ม่านลวง
การแต่งงานเพราะผลประโยชน์ทำให้เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนแรกในคืน one night stand น่าขำที่เธอตกหลุมรักชายคนนี้ทั้งที่ก่อนนั้นไม่อยากแต่งงาน และนั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลง แล้วเขาล่ะ...คิดกับเธออย่างไร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 9 (100%)

บทที่ 9

ถิรมนและปรมัตถ์กลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบสามทุ่ม ความหิวจู่โจมไม่น้อย โชคดีที่ปภาวียังรอ จึงได้ทานทันทีเมื่อกลับมา การปฏิเสธอาหารรองท้องที่ปรมัตถ์จะซื้อจากร้านสะดวกซื้อก่อนเข้าโรงพยาบาลเป็นอะไรที่โง่มาก แต่ก็ไม่เป็นไร...เพราะรสชาติอาหารที่อยู่ในปากของเธอตอนนี้เอร็ดอร่อยมากมาย จนกลายเป็นว่าก้มหน้าก้มตากินไม่พูดกับใคร ปรมัตถ์เองก็เช่นกัน

“มัตถ์จะค้างที่นี่เหรอ” ปภาวีถาม หลังจากการทานอาหารผ่านไปครู่หนึ่งและใกล้จะอิ่มเต็มที

“ครับ” เขาตอบโดยไม่มองหน้าปภาวี แต่กลับมองมาที่ถิรมน ยิ้มและขยิบตาให้ในจังหวะที่หญิงสาวหันไปมอง

สัญญาณแบบนี้ชวนเธอให้ร้อนสันหลังมากกว่าจะเขินอาย เพราะไม่รู้ว่าปรมัตถ์กำลังคิดอะไรหรือจะพูดอะไรออกมา

“แน่ใจแล้วใช่มั้ย” ปภาวีถาม

“ไม่แน่ใจก็คงไม่อยู่ตรงนี้ครับ” ตอบด้วยเสียงเรียบเรื่อย ทานข้าวต่อสบายๆ บอกด้วยกิริยาอาการให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โต มิหนำซ้ำเขายังย้อนถามปภาวี... “ว่าแต่พี่เถอะ” พูดจบก็รวบช้อนไว้ข้างจาน ในนั้นไม่เหลือข้าวสักเม็ด “จะว่ายังไง” เขาเอนหลังไว้กับพนักพิง มองปภาวีไม่ละสายตา จ้องนิ่งๆ

ถิรมนอยากรู้ว่าปรมัตถ์กำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไร เหตุใดจึงมองปภาวีด้วยแววตาเช่นนั้น คล้ายจะยิ้มแต่ก็กดดันคู่สนทนาไปพร้อมกัน สังเกตว่าปภาวีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นและหันมามองเธอ ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะทานข้าวต่อ ไม่มองปรมัตถ์ ไม่พูดอะไร จึงกลายเป็นต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปหมด

ไม่นานนักปภาวีก็เอ่ยขึ้น “ก็อย่างที่เราคุยกัน เรื่องนี้พี่ไม่ยุ่ง ” หล่อนมองมาที่ถิรมน “แล้วแต่น้องเลิฟนะ” และวางช้อนกับส้อมเอาไว้ บ่งบอกว่าเริ่มคุยกันอย่างจริงจังได้เสียที “ถ้ารักชอบกันจริงอาก็ดีใจ ยังไงก็คุยกันเอาเอง” หล่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

ปรมัตถ์มองถิรมนเหมือนจะบอกว่าเห็นไหม...เขาพูดเรื่องจริงตลอด เชื่อเขาหรือยัง

“ต้องถอดเฝือกเมื่อไหร่นะน้องเลิฟ เมื่อกี้อาไม่ทันฟัง”

ถิรมนยังไม่ทันตอบ ปภาวีก็เอ่ยแทรก...

“แกนอนห้องติดกับห้องน้องเลิฟนะ” จบคำพูดนี้ปภาวีจึงหันไปมองปรมัตถ์ ยิ้มออกมาเล็กน้อยเหมือนกับจะถามว่ามีปัญหาอะไรไหม

ปรมัตถ์สูดลมหายใจเข้าลึกทันที ขยับนั่งหลังตรง ประสานมือเข้าไว้ด้วยกันบนตัก มองปภาวีอย่างจริงจัง พูดด้วยเสียงสงบนิ่ง “จริงแล้วผมกับเลิฟเคยรู้จักกันมาก่อน ที่ไม่ได้บอกพี่เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใครตอนนั้น” พูดจบก็มองถิรมนทางหางตา

แผ่นหลังของหญิงสาวร้อนวาบทันที ร้อนจนแทบนั่งไม่ติดเมื่อปภาวีหันมามองอีกคน

“จริงเหรอน้องเลิฟ” ปภาวีจดจ้องรอคอย

ถิรมนรู้สึกเหมือนอาหารติดคอเสียแล้ว กลืนได้อย่างยากเย็น รู้สึกอิ่มทันทีทันใด เหงื่อเหมือนจะผุดขึ้นมากมาย อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก จนต้องขยับนั่งหลังตรง แอบมองปรมัตถ์ อยากถามว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เดือดร้อนกับการเปิดประเด็นขึ้นมา

‘ไหนเขาบอกว่าจะไม่บอกอามุกยังไงล่ะ’ คิดแล้วก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ เห็นปากของปรมัตถ์ขยับโดยไม่มีเสียงว่า... “ไม่ได้ผิดสัญญา” สีหน้าของเขาบอกว่าอย่าโยนความผิดให้เชียวนะ เขาแค่กำลังมอบอำนาจการตัดสินใจให้เธอจัดการ ส่วนเธอจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เสียหายกับตัวเองก็ต้องคิดเอา เขาไม่ผิดสัญญาสักนิดเดียว

ใช่... ไม่ผิดเลย ผู้ชายร้ายกาจ!

ถิรมนนับหนึ่งถึงสิบในใจ มองเขานิ่งๆ ก่อนจะหันมามองปภาวี และสารภาพ “จริงค่ะ”

ปภาวีแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ถิรมนไม่ทันคิดคือการที่หล่อนค่อยๆ ยิ้มออกมา แววตาเป็นปลื้มมากกว่ากังวลหรือไม่ชอบใจ จึงทำให้ถิรมนพอจะยิ้มออกมาได้นิดหนึ่ง แต่บางทีก็อาจเหมือนแยกเขี้ยวมากกว่าเพราะรู้สึกว่าตัวเองจะยิ้มไม่ค่อยออกนัก

“รู้จักกันนานหรือยัง ตั้งแต่เมื่อไหร่” ปภาวีหันไปทางปรมัตถ์ พยายามเก็บยิ้มเอาไว้แต่ไม่มิด

ถิรมนโล่งใจนิดหนึ่งเมื่อปภาวีไม่มีอาการเสียใจหรือผิดหวัง แต่บางทีอาจเป็นเพราะหล่อนยังไม่รู้อะไรมากกว่านั้นก็เป็นได้ และนั่นทำให้ถิรมนกังวล ไม่รู้ว่าผู้มีพระคุณของเธอจะมีท่าทีเช่นไรเมื่อรู้ความจริงบางเรื่อง

“ก่อนแต่งงาน...ไม่นานครับ” ปรมัตถ์ตอบราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีความลับอะไร

แต่เธอสิ... แทบนั่งไม่ติดกับอาการเหลือบมองของปรมัตถ์ หางตาของเขานั้นกำลังกรีดเชือดเธอทีละน้อย คงจะดีกว่านี้ถ้ามองกันตรงๆ ไม่มองแบบมีนัย กลัวเหลือเกินว่าเขาจะเอ่ยความลับของเธอออกไป เพราะการมองเธอด้วยแววตาเป็นต่อทำให้กดดันมากขึ้น เหมือนเหงื่อผุดเป็นเท่าตัว ร้อนมากขึ้นทุกที ทั้งที่อากาศไม่ได้อบอ้าวอะไรเลย

“แล้วทำไมไม่บอกพี่” สีหน้า แววตา น้ำเสียงของปภาวีดีใจอย่างชัดเจน

และนั่นทำให้ถิรมนพอโล่งอกได้นิดหนึ่ง

“ก็ช็อก ไม่คิดว่าจะใช่ด้วย เลยทำอะไรไม่ถูกครับ”

ปภาวีทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ และ ส่งเสียง “อ๋อ” เบาๆ ก่อนจะหันมามองถิรมนอย่างกระตือรือร้น “จริงเหรอจ๊ะน้องเลิฟ”

เพียงเท่านี้ถิรมนก็พอรู้ว่าปภาวีไม่ค่อยเชื่อน้องชายเท่าไหร่นัก อาการจ้องมองและรอคำตอบยิ่งทำให้ต้องพูดความจริง

“จริงค่ะ” ตอบไป ในใจก็เสียววาบเช่นกัน เธอไม่อาจโกหกปภาวี มองหล่อนและรอคอยว่าจะมีปฏิกิริยาเช่นกัน

ปภาวีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกแบบไม่เก็บอาการ “ไอ้เรารึ...ก็นึกห่วง กลัวจะเข้ากันไม่ได้แทบแย่ กลัวที่สุดคือมัตถ์รังแกน้องเลิฟนี่แหละ” ว่าแล้วหันไปมองปรมัตถ์

ชายหนุ่มขยับขาเปลี่ยนอิริยาบท มองถิรมนด้วยอาการยิ้มนิดๆ แววตานั่นส่งคำเตือนให้รู้ว่าอย่าทำอะไรพลาดเชียวล่ะ ไม่อย่างนั้นมีเฮ เพราะเขาจะไม่ช่วยอะไรเลย นอกจากจะซ้ำให้ได้ผลอย่างใจต้องการ

เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นนักข่มขู่ตัวพ่อเลยนะนั่น เธอเผลอไปยุ่งกับคนแบบนี้ได้ยังไงนะ!

“ที่มัตถ์หายไปนี่คือไปคิดมา...” ปภาวีรอคำตอบจากน้องชาย

และคำพูดนี้เรียกถิรมนให้หันมอง อาการร้อนๆ หนาวๆ ไม่ลดลงเลย

ปรมัตถ์อมยิ้มและพยักหน้านิดๆ เป็นการบอกว่า ‘ใช่ ถูกต้อง หล่อนไม่ได้พูดหรือคาดคะเนผิดเลย’ ซึ่งไม่เอ่ยออกมาเป็นคำพูด

แต่สำหรับถิรมนที่เห็นท่าทางของปรมัตถ์กลับกลายเป็นว่าร้อนวาบๆ ที่แผ่นหลังไม่หยุดเสียแล้ว แทบนั่งนิ่งๆ ไม่ไหวแล้ว

“อาดีใจจริงๆ นะน้องเลิฟ” ปภาวีหันมายิ้มกว้างให้ถิรมน ก่อนจะหันไปพูดกับปรมัตถ์ “นี่แกหลอกให้พี่กังวลตั้งนาน”

ทว่าถิรมนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างในแววตาของปรมัตถ์ แม้จะยิ้มแต่ก็ดูเจ้าเล่ห์แปลกๆ เมื่อมองปภาวี แต่ถิรมนก็ไม่รู้ว่าความแปลกในสายตาของเขาคืออะไร

ปรมัตถ์พูด... “ผมไม่เคยหลอกให้พี่กังวลเลยนะ พี่น่ะหวงจนไม่ดูสถานการณ์ต่างหาก แค่เมื่อวานนะ... เห็นเท่านั้นก็ต่อว่าผม ไม่ฟังอะไรเลย”

ปภาวีทำหน้าว่าไม่ใช่ความผิดของหล่อนสักนิด “ประวัติแกมันโชกโชน กลัวทำคนของพี่เสียใจ เป็นใครก็ห่วงทั้งนั้น”

ปรมัตถ์ส่ายหน้า “สรุปว่านอนห้องเดียวกันได้ใช่มั้ยครับ” ถามเรียบๆ แต่แววตาคาดคั้นไม่น้อย

“ไม่” ปภาวีตอบรวดเร็วแบบไม่ต้องคิด เสียงที่ได้ยินนั้นเด็ดขาดพอตัว

ปรมัตถ์หุบยิ้มทันที

“แค่รู้จัก อย่าลามปาม ยังไงก็ดูใจกันไปก่อน” ปภาวีเอ่ย

ปรมัตถ์มองเหมือนจะต่อว่า “นี่ผมกับเลิฟแต่งงานกันแล้วนะพี่ มีทะเบียนสมรสด้วย ถูกใจกันแล้ว ที่เหลือไปคุยกันเองมันก็ควรจะเรียบร้อยแล้วนะ จะให้แยกห้องนอนทำไม”

“ไม่” ปภาวีโบกมือ ส่ายหน้าปฏิเสธจริงจัง “ขอพี่ดูพฤติกรรมแกก่อนนะมัตถ์ น้องเลิฟเหมือนลูกพี่ มัตถ์เองก็เป็นน้อง แต่ยังไงก็ควรให้เวลาน้องเลิฟบ้าง แค่รู้จัก ไม่ได้หมายความว่าจะต้องนอนห้องเดียวกันเมื่อไหร่”

“วันงานแต่งก็ยังอยู่ห้องเดียวกันนี่”

“นั่นแค่ตบตาคนอื่น พี่จะรู้ได้ไงว่าแกคิดอะไรกับน้องเลิฟ จริงจังมากน้อยก็ไม่รู้ มีแผนอะไรมั้ย เพราะจากนั้นก็หายหัวไปเลย”

“พี่ก็เห็นว่างานผมเยอะ”

“แกอย่ามาแถ งานเยอะผู้หญิงก็เยอะ อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้”

ปรมัตถ์เม้มปาก หายใจเข้าลึกให้เห็น ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดใกล้บนสุดออกอีกหนึ่งราวกับจะผ่อนความอึดอัด แม้เดิมทีนั้นจะปลดไว้อยู่แล้วเม็ดหนึ่งก็ตาม และทำให้ถิรมนรู้ว่าเขาไม่พอใจ

ได้แต่ภาวนาว่าเขาอย่าพูดอะไรออกไปเชียวนะ อยากจะเป็นลมอยู่ตรงนี้ ไม่อยากรับรู้บรรยากาศการเจรจา เหมือนหัวใจจะวาย วิญญาณแทบล่องลอยไม่อยู่กับตัว แผ่นหลังร้อนผ่าวร้อนรุ่มประหนึ่งถูกไฟลน โดยเฉพาะตอนที่ปรมัตถ์หันมามองเธอด้วยแววตาเย็นเยียบ

ทุกอย่างเงียบ... จนถิรมนแทบหยุดหายใจ

“เราตกลงกันแล้วใช่มั้ย...เลิฟ” แล้วคำพูดนี้ของเขาก็ดังออกมา

ถิรมนสูดลมหายใจเข้าลึกทันที ใจร่วงไปอยู่ตาตุ่มทันใด กังวลสารพัดว่าปภาวีจะรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไรหากรู้ความจริง เธอหันไปมองปภาวี และมองปรมัตถ์อีกครั้ง

นี่เขาจะบังคับเธอทางอ้อมใช่ไหม มองกันแบบนี้ฆ่าเธอให้ตายไปเลยดีกว่า เป็นใครก็รู้ว่าการให้ความสนิทสนมชิดเชื้อและมองด้วยแววตาแบบนี้ย่อมมีอะไรระหว่างกันและไม่ธรรมดาแน่ๆ

และแน่นอนว่าปภาวีกำลังมองมา สีหน้าแววตาแสดงออกให้รู้ว่าสงสัยที่สุดอย่างไม่ปิดบัง

“ต่อให้เคยนอนกันมาแล้วก็ไม่อนุญาต” เสียงเด็ดขาดของปภาวีเรียกสายตาของถิรมนกับปรมัตถ์ให้หันมองทันใด

หัวใจของเธอร่วงวูบประหนึ่งดิ่งลงเหวทันที เม้มปากและนั่งนิ่ง อยากร้องไห้เมื่อเห็นแววตาของปภาวีที่มองมา แม้ไม่ใช่ความผิดหวังแต่ก็เป็นความเฉยชา มองผ่านเลยไปถึงปรมัตถ์ ก่อนจะมองกลับมาที่เธออีกครั้งและจ้องนิ่งๆ พูดกับถิรมนว่า...

“เจ้ามัตถ์เขี้ยวเล็บมันเยอะ บางทีก็ชอบอำ อะไรที่เป็นผลประโยชน์ของตัวเองก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ อาไม่ค่อยไว้ใจหรอก แต่ยังไงก็อยากให้ดูๆ กันไปก่อน ส่วนจะตกลงอะไรยังไงก็ดูอีกที” ปภาวีบอกและยิ้มให้ถิรมน หันไปมองปรมัตถ์ตาขวาง “ขอพี่เห็นความจริงใจหน่อยนะ อย่างน้อยก็ส่งรายการบัญชีทั้งหมดของบริษัทมัตถ์เข้ามาให้พี่ ช้าสุดพรุ่งนี้เช้า แล้วค่อยว่ากัน โอเค้”

ปรมัตถ์นั่งนิ่งไปแล้วเมื่อได้ยิน สองพี่น้องจ้องตากันไม่ลดละ เหมือนจะเกิดการต่อสู้ทางสายตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง บรรยากาศรายรอบอึดอัดเหลือเกิน ถิรมนงงและลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ถูกแล้ว ไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของทั้งคู่แท้จริงคืออะไรกันแน่

“สิทธิ์ขาดในตัวเลิฟเป็นของผม” เขาพูดด้วยเสียงเรียบนิ่งแต่จริงจัง ฟังแล้วรู้สึกเย็นเยียบน่าหวั่นเกรง บอกเป็นนัยว่าไม่ยอมแพ้ปภาวี

“น้องเลิฟเป็นตัวของตัวเอง มีสิทธิ์ในตัวเอง ส่วนตามสิทธิ์ทางกฎหมายก็ว่าไปตามนั้น พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรอยู่แล้ว แต่เรื่องส่วนตัวยังไงก็ต้องให้เกียรติน้องเลิฟบ้าง พี่ไม่อยากให้คนของพี่ต้องเสียใจทีหลัง ยังไงแกควรเคลียร์เรื่องผู้หญิงให้เรียบร้อยก่อน สำคัญที่สุดต้องไม่ทิ้งขว้างคนของพี่”

“เขาเป็นคนนะครับ ไม่ใช่ขยะ ผมจะไปทิ้งเขาได้ยังไง”

“พี่ไม่ไว้ใจ หากให้พี่เชื่อถือ ก็ส่งรายการทั้งหมดของบริษัทส่วนตัวมัตถ์มาให้พี่ดู ที่เหลือให้ตกลงกับน้องเลิฟเอง ยิ่งเร็วยิ่งรู้เรื่อง โอเคมั้ย”

“ไม่... มันล้ำเส้นเกินไป” ปรมัตถ์ตอบกลับทันที เสียงสงบนิ่งเช่นเดียวกับสีหน้าแววตา ทว่ากลับทำให้คนฟังหนาวๆ ร้อนๆ ได้เช่นกัน “พี่จะสนใจอะไรกับบัญชีหรือข้อมูลของบริษัทส่วนตัวผมขนาดนั้น”

“ในเมื่อคุยกันตรงนี้แล้ว พี่ก็คุยกับมัตถ์ตรงๆ แล้วกันนะ” ปภาวีจ้องปรมัตถ์ไม่ลดละ สูดลมหายใจเข้าลึก “อินทุภาไม่ได้มาดี เมื่อไหร่แกจะเชื่อพี่บ้าง”

ปรมัตถ์หันมามองถิรมนนิดหนึ่งก่อนจะหันไปมองพี่สาว “เป็นแค่ธุรกิจ พี่น่าจะเข้าใจ”

ปภาวีส่ายหน้า “ต่อให้แค่ธุรกิจ ก็ไม่ควรยุ่งด้วย พี่แค่ขอให้ห่างเอาไว้จากสองพ่อลูกนั่น”

ปรมัตถ์หัวเราะในลำคอ มองปภาวีด้วยสีหน้าเป็นคำถาม ความไม่พอใจเริ่มปรากฏในแววตาของเขา แต่ก็ยังพูดด้วยอาการให้เกียรติ ยังสงบนิ่งไม่โวยวาย “ผมจะคุยกับพี่ตรงๆ” เขาพูดอย่างