เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 3 ฉันไม่ใช่

บทที่ 3 ฉันไม่ใช่





บอกกับฉัน ว่าคนที่ฝันไม่เจอ ที่เจอไม่ได้ฝัน…




เช้าของวันใหม่ ชีวิตของบิลกีสยังคงดำเนินไปในแบบเดิมๆ
นั่นคือการตื่นขึ้นมาเพื่อปรุงอาหาร ดูแลดุจมณีเรื่องอาหารการกิน
ดูแลคนป่วยด้วยการให้อาหารทางสายและเช็ดตัว
ทำกายภาพบำบัดเท่าที่พอจะทำได้ เนื่องจากเธอไม่ใช่พยาบาลมืออาชีพ
เพิ่งได้รับการสอนมาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง…


บิลกีสมองไปยังนอกหน้าต่างก้มมองไปยังท้องถนนที่มีรถรามากมาย
วิ่งสัญจรไปมา แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า
อากาศวันนี้ดูปลอดโปร่ง…แสงแดดอ่อนๆในยามเช้าทำให้เธอ
นึกอยากจะออกไปวิ่งออกกำลังกาย...

เมื่อก่อนเธอจะตื่นเช้าวิ่งออกกำลังกายเลาะริมแม่น้ำ
ในมือจะถือถุงดำใบใหญ่ติดไปด้วย เมื่อเจอขวดน้ำพลาสติก
เธอก็จะเก็บใส่ถุงดำนั้นแล้ววิ่งไปเรื่อยๆ
ใครจะมองอย่างไรเธอหาได้สนใจสายตาใครไม่

แล้วค่อยวิ่งย้อนกลับมาที่พักอีกเส้นทางนึง
ซึ่งในเวลานั้นจะเป็นเวลาพอเหมาะพอเจาะที่จะเจอคุณลุงท่านหนึ่ง
ซึ่งท่านจะเดินจากบ้านที่อยู่ไกลจากที่พักของเธอเกือบ10กิโลเมตร
เพื่อเดินเก็บขวดพลาสติกนำไปขาย ลุงท่านนั้นเก็บขวดเป็นกิจวัตร
และดูจะเป็นคนตรงเวลาเสียด้วย
และเธอก็ได้มอบขวดพลาสติกในถุงดำให้ท่านตลอด…

เพราะเส้นทางที่เธอวิ่งผ่านมานั้น อยู่นอกเส้นทางของคุณลุงท่านนั้น
แม้เนื้อตัวของท่านจะดูสกปรกเพราะคราบเหงื่อ แต่แววตาของท่านดูใจดีและเป็นมิตร
เธอจึงยื่นถุงดำที่มีขวดพลาสติกให้ท่านในทุกๆเช้า มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่

แต่อย่างน้อยก็มีให้ท่านเสมอ…เราจะพูดกันนับคำได้ เพราะเมื่อส่งถุงเสร็จ
เธอก็จะออกวิ่งต่อทันที
เป็นเช่นนี้มาตลอด จนกระท่ังเธอมาอยู่ที่นี่กับเขา…

บิลกีสจึงอดคิดถึงคุณลุงท่านนั้นไม่ได้ และเธอก็เชื่อแน่ว่า
ท่านเองก็ต้องคิดถึงเธออยู่ไม่น้อยแน่ๆ…

สำหรับเธอแล้วการทำสิ่งดีๆเล็กๆน้อยๆแบบนั้นมันคือความสุขใจ
ที่เธอได้รับกลับมาในทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมา
และเธอก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวังในทุกๆวันเช่นกัน
หวังที่จะทำสิ่งดีๆให้กับคนที่สังคมส่วนใหญ่ได้มองข้ามความสามารถ
และความตั้งใจไป…เธอไม่คิดว่าคุณลุงท่านนั้นจะไร้ความสามารถ
แต่เธอมองว่าท่านเก่ง เป็นคนเก่งที่หมดโอกาสได้แสดงความสามารถ

อาจเป็นเพราะท่านชราภาพ หมดเรี่ยวแรง จึงกลายเป็นคนหมดคุณค่า
จึงถูกมองข้าม ถูกเลิกจ้างงาน
ที่สำคัญ เธอยังเห็นว่าคุณลุงท่านนั้นก้าวเดินด้วยกับขาเทียมข้างหนึ่ง
ท่านใช้ขาเทียมเดินทางเกือบสิบกิโลเมตรเพื่อเก็บขวดพลาสติกตามริมทาง

ไม่ได้ขอใครกิน ไม่ได้อ้อนวอนใครให้เห็นใจ
ท่านเดินของท่านเรื่อยๆไปบนหนทางที่เธอก็ไม่รู้ว่ามันสิ้นสุดตรงไหน
รู้แค่ว่าอย่างน้อยก็สิบกิโลเมตร รู้แคีว่าท่านต้องสูดดมกลิ่นควันพิษ
จากรถรามากมายในเมืองหลวง

แต่วันแล้ววันเล่า เธอไม่เคยเห็นท่านจะหยุดทำหน้าที่นี้เลยแม้แต่วันเดียว
ไม่มีวันหยุดสำหรับท่าน…

เธอไม่รู้ว่าท่านหวังอะไรในชีวิต แต่การกระทำของท่านทำให้เธอที่เคยทดท้อ
กับโชคชะตาชีวิตของตัวเองได้รู้ว่ายังมีผู้คนอีกมากมาย
ที่เขาต้องดิ้นรนยิ่งกว่าเธอ

และความหวังของท่านที่มีนั้นทำให้เธอมีหวังมีแรงให้ลุกขึ้นสู้ได้ในทุกๆวัน…


ใครจะเชื่อว่าในซอกมุมนึงของชีวิตที่ผู้คนมองผ่าน
จะสามารถสร้างพลังอันยิ่งใหญ่กับหัวใจเรามากมายขนาดไหน…

