พิมพ์ลภัส
พิมพ์ลภัสเด็กสาวร่างอ้วนแก้มยุ้ยด้วยน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโลกรัมแอบรักพี่ชายขัางบ้านที่โตมาด้วยกัน ทว่าภีรมัตเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น..เธอรู้
ระหว่างเธอกับภีรมัตแตกต่างกันราวผีเน่ากับเทพบุตร ใครจะไปสวยเท่าแฟนสาวสิตาภาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศต่อหน้าเธอว่าใช่สเป็ก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเธอกับภีรมัตเรื่องยุ่งๆของหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น

Tags: พิมพ์ลภัส ภีรมัต รักหวานซึ้งปนเศรา้้

ตอน: บทที่ 11

ถ้าพูดถึงเพชร ร้านที่ติดอันดับต้นๆของเมืองไทยต้องรวมพรีมสตาร์ไว้ด้วย ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพและรูปทรงทันสมัยใจ ลูกค้าประจำหลายคนติดใจดีไซด์ที่นี่เพราะแบบแต่ละชิ้นเก๋และแปลกตา บางแบบมีเส้นเดียวแม้ลูกค้าจะต้องการให้ทำเพิ่ม แต่พิมพ์ลภัสกลับเลือกที่จะให้ลูกค้าจดจำมากกว่าหาผลประโยชน์ เธอยังคงคอนเซ็ปของตัวเองตามเจตนารมณ์ที่ตั้งใจไว้แต่แรกเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดอีกอย่างหนึ่ง

ครั้งที่ยังเป็นนักศึกษา เธอใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่กับพรีมสตาร์บ่อยๆช่วยมารดาดูแลร้านยามที่ท่านไม่ว่าง ถือเป็นการเรียนรู้งานไปในตัวและมารดาก็อยากให้เธอทำอย่างนั้นอยู่แล้ว พอเรียนจบก็โยนร้านให้เธอดูแลเต็มตัวถ้าไม่ไปเรียนต่อ ปล่อยให้เธอบริหารงานเองทั้งหมดโดยไม่นึกกลัวว่าจะเจ๊งรึเปล่า ส่วนคุณหญิงปานทิพย์น่ะหรือ ลุยงานเพื่อสังคมอย่างเดียว

ตั้งแต่เข้ามาดูแลกิจการนี้แทนมารดา มีลูกค้าเพิ่มขึ้นสิบเปอร์เซ็นต์จากยอดเดิม เพราะเธอพยายามคิดแบบให้แปลกตากว่าที่อื่นเจาะกลุ่มลูกค้าตั้งแต่วัยยี่สิบต้นๆจนถึงมีอายุ ร้านของเธอจึงเป็นที่นิยม ด้วยดีไซด์หลากหลายมีให้เลือกตามวัยผู้สวมใส่

เธอนั่งท้าวคางเซ็งๆอยู่ในห้องที่เป็นทั้งมุมพักส่วนตัวและที่ทำงานหลังจากอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ตามที่เพียงอรบอก ก็ถึงบางอ้อ เมื่อวานก่อนเธอออกไปทานข้าวกับจุลกานต์เพราะเป็นคำขอจากมารดา ไม่นึกว่าวันนี้จะได้เห็นตัวเองอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์

พี่ภีมจะเห็นข่าวนี้รึยัง ความกังวลเข้าเกาะกุมจิตใจ เขายิ่งใจร้อนไม่มีเหตุผล ตั้งท่าคอยจับผิดเธออยู่เรื่อย ทั้งไม่ชอบหน้าจุลกานต์อย่างไม่มีสาเหตุ ชักหนักใจขึ้นมาแล้วสิ ถ้าภีรมัตเห็นข่าว..คราวนี้ไม่รู้ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไรจากปากหยักร้ายกาจนั่นอีก กลุ้มแฮะ!

“ก๊อกๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง เธอจึงตอบรับให้เปิดเข้ามาได้

“ไงพิม เห็นข่าวแล้วเหรอแก” เพียงอรนั่นเองแต่พาใครอีกคนมาด้วยน่ะ คุ้นตาเหมือนจะเคยเจอมาแล้ว พิมพ์ลภัสลุกขึ้นตามมารยาทเมื่อเห็นผู้ใหญ่ “นี่เจ้านายฉัน พี่ต๋อย” เพียงอรแนะนำแขกที่มาด้วยให้เพื่อนรู้จัก

"สวัสดีค่ะ"พิมพ์ลภัสกระพุ่มมือไหว้สาวใหญ่ท่าทางดูใจดี แต่งตัวทะมัดทะแมงเหมือนผู้ชายไว้ผมเกือบจะเป็นรองทรงสั้น ต๋อยรับไหว้เธอยิ้มแย้ม ทั้งเอ่ยตอบรับมา

"ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ"

" ฉันบอกแล้ว..แต่พี่ต๋อยอยากคุยกับแกด้วยตัวเองอีกครั้ง”เพียงอรเดินเข้ามากระซิบกระซาบกับพิมพ์ลภัส

“เชิญนั่งก่อนค่ะ” เธอพาแขกมาที่โซฟาสีแดงเลือดนกมุมสำหรับใช้รับแขกภายในร้าน แล้วหันไปสั่งพนักงานให้ยกเครื่องดื่มมาเพิ่มสองที่

“พูดตรงๆไม่อ้อมค้อมเลยนะ คือ..อรบอกพี่แล้วล่ะ ว่าพิมปฏิเสธแต่พี่ไม่ยอมรับความจริง พวกหัวรั้นเถอะว่าง่ายๆ อยากมาคุยกับพิมด้วยตัวเองสักครั้ง” ต๋อยเปิดฉากพูดถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ทันทีหลังจากพนักงานสาวนำน้ำมาวางที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว

“ไม่น่าลำบากเลยค่ะ ให้พิมเข้าไปพบก็ได้” เธอยิ้ม นึกเกรงใจบอกอนิตยสารดังที่อุตส่าห์มาพบเธอด้วยตัวเอง

“ไม่เป็นไร ไม่ลำบากเลย อยากได้ก็ต้องทำ ถ้าไม่ลงมือทำจะสำเร็จได้ไง ถูกไหม” ต๋อยพูดด้วยท่าทีสบายๆ พิมพ์ลภัสจึงคลายความอึดอัดใจลงบ้าง

สำหรับต๋อยเคยพบพิมพ์ลภัสบ้างตามงานสังคมและที่พราวสาส์น รู้ว่าเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณหญิงปานทิพย์เจ้าแม่การกุศลตัวยงและนักการฑูตต้นตระกูลผู้ดีเก่าสืบเชื้อสายมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า แต่ไม่คิดว่าคุณหนูสูงศักดิ์อย่างพิมพ์ลภัสจะวางตัวอย่างคนธรรมดาไม่ถือเกียรติว่าเป็นลูกสาวคนดังที่ชอบทำตัวเย่อหยิ่งอวดรวย เธอมีสัมมาคารวะมารยาทดีเสมอยามที่เจอ ต๋อยจึงนึกเอ็นดู

“พูดตามตรง..พี่ไม่ได้คิดจะชวนพิมเข้าวงการบันเทิงหรือเป็นดารานะ แต่ที่ชวนมาขึ้นปกพราว เพราะชอบรูปหน้าของพิม สวยหวานแบบไทยๆ เดี๋ยวนี้หายากนะมีแต่เด็กลูกครึ่งเต็มบ้านเต็มเมือง”

“พิมกลัวหนังสือพี่ต๋อยจะขายไม่ออกมากกว่าค่ะ”

“เรื่องนั้นอย่าไปคิดมาก พี่แค่ต้องการทำในสิ่งที่พี่อยากจะทำ เป้าหมายมีไว้พุ่งชนไง เชื่อสิ!ทันทีที่หนังสือวางแผง ทุกคนจะต้องสงสัยว่าพิมเป็นใคร” สมแล้วที่ทำงานด้านนี้พูดไหลเลื่อนอย่างมืออาชีพจริงๆ เพียงอรแอบนินทาเจ้านายในใจ อมยิ้มกับฝีปากของอดีตคอลัมป์นิสคนเก่ง พิมพ์ลภัสเริ่มมีสีหน้าลังเล

“แค่ถ่ายภาพนิ่ง..ฉันว่าคงไม่ยากหรอกมั้ง” เพียงอรเสริมขึ้นบ้างหลังจากที่นั่งฟังทั้งคู่อยู่เป็นนาน

“ไม่มีอะไรยากเลย เรามีทีมงานที่คอยดูแลอยู่แล้วไม่ต้องกังวล” ต๋อยอธิบายเพิ่มอีก

พยายามโน้มน้าวอย่างที่สุดเพื่อจะดึงพิมพ์ลภัสมาขึ้นปกนิตยสารให้ได้ เด็กคนนี้มีอะไรหลายๆอย่างที่ต๋อยเอ็นดูและก็มั่นใจว่านิตยสารของตนจะต้องเป็นที่สนใจแน่ เพราะข่าววงในลือกันหนาหูเรื่องของสาวน้อยหน้าหวานกับ จุ๊น จุลกานต์ดารานายแบบที่กำลังมาแรง พราวสาส์นจะเป็นสำนักพิมพ์แรกที่ได้ตัวพิมพ์ลภัสมาขึ้นปก แต่สิ่งที่ดึงดูดให้ต๋อยสนใจไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์แต่เป็นดวงตากระจ่างใสกลมโตคู่นั้นมันพราวระยับชวนให้คนมองหลงใหลรวมทั้งเธอด้วย ถึงกับต้องรีบบุกมาจองตัวก่อนใคร

“ไม่ใช่เรื่องผลประโยชน์นะพิม..แต่พี่อยากได้พิมขึ้นปกพราวเป็นเดือนพิเศษครบรอบวันเกิดพราวพอดี ส่วนตัวพี่ชอบโครงหน้าหนูนะ”

ต๋อยเอ่ยชมตรงๆ เล่นเอาพิมพ์ลภัสเขินไปเหมือนกัน ไม่ใช่ไม่รู้ว่าตัวเองหน้าตาดีเข้าขั้นสวยสะดุดตาหาดูได้ยาก แต่เธอก็ไม่เคยหลงรูปตัวเอง ไม่เคยนำสิ่งที่พ่อแม่ให้มาไปใช้ในทางที่ผิด

“พิมจะลองเก็บไปคิดดูก่อนก็ได้นะ พี่รอได้..แต่เร็วหน่อยก็ดีจ้ะ” ต๋อยบอกแววตาจริงใจไร้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ ทุกอย่างที่พูดไปคือสิ่งที่เธอคิดไม่ได้จะมาหาผลประโยชน์ใดๆจากสาวน้อยตรงหน้าอยู่แล้ว เพราะก็เสี่ยงเหมือนกันสำหรับนางแบบหน้าใหม่กระแสตอบรับอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้

“ลองดูก็ได้ค่ะ” เธอตอบตกลงในที่สุด แพ้ความตั้งใจของเจ้านายเพื่อนจริงๆ ต๋อยมองหน้าเพียงอรแล้วยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะกระดกน้ำในแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวหมด

เธอสามารถตัดสินใจเองได้เลยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตบิดามารดาก่อน ตั้งแต่เริ่มบรรลุนิติภาวะท่านก็ให้สิทธิ์ในการตัดสินใจกับเธอเสมอ ถ้าไม่ทำให้เสื่อมเสียหรือใครต้องเดือดร้อน ทั้งสองท่านก็มักจะเห็นด้วย และหนนี้ก็เช่นกันไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เดี๋ยวกลับไปถึงบ้านค่อยบอกให้ทราบก็ได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

--------------------------------------------------------*********----------------------------------------------------------------------------

เย็นวันเดียวกัน ต๋อยอาสาเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวแต่เธอปฏิเสธไป เพราะเห็นว่างานยังไม่ทันได้เริ่ม รอให้เสร็จงานซะก่อน ถึงตอนนั้นจะขอเลี้ยงข้าว เธอย่อมไม่ปฏิเสธแน่ แต่พอกลับมาถึงบ้าน เท้าที่จะก้าวกลับต้องชะลอช้าลงเพราะร่างสูงของคนที่เธอนึกหวั่นใจมาทั้งวันนั่งคุยกับบิดาอยู่ในห้องรับแขก ท่าทางสบายๆมีเสียงหัวเราะจากบิดาเธอแว่วเข้าหูมาเป็นพักๆ ภีรมัตเองก็มีรอยยิ้มประดับอยู่ตลอดเวลา แต่ทันทีที่เขาหันมาพบเธอสีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงแทน รอยยิ้มเมื่อครู่เลือนหายไปสิ้น เหลือเพียงแววตาที่เธออ่านไม่ออกว่าเขาคิดอะไร

ครู่ต่อมาเธอถึงนึกออก เขาคงเห็นข่าวแล้วถึงได้มานั่งรออยู่ที่นี่ ขอเถอะไม่อยากทะเลาะด้วยเลย พิมพ์ลภัสถอนหายใจเสียงดังปั้นหน้าเซ็งๆเดินเข้าไปหาทั้งสอง

ทว่าภีรมัตกลับคิดไปอีกด้าน เธอคงไม่อยากเห็นหน้าเขาสินะถึงได้ทำหน้าเบื่อโลกขนาดนั้น แล้วก็พาลหงุดหงิดใจ สีหน้าตึงยิ่งกว่าเก่า

“มาแล้วเหรอลูกพิม ภีมมารอลูกนานแล้วนะ” บิดาบอก เมื่อพบบุตรสาวยืนอยู่ไม่ห่างนัก ก่อนที่ท่านจะขอแยกตัวออกไป

“งั้นอาขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนล่ะกัน คุยกันตามสบายนะภีม” ท่านตบไหล่เขาเบาๆ

ชักหวาดหวั่นอย่างไรบอกไม่ถูก ยามที่สายตาคู่นั้นมองมา ไม่มีแววยิ้มเลยสักนิด พิมพ์ลภัสใจเต้นแรงนึกโมโหตัวเองไม่รู้จะตื่นเต้นทำไม ทั้งที่สายตาคู่นั้นกำลังมองมาอย่างตำหนิ

“มีอะไรคะ” ทำใจกล้าเอ่ยถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเพราะเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่

ภีรมัตไม่ตอบในทันที ลุกจากโซฟาก้าวฉับๆมาที่เธอคว้าข้อมือบางจูงผ่านหน้าสาวใช้ภายในบ้านออกมาขัางนอกเพราะต้องการความเป็นส่วนตัว

หน้าเนียนร้อนผ่าวเป็นสีชมพูเรื่อ แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น แต่ไออุ่นจากมือใหญ่ส่งผ่านมายังเธอสร้างความรู้สึกอุ่นซ่านน่าประหลาด พิมพ์ลภัสเดินตามแรงจูงเงียบๆนึกอยากสะบัดออก แต่กลับไม่ทำอย่างที่คิด เขาหยุดเท้าลงบริเวณริมสระน้ำ ปล่อยมือนุ่มอย่างแสนเสียดาย

“พิมอยากบอกอะไรพี่มั้ย เรื่องข่าววันนี้” ที่ผ่านมาเขาใจร้อนเกินไป อาจจะทำให้พิมพ์ลภัสเตลิดได้ แต่วันนี้เขาจะพยายามใจเย็นที่สุด ทั้งที่ไฟสุมอก

เธอสบตาเขานิ่ง ไม่รู้จะพูดอย่างไร ในเมื่อข่าวนั่นเป็นเรื่องจริง เธออยู่ที่นั่นกับจุลกานต์ กำลังครุ่นคิดหาคำอธิบายที่น่าฟังสำหรับเขาเพื่อไม่ให้ทะเลาะกันอีก ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

การที่พิมพ์ลภัสเงียบแปลว่าเขาเข้าใจถูกต้อง ภีรมัตไม่ชอบอาการนิ่งเฉยของพิมพ์ลภัสเลย มันทำให้เขาหงุดหงิด ในที่สุดความอดทนที่มีก็สิ้นสุดลง

“อยากดังเหรอพิม ให้คนเอาไปลือกันทั้งเมือง..ก็สมใจแล้วนะ”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ” เธอแย้ง

“แล้วมันคืออะไร จะปฏิเสธเหรอว่าไม่ใช่ตัวเอง” ภีรมัตเสียงดังเกือบเป็นตะโกน

“ทำไมคะ เพื่อนกันจะทานข้าวด้วยกันบ้างไม่ได้หรือไง แปลกตรงไหน ทำไมพี่ภีมถึงคอยแต่คิดว่าเราจะทำเรื่องเสื่อมเสียตลอดเวลา” เธอก็แค่คนธรรมดาโกรธเป็นเหมือนกัน ทนยืนให้เขาต่อว่าเฉยๆไม่ไหวหรอกนะ

“ก็เพราะมันเจ้าชู้ ไม่เคยคบใครจริงจังสักคน พี่ไม่อยากเห็นพิมเสียใจ” ท้ายประโยคเริ่มอ่อนเสียงลง พิมพ์ลภัสชักหนักใจขึ้นมาอีกหน จะพูดยังไง เขาถึงจะเข้าใจ

“พิมกับคุณจุ๊น..เราเป็นแค่เพื่อนกัน” เธออธิบายสั้นๆเริ่มอ่อนใจ หมู่นี้เธอกับเขาทะเลากันทุกครั้งที่เจอ ไม่เคยคุยกันดีๆเลยสักหน

“มันคงจะหลอกให้พิมตายใจก่อน พี่ไม่อยากให้พิมไว้ใจคนผิด พลาดท่าเสียทีขึ้นมา จะเรียกกลับคืนไม่ได้หรอกนะพิม” เขาเดือดดาลขึ้นมาอีก เอากับเขาสิ!คิดแต่ว่าคนอื่นจะทำเหมือนตัวเองไปซะหมด

“เอานิสัยตัวเองมาพูดล่ะสิ” เธอก้มหน้ามองพื้นแล้วบ่นอุบอิบคนเดียว เขาน่าจะเชื่อใจเธอบ้าง “พิมดูแลตัวเองได้ พี่ภีมอย่ากังวลเลยค่ะ” เอาเวลาไปดูแลแม่นางแบบคนดีของตัวเองเถอะ

อันหลังนี่อยากจะพูดออกไปเหมือนกัน แต่อย่าดีกว่า ภีรมัตขยับมายืนตรงหน้าเธออีกครั้ง

“เด็กดื้อ..ใจแตกแล้วรึไง บอกเตือนอะไรถึงไม่ฟัง ยังรักยังเคารพพี่อยู่หรือเปล่าพิม หรือว่าพลาดท่าให้มันไปแล้วล่ะ”

พิมพ์ลภัสอึ้งเจ็บแปลบในอกกับคำพูดดูถูกจากเขา แต่เธอเลือกที่จะนิ่งไม่โต้แย้ง นี่เขาคิดว่าเธอเป็นเด็กอายุสิบห้ารึไงกัน
ทำไมเธอจะไม่รักเขา เธอรักเขาไม่น้อยกว่าใคร แต่ไม่เคยรู้เองต่างหาก พิมพ์ลภัสจ้องเขาไม่วางตา หัวใจเจ็บร้าวเกินจะบรรยายเพราะคนที่รักที่สุดกลับไม่เคยเชื่อใจเธอ

“พี่ภีมกำลังดูถูกพิม..ไม่นึกเลยว่าจะได้ยินคำพูดพวกนี้จากปากพี่ภีม” น้ำตาที่เอ่อรออยู่แล้วร่วงเผาะเป็นสาย

ภีรมัตผงะ..ใจหล่นวูบ เขาทำอะไรไม่ถูกเวลาที่เห็นน้ำตาพิมพ์ลภัส แววตาที่มองมาบอกชัดว่าผิดหวังเสียใจในตัวเขามากมายเพียงใด
“น้องพิม พี่..” เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไรดี รู้..ว่าตัวเองพูดแรงเกินไป

“เราอย่าคุยกันเลยค่ะ พูดไปก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี” พิมพ์ลภัสสวนกลับเร็วน้ำเสียงเย็นชาแล้วเป็นฝ่ายเดินหนีซะเอง

ภีรมัตรีบสาวเท้าเร็วๆตามร่างบางที่กำลังจะหนีเข้าบ้าน แล้วก็คว้าข้อมือบางไว้ได้ แต่พิมพ์ลภัสก็สะบัดสุดแรงจนหลุด แล้วรีบซอยเท้าฉับๆก้าวไวๆต่อ ไม่รอฟังเสียงเรียกที่ดังตามหลัง ซึ่งกำลังออกคำสั่งให้เธอหยุด แต่มีรึ..ที่เธอจะทำตาม

..หยุดเพื่อฟังวาจาร้ายๆจากเขาเหรอ ไม่มีทาง

“พิม เดี๋ยวก่อน..กลับมาคุยกับพี่ให้รู้เรื่องก่อน” ขายาวๆก้าวเร็วกว่าเดิม เร่งสปีดเพื่อตามให้ทัน

เธอโมโหจนหูร้อนตัวร้อน เคืองขุ่นใจสารพัดที่เขาไม่มีเหตุผลไม่ยอมฟังกันบ้างเลย เอาความคิดตัวเองเป็นหลักท่าเดียว ถือสิทธิ์อะไรมาบังคับคนอื่นให้ทำตามใจตัวเองฝ่ายเดียว ดีแต่ออกคำสั่ง

“หยุดเดี๋ยวนี้นะพิม พี่ไม่ชอบให้ใครเดินหนี” เขาสั่งเสียงเข้มอีกครั้ง นั่นยิ่งทำให้พิมพ์ลภัสอยากจะเอาชนะ

“ช่างปะไร” เธอตอบกลับรวนๆเหมือนเด็กที่เอาแต่ใจ มือบางปาดหยาดน้ำตารินรดแก้มไปพร้อมกัน..ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ

ภีรมัตเร่งฝีเท้าอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเธอ พอคว้าได้มือหนาก็ออกแรงกระชากรั้งให้หยุด พิมพ์ลภัสเซถลันเข้าหาอกกว้างทันทีโดยไม่ทันระวัง เขาวาดแขนโอบรอบเอวบางอัตโนมัติ พร้อมทั้งเกร็งกระชับวงแขนตัวเองไว้มั่น เพื่อไม่ให้ทั้งเขาและเธอลงไปกองอยู่บนพื้นหญ้า และนั่นคือสาเหตุให้ปลายจมูกของทั้งคู่สัมผัสกันนิด ริมฝีปากหยักแตะบางเบาบนปากอิ่มอย่างไม่ตั้งใจ

ทั้งสองสบประสานสายตากันนิ่ง รอบตัวเงียบสนิทราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนชั่วขณะ ภีรมัตถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเอง กลิ่นหอมจากกายพิมพ์ลภัสลอยอวลเข้าจมูกยามอยู่ใกล้ชิดเช่นนี้ สร้างความความรู้สึกแปลกประหลาดที่เขาเองก็ไม่เข้าใจนัก

พิมพ์ลภัสหนักกว่านั้น หัวใจกระหน่ำเต้นแรงจนเกินควบคุม ลมหายใจขาดห้วงไปเพราะตกใจและตื่นตะลึงต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจจนเผลอกลั้นลมหายใจเข้าออก ใบหน้าเนียนซับสีเรื่อเต็มพวงแก้ม ร้อนผ่าวทั้งใบหน้า ลามไปลงมาที่ลำคอระหง ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้..แบบที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในอ้อมกอดเขาเป็นครั้งแรกในวัยสาว ลมหายใจอุ่นๆของเขาเป่ารดปลายจมูกเธอ สร้างความปั่นป่วนไปทั้งกาย ร้อนผ่าวทั้งตัวจนเหมือนจะจับไข้ แขนขาอ่อนแรง หายใจไม่ทั่วท้อง กลิ่นโคโลญน์แบบผู้ชายลอยปะทะปลายจมูก ส่งให้แก้มเนียนละเอียดร้อนหนักกว่าเดิม ประกายตาคมกริบวิบวับที่มองมาเหมือนจะยิ้มอยู่ในที

แม้เธอจะใช้มือทั้งสองยันอกหนาไว้ทัน แต่ก็ยังกลัวว่าเสียงหัวใจตัวเองที่กระหน่ำเต้นรัวจะลอยเข้าหูเขา มือบางที่วางนิ่งอยู่บนอกเขาทั้งสองข้างเย็นเฉียบทะลุผ่านเนื้อผ้า ภีรมัตอมยิ้มพราวระยับ

“ปล่อยได้แล้วค่ะ พิมหายใจไม่ออก” เธอได้สติก่อน เอ่ยเสียงเบาหวิวแทบจะไม่ได้ยิน

ภีรมัตคลายวงแขนจากร่างบาง นึกแปลกใจตัวเองที่ชอบใบหน้าซับสีเรืองเรื่อของพิมพ์ลภัส เขาอมยิ้มตาพราวมองสาวน้อยที่ยืนปั้นหน้าไม่ถูก

“ขอตัวนะคะพิมอยากอาบน้ำแล้ว” อีกครั้งที่เธอตั้งท่าจะหนี เธอไม่กล้าสบตายิ้มได้ของเขา ใจมันคอยแต่จะสั่นเสียการควบคุมร่ำไป

“เดี๋ยวสิพิม..” ภีรมัตท้วงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเธอจะเดินหนี

เธอเหลือบตาสบใบหน้าหล่อเหลาแวบนึงอย่างเคอะเขิน ดูเถอะ..พอต้องสบสายตาคมปลาบสีนิลระยิบระยับคู่นั้นเธอกลับไม่กล้าสู้ จึงต้องมองเลยไปทางอื่นแทน ยังนึกกระดากอายต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมมาเมื่อครู่นี้ สัมผัสจากริมฝีปากหยักบางเบาที่แตะลงบนกลีบปากเธอยังลอยอวลอยู่ในความคิด ท่าทีสบายๆของภีรมัต ทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไร ถึงยังเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไร

ใช่สินะ!เขาคงจะชินกับเรื่องแบบนี้ แต่เธอ..ไม่ชิน!

ภีรมัตหลุบตาลงมองปากอิ่มอมชมพูที่เขาได้สัมผัสอย่างไม่ตั้งใจนิด ความนุ่มนิ่มของมันยังติดอยู่บนริมฝีปากเขาไม่จาง

“พี่ขอโทษ..เอ่อ..ที่พูดรุนแรงไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พิมเสียใจขนาดนั้น อย่าโกรธเลยนะคะ” เสียงทุ้มน่าฟังกว่าคราวแรกทั้งยังเว้าวอนอยู่ในตัว

เขารู้สึกผิดที่พลั้งปากต่อว่าเธอแรงเกินไป เขาเสียใจ..เจ็บแปลบในอกที่เห็นน้ำตาจากพิมพ์ลภัส

“ช่างมันเถอะค่ะ พิมไม่เคยโกรธพี่ภีมได้สักที” พูดจบพิมพ์ลภัสก็เดินเข้าบ้าน

ท่าทีเรียบนิ่งบวกกับน้ำเสียงราบเรียบธรรมดาคล้ายไม่มีอะไร..แต่ทำไมฟังแล้ว เขาถึงรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม สายตาที่มองเขาแฝงไปด้วยความเศร้าสร้อยเย็นชาที่เขาไม่เข้าใจ มันไม่ใช่ความโกรธ ไม่ใช่ความเกลียดชัง แต่อ่านไม่ออกว่ารอยหม่นในแววตาคู่งามคืออะไร คล้ายมีบางอย่างซ่อนอยู่ เธอกลับเข้าบ้านไป ทว่าหนนี้เขาไม่คิดจะตามอีก
---------------------------------------------------------------******------------------------------------------------------
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะผู้อ่าน ทุกๆคอมเมนต์เป็นกำลังใจให้รจนาไฉนได้มีแรงใจสร้างฝันต่อไปค่ะ ขอบคุณคุณร้อยวจีค่ะที่ไม่เคยทอดทิ้งรจนาไฉนเลยสักตอน ขอบคุณค่าา ฝากไว้ให้ติดตามอีกตอนนะคะ



รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2557, 20:15:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2557, 20:25:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1673





<< บทที่ 10    บทที่ 12 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account