่มีฮาเร็ม อืมมมม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account