เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์

เป็นเรื่องราวของคนหน้าตาไม่เข้าตา ไม่เป็นที่นิยม
ไม่ฮิต ไม่ฮอตของคนสองคน...
ที่ไม่สมบูรณ์แบบ มีตำหนิ...ภาพประวัติไม่สวยงาม...
แต่นิสัยที่ซ่อนไว้ค่อนข้างสวยสดงดงาม...
แฝงไว้ด้วยเสน่ห์แห่งการมีชีวิต...การสร้างครอบครัว


เศษหนึ่งส่วนสอง หรือ ครึ่งหนึ่งของชีวิตหนึ่ง
มาพบกับ อีกครึ่งหนึ่งของอีกชีวิตหนึ่ง
แล้วยกกำลังด้วยศูนย์...

เลขศูนย์ที่ดูไร้ค่า ไร้ความหมาย แค่เลขกลมๆเลขนึง

หากมันได้ทำให้ เศษหนึ่งส่วนสองยกกำลังศูนย์
มีค่าเท่ากับ หนึ่งได้!

สมการทางคณิตศาสตร์ที่น่าพิศวงนี้
นำมาสู่สมการของความรักของทั้งสอง...

ทั้งคู่ที่ชีวิตไม่สมบูรณ์แบบและมีตำหนิ
จะหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร...

เรื่องนี้มีคำตอบ!!!


Tags: ดราม่า ขุนพล ไนค์ บิลกีส

ตอน: บทที่ 4 หัวใจขายขาด





บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าอันสดใส ท้องฟ้าปลอดโปร่ง
สมาชิกสามคนที่นั่งร่วมโต๊ะกันต่างก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้า
โดยมีสาวหน้าหวานแววตาสดใสเป็นผู้ผูกขาดการสนทนาเกือบร้อยเปอร์เซ็น…

“อร่อยมั้ยคะพี่ไนค์…”

“ครับ…”ขุนพลขานรับน้องสาวโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
สร้างรอยย่นบนหัวคิ้วให้สาวเจ้าขี้สงสัย

“ไอซ์ดีใจที่สุดเลย ที่วันนี้ได้กินข้าวกับพี่ไนค์ด้วย…”

ถ้อยคำนั้นทำให้คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเงยหน้าขึ้นมองน้องสาว
แล้วชำเลืองไปยังคนที่นั่งข้างๆน้องสาวเพียงนิดขณะกล่าวว่า

“วันนี้พี่จะพาเราไปเที่ยวที่สวนนั่นเอามั้ย…”

คำพูดนั้นทำเอาคนฟังถึงกับตกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นดีใจจนออกนอกหน้า
ข้าวปลาอาหารที่บอกว่าอร่อยอย่างนั้นอร่อยอย่างนี้ดูจะหมดความหมายไปในบัดดล

“พี่ไนค์ไม่ได้พูดเล่นนะคะ…”

“ไม่เลย…เดี๋ยวกินข้าวเสร็จ เราไปด้วยกันเลย…เสร็จแล้ว
พี่จะพากินไอศกรีมที่ร้านสวยๆที่เราชอบด้วยนะ…”

“แล้วพี่กีสล่ะคะ…ไปกับเราด้วยรึเปล่า…”

สาวเจ้าไม่วายหันไปทางพี่สะใภ้ที่นั่งเงียบเชียบผิดไปกว่าทุกครั้ง
ก่อนจะหันมาจ้องเอาคำตอบจากพี่ชาย

“พี่เขาต้องเฝ้าพ่อน่ะ…”ช้อนส้อมของบิลกีสเกิดกระทบกันเพียงนิด
นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ…จนไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเห็นท่าทางหรือสีหน้าใดๆ
นอกจากความราบเรียบ

“ว้า…ถ้าคุณลุงเดินได้ก็ดีสิคะ…เราจะได้ไปด้วยกันทั้งหมดเลย…”

สาวเจ้าถอนใจด้วยสีหน้าเสียดาย ก่อนจะหันไปปลอบคนข้างๆ
จับแขนพี่สะใภ้แล้งบีบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พี่กีสอย่างอนพี่ไนค์กับไอซ์นะคะ…อย่าน้อยใจด้วยน้าาาา…
ไอซ์อยากออกไปเที่ยว…แต่คุณลุุงไม่มีใครดูแล…”

บิลกีสเงยหน้าจากจานข้าวแล้วหันมายิ้มที่พยายามฉีกให้อีกฝ่ายเห็นอย่างสุดกำลัง
ขณะพยายามหาเสียงของตัวเองเพื่อเปล่งมันออกไปว่า

“ไม่เป็นไรค่ะ…”ว่าจบก็หันมาจัดการอาหารที่เหลือในจานอีกสองคำ
ก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม…หันมาพูดกับดุจมณีด้วยแววตาจริงใจว่า

“พ่ีขอตัวไปให้อาหารคนป่วยก่อนนะคะ…จานชามทิ้งไว้
เดี๋ยวพี่กลับมาเก็บล้างเอง…แล้วเดี๋ยวพี่จะเข้าไปช่วยเลือกชุดสวยๆให้ด้วย…”

คนฟังถึงกับปลื้มเลยยิ้มหวานส่งไปให้พี่สะใภ้
พร้อมกับก้มหน้าซุกลงกับท่อนแขนนั่นด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข…
จนทำให้บิลกีสถึงกับยิ้มออกมาได้

…อย่างน้อย…เธอก็ยังไม่ไร้ความสามารถที่จะทำให้คนข้างๆมีความสุขได้…
หากการเสียสละบางสิ่งเพื่อได้เห็นบางสิ่ง...เธอว่า ตอนนี้มันคุ้มจริงๆ…

การสนใจและหวังแต่จะให้คนไม่รักเขาหันมารักมันดูจะเป็นการ
ทำร้ายหัวใจตัวเองเกินไป…และเธอคิดว่า…จะไม่หวังอีกแล้ว…

“แล้วขาพี่กีสหายแล้วยังคะ…”ดุจมณีถามขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังเดินกะเผล็กอยู่
ทำให้ได้เห็นรอยยิ้มของคนเจ็บ…

“ค่ะ…ไม่เป็นไรแล้ว…”

ขุนพลเองเพิ่งสังเกตสิ่งที่น้องสาวพูดอย่างจริงๆจังๆ…
แล้วก็พบว่าข้อเท้าของหญิงสาวที่เดินเข้าห้องบิดาของตนไปนั้นบวมแดง…
ก่อนจะส่ายหน้าไหวๆ

…คำพูดผู้หญิง เชื่อได้เสียที่ไหน…




“ฉันเป็นคนมือหนัก…”บิลกีสที่กำลังเดินกลับมาจากห้องน้ำ
ซึ่งเพิ่งเสร็จจากการเช็ดตัวคนป่วย ก้มมองหลอดยาแก้เคล็ดขัดยอกบนโต๊ะนั่น
โดยไม่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของหลอดยาดังกล่าว ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา
แล้วเดินผ่านหน้าเขาไปยังห้องของดุจมณี…แต่ไม่ลืมที่จะกล่าว

“ขอบคุณค่ะ…”

แค่เขาหาหยูกยามาให้ก็นับว่ามีน้ำใจต่อเธอมากแล้ว…
เพราะเธอเองก็อยากได้มันอยู่พอดี เพียงแต่ในคอนโดแห่งนี้ไม่มีเลยเท่านั้นเอง…

ขุนพลมองท่าทางนิ่งๆสงบๆนั้นของหญิงสาวแล้วลอบถอนใจก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้
สบตาบิดาที่จ้องมาที่เขาอยู่พอดี

“วันนี้ผมจะพาไอซ์ไปเที่ยว…”เขาบอกกล่าวกับบิดา…

“ผมเก็บเงินสำหรับซื้อบ้านหลังใหม่ของเราได้แล้วนะครับ…
เงินจากโปรเจ็คล่าสุดนับว่าเยอะทีเดียว…ก็เลยตั้งใจจะพาพ่อกับน้อง
ไปอยู่บ้านที่มีพื้นที่สวนและสระน้ำ…จะได้ไม่อุดอู้อยู่แต่ในนี้…

เงินเก็บบวกกับเงินที่ขายคอนโดนี่…ก็คงพอจะซื้อบ้านชานเมืองที่ผมเล็งๆไว้ได้อยู่…”

ขุนพลเล่าให้บิดาฟัง เพราะรู้ว่าบิดานั้นเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดทุกคำ

“ผมไม่มีเครดิตที่จะกู้และผ่อนบ้านได้…พ่อกับน้องก็เลยต้องรอนานหน่อย
ผมถึงจะมีเงินก้อนใหญ่เพื่อซื้อบ้าน…”

ตั้งแต่บิดาถูกฟ้องเป็นผู้ล้มละลาย ครอบครัวเขาต้องหมดสิ้นเนื้อประดาตัว…
สมบัติชิ้นสุดท้ายของเขาที่ไม่ถูกริบคืนเห็นจะมีแต่คอนโดหลังนี้
กับสตูดิโอที่เขาสร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง…

แต่เพราะเขาเข้าไปอยู่ในข่ายของผู้ที่มีหนี้เสีย หรือหนี้บุโร…
ไม่ว่าจะทำนิติกรรมเกี่ยวกับการเงินใดๆก็ดูจะยากไปเสียหมด

โชคดีที่สตูดิโอของเขายังไม่ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง
เงินที่ใช้หมุนยังไม่กระตุก เขาก็เลยรอดตัวมาได้…

แต่การจะผ่อนบ้าน ต้องอาศัยการกู้จากธนาคาร…
และเครดิตเขาไม่ผ่าน…เขาจึงมีวิธีเดียวก็คือ
เก็บเงินก้อนใหญ่ให้ได้เพื่อนำไปซื้อบ้านที่เป็นบ้านจริงๆสักหลัง…

บ้านที่พอจะมีเนื้อที่บริเวณรอบบ้านมากหน่อย
เพื่อที่น้องสาวของเขากับบิดาจะได้ออกไปรับลมรับแสงแดดได้…

และเขาเลือกเขตชานเมืองที่สงบและอากาศค่อนข้างบริสุทธิ์…

ก่อนหน้านี้ได้เข้าไปติดต่อเพื่อขอซื้อบ้านดังกล่าวกับเจ้าบ้านคนก่อน
ซึ่งเป็นนายแพทย์เจ้าของคนไข้อย่างบิดาของเขาที่มีคอนโดอยู่ในตัวเมือง
นายแพทย์ที่เขารู้จักมานานท่านนี้เพิ่งหย่าขาดกับภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานาน
แต่ไม่ได้มีลูกด้วยกัน จึงมีความประสงค์ที่จะขายบ้านหลังนั้น

ท่านเคยเปรยๆกับเขาว่า
บรรยากาศของคอนโดของเขาไม่เหมาะสำหรับคนป่วยทั้งสองคน…

ดังนั้น เมื่อประสบโอกาสดี ท่านจึงเสนอที่จะขายบ้านให้หากเขาต้องการ
เพราะท่านได้ย้ายมาอยู่คอนโดในตัวเมืองอย่างถาวรได้สักพักแล้ว
ซึ่งมันอยู่ใกล้โรงพยาบาลที่ทำงานมากกว่า สะดวกกว่า

โชคดีของเขาที่นายแพทย์ท่่านนั้นยอมขายบ้านหลังนั้นให้เขาในราคากันเอง…
และยินดีที่จะรอให้เขามีเงินพร้อม…

เขาจึงอดไม่ได้ที่จะซาบซึ้งกับความมีน้ำใจและเมตตาจากท่าน…

อย่างน้อย ชีวิตเขาก็ไม่ได้แห้งแล้งเสียทีเดียว!

และเนื่องจากบ้านหลังนั้นขาดคนดูแลมาได้สักพักแล้ว
ต้นไม้ใบหญ้าจึงเหี่ยวแห้งไปไม่น้อย ดูขาดชีวิตชีวา

เขาจึงตั้งใจว่า เมื่อติดต่อเรื่องสัญญาซื้อขาย จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว
คงต้องหาคนจัดสวนเพื่อปรับสภาพพื้นที่ใหม่ทั้งหมด…

เมื่อก่อน เงินล้านสำหรับเขาไม่ได้ดูมีค่าอะไรนัก
แต่ปัจจุบัน เงินแค่พันเดียว ก็ดูจะมีค่าเสียเหลือเกิน…




ดุจมณีเดินออกมาจากห้องในชุดลูกไม้ตัวยาวสีชมพูหวาน…
พร้อมด้วยผ้าคลุมฮิญาบสีเดียวกัน…ทำให้ขุนพลถึงกับมองน้องสาวด้วยความแปลกตา

เพราะเมื่อก่อนน้องสาวเขาไม่เคยสวมฮิญาบแบบนี้
นี่คงเป็นฝีมือของหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขาสินะ…

“เป็นไงบ้างคะ…”ร่างแบบบางหมุนตัวให้เขาดูด้วยสีหน้าร่าเริงสดใส

“สวยมากเลยจ๊ะ…”

“พี่กีสให้ไอซ์ยืมผ้าคลุมฮิญาบด้วยแหล่ะ…บอกว่าไอซ์เป็นสาวแล้ว
ควรจะสวมใส่ไว้เวลาออกไปข้างนอกค่ะ...”ขุนพลลุกขึ้นยืน
เดินไปหาน้องสาวแล้วระบายยิ้ม ก่อนจะหันไปทางหญิงสาวที่ทำท่า
จะปลีกตัวออกไปอีกทาง

“ขอบใจมากนะ…ที่ช่วยไอซ์แต่งตัว…”

“ไม่เป็นไรค่ะ…”หญิงสาวพูดประโยคเดิมๆแล้วปลีกตัวออกไปยังห้องครัว
แต่ปรากฏว่าทุกอย่างถูกเก็บล้างเรียบร้อยหมดแล้ว
โต๊ะและพื้นห้องครัวทุกอย่างดูสะอาดสะอ้าน…

“ฝากพ่อด้วยนะ…”เขากล่าวขึ้นเมื่อจูงมือดุจมณีเดินไปยังประตูห้อง

“ค่ะ…”บิลกีสรับคำ…




แล้ววันทั้งวันเธอก็ขลุกอยู่แต่ในห้องกับคนป่วยที่พูดไม่ได้ ขยับเขยื้อนก็ไม่ได้

เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า…การไม่มีดุจมณีคอยถามโน่นถามนี่
เล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังมันช่างเงียบเหงาอย่างที่สุด…

บิลกีสลอบถอนหายใจไปเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้ว
ก่อนจะหันไปทางคนป่วยแล้วเดินไปหยิบหนังสือเกี่ยวกับธรรมะที่เธอพกติดตัวมาด้วย
หยิบขึ้นมาอ่านให้คนป่วยฟัง…

เธอไม่รู้หรอกว่าคนป่วยจะพึงพอใจหรือไม่…
แต่ดูจากสายตาแล้ว เธอคิดว่าแววตาแข็งๆที่เคยจับจ้องเธอมาตลอดดูจะอ่อนลงไปเป็นโข…

เมื่อจบจากการอ่านหนังสือธรรมะแล้ว
หญิงสาวก็เปลี่ยนมาอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่านให้คนป่วยฟัง…
ด้วยน้ำเสียงกังวานใสที่ทำให้คนฟังถึงกับน้ำตาไหลซึมจนหมอนเปียก…
ยิ่งคนอ่านแปลโองการที่อ่านอยู่เป็นภาษาไทยให้ด้วย…
คนฟังยิ่งหลั่งน้ำตาออกมาจนบิลกีสที่เห็นถึงกับระบายยิ้มออกมา…

เพราะโองการดังกล่าวทำให้เธอต้องถึง
กับหลั่งน้ำตาออกมาประจำยามที่ได้อ่าน แม้แต่ในยามนี้ เธอก็อ่านไปร้องไห้ไปด้วย…

มันเป็นน้ำตาแห่งความยำเกรงต่อความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
ที่มนุษย์ตัวน้อยๆอย่างเรามิอาจเทียบเทียมได้

“หนูอาจจะร้องเพลงไม่เก่ง แต่อาจารย์ที่สอนศาสนาบอกว่า
หนูอ่านอัลกุรอ่านได้ไพเราะค่ะ…หนูก็เลยภูมิใจอยากอ่านให้ท่านฟัง…”

บิลกีสพูดไปก็นึกไปถึงเรื่องราวในวันวาน

“เมื่อก่อนหนูเคยถูกบังคับให้ต้องร้องเพลง ตอนนั้นร้องไห้เลยล่ะค่ะ
เพราะรุ่นพี่มหาลัยโหดจนหนูกลัว แต่หนูก็ขอท่องกุรอ่านให้พวกเขาฟังแทน…

และคุณไนค์ก็เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นปรบมือให้หนู
เขาทำให้หนูไม่รู้สึกเคว้งคว้าง ทำให้หนูประทับใจ
จนหนูรู้สึกว่าหนูรักเขามาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วค่ะ…รักมาตลอด…”