เพราะทุกก้าวที่เธอวิ่งผ่านในทุกๆเช้าเพื่อออกกำลังกายนั้น
เธอสามารถมองเห็นชีวิตผู้คนในหลากหลายรูปแบบ
ได้เห็นความเป็นไปของสังคมในทุกซอกทุกหลืบ
ได้สัมผัสและได้ช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นอย่างถนัดยิ่งกว่่่าวิธีใดๆ…

แม้เธอจะไม่มีความสามารถมากพอ เพราะทุนน้อย
แต่เธอก็สามารถช่วยพวกเขาเหล่านั้นในสิ่งที่พอจะช่วยได้
บางครั้งการช่วยเหลือผู้อื่นนั้น มิจำเป็นเลยว่าจะต้องเป็นการหยิบยื่นเงินทองให้เขา…
แรงกายแรงใจของเรา รอยยิ้มของเรา ความตั้งใจช่วยของเราก็เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ได้…

“พี่กีสมองอะไรอยู่คะ…”บิลกีสสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงใสๆดังขึ้นข้างกาย
หญิงสาวจึงหันไปทางเจ้าของเสียงที่ยืนข้างๆเธอโดยใช้มือทั้งสอง
กอดอกมองไปยังด้านนอกกระจกใส

“พี่กำลังคิดถึงคุณลุงท่านหนึ่งอยู่ค่ะ…ไม่รู้ว่าป่านนี้ท่านจะเป็นอย่างไร
จะคิดถึงพี่เหมือนที่พี่คิดถึงอยู่รึเปล่า…”

“ถ้าคิดถึง…ทำไมไม่ไปหาล่ะคะ…”บิลกีสระบายยิ้มเมื่อหันไปทางดุจมณี

“พี่ทำไม่ได้หรอกค่ะ…”

“จริงสินะคะ…พี่กีสคงไปไหนไม่ได้เหมือนไอซ์…เหมือนพี่มีนาก่อนหน้านี้…”

บิลกีสกระตุกคิ้วนิดนึงเมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดถึงบุคคลที่สามที่เธอยังสงสัยมาตลอด
ว่าหญิงสาวผู้นั้นคือใครและมีความสำคัญกับคนที่นี่ในฐานะอะไร…

“พี่ไนค์คงไม่รู้ว่าไอซ์น่ะรู้ว่าทำไมพี่มีนาถึงอยู่ด้วยกันกับพวกเราที่นี่ไม่ได้…”

“ทำไมล่ะค่ะ ทำไมถึงอยู่ไม่ได้…”บิลกีสหยั่ง

“ก็เพราะว่าพี่มีนาไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้น่ะสิคะ…
เวลาพี่ไนค์ไม่อยู่ พี่มีนาต้องดูแลคุณลุง ดูแลไอซ์อยู่คนเดียว
ทำทุกอย่างเหมือนที่พี่กีสกำลังทำอยู่…

พี่มีนาเคยบอกว่าจะพาไอซ์ไปข้างนอกเพราะสงสารไอซ์
แต่ก็ไม่เคยทำตามที่พูดได้ เพราะพี่มีนาไม่สามารถทิ้งคุณลุงไปไหนได้
พี่ไนค์ก็ไม่มีเวลาว่างพาพวกเราออกไปข้างนอกเลย…

พี่ไนค์บอกว่าต้องทำงานหนักเพื่อนำเงินมารักษาคุณลุง…
เพื่อจ้างพี่มีนาให้อยู่ดูแลพวกเรา

พี่ไนค์ไม่สามารถทิ้งงานได้ แต่สามารถทิ้งไอซ์ไว้ที่นี่กับคุณลุงได้…
พี่กีสบอกไอซ์ได้มั้ยคะว่าพี่ไนค์เป็นคนใจดีหรือว่าเป็นคนใจร้าย…”

บิลกีสถึงกับลมจุกอกเมื่อเจอเข้ากับถ้อยคำและคำถามซื่อๆนั้น…

แล้วจะให้เธอตอบได้อย่างไร…เธอเองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่
แต่อย่างไรแล้ว เธอก็ยังรักเขา…ก็เลยเลือกที่จะปกป้องเขา…
ทั้งๆที่เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างได้บ้างแล้ว…

เธอไม่อยากคิดหรอกว่า
เขาแต่งงานกับเธอเพื่อให้มาทำหน้าที่แทนมีนา
ที่คงทนกับสภาพเช่นนี้ไม่ไหวจึงขอลาออก

และด้วยสถานะสามีภรรยา
เขาย่อมขอให้เธอดูแลพ่อดูแลน้องสาวได้โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย…
แม้แต่เงินค่าจ้าง!…

เพราะค่าจ้างที่เธอได้รับจากเขาก็คือการได้เป็นภรรยาของเขานั่นเอง…

นั่นคือสิ่งที่สมองของเธอคิดได้ แต่จิตใจและอีกด้านของความรู้สึก
มันกลับค้านหัวชนฝาว่าเขาต้องไม่ใช่คนแบบนั้น…
เขาต้องไม่เลือดเย็นแบบนี้แน่…
เขาต้องไม่คิดว่าการแต่งงานกับเธอเป็นเรื่องของธุรกิจ เรื่องของผลประโยชน์
และความอยู่รอดของเขาและครอบครัว…ไม่มีทาง!!

“พี่มองว่ามันเป็นความจำเป็นมากกว่าค่ะ…พี่ชายของน้องไอซ์
ต้องรับผิดชอบครอบครัว และนี่คือหนทางเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้…
พี่เชื่อว่า ทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ…”ดุจมณีได้ฟังก็ลอบถอนใจ

“ไอซ์ก็เชื่ออย่างนั้นค่ะ…ก็เลยไม่เคยขอพี่ไนค์ออกไปข้างนอก
ทั้งๆที่อยากไปมากๆ ไอซ์อยากไปสวนสนุก อยากไปสวนสัตว์
อยากไปกินไอติมที่ร้านสวยๆ อยากไปเล่นน้ำทะเล อยากนั่งเรือ
แล้วก็อยากว่ายน้ำเล่นในสระ…หรือถ้าไม่ยากเกินไป
ขอแค่ให้ไอซ์ได้ออกไปเดินเล่นตรงสวนนั้นก็ได้ค่ะ…

ไอซ์แอบใช้กล้องส่องดูประจำ เขามีการปั่นจักรยานในสวนนั้นด้วยนะคะ…
และในสวนก็มีดอกไม้สวยๆด้วยค่ะ…”

ดุจมณีชี้ไปยังสวนสาธารณะที่เจ้าตักมักมายืนมองจากที่ตรงนี้อยู่บ่อยครั้ง
และก็มีหลายครั้งท่ีแอบหยิบกล้องดูนกของพี่ชายมาส่องดูความเป็นไปของบุคคลภายนอก…

บิลกีสได้ฟังเช่นนั้นก็แอบสงสารคนข้างๆ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เธอผู้นี้ถูกขังอยู่ในห้องแห่งนี้…

เธออยากพานกน้อยตัวนี้ออกไปสัมผัสกลิ่นอายภายนอกบ้าง
แต่ก็ไม่แน่ใจว่า จะทำได้ เพราะอีกคนที่นอนป่วยอยู่นั้น ไม่อาจขยับไปไหนได้เลย

และตอนนี้ก็มีเพียงเธอที่ต้องดูแลบุคคลทั้งสองในเวลาเดียวกัน
ถ้าเธอสามารถแยกร่างได้ก็คงจะดีกว่านี้…

“น้องไอซ์เชื่อพี่มั้ยคะ…ว่าวันนึงพี่จะพาน้องไอซ์ไปเที่ยวที่สวนนั้นด้วยกัน…”
ดุจมณีกล่าวด้วยน้ำเสียงปลุกใจอีกฝ่าย เพราะเห็นฝั่งนั้นดูจะเหงาหงอยลงไป

ทว่า มิได้ผล เนื่องจากดุจมณีมิได้แสดงอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด

“ไอซ์อยากจะเชื่ออย่างนั้นค่ะ…แต่พี่มีนาก็เคยพูดแบบนี้
แล้วก็ทำไม่ได้…ไอซ์ไม่ได้โทษพี่มีนาแต่ไอซ์เข้าใจค่ะ…ไอซ์เข้าใจจริงๆนะคะ…
และไอซ์ก็รักพี่มีนา แต่ก็รักพี่ไนค์ด้วย…ถึงพี่ไนค์จะเป็นยังไง แต่ไอซ์ก็รักค่ะ…”

เสียงนั้นหยุดเพียงนิดก่อนจะหันมาทางบิลกีสแล้วถามบิลกีส
ในสิ่งที่ยากในการจะตอบคำถามนั้นได้…

“พี่กีสจะอยู่ที่นี่กับเราได้นานรึเปล่าคะ…
เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมา พี่ไนค์เปลี่ยนคนมาดูแลพวกเราไม่รู้กี่คนแล้วค่ะ…
ที่อยู่นานที่สุดก็คือพี่มีนา พี่มีนาอยู่กับเราสี่เดือนแล้วก็ขอกลับบ้าน…
พี่กีสรู้มั้ยคะว่าพี่ไนค์จ้างพี่มีนาเท่าไหร่…”บิลกีสส่ายหน้าแทนคำตอบ

“ไอซ์แอบเห็นพี่ไนค์เซ็นเช็คให้พี่มีนาหนึ่งแสนต่อเดือนค่ะ…”

บิลกีสถึงกับตาโตเมื่อได้ยินเช่นนั้น เธอแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า
ค่าจ้างพยาบาลให้มาดูแลคนป่วยแค่สองคน
ทำไมมันถึงได้สูงลิบลิ่วขนาดนั้น

แล้วทำไมค่าจ้างสูงขนาดนี้แล้ว ถึงยังมีคนลาออกอีก…
แล้วอะไรทำให้เขาจ้างพยาบาลด้วยเงินเดือนขนาดนั้นด้วย
ทำไมเขาถึงต้องลงทุนมากมายขนาดนี้นะ…

ทำไม!


“แต่พี่มีนาก็ขอลาออกไปในที่สุด…พี่ไนค์อาจไม่รู้ว่าทำไม
แต่ไอซ์รู้ดีค่ะ…เพราะไอซ์สนิทกับพี่มีนามาก…”

ดุจมณีกล่าวด้วยน้ำเสียงทดท้อ

“เพราะอะไรคะ…”

“เพราะ…ไอซ์รู้ว่าพี่มีนารักพี่ไนค์ แต่พี่ไนค์ไม่ได้รักพี่มีนาเลย…
พี่ไนค์รักงานจนทิ้งพวกเราเอาไว้ข้างหลัง…”

บิลกีสแอบกลืนน้ำลายลงคอ
ก่อนจะฟังในสิ่งที่น้องสาวของสามีพูดต่อไป…

“พี่มีนาก็เลยทนไม่ได้แล้วก็อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ออกไปไหนมาไหนเลย
ทุกวันเราก็จะอยู่กันแต่ในนี้…ก่อนหน้านี้ พี่ไนค์จะให้คนส่งอาหารมาให้ถึงที่ค่ะ
เราก็เลยไม่ได้ออกไปไหนเลย

พี่กีสคิดว่าถ้าไม่รักกันจริง จะมีใครทนได้บ้างคะ”

บิลกีสพ่นลมหายใจออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า…
เพราะสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี้ เคยมีผู้หญิงหลายคนก่อนหน้านี้เผชิญมาแล้ว
และก็หนีหายกันไปหมดแล้ว…


“แต่กับพี่กีส…พี่กีสเป็นพี่สะใภ้ของไอซ์…พี่กีสคงไม่ทิ้งพวกเราไปใช่มั้ยคะ…”

บิลกีสหันไปทางคนถามแล้วฝืนยิ้มออกมาท้ังๆที่ตอนนี้เธอเข้าใจอะไรอีกอย่างขึ้นมา



…เขาล่ามโซ่หัวใจเธอด้วยพันธะจากการแต่งงานเพื่อใช้งานเธอ…


เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงอยากแต่งงานกับคนที่รักเขา
และพร้อมจะทุ่มเทเพื่อเขาได้ทุกอย่างเช่นเธอ…

“ใช่มั้ยคะ…”ดุจมณีถามซ้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งเงียบ…
บิลกีสจึงหันมายิ้มให้คนถามแล้วพยักหน้า…

“พี่ไม่ขอสัญญานะคะ แต่จะทำให้ดีที่สุดค่ะ…”

“ไอซ์รู้ว่าพี่กีสรักพี่ไนค์จริงๆ…”คราวนี้บิลกีสถึงกับเลิกคิ้วสูง

“รู้ได้ไงคะ…”

“เพราะพี่ไนค์ยอมสละโสดให้กับพี่กีส…”คำตอบดังกล่าวหาได้ให้
ความกระจ่างแก่บิลกีสได้เลย เธอยังงงๆอยู่ว่ามันเกี่ยวกันยังไง

“พี่ไม่เข้าใจ…”ดุจมณียิ้มเหมือนผู้ใหญ่เป็นครั้งแรก ทำเอาบิลกีสถึงกับแปลกใจ

“เพราะพี่ไนค์เคยบอกไอซ์ว่า นอกจากพี่ปองขวัญแล้ว พี่ไนค์จะไม่รัก
และจะไม่แต่งงานกับใคร ถ้าจำเป็นจะต้องแต่ง พี่ไนค์จะแต่งงาน
กับคนที่รักพี่ไนค์จริงๆเท่านั้น…”

เป็นอีกคราวที่ทำให้บิลกีสถึงกับรู้สึกจุกยอดอก ลำคอตีบตัน
พูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วขณะ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูซึมๆไป ดุจมณีจึงรู้ว่าตัวเองได้พูดอะไรไม่ดีออกไป
ก็เลยยกมือขึ้นกุมมือบิลกีสพร้อมกับกล่าวขอโทษ

“ไอซ์ขอโทษนะคะพี่กีส…ไอซ์ไม่ควรพูดถึงคนอื่นเลย…”

บิลกีสหันมามองคนพูดแล้วยิ้มบางก่อนจะส่ายหน้า

“พี่ไม่เป็นไรค่ะ…พี่เข้าใจทุกอย่าง…และยอมรับได้ค่ะ…น้องไอซ์สบายใจได้”
แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น ทว่าลึกลงไป
เธอเองก็ไม่แน่ใจเลยว่าจะยอมรับกับสิ่งที่ได้รับรู้จากปากดุจมณีได้แค่ไหน

และไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่
เธอไม่อยากปักใจเชื่อในทุกๆอย่างที่ดุจมณีพูด
แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่า อีกฝ่ายไม่น่าจะมีนิสัยโกหก

แต่มุมมองของคนเราย่อมแตกต่างกันได้
ดุจมณีอาจจะพูดตามมุมมองและความรู้สึกของตัวเอง…

ส่วนความจริงแท้นั้น เธอไม่รู้ว่าคืออะไร
แต่เชื่อว่า เวลาจะเป็นตัวช่วยในการหาคำตอบนี้ได้…

และเพราะเธอไม่คิดจะหาสามีใหม่แล้ว
ก็เลยไม่มีเหตุผลให้ตัวเองหาทางเดินออกไปจากที่นี่หรือปฏิเสธสถานภาพ ณ เวลานี้…
แล้วพร้อมจะหันกลับมาที่ความตั้งใจเดิมของตัวเอง…


…ไม่ว่าเขาจะแต่งงานกับเธอด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่
เธอจะพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่นำมันมาเป็นประเด็นหักล้างเหตุผล
ที่เธอยินยอมแต่งงานกับเขา…






ตลอดทั้งวัน บิลกีสและดุจมณีต่างเฝ้ารอการกลับมาของขุนพล
หลายครั้งที่ทั้งสองผลัดกันชะเง้อมองไปทางประตูห้อง
แล้วก็ลอบถอนใจเมื่อไร้เงาของคนที่เฝ้าคอยอยู่จะโผล่เข้ามา…

จนเมื่อมื้อค่ำผ่านไป ดุจมณีที่ทนรอไม่ไหวก็ฟุบหลับลงบนโซฟาที่ห้องรับแขก
ร้อนบิลกีสต้องปลุกแล้วพยุงให้เดินเข้าห้องนอนไป…

“พี่ไนค์จะกลับมามั้ยคะ…”เสียงนั้นยังคงถามไม่ขาดปาก
ขนาดหาวหวอดๆดวงตาหนักจนไม่อาจทนอดหลับไหว
ก็ยังไม่วายถามเธอให้แน่ใจอีกครั้ง

“คืนนี้คงไม่แล้วล่ะค่ะ…น้องไอซ์หลับนะคะ
เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเราค่อยโทรหากันดีมั้ยคะ…”ดุจมณีพยักหน้า
แล้วก็ยอมเข้านอนแต่โดยดี