หญิงสาวเล่าในขณะที่แววตาก็ทอดออกไปไกลที่ไหนสักแห่ง
ที่คนฟังเองก็คงไม่อาจหยั่งรู้ได้…

“หนูไม่ใช่คนมีอะไรเลย…แม้แต่ญาติที่เคยมีก็กลายเป็นไม่มี
หนูเป็นเด็กกำพร้าค่ะ…ก็เลยต้องปากกัดตีนถีบ…อดมื้อกินมื้อ…
บางวันไม่มีอะไรตกถึงท้อง…

มีครั้งหนึ่งหนูเคยคิดจะเป็นขโมยด้วยค่ะ เพราะตอนนั้นมันหิวมากๆ…
คนไม่เคยหิวจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกนั้นว่ามันทรมานแค่ไหน…
ยิ่งเหยื่อมายืนอยู่ต่อหน้าเรา…

แต่ท่านรู้มั้ยคะ…ในเสี้ยวของความรู้สึก หนูได้ยินเสียงของพ่อ
ที่เคยพูดกับหนูอยู่เสมอว่า…โตขึ้นหนูจะเป็นอะไรก็ได้…แต่ต้องเป็นคนดี…
คนดีที่ไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน…”

พูดจบเสียงนั้นก็หยุดลง เพราะน้ำตาของคนพูดเริ่มทะลักออกมาอีกครั้ง…
แต่เสียงสั่นๆนั้นก็เลือกที่จะเล่าต่อไปว่า

“วันนั้นหนูไม่ได้เป็นขโมยอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่หนูได้เป็นคนที่ช่วย
ให้หญิงชราคนนั้นรอดพ้นจากขโมยค่ะ…

หญิงชราท่านนั้นจึงยื่นเงินให้หนู แต่หนูไม่ได้รับหรอกค่ะ
ทั้งที่มันก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับหนูเหลือเกิน
แต่หนูอายที่จะรับมัน…อายเพราะก่อนหน้านั้นหนูคิดไม่ดีกับท่านไม่ต่างจากโจรคนนั้น
เพียงแต่หนูไม่ได้ลงมือทำอย่างที่ใจคิดเท่านั้นเอง…

หนูสารภาพกับท่านไปอย่างซื่อๆ
ท่านยิ้มให้หนูแล้วก็ถอดสร้อยคอทองคำขาวของท่านที่มีจี้เป็นเพชรเม็ดงามสวมให้หนู

บอกหนูว่า มันคือที่ระลึกสำหรับน้ำใจของหนูค่ะ
ท่านยกมือขึ้นลูบหัวหนู…บอกหนูว่า…การเป็นคนดีนั้นทำยากยิ่ง
แต่คนที่อดทนไม่ทำความชั่วได้นั้นถือเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่า…
และความรู้สึกสูงส่งเช่นนั้นก็ประทับลงตรงหัวใจหนู
สั่งให้หนูเลือกทำในสิ่งที่ดีๆมาตลอด…”

บิลกีสยิ้มให้คนป่วยที่มองเธอแน่วนิ่ง…ราวกับหลุดไปอยู่อีกโลกนึง
หญิงสาวเลยบีบมือท่านขณะบอกท่านว่า

“หนูไม่เคยขายสร้อยคออันนั้นเลย แม้ขนาดจะจนจนไม่มีอะไรกิน
หรือจำเป็นอย่างที่สุด เพราะถ้าขายเอาเงินมาใช้ สักวันเงินนั้นก็ต้องหมดไป…
แต่สำหรับสร้อยเส้นนั้นมันมีค่าต่อหนูมาก
มันดูจะมีค่ายิ่งกว่าแหวนเงินที่พ่อกับแม่เคยให้หนูเสียอีกค่ะ

เพราะค่าของมันทำให้หนูมีความหวังในการเป็นคนดีค่ะ…
ระลึกได้เสมอว่า…การอดทนไม่ให้ทำความชั่วได้สำเร็จนั้น
ให้ความรู้สึกสูงส่งแค่ไหน…”

พูดพลางก็ทาบมือไปยังสร้อยคอทองคำขาวเส้นนั้นที่เธอสวมติดกายตลอดเวลา
มันถูกซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมฮิญาบของเธอเสมอเมื่อยามออกไปนอกบ้าน

แต่เมื่ออยู่ในบ้านเช่นนี้ บิลกีสมิได้สวมผ้าคลุมดังกล่าว
ทำให้จอมพลได้เห็นสร้อยคอเส้นนั้นที่มีจี้เป็นรูปดอกทานตะวัน
โดยมีเพชรน้ำงามอยู่กลางดอก…

“ชีวิตหนูไม่เคยได้รับอะไรที่มีค่าจากใครมานานตั้งแต่พ่อแม่จากไป
และนี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้หนูระลึกได้เสมอ ว่าในโลกใบนี้
ยังมีคนดีอีกมากมายที่พร้อมจะสละสิ่งมีค่าของรักของหวงของตัวเอง
ให้ผู้อื่นอย่างไม่ลังเล…

หนูจึงตั้งใจอยากเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ช่วยเหลือคนอื่นบ้างค่ะ…
เพราะเมื่อใดที่เราสละความสุขบางส่วนในชีวิตเพื่อส่งต่อความสุขให้ผู้อื่น
เราจะได้รับความสุขกลับมาเป็นเท่าตัวค่ะ…”หญิงสาวยิ้มบางแล้วกุมมือเหี่ยวย่นนั้น

“หนูไม่คิดจะรังเกียจท่านเลย…เพราะคนที่หลั่งน้ำตาเมื่อได้ยินโองการจากพระเจ้า
ย่อมบอกให้รู้ได้ว่า หัวใจของเขาได้ถูกขจัดมลทินออกไปบ้างแล้ว

อดีตไม่สำคัญเท่ากับวันนี้ ท่านยังมีคนที่รักท่าน รอให้ท่านลุกขึ้นมายืนใหม่
ได้อีกครั้งนะคะ…”

บิลกีสส่งต่อกำลังใจให้คนป่วยที่เธอรู้ว่านอนอยู่แบบนี้มาเป็นปีๆแล้ว…

“หนูรู้ว่าครั้งหนึ่งท่านต้องเคยเป็นคนที่เข้มแข็งมากๆแน่ๆ…
เพราะขนาดโรคภัยพยายามรุมเร้าและพร้อมจะจู่โจมท่านอยู่ตลอดเวลาแบบนี้
ท่านก็ยังฮึดสู้กับมัน…ทั้งที่ประตูหนีเปิดให้ท่านอยู่ตลอดเวลา…
หนูชอบมองรอยยิ้มของนักสู้ที่สุดเลยค่ะ…”

แล้วบิลกีสก็ได้เห็นรอยยิ้มนักสู้ของจอมพลเป็นครั้งแรก
มันคือรอยยิ้มครั้งแรกของคนป่วยหลังจากเกิดเหตุการณ์ร้ายๆในชีวิตถาโถมเข้ามา…

จอมพลมองหน้าลูกสะใภ้แล้วอดภูมิใจไม่ได้…
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ชอบเธอเลย เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร
หญิงสาวผู้นี้ก็หาจุดโดดเด่นในตัวเองไม่ได้ ดูธรรมดาจนเขาไม่เคย
คิดว่าจะมีลูกสะใภ้เช่นนี้…อดโทษลูกชายไม่ได้ที่ตาไม่ถึง
คว้าผู้หญิงที่ไม่มีอะไรมาเป็นสะใภ้ของเขา…

แต่เพียงไม่กี่วัน เขาก็ได้เห็นความโดดเด่นของหญิงสาวผู้นี้ขึ้นเรื่อยๆ…
เป็นความสวยงามที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบๆภายในหัวใจของเธอ

ยิ่งสิ่งที่ได้รับฟังมาจากปากของเธอนั้น มันทำให้เขานึกย้อนไปถึงตัวเองในอดีต
เขาเองก็เป็นเด็กกำพร้า โชคดีกว่าเธอหน่อยตรงที่เขาเป็นผู้ชาย
และยังมีน้องชายอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน…
ไม่โดดเดี่ยวเดียวดายเช่นเธอคนนี้…

ความเข้มแข็งของเขาดูจะสู้หัวใจแกร่งของหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้

ในขณะที่เขาเลือกเดินทางผิดๆให้กับชีวิตจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ที่ใครต่อใครต้องก้มหัวยอมสิโรราบให้ มีเงินทองล้นมือ
มีอำนาจต่อรองทุกสิ่งอย่างได้สมใจ…
ราวกับเป็นเจ้าชีวิตของผู้ที่อยู่ภายใต้อุ้งมือของเขา…

แต่เธอผู้นี้กลับเลือกใช้ชีวิตสมถะ สันโดด
ด้วยการเป็นคนดีของสังคมอย่างเงียบๆ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครรู้จัก
ไม่มีใครก้มหัวให้ แต่เขารู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ย่อมจะไม่ยอมก้มหัวให้ใครง่ายๆเช่นกัน…

คนที่มีพลังใจที่เข้มแข็งเช่นนี้ ขนาดอุปสรรคขวากหนามขวางทาง
ยังไม่ยอมก้มหัวหรือสิโรราบให้

เขาก็แน่ใจว่า เธอคนนี้จะไม่ยอมก้มหัวให้อะไรหรือสิ่งใดอย่างแน่นอน…
และเธอทำให้เขาภูมิใจ…จนอยากจะพูดออกไปว่า

เขาชื่นชมเธอแค่ไหน!

และคนเช่นดังเธอที่พบเจอนั้นไม่เหมือนใคร
ไม่เหมือนใครที่เขาเคยพบเจอเลยจริงๆ…ทั้งที่แววตาดูเศร้าหมองขนาดนี้
แต่หัวใจของเธอดูจะเปี่ยมไปด้วยพลังของนักสู้…

เขาสัมผัสมันได้…แน่นอน…นักสู้ต่อนักสู้ย่อมรับรู้และสัมผัสถึงพลังเช่นนี้ได้…

“ขอบคุณนะคะที่ยิ้มให้หนู…หนูรู้ว่าท่านยิ้มสวย…
ยิ้มสวยเหมือนคุณไนค์เลย…คุณไนค์เป็นนักสู้ที่ดี
หนูเชื่อว่าหนูเลือกรักคนไม่ผิดค่ะ…เพราะหนูไม่ได้ใช้แค่สติปัญญาอย่างเดียว
แต่หนูใช้หัวใจทั้งดวงของหนูเลือกด้วยค่ะ…”

จอมพลจ้องหน้าคนพูดนิ่งราวกับจะค้นหาให้เข้าไปถึงข้างใน…
เขาว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นคนตรงไปตรงมาที่น่่าดูชมคนนึง

“หนูจะลองไปค้นดูหนังสือในห้องทำงานคุณไนค์ดูนะคะ
เผื่อจะเจอหนังสือที่มองหาอยู่…จะได้รู้ว่าหนูจะต้องทำยังไง
กับการดูแลพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้ออย่างท่านบ้าง
แล้วมีทางใดที่พอจะช่วยไม่ให้โรคภัยเข้าโจมตีท่าน…

โรคนี้สู้ได้นะคะ หากท่านไม่ท้อแท้หมดหวัง…หนูไม่รู้ว่าท่านหวังสิ่งใด
แต่หนูเชื่อว่า สิ่งที่ทำให้ท่านสู้มาได้ขนาดนี้ ย่อมมีค่ามาก…”

บิลกีสยิ้มส่งกำลังใจไปให้คนป่วย

“หนูจะเอาใจช่วยอีกแรงค่ะ…เพราะหนูน่ะถูกสังคมส่วนใหญ่มองเมินมานานแล้ว…
ถ้าจะไม่มีใครเข้าใกล้เพียงเพราะรู้ว่าหนูดูแลคนป่วยติดเชื้ออย่างท่าน
ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอกค่ะ…

ท่านไม่ต้องกังวลนะคะ…หนูอยากช่วยท่านจริงๆ…
คุณไนค์เองก็คงจะอยู่ช่วยท่านไม่ได้นัก เพราะต้องทำงานเก็บเงินอย่างหนัก…

เขาควรมีภรรยาเสียตั้งนานแล้ว แต่หนูเข้าใจว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่ผู้หญิงคนไหนจะยอมแต่งงานและอยู่กินกับเขาง่ายๆ
ในขณะที่เขาหมดสิ้นทุกอย่างแบบนี้…

เขาเลือกแต่งงานกับหนู หนูว่าเขาก็เลือกไม่ผิดนะคะท่าน…
ลูกชายท่านมองการณ์ไกล…เป็นนักวางแผนที่ดีค่ะ…
อนาคตต้องไปได้สวยแน่ๆค่ะ…

เพราะระหว่างความรักกับคุณสมบัติ หนูว่าเขาเลือกอย่างหลัง
และเขาคงสืบมาจนแน่ใจแล้วว่าหนูมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นภรรยาเขาได้
ยิ่งเขาได้รู้ว่าหนูรักเขาด้วยแล้ว เขาก็เลยมั่นอกมั่นใจว่าหนูจะไม่ปฏิเสธ”

พูดแล้วก็ลุกขึ้น วางหนังสือและคัมภีร์อัลกุรอ่านไว้เหนือสุดของหัวเตียง
กล่าวพร้อมรอยยิ้มแต้มบนใบหน้าอีกว่า

“ในเวลานี้ หนูจึงเป็นผู้ถูกเลือกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่เขามีอยู่ในมือ…
นี่แหล่ะค่ะ…อนาคตนักธุรกิจใหญ่ที่คนที่เคยเป็นแต่ลูกจ้างคนอื่นอย่างหนู
มองเห็นในตัวเขา…

หนูเห็นลวดลายมังกรในตัวเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันแล้วล่ะค่ะ…”

ประโยคท้ายๆนั้นเหมือนจะชื่นชมปนประชดประชัน แฝงความแง่งอนนิดๆ…

ทำให้เธอได้เห็นรอยยิ้มของคนป่วยอีกครั้ง…

เป็นสองครั้งติดๆกัน…


จอมพลแน่ใจแล้วว่า หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่คนโง่งมงาย…หรือซื่อบื้อ
อย่างที่เขาเคยคิดเอาไว้…

เธอรู้จักโลก รู้จักคน รู้จักเข้าใจเหตุผล

และที่สำคัญ รู้จักตัวเอง!


คนแบบนี้แหล่ะที่เขามองว่า คู่ควรกับลูกชายของเขาที่สุด!

กลัวแต่เจ้าลูกชายของเขาจะเก็บรักษาคนแบบนี้เอาไว้ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
เพราะมนุษย์เราต่อให้ทนแค่ไหน แต่ขีดความอดทนย่อมมีจำกัด…
เขาก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มีขีดจำกัดความอดทนแค่ไหนเหมือนกัน…

แต่แปลกที่เขากลับมิได้กังวลเมื่อรับรู้ได้ว่า
นอกจากความ “อดทน” ที่เป็นคุณสมบัติขั้นพื้นฐานของเธอแล้ว
เขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน และ “การให้อภัย”
จากแววตาและสีหน้าของหญิงสาวผู้นี้ด้วย

คนเช่นนี้หาดูได้ยากยิ่งในปัจจุบัน…
และความสวยงามเช่นนี้แหล่ะที่ชีวิตเขาเพิ่งได้พบเจอ…


เธอคนนี้ไม่ได้โง่เลย…ถ้าจะมีใครสักคนโง่ เขาว่าคนที่โง่ก็คือ
คนที่ปล่อยให้คนแบบนี้ผ่านพ้นไปโดยไม่เหลียวแล
หรือหลุดมือไปได้เท่านั้นเอง…


บิลกีสไม่อยากจะบอกเล่ากับพ่อสามีเลยว่า
คืนก่อนที่ลูกชายของท่านจะมาขอเธอแต่งงานนั้น
เธอฝันเห็นมังกรยักษ์โผล่มาจากท้องทะเลลึก
แล้วจู่โจมรัดร่างเธอโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว มันรวดเร็วและว่องไว
ก่อนจะพาเธอบินหายไปในกลีบเมฆเหมือนวิมานสวยงาม…
โบยบินไปไกลแสนไกลราวกับจะไปให้ถึงสุดขอบฟ้านั้น…

เธอทั้งตกใจ ท้ังกลัว ทั้งตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ ทั้งหวาดหวั่นสารพัด…
ขนาดตื่นขึ้นมายังรู้สึกว่าตัวเองดูลอยๆอยู่อย่างไรอย่างนั้น…

แล้วเธอก็ได้พบ ‘มังกรยักษ์’ ตัวนั้นจริงๆเมื่อตื่นไปทำงาน…
เขามาแล้วจู่โจมเธอด้วยการขอแต่งงาน ช่างเหมือนฝันอะไรอย่างนั้น

มังกรยักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในท้องทะเลลึก ซึ่งอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับเธอ
โผล่เข้ามาในชีวิตเธอเพื่อมาพาเธอไปอยู่กับเขา…

แล้วเธอก็ไม่อาจปฏิเสธเขาได้เลย…ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวด้วย








กว่าเขาจะกลับเข้ามา ก็เกือบสองทุ่ม เสียงร่าเริงสดใสของดุจมณี
ตรงประตูทางเข้าเรียกสายตาของบิลกีสที่กำลังนั่งอ่านตำรา
เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV อยู่ข้างๆเตียงคนป่วย
ซึ่งประตูเปิดกว้างออกได้ไม่น้อย ในมือของหญิงสาวมีถุงกระดาษสามสี่ใบ
ส่วนในมือของผู้เป็นพี่ชายมีของสดและขนมนมเนยต่างๆ

“วันนี้พี่ไนค์พาไอซ์ไปเที่ยวสวนสนุก แล้วพาไปกินไอติม
พาไปเดินห้างซื้อของ แล้วก็พาไปซุปเปอร์ซื้อของกินมาเยอะแยะเลยค่ะพี่กีส…”

หญิงสาวยกของในมือแล้วเดินแกมวิ่งมาหาบิลกีสด้วยท่าทางเริงร่า
เหมือนเด็กสาววัย10 ขวบ ต่างจากสรีระที่ดูสวยสะพรั่ง งามไปทุกสัดส่วน…

ไม่แปลกเลยที่พี่ชายจะเรียกน้องสาวว่า ‘เจ้าหญิง’

ก่อนจะลากตัวพี่สะใภ้ให้เข้าไปยังห้องของตัวเอง โชว์เสื้อผ้าตัวใหม่
ที่ผู้เป็นพี่ชายพาไปเลือกซื้อให้ดูด้วยสีหน้าท่่าทางมีความสุข

ทำเอาบิลกีสถึงกับยิ้มออกมาให้กับความสุขของหญิงสาวตรงหน้า

“นี่ของพี่กีสค่ะ…พี่ไนค์เป็นคนเลือกให้เองเลยนะคะ ชอบมั้ย…”

ดุจมณีหยิบชุดราตรีสีครีมตัวยาวออกมาให้พี่สะใภ้ชม

บิลกีสมองชุดแล้วยิ้มออกมาอย่างถูกใจ…อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงคนที่เลือกให้…

จะว่าเขาเย็นชาไปเสียทีเดียวเห็นจะไม่ใช่…
อย่างน้อยเขาก็ยังมีมุมดีๆแบบนี้เหมือนกัน

“ขอบคุณนะคะ…”

“ต้องขอบคุณพี่ไนค์โน่นค่ะ…ไอซ์แค่หิ้วมาให้เท่านั้นเอง”

ดุจมณีโบ้ยหน้าไปทางประตูห้อง ที่มีร่างยักษ์ของเขายืนกอดอกพิงประตูอยู่…
บิลกีสสบตาเขาแว้บเดียวแล้วหันกลับมาที่ดุจมณีก่อนจะกล่าวว่า

“ขอบคุณค่ะ…”

“วันนี้เราสองพี่น้องชื้อของอร่อยๆมาเพียบเลยค่ะ ไปกินกันมั้ยคะ…”

เมื่อเชยชมข้าวของที่ซื้อมาสมใจแล้ว ดุจมณีก็คว้าข้อมือของพ่ีสะใภ้
แล้วลากไปยังห้องครัวทันที…

“มีเค้กผลไม้ด้วย…พี่กิสชอบมั้ย…”

“ชอบค่ะ…”

“แล้วก็มีขนมหม้อแกงด้วยนะคะ…ของโปรดพี่ไนค์เขาค่ะ…”

ต่อจากนั้น ดุจมณีก็ชวนพี่ชายและพี่สะใภ้ร่วมรับประทานอาหาร
และของกินที่ซื้อมาอย่างมีความสุข…





เมื่ออาบน้ำและละหมาดเสร็จแล้ว
ทั้งบิลกีสและขุนพลจึงมีเวลาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังในห้องนอนส่วนตัว…

บิลกีสที่กำลังหวีผมอยู่หน้ากระจกลอบมองเจ้าของห้องที่นั่งอยู่ตรงโซฟาตัวเล็ก
ในห้องนอนผ่านทางกระจก เห็นสีหน้าเครียดของเขาแล้วลอบถอนใจ

เธอไม่อยากเห็นเขาทำหน้าเครียดๆแบบนี้เลย ให้ตายเถอะ

“ตอนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมในบ้านของฉันเมื่อปีก่อนโน้น…”

ขุนพลเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้าเยียบเย็น

“อาแท้ๆกับอาสะใภ้ตายกลางกองเลือด อาของฉัน…
ยกปืนเล็งไปยังพ่อของฉัน แต่อาสะใภ้ของฉันเข้าขวาง

ทั้งสามคนเป็นโรคเอดส์ อาสะใภ้ของฉันกับพ่อของฉันลักลอบได้เสีย
กันโดยที่อาของฉันไม่เคยรู้ ขุนศึกกับดุจมณี เป็นลูกแท้ๆของพ่อฉัน
ที่เกิดกับอาสะใภ้ของฉันหรือในอีกแง่ก็คือแม่เลี้ยงของฉัน
โดยที่อาของฉันหลงเชื่อมาตลอดว่าทั้งสองคนคือลูกแท้ๆ

พออาของฉันรู้เรื่องเข้าก็เลยโกรธจนขาดสติ...ยิงพ่อฉันกับอาสะใภ้ของฉัน
แล้วปลิดชีวิตตัวเอง โดยที่ฉัน ขุนศึกและดุจมณี
ยืนดูเหตุการณ์นั้นอย่างไม่อาจทำอะไรได้
ทุกอย่างมันเร็วและรุนแรงเกินที่ใครจะตั้งรับได้ทัน…”

ขุนพลหยุดแล้วลอบถอนใจ สายตาของเขาดูเลื่อนลอย
ตอนนี้เองที่บิลกีสวางหวีลงบนโต๊ะแล้วหมุนตัวมาทางเขา

“พ่อของฉันรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่ก็อยู่ในสภาพอย่างที่เธอเห็น
เราหมดตัว หมดสิ้นทุกอย่าง บ้านและทรัพย์สินถูกริบ

ขุนศึกต้องคดีค้ายาและอีกหลายคดีเป็นหางว่าวจนหนีลักลอบออกนอกประเทศ

ส่วนดุจมณีช็อกจนตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นเด็กอย่างที่เธอเห็น
เหลือฉันคนเดียวที่ปราศจากมลทินใดๆ แต่ก็กลายเป็นทายาทมรดกหนี้ของตระกูล…

คอนโดกับสตูดิโอคือสมบัติชิ้นสุดท้ายและเป็นชิ้นเดียว
ที่ฉันลงมือสร้างมันด้วยมือของฉันเอง…”

หนุ่มใหญ่พ่นลมหายใจออกมาก้มหน้ามองพื้น

“แต่โรคที่พ่อฉันเป็น มันยาก ยากที่จะหาคนมาช่วยดูแลได้
ฉันยอมทำงานหนักเพื่อจ้างพยาบาลพิเศษ แต่ก็ไม่มีใครอยู่ได้นาน
ทุกคนกลัวและรังเกียจ และฉันเข้าใจดี…ค่าหมอค่ายารักษานั้นมหาศาลมาก”

เป็นอีกครั้งที่เธอเห็นเขาลอบถอนใจ

“ฉันไม่รู้ว่าถ้าเป็นลูกคนอื่นเขาจะยินดีปล่อยให้พ่อของเขาจากไป
โดยไม่ต้องเหลียวแลรักษาหรือเปล่า แต่ฉัน…ฉันทำไม่ได้…

แม้ฉันจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว ต่อให้ฉันต้องสูญเสียเงินและแรงกายแรงใจไปมากมายแค่ไหน
พ่อก็จะอยู่กับฉันได้อีกไม่นานอยู่ดี…

แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น…ฉันก็ยังอยากจะสู้ให้ถึงที่สุด…ยื้อเวลาของพ่อเอาไว้ให้นานที่สุด
เพราะตอนนี้ ฉันไม่เหลือใครนอกจากพ่อกับน้อง
นี่คือครอบครัวฉัน…ฉันสูญเสียมาเยอะ จนไม่อยากสูญเสียอีก…”

เขาพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
ก่อนจะเดินเข้าไปหาเธอ…

“ฉันรู้ว่าฉันทำให้เธอไม่พอใจอย่างยิ่ง…เอาความรู้สึกของเธอมาล้อเล่น…
เอาชีวิตเธอมาเสี่ยง…เห็นเรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องของผลประโยชน์
ซึ่งฉันยอมรับและไม่ขอปฏิเสธ…

เพราะหากเธอหวังจะได้ความรักความห่วงใยจากฉัน…
ฉันเกรงว่าฉันจะทำให้เธอผิดหวัง…
ฉันคิดได้แล้วว่าไม่ควรลากเธอมาเจ็บปวดและเสี่ยงแบบนี้…”

คนฟังเริ่มหน้าชาเมื่อได้ยินจากปากของคนที่เธอรักเช่นนั้น
ใจทั้งใจมันรวดร้าวเหลือเกิน จากที่เคยคิดไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดเลยว่า
พอถึงเวลาเข้าจริงๆ เมื่อได้ยินจริงๆ เธอกลับตั้งรับมันไม่ทัน
และเหมือนจะรับมันไม่ไหวขึ้นมา

“และถ้าเธอจะไป…ฉันก็เข้าใจดี…และฉันยินดีจะหย่าให้เธอ
พร้อมค่าชดเชย ค่าเสียเวลา ค่าเหนื่อยด้วยเงินอีกสองล้านบาท…เพื่อที่…”

เธอจะได้เอาไว้ตั้งตัว…

แต่คำพูดนั้นของขุนพลกลับถูกกลืนหายไปกับเสียง

ฉาด!

หนุ่มใหญ่โดนหญิงสาวลุกขึ้นตบหน้าจนหน้าหันด้วยแรงตบที่หนักจนรู้สึกเหมือนคอจะหัก…
รอยนิ้วสีแดงปรากฏบนแก้มสากนั้น

บิลกีสมองหน้าคนที่เธอรัก เธอรักเขา แล้วดูเขาสิ
เขากำลังทำเธอเสียใจอย่างที่สุด…เขาดูถูกหัวใจของเธอ
ดูถูกความรักของเธอ รักที่เขาไม่เคยต้องการเลย…

เหนื่อยแค่ไหน เธอทนได้ เจ็บแค่ไหนเธอก็ทนได้…
แต่นี่เขา เขาทำเหมือนเธอไม่มีหัวใจ…

คิดจะเดินเข้ามาแล้วขอแต่งงาน เธอก็ดันตอบตกลง
พอมาอยู่ด้วย เขาจะกอดจะหอมแก้ม เธอก็ไม่เคยปฏิเสธ
พอตอนนี้ ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์ เขาก็เดินเข้ามาบอกว่าจะหย่าให้พร้อมเงินชดเชย…
เธอควรจะยอมเขาอีกตามเคยใช่มั้ย


เขาช่างเย็นชา ไม่เคยรู้สึกรู้สาอะไรเลยใช่มั้ย ไม่ว่าจะทำดีเท่าไหร่
ก็ไม่ทำให้เขารู้สึกอะไรเลยสินะ…เขาจึงเก็บงำหัวใจไว้อย่างแน่นหนา
ราวกับกลัวว่าเธอจะเข้าไป ถึงได้ผลักใสกันแบบนี้ใช่มั้ย…

ในดวงตา ในดวงใจของเขาคงมีแต่ผู้หญิงที่ชื่อ ‘ปองขวัญ’คนเดียวสินะ…
เขาถึงทำเหมือนไม่แยแสความรักของเธอแบบนี้…

เจ็บเหลือเกิน เจ็บตรงที่รู้ว่าเขารักใคร…ที่ไม่มีวันเป็นเธอแน่นอน…

และยิ่งเจ็บอย่างที่สุด เมื่อสุดท้ายแล้ว เขากลับไม่ได้เลือกเธอ!


นอกจากจะอยู่นอกสายตาเขาแล้ว เธอยังได้รู้ว่าตัวเองนั้น
อยู่นอกวงโคจรของห้วงความคิดถึงของเขา…

เขาอยากจะดึงเข้ามาหรือผลักออกไปเมื่อไหร่
เขาก็ทำได้โดยไม่รู้สึกอะไรแบบนี้…

ค่าของหัวใจและความรักของเธอแค่ ‘สองล้านบาท’
ในสายตาและความรู้สึกของเขาหรือนี่…

“เธอไม่ควรปฏิเสธมัน…ด้วยการตบหน้าฉันแบบนี้!”เสียงนั้นกระด้าง
ดวงตาของเขาวาววับ…ไม่เคยมีใครกล้าตบหน้าเขามาก่อนเลย…

“ถ้าฉันจะให้…ก็คือให้…”

“ถ้าจะไล่ก็คือไล่ใช่มั้ย!”บิลกีสต่อให้ ทำเอาคนที่ถูกตอกหน้าถึงกับหน้าชาไป

“คุณคิดเหรอว่าจะมีผู้หญิงคนไหนอีกที่จะยอมมาดูแลพ่อคุณ…
แล้วตัวคุณเองมีปัญญาแค่ไหนที่จะดูแลพ่อดูแลน้องตัวเอง…

คุณคิดว่าเงินของคุณที่คุณทำงานงกๆอยู่ทุกวัน
มันมีค่ามากพอที่จะดูแลรักษาหัวใจสองดวงของคนที่คุณรักแล้วเหรอ…

คุณมันไม่มีหัวใจไง ไม่นึกถึึงความรู้สึกของคนอื่น
คิดเองเออเอง เดาเอาเอง แล้วก็งมๆทำโน่นทำนี่ไปเอง

เคยคิดจะถามคนอื่นบ้างมั้ยว่าเขาต้องการแบบไหน
ความสุขของแต่ละคนไม่ได้เหมือนกัน คุณจะเหมาเอาความรู้สึกตัวเอง
มาตัดสินว่านั่นนี่คือความสุขของคนอื่นด้วยได้ที่ไหน…

คุณก็เลยไม่เคยรู้ไงล่ะว่าต้องใช้อะไรถึงจะทำให้ดูแลหัวใจของคนที่ตัวเองรักได้…

ฉันไม่แปลกใจเลยสักนิดเดียวว่าทำไมผู้หญิงที่ชื่อปองขวัญถึงไม่รักคุณ

เพราะคุณมันเป็นแบบนี้ไงเล่า…นางฟ้าที่ไหนเขาจะรักคุณลง…
คงมีแต่ควายอย่างฉันนี่แหล่ะที่ยังจมปลักรักคนอย่างคุณอยู่ได้”

บิลกีสตัดพ้อต่อว่าอีกฝ่ายเสียยาวเหยียดด้วยอารมณ์
ก่อนจะหอบหายใจถี่…น้ำตาก็เอ่อล้นจนนองหน้า…

และไม่ทันตั้งตัว ร่างทั้งร่างของเธอก็ถูกยกขึ้นแล้วถูกเหวี่ยงลงบนเตียงนอน
ก่อนที่ร่างยักษ์ของเขาจะขึ้นคร่อมเอาไว้…

แววตาของเขาดูดุดันและน่ากลัวจนทำเอาหัวใจของหญิงสาวหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม…

เขาไม่พูดแต่จู่โจมเธอด้วยการซุกหน้าลงกับซอกคอของเธอ

“ปล่อยฉันนะ…กรี๊ดดดดดด...ฮือๆๆ”

หญิงสาวพยายามผลักร่างหนาและหนักออก
แต่ดูเหมือนเร่ียวแรงของเธอจะหดหายไปไหนก็ไม่รู้

ยิ่งโดนเขาจูบแบบไม่ปรานีเช่นนี้ก็ยิ่งพาลให้ร่างกายของเธออ่อนราวกับขี้ผึ้งลนไฟ

เธอไม่ควรหาเรื่องเอาน้ำมันราดกองไฟเลย ไม่ควรเลย

แต่พอมารู้ตัวมันก็ดูเหมือนจะสายไปแล้ว

ตอนนี้คนเย็นชาได้กลายเป็นไฟที่พร้อมจะแผดเผาร่างกายและจิตใจของเธอให้เป็นจุน!


“พี่กีสคะ พี่กีสเป็นอะไรรึเปล่า ไอซ์ได้ยินเสียงทะเลาะกัน
เปิดประตูให้ไอซ์หน่อยสิคะ…”

หญิงสาวหน้าห้องร้องถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย เคาะประตูห้องพัลวัล
เนื่องจากตกใจตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเอะอะของพี่สะใภ้
แต่เมื่อเห็นทุกอย่างในห้องของพี่สะใภ้เงียบลงแล้ว
เธอจึงลากเท้ากลับเข้าห้องไปด้วยสีหน้างงงวย

“หรือเราจะหูฝาดไปเองน้า…ก็ได้ยินเสียงเอะอะร้องไห้ของพี่กีสนี่นา”

ดุจมณียังไม่วายไม่หายข้องใจ เลยเดินกลับไปที่ห้องนั้นอีกครั้ง
เคาะห้องอีกคราเพื่อให้แน่ใจว่าพี่สะใภ้จะไม่เป็นอะไร…

“พี่กีสคะ…พี่กีสไม่เป็นอะไรนะคะ…ไอซ์เป็นห่วงนะคะ…”

น้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยที่ดังมาจากหน้าประตูห้อง
ทำเอาน้ำตาของบิลกีสไหลอาบแก้มในขณะที่ขุนพลยังคงเก็บเก่ียวความสาวของเธอ
ไปทีละนิดละน้อย…ยากที่เธอจะห้ามหรือหยุดเขาได้อีกแล้ว…

โดยธรรมชาติแล้วผู้ชายสามารถมีความสุขกับผู้หญิงที่เขาไม่รักได้ ขอแค่พึงใจ
แต่กับผู้หญิงปกติทั่วไปแล้ว หากไม่รักคงไม่อาจมีความสุขกับสิ่งนี้ได้…
และมันคงเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุดหากว่าเธอไม่ได้รักเขา…

“พี่ไม่เป็นไรค่ะ…”บิลกีสพยายามข่มเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น
ขณะตะโกนบอกน้องสาวหน้าห้องให้หายกังวลใจ…

ดุจมณีจึงเดินกลับเข้าห้องนอนไปอย่างหายกังวลใดๆ…




เสียงโทรศัพท์ปลุกให้ร่างเปลือยเปล่าที่นอนใต้ผ้าห่มปรือตาขึ้น…
ขุนพลลุกขึ้นหยิบมันขึ้นมากดรับ

“ได้…จะไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ…”

แล้วเขาก็วางโทรศัพท์ลงที่เดิม
ชำเลืองมองร่างบางที่นอนหันหลังกอดผ้าห่มเอาไว้แน่น
มือหนาตั้งใจจะแตะลงบนไหล่บางที่โผล่พ้นออกมา แต่หยุดชะงักไว้แค่นั้น
ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา ดีดตัวลุกขึ้น

เขามีธุระด่วนเกี่ยวกับงานที่ทำ
จนไม่มีเวลามากพอให้ปลอบขวัญภรรยาทั้งทางนิตินัยและพฤตินัยของเขา…

และเขาก็ไม่ลืมในสิ่งที่เขาควรจะทำเพื่อความปลอดภัยของเธอ…
เธอไม่ควรจะต้องมาเสี่ยงกับเขา…

และในความผิดพลาดนี้ เขายินดีชดใช้มัน
แม้มันจะทำให้เขาสูญเสียบ้านหลังใหม่ที่ต้องการไปก็ตาม…





บิลกีสลืมตาตื่นขึ้นก็พบกับความว่างเปล่าของเจ้าของห้อง
พบกับความยะเยือกเย็นของที่นอนข้างๆ ราวกับเขาได้ผละจากไปนานแล้ว…

เขาไปไหน ไปตั้งแต่ตอนไหน เธอเองก็ไม่รู้ตัว
รับรู้เพียงความเจ็บแปลบเมื่อขยับกาย…

ก่อนจะค่อยๆฝืนตัวลุกขึ้นไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกาย
เวลาละหมาดยามเช้ายังไม่หมดลง

แต่ก่อนไปไม่วายหันไปมองหยดเลือดหยดเล็กๆบนผ้าปูที่นอน
แล้วน้ำตาของเธอก็ร่วงแหม็บลงมา

และยิ่งรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวทะลุขั้วหัวใจ
เมื่อหันไปเจอซองสีน้ำตาลที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง…

หญิงสาวหยิบมันขึ้นมาเปิดออกดู
สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างในคือ กระดาษสองแผ่น ขนาดแตกต่างกัน

แผ่นใหญ่คือ ใบหย่าที่มีลายเซ็นของเขา
กับแผ่นเล็กคือเช็คที่มีจำนวน 3 ล้านบาท

บิลกีสมองกระดาษสองแผ่นนั้นแล้วรู้สึกหนาวจับขั้วหัวใจ มือไม้สั่นอย่างห้ามไม่อยู่
พยายามเรียกสติที่กำลังบินหายไปกลับมา


3 ล้านบาท จากที่เคยประกาศว่าจะให้ 2 ล้านบาท
เขากลับเซ็นเช็คเพิ่มให้อีกล้านนึง
เพื่อเป็นการชดเชยเมื่อเขาคิดว่าตัวเองได้ 'ทำพลาด'

เขาคงตีค่าตีราคาเรื่องเมื่อคืนนี้ที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆเป็นมูลค่า 1 ล้านบาทสินะ…

เขาช่างหาวิธีไล่ผู้หญิงคนหนึ่งไปจากชีวิตเขาได้อย่างเลือดเย็นที่สุด!


1ล้านบาท เงินจำนวนนี้เหมือนจะวิ่งไปวิ่งมาในหัวของเธอ
แม้ขณะอาบน้ำชำระร่างกายไปก็แล้ว ละหมาดไปก็แล้ว ดึงผ้าปูที่นอน
ออกมาซักก็แล้ว หุงหาอาหารมื้อเช้าก็แล้ว
จำนวนเงินดังกล่าวก็ยังคงวิ่งวนไปมาในหัวของเธอไม่ยอมปล่อย
ให้เธอได้หายใจหายคอ

…เธอไม่รู้หรอกว่า ปกติโสเภณีเขาได้เงินกันเท่าไหร่
รู้เพียงแต่เธอไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่เพื่ออะไรแบบนี้เลย

แต่เขาทำเหมือนเธอไม่ได้แตกต่างจากหญิงขายบริการ
ที่มีความสามารถในการพยาบาลดูแลคนป่วยด้วย…

ถ้าเขาไล่เธอไปเฉยๆ ด้วยเหตุผลว่าไม่รักไม่ห่วงใย
เธอคงไม่เจ็บปวดเท่ากับเขาเอาเงิน 3 ล้านบาทฟาดหัวเธอ

เพิ่งรู้ว่าเวลาโดนฟาดหัวด้วยเงินมันเจ็บปวดแค่ไหนก็วันนี้เอง!





“พี่กีส…”เสียงใสดังออกมาพร้อมกับกระโดดมาหาเธอ
แล้ววาดแขนโอบเอวเธอจากทางด้านหลัง พร้อมเสียงประจบประแจงอย่างห่วงใย

“เมื่อคืนไอซ์ได้ยินเสียงเอะอะมาจากห้องพี่กีส
แล้วก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่กีสด้วย…พี่กีสเป็นอะไรรึเปล่าคะ…”

บิลกีสที่กำลังจัดแจงอาหารเช้าอยู่บนโต๊ะถึงกับสะอึกเมื่อเจอคำถามตรงๆซื่อๆแบบนี้

“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ…พี่สบายดี…”และดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ
หันมาหมุนตัวเธอด้วยสายตาสำรวจไปทั่ว ก่อนจะถอนใจออกมา
ด้วยสีหน้าโล่งอก…

“ไม่เป็นอะไรจริงๆด้วย…แต่ทำไมตาพี่กีสบวมช้ำอย่างนี้ล่ะคะ”

ดุจมณีมองสบตาพี่สะใภ้ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้…

“พี่นอนน้อยน่ะค่ะ…น้องไอซ์อย่าคิดมากเลย…มาค่ะมากินข้าวกัน”

บิลกีสเบี่ยงเบนด้วยการหันมาชวนอีกฝ่ายให้นั่งลงบนเก้าอี้

“แล้วพี่ไนค์ล่ะคะ…ทำไมไม่มาทานข้าวเช้าด้วยกัน…”

สายตาของดุจมณีมองไปรอบๆเพื่อหาร่างพี่ชาย ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น

“ออกไปทำงานแล้วค่ะ…”

“หา…”

“พี่ไนค์ไปทำงานแล้วเหรอคะ…ทำไมไม่เห็นมาบอกกันก่อนเลย”

“สงสัยคงรีบค่ะ…”บิลกีสก็ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังหาเรื่องแก้ต่างให้เขาอีกจนได้
เพราะจนแล้วจนรอด เธอเองก็แทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาหายไปตั้งแต่ตอนไหน
ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาไปไหน

คนเอาแต่ใจ!





แล้วบิลกีสก็ได้เห็นเครื่องไม้คำถามอันเบอเร่อจากสีหน้าคนป่วย
เมื่อเธอเข้าดูแลปฐมพยาบาลตามปกติ…

“อย่าถามหนูด้วยสายแบบนี้เลยค่ะ…มันไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย
หนูเคยบอกท่านแล้วไงว่าจะอยู่ช่วย…หนูก็จะอยู่ช่วยค่ะ…
ท่านต้องรีบลุกขึ้นมานะคะ…”

บิลกีสรู้ว่าคนป่วยน่าจะได้ยินเสียงทะเลาะระหว่างเธอกับลูกชายของท่านเมื่อคืนแน่ๆ
เพราะห้องติดกัน

ขนาดดุจมณีที่อยู่ถัดไปอีกห้องนึงยังได้ยิน ย่อมแสดงว่าคนป่วยก็น่าจะได้ยิน…

มันไม่น่าเลย เธอไม่ควรทำให้คนอื่นกระทบกระเทือนไปด้วยแบบนี้เลย…


“คุณไนค์เขาเอาเงิน 3 ล้านฟาดหัวหนู เพื่อให้หนูไปให้พ้นๆชีวิตเขา
แต่หนูว่ามันยังน้อยไปค่ะ…หนูไม่ยอมไปเพราะเงินแค่นี้แน่ๆ…”

บิลกีสเล่าอย่างซื่อตรง…เพราะรู้ว่าคนป่วยนั้นมีกำลังใจเข้มแข็ง
ไม่ได้อ่อนแอเหมือนร่างกาย…

“ถ้าเขาหาเมียใหม่ได้เมื่อไหร่ นั่นแหล่ะค่ะคือวันที่หนูจะไปจากเขา
โดยที่เขาไม่ต้องจ่ายอะไรให้แม้แต่บาทเดียว…”

บิลกีสพูดพลางเช็ดตัวคนป่วยไปพลาง ส่วนดุจมณีนั้นขอตัวไปอาบน้ำ

“ท่านสบายใจได้ค่ะ ว่ายังไงเขาก็คงหาเมียใหม่ได้ไม่ง่ายนัก
เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น ท่านก็คงลุกขึ้นมาเตะเขาได้แล้วล่ะ…”

จอมพลมองสีหน้าและแววตาของคนพูดแล้วถึงกับปล่อยยิ้มออกมา

ความแน่วแน่และแววตาของนักสู้ของหญิงสาวผู้นี้
ช่างทำให้หัวใจของเขากระชุ่มกระชวยมีแรงขึ้นมาอีกโข

และดูเหมือนมันจะส่งให้แรงกายของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง…
ราวกับร่างกายที่เคยหลับใหลกำลังมีปฏิกิริยาตื่นตัว…

รับรู้ได้มากกว่าที่เคยเป็น!


ใช่…เธอพูดถูก…เขาอยากจะลุกขึ้นไปตั๊นหน้าเจ้าลูกชายคนนี้ที่สุด!
เผื่อว่ามันจะหายโง่และตาสว่างเห็นอะไรกับเขาบ้าง…

“หัวใจหนูขายขาดให้เขาไปตั้งนานแล้ว…ถ้าเขาคิดจะขายมันทอดตลาดคงยากค่ะ…
เพราะเขาไม่มีสิทธิ์จนกว่าเขาจะควักหัวใจเขามาให้หนูเท่านั้น…

แม้หัวใจหนูจะขายขาดให้เขาไปแล้วก็จริง
แต่ชีวิตและจิตวิญญาณก็ยังเป็นของหนูอยู่ค่ะ
และหนูไม่คิดจะขายให้ใครด้วย...”

บิลกีสพูดด้วยรอยยิ้มพราว…ทำเอาจอมพลถึงกับหนาวเลยทีเดียว

…เขาว่าลูกชายของเขาเจอคู่ปรับแล้วล่ะ…






...โปรดติดตามตอนต่อไป.....



มาให้ติดๆค่ะ...

นักอ่านที่ติดตามอ่านผลงานเรื่องอะรูซะตี...
คงพอจะเห็นความต่างระหว่าง น้ำค้าง กับ บิลกีส บ้างแล้วใช่มั้ยคะ...

เพราะด้วยวัยและพื้นฐานทางครอบครัวที่แตกต่างกันนั่นเอง...



...คุยกับนักอ่านจ้าาาา...

1.คุณใบบัวน่ารัก...มาตอนนี้พระเอกกลับอยากปลดโซ่คล้องหัวใจนางเอกซะงั้น
แต่ดูท่านางเอกเราเขาจะไม่ยอมง่ายๆ เหมือนๆจะแผ่รังสีอาฆาตอยู่น้อยๆด้วย
ต้องมาดูกันต่อค่ะ...เฮะๆ

2.คุณแว่นใส...คนตาบอดและบ้างานมักไม่ค่อยสังเกตเห็นอะไรใกล้ๆตา
สักเท่าไหร่ค่ะ สงสัยคงต้องรอให้พ่อลุกขึ้นมาจิ้มตามั้งคะเนี่ย...อิอิอิ

3.คุณตุ๊งแช่...คาดว่าจะเป็นเช่นนั้นนะคะ...อาจจะน้ำตาตกในอะไรประมาณนี้
อิอิอิ...ส่วนเรื่องพระเอกนั้น แม่นแล้วค่ะ เขามานนักธุรกิจค่ะ
เหมือนที่นางเอกเราแอบแขวะนั่นแหล่ะค่ะว่า อนาคตนักธุรกิจใหญ่รออยู่
พ่อมังกรยักษ์ของเธอไง...เหอๆๆ
โยเองก็ยังเคยสงสัยกับผู้หญิงหลายๆคนที่พบเจอในชีวิตจริง
ที่โดนสามีตบจนหน้าตาฟกช้ำดำเขียว เตะสลบจนซี่โครงหักไปสองอัน
แต่ก็ยังรักและภักดีไม่ยอมจากไปไหน นับว่าบิลกีสยังไม่โดนตบโดนเตะขนาดนั้น...
ขุนพลยังโอเคอยู่เนอะ...อิอิอิ...โยเองก็ไม่เคยโดนคนรักตบจนหน้าฟกช้ำ
เลยไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงที่โดนน่ะค่ะ...แต่ก็ไม่อยากโดนนะ...
ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าโดนขึ้นมาจริงๆ จะทนต่อไปรึเปล่า...ฮาาา


4.คุณsunflower...เต่าโยก็น่าสงสารนะคะ...
อยากได้ความรักความห่วงใยจากนักอ่านอยู่น้าาาาาาา...
เฮะๆ...ตอนนี้นางเอกเราเสร็จพระเอกไปเรียบร้อยแล้ว...
ตอนหน้าจะเป็นอย่างไร มาติดตามและเป็นกำลังใจให้นางเอกและเต่าโย
กันต่อนะคะ...


สุดท้ายไม่ท้ายสุด


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านและกดไลค์พร้อมกับเป็นกำลังใจให้นะคะ
วันนี้มาเสียดึกๆดื่นๆ เกือบตีสาม เนื่องจากงานยุ่งนิดหน่อยค่ะ...
วันเสาร์คงได้พักบ้าง...

พ้นจากเรื่องยุ่งๆแล้ว คงจะได้จัดการเรื่องของขวัญให้นักอ่านที่แปะโป้งไว้เสียที...



ขอบคุณค่ะ
รักษาสุขภาพนะคะ

"เต่าโย"










yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2557, 02:30:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2557, 02:30:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 2838





<< บทที่ 3 ฉันไม่ใช่   บทที่ 5 อ้อนไว้ >>
ใบบัวน่ารัก 27 ก.ย. 2557, 05:59:45 น.
มีข้อคิดเยอะดี
ขอบนะที่ไปรักนางฟ้าเค้าก็ไม่รัก
มีแต่ควายอย่างฉันที่ยังโง่รักจมปลักอยู่อย่างนี้
เลยโดนจัดหนักเลย ไม่บรรยายฉากนี้หน่อยหรือว่าทำกันไง
แล้วจะมีลูกไหม จะสีทนได้นานไหม สู้ๆๆนะ
ถ้ากีสทนไม่ได้ก็จับไน ปล้ำเลย


saralun 27 ก.ย. 2557, 07:13:50 น.
ผู้ชายบางทีก็เข้าใจยากกกกกเหมือนกันนะ...ฮ่าาาา


แว่นใส 27 ก.ย. 2557, 18:01:48 น.
อยากตบพร้อมกระทืบจริง ๆ ค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account