เมื่อเสร็จจากดุจมณี บิลกีสจึงเดินไปยังห้องคนป่วยเพื่อให้แน่ใจว่า
คนป่วยนอนหลับแล้วจึงเดินกลับห้องส่วนตัว

หญิงสาวหยิบหนังสือในห้องทำงานของขุนพลมาอ่านเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอเขา
เพราะตาของเธอยังค้างอยู่จนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับนิยายแนวสืบสวนสอบสวน
มีเงื่อนงำและปริศนามากมาย จนอ่านเพลิน
เพลินจนไม่รู้ว่าตัวเองได้เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหน…

มารู้ตัวอีกทีก็เมื่อมีอะไรบางอย่างพาดผ่านเอวของเธอ
สิ่งนั้นเหมือนกับงูยักษ์ บิลกีสสะดุ้งสุดตัวก่อนจะกรีดเสียงร้อง
ทว่าเสียงยังไม่ทันได้เล็ดลอดออกไป ก็มีมือของใครก็ไม่รู้มาปิดปากของเธอเอาไว้

หญิงสาวใจสั่น กลัวก็กลัวพยายามมองใบหน้าของเจ้าของมือและเจ้าของร่าง
ที่กำลังเบียดเธออยู่จากทางด้านหลัง…

“ชูว…ฉันเอง…”เสียงคุ้นเคยที่ได้ยินทำให้บิลกีสถอนใจยาวด้วยความโล่งอก
ก่อนจะแอบดีใจเมื่อรู้ว่าเขาที่เธอคอยมาสามวันเต็มๆกลับมาแล้ว

สำหรับเธอแล้ว รู้สึกว่าสามวันที่ผ่านมามันช่างยาวนานเหลือเกิน…

“เหนื่อยจัง…ขอนอนทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำได้รึเปล่า…”

คำพูดนั้นเหมือนจะขออนุญาต ทว่าท่าทางและการกระทำนั้นไม่ใช่เลย
เพราะเขาได้ล้มตัวลงนอนพร้อมกับกอดบิลกีสเอาไว้แน่น
ราวกับไม่ยอมลุกไปไหนเด็ดขาด ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ตาม

“ไม่ได้หรอกค่ะ…เดี๋ยวที่นอนและหมอนจะเหม็นเอาได้…”
บิลกีสแกล้งหยอกอีกคน

“ก็ไม่เห็นเป็นไร ตอนนี้มีคนซักให้แล้วนี่ เดี๋ยวเดียวก็กลับมาหอมแล้ว…”

“แต่คนซักชักขี้เกียจ มาค่ะ…เดี๋ยวฉันจะเตรียมน้ำอุ่นๆให้อาบ…”
ขุนพลส่ายหน้า

“ไม่เอา…อยากนอนอยู่อย่างนี้ นะแม่ราชินีบิลกีส…”

“อย่าดื้อสิคะ…รับรองว่าถ้าได้อาบน้ำแล้วจะนอนหลับสบาย…”

“ถ้ามีคนช่วยอาบก็จะยอม…ว่าแต่เธอจะยอมรึ…”เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบๆ
ไม่มีแววกะลิ้มกะเหลี่ยหรือส่งสายตาหวานหยดมาให้

“ยอมทุกอย่างค่ะ…ขอแค่คุณจะยอมอาบน้ำให้เนื้อตัวสบายและผ่อนคลาย…”

ขุนพลเลิกคิ้วสูงก่อนจะยอมปล่อยตัวประกัน
แล้วลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำ

“อ้าว ยังนอนเฉยอยู่ทำไม ไหนว่าจะช่วยฉันอาบน้ำไง…”

หนุ่มใหญ่หันมาทางหญิงสาวที่นังนอนนิ่งในท่าเดิมอยู่
พร้อมรอยยิ้มแฝงความพอใจอยู่บนใบหน้า…

บิลกีสจึงต้องลุกขึ้นเพื่อไปเตรียมน้ำอุ่นให้คุณสามีอาบ

แต่เพราะใจเธอไม่กล้าพอ เมื่อจัดเตรียมน้ำอุ่นเสร็จแล้ว
เธอก็รีบวิ่งออกมาจากห้องน้ำทันที

มีเสียงประท้วงดังมาจากในห้องน้ำ
ทว่าช้าไปแล้วบิลกีสขังคนข้างในเอาไว้ด้วยการดึงประตูเอาไว้แน่น
ไม่ยอมให้อีกฝ่ายออกมาได้

โดยไม่รู้เลยว่าถ้าฝั่งโน้นที่อยู่ด้านในใช้แรงและพละกำลังที่เหนือกว่าดึงประตูบ้าง…
เธอจะไม่หน้าคะมำเข้าไปในห้องน้ำนั่นด้วย…

แต่เพราะขุนพลไม่อยากแกล้งก็เลยปล่อยเลยตามเลย…


เมื่ออาบน้ำเสร็จ เขาก็เดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเดียว
ชุดนอนของเขาถูกแขวนเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว…

ชายหนุ่มตวัดสายตามองหาร่างบางของภรรยาที่คาดว่า
ต้องนอนรอเขาอยู่บนเตียงแล้ว ทว่าเปล่า

ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่พบร่างของบิลกีสเลย
ขุนพลจึงรีบสวมชุดนอนแล้วเดินออกไปดูนอกห้อง
ก็เห็นบิลกีสกำลังถือถาดอยู่ในมือ

“ไม่รู้ว่าคุณทานอะไรมาบ้างรึยัง ฉันก็เลยไปอุ่นนมอุ่นๆกับอาหารมาให้ค่ะ”

เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารที่โชยเข้ามา
จากที่ตั้งใจจะนอนหลับเลยทันทีนั้นก็เลยต้องเปลี่ยนความตั้งใจ
นั่งลงจัดการอาหารตรงหน้าจนหมด แล้วรับแก้วน้ำเปล่า
ก่อนจะตามด้วยนมอุ่นๆจากมือของบิลกีสมาดื่มจนหมดแก้ว

“ถ้าได้กินอย่างนี้ก่อนนอนทุกวัน เห็นท่าฉันคงจะลงพุงสักวันแน่ๆ…”

ขุนพลพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะช่วยอีกฝ่ายจัดการล้างจานชามและแก้วไปด้วย

“เธอรู้มั้ยว่า สิ่งที่ผู้ชายรุ่นฉันกังวลก็คือ จะทำอย่างไรไม่ให้ลงพุง…กับหัวล้าน…”
น้ำเสียงของเขาดูจะเจือไปด้วยอารมณ์ขันนิดๆ
ซึ่งมันทำให้เธออดแปลกใจไม่ได้ เพราะมันขัดกับหน้าตาท่าทาง
เคร่งขรึม จริงจังกับชีวิตอยู่มาก

“ก็นับว่าฉันยังโชคดีที่มีผมดกเกินคนทั่วไปกับไม่ค่อยมีเวลากิน…”

“แต่ฉันว่าคุณควรได้รับสารอาหารครบหมู่และกินอาหารให้ตรงเวลา
สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง…”บิลกีสกล่าวขณะวางจานใบสุดท้ายเก็บเข้าที่
ก่อนจะหันมาพบกับสายตาที่ยากจะคาดเดาความนัย
ของอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง

“ถ้าฉันมีเวลา…ฉันก็อยากจะอยู่กินข้าวฝีมือเธอทุกมื้อ…
แต่เธอรู้มั้ยว่าฉันทำไม่ได้และก็ไม่มีวันทำได้…
ฉันต้องทำงานหาเงิน เงินจำนวนไม่น้อยเลยนะ…”

สีหน้าเขากลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง…

“มันมากพอจะใช้รักษาพ่อคุณ…น้องสาวคุณใช่มั้ยคะ…
คุณถึงยอมเอาสุขภาพของตัวเองเข้าแลก…

ซึ่งฉันไม่อยากให้คุณใช้แค่เพียงเงินในการรักษาคนป่วยทั้งสองคน…
เพราะนอกจากมันจะไม่ทำให้อาการป่วยหายแล้ว
คุณอาจจะต้องล้มป่วยลงอีกคนนึงด้วย…คุณรู้รึเปล่า…”

บิลกีสพูดด้วยความรู้สึกเป็นห่วงคนตรงหน้าจากใจ

เพราะวันนี้ที่เธอได้มองเขาเต็มๆตา เธอก็รู้ว่าเขาซูบลงมากกว่าวันแรกที่เจอหน้ากัน
ทั้งๆที่มันทิ้งห่างกันแค่ไม่กี่วัน…

ใบหน้าซีดเซียวหมองคล้ำและขอบตาดำคล้ำนั่นอีกเล่า…

“ซึ่งมันจะทำให้เธอเหนื่อยเพิ่มขึ้น
เพราะจากที่ต้องดูแลพ่อกับน้องสาวฉัน
เธออาจจะต้องมานั่งดูแลฉันอีกคนใช่มั้ย…”บิลกีสส่ายหน้า

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ…ที่ฉันพูดไป
ฉันไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะต้องเหนื่อยเพิ่ม...ฉันก็แค่…แค่…”

หญิงสาวหยุดเอาไว้แค่นั้นก่อนจะตัดบทแล้วพยายาม
เดินเลี่ยงไปยังห้องนอน ขุนพลจึงเดินตามไปติดๆ

“แค่อะไร…”เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ขุนพลจึงเดินไปดักหน้าหญิงสาวเอาไว้
บิลกีสพยายามหลบสายตาที่จับจ้องมา…แล้วเลี่ยงไปอีกทางแล้ว
หลบเข้าไปนอนใต้ผ้าห่มตอนตะแคงไปอีกทางนึง…

ขุนพลนอนลงแล้วใช้แขนวาดโอบรอบเอวบางคอดกิ่วนั่นเอาไว้
ใช้คางเกยลงบนไหล่ของหญิงสาว ทำเอาหัวใจของบิลกีสเต้นแรง

“แค่อะไร…”บิลกีสสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วถอนใจออกมา
ก่อนจะพูดด้วยเสียงเบาหวิวว่า

“ฉันก็แค่…เป็นห่วงคุณ…”ขุนพลได้ฟังถึงกับยิ้มแล้วก้มลงหอมแก้มของบิลกีส
ฟอดใหญ่ก่อนจะกอดร่างบางเอาไว้แน่น…

ไม่พูดอะไรต่อจากนั้น นอกจากกอดเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
จากนาทีเป็นสิบนาที จากสิบนาทีเป็นครึ่งชั่วโมง บิลกีสจึงแน่ใจแล้วว่า
คนที่กำลังกอดเธอได้เข้าสู่นิทราไปแล้ว

หญิงสาวจึงค่อยๆตะแคงหันหน้ามาทางขุนพล…
ก่อนจะยิ้มให้กับใบหน้าที่แสนจะธรรมดาของเขาที่กำลังหลับตาพริ้ม…
แล้วค่อยๆหลับตาลงด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข…

สุขที่ได้รู้ว่าเขาปลอดภัยดี

สุขที่ได้ทำสิ่งดีๆให้กับเขา

สุขที่มีเขาอยู่ในอ้อมกอดและสุขที่ได้นอนมองหน้าเขากอดหลับตานอน
แม้ไม่รู้ว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เธอจะยังได้เจอเขานอนอยู่ข้างๆหรือไม่ก็ตาม…






“ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ…”บิลกีสนั่งลงบนโซฟาข้างๆหนุ่มใหญ่
ที่วันนี้เขาว่าง ไม่ได้ออกไปทำงานอย่างเคย
ในมือของเขามีหนังสือเกี่ยวกับบ้านและสวน…

“นอกจากเป็นอัมพาตแล้ว พ่อคุณเป็นอะไรอีกรึเปล่าคะ…”

บิลกีสสงสัย เนื่องจากตลอดเวลาที่เธอดูแลพยาบาลคนป่วย
เธอรู้สึกว่าชายสูงวัยท่านนี้ มีโรคแทรกซ้อนเยอะอยู่…
ซึ่งมันไม่น่าจะเกิดจากผลของการเป็นอัมพาต…
มันเหมือนกับว่าภูมิคุ้มกันของท่านบกพร่องจนโรคใดๆ
ก็สามารถจู่โจมได้โดยง่ายดายมากกว่า…

“เป็นเอดส์น่ะ…เชื้อHIV เธอรู้จักใช่มั้ย…”

คำตอบเรียบๆกับท่าทางที่ยังคงสนอกสนใจอยู่กับหนังสือที่เปิดดูอยู่ในมือ
ราวกับคนพูดไม่ได้รู้สึกอะไรนั้น ช่างแตกต่างกับคนฟังที่ตอนนี้รู้สึกเหมือน
โลกพลิกคว่ำแล้วตีลังกาไปมาหลายตลบ…
อดไม่ได้ที่จะหันไปทางคนป่วยท่ีนอนอยู่บนเตียง…

“ทำไม…ทำไม…คุณไม่บอกฉันตั้งแต่แรก…”

เสียงนั้นเบาหวิว แววตาสับสนนั้นไม่ได้ทำให้คนที่จดจ่ออยู่กับหนังสือ
เงยหน้าขึ้นมองคนถามคำถามนั้นเลย…

“รังเกียจหรือ?”บิลกีสกะพริบตาเมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของเขาดูสะท้อนนิดๆ…

“ฉันควรจะได้รู้เพื่อจะได้ระวังไม่ใช่หรือคะ…”

ถ้อยคำนั้นทำเอาคนที่กำลังก้มหน้ามองหนังสือถึงกับหันมามองหญิงสาว
ที่นั่งอยู่ข้างๆทันที

แววตาของเขาดูประหลาดใจ สับสน ราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง

“ฉันไม่ใช่คนกลัวตาย แต่ก็ไม่เคยดูดายกับชีวิตตัวเอง…
ชีวิตที่พระเจ้ามอบให้มา ฉันตั้งใจจะดูแลมันอย่างดีเท่าที่จะทำได้…

ถึงจะไม่มีมนุษย์คนไหนเขาคิดจะห่วงใยในตัวฉัน
แต่ฉันก็ยังรักและห่วงใยตัวเองอย่างที่มนุษย์ทุกคนเป็น…”

อยู่ๆน้ำตาก็ไม่รู้มาจากไหนไม่รู้ว่ามันเกิดมาจากความรู้สึกเช่นใด
บิลกีสรู้เพียงแต่ว่า…เธอน้อยใจ…ทั้งๆที่มันไม่ควรเลย…

“เมื่อก่อนฉันไม่เคยอยากได้อะไรจากคุณ…ที่แต่งงานกับคุณก็เพียง
ต้องการช่วยเหลือคุณ…แล้วพอฉันได้เห็นว่าคุณไม่มีใครเลย…
ฉันยิ่งอยากอยู่ช่วยคุณ…อยู่ดูแลคนที่คุณรัก…ไม่หวังอะไรมากมาย

เพราะฉันไม่ได้โง่งมงายไปกับอารมณ์และความรู้สึกของตัวเอง
โดยไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงแต่งงานกับฉัน…แต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆ
ที่ไม่มีอะไรเลยอย่างฉัน…

แต่คุณ…คุณเคยคิดถึงใจฉันบ้างมั้ย…
แม้ฉันจะไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทน…แต่จนแล้วจนรอด
คนธรรมดาๆอย่างฉันก็ยังต้องการความห่วงใยจากคนอื่นๆเหมือนกันอยู่ดี…

แต่ฉันคงหวังมากไป…และฉันไม่ควรหวัง…”

ถ้อยคำและน้ำตาของหญิงสาวทำเอาขุนพลถึงกับนิ่งงัน…
จนเมื่อเธอลุกขึ้นแล้วเดินขะเผล็กออกจากห้องไป ทำให้เขาได้สติ…

“เดี๋ยว”ขุนพลฉวยข้อมือนั้นเอาไว้ได้ทัน บิลกีสยกมือปาดน้ำตา
สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ

“เดี๋ยวฉันจะไปดูข้าวต้ม…ป่านนี้น้ำคงแห้งแล้ว…”

หญิงสาวเรียกสติที่บินหนีไปกลับมา เมื่อได้กลิ่นไหม้มาจากในห้องครัว

ขุนพลเลยยอมปล่อยมือของเธอ แล้วเดินตามหลังไป…

แล้วบิลกีสก็ต้องถอนใจออกมาเมื่อข้าวต้มของเธอไหม้ติดหม้อ
หญิงสาวปิดแก๊สแล้วนำหม้อไปแช่น้ำ…แล้วเลือกที่จะกรอกข้าวสารใส่หม้อ

จากที่ตั้งใจจะกินข้าวต้มเป็นอาหารเช้าคงไม่ได้แล้ว
เธอจึงหุงข้าวแล้วหันไปเปิดตู้เย็น…หยิบเนื้อและผักสดออกมาหั่นที่ซื้อมาตุนเอาไว้
เมื่อวันก่อนเพ่ือทำอาหารเช้ากินกับข้าวสวยแทน…

ขุนพลยืนพิงประตูห้องครัวมองภาพนั้นนิ่ง…ไม่มีคำพูดใดๆหลุดจากปากของเขา…
และไม่มีถ้อยคำใดเช่นกันที่ดังมาจากในห้้องครัว

ไม่มีใครรู้ว่าต่างฝ่ายคิดอย่างไรและเก็บซ่อนความรู้สึกเช่นใดเอาไว้…





...โปรดติดตามตอนต่อไป...


สงครามเย็น!เขาเรียกว่า สงครามเย็น!ค่ะ...อิอิ

เพราะความเจ็บปวดอย่างที่สุดของผู้หญิงเราก็คือ...

เมื่อถึงคราวต้องเลือก...ปรากฎว่า...

คนที่เรารัก...เขากลับไม่เลือกเรา...

นอกสายตายังไม่เท่าได้รู้ว่าอยู่นอกวงโคจรของห้วงความคิด...

นักอ่านอย่าเพิ่งแปลกใจว่าทำไมนางเอกเราถึงได้มีน้ำอดน้ำทนขนาดนี้

แต่เพราะพื้นฐานชีวิตและจิตใจของนางเอกนี่เอง ที่ทำให้เธอ "นิ่ง"
และ รู้จัก รักอย่างมี "สติ"...

เมื่อสติมา ปัญญาย่อมเกิด...

การันตีว่า นางเอกเราไม่ได้กินหญ้า และไม่ได้ซื่อจนเซ่อแน่ๆค่ะ...
เพราะอายุไม่น้อย ผ่านโลกมามากแว้วววววว...

ก็ต้องมาลุ้นกันค่ะว่า...พระเอกจะรักนางเอกของเราได้อย่างไร...

เสน่ห์ใดจะมัดใจเขาได้บ้าง...


ใครเกลียดพระเอกเรื่องนี้ ลงชื่อได้เลยนะคะ...
ส่วนเต่าโยน่ะ...เอ็นดูพระเอกของตัวเองทุกเรื่องเรยยยยยยย...ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
ถึงร้ายก็รัก ถึงเย็นชาก็ชอบ...ยิ่งไม่สนโลกยิ่งกระตุกหัวใจ...เหอๆ


คุยกับนักอ่านจ้าาาาาา



1.คุณแว่นใส...พระเอกเราเขารักทุกอย่างตรงหน้าค่ะ
ยกเว้นนางเอกเราเท่านั้น...อิอิอิ...
เวลาเลือกก็ต้องเลือกไปตามความสำคัญ...
ของตายอย่างไรก็คือของตายว่าง้ันค่ะ...
แต่ถ้าของตาย เกิดตายขึ้นมานี่ ก็ค่อยว่ากันอีกที...เหอๆ


2.คุณตุ๊งแช่...ลืมหนูบิลกีสเสียแล้วหรือออออออ...
หนูบิลกีสผู้น่าสงสารไงคะ...อิอิอิ...
เรื่องนี้จะรันทดแค่ไหน ต้องมาติดตามกันค่ะ...
คิดว่า ดราม่ากว่าทุกๆเรื่องที่เขียนมาค่ะ...
ใครเคยร้องไห้ตอนเรื่องรังรักหรืออะรูซะตีมาแล้ว...
อย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้แต่เนิ่นๆได้นะคะ...
เพราะเรื่องนี้หนักกว่าสองเรื่องนั้นเยอะนา...เฮะๆ



สุดท้ายไม่ท้ายสุด

เข้ามาส่งกำลังใจให้เรื่องนี้กันบ้างนะคะ...
เพราะกำลังใจคือกำลังผลักดันเต่าที่หดหัวอยุ่ในกระดองอย่างยิ่งเลย...

แม้ชื่อเรื่องจะชวนให้ปวดหัว และเรื่องราวจะดูหม่นๆ ไม่หวานหยด
แต่การันตีว่า แม้จะอ่านไปแล้วไม่ค่อยได้ "ยิ้ม" เท่าไหร่
แต่ยังไง๊ยังไง "น้ำมูกน้ำตา" ต้องได้ไหลกันบ้าง...เฮะๆ


...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"






yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2557, 19:01:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2557, 19:01:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 2576





<< บทที่ 1 ความเคยชิน   บทที่ 4 หัวใจขายขาด >>
ใบบัวน่ารัก 25 ก.ย. 2557, 19:24:51 น.
ลงชื่อเลยเกลียด
นะที่ไม่บอกความจริง
รัก มันยากนะที่จะรัก ใช่ซี่ๆๆๆหาคนมาเป็นคนใช้ กักกันไว้ด้วยการแต่งงาน
ไม่รักก็น่าจะคิดถึงและห่วงใยบ้างก็น่าจะมีบ้างนะ


แว่นใส 25 ก.ย. 2557, 22:00:46 น.
สังเกตไหมเนี่ยว่าขายังกระเพลกอยู่(ไม่แน่ใจว่าสะกดถูกไหม) นายไนค์เนี่ยน่ากระทืบซ้ำมากกว่าใจดีให้อาบน้ำนะ


ตุ๊งแช่ 26 ก.ย. 2557, 08:52:52 น.
น้ำตาตกยิ่งกว่า น้ำค้างอีเหรอ อืมมมมมม...
พระเอกนี่ออกแนวนายทุน ผูกขาดชีวิตคนเลยใช่ไหมนี่
กรรมเวร รักไปได้ยังไง คนเย็นชาแบบนี้



sunflower 26 ก.ย. 2557, 17:41:11 น.
สงสารนางเอกอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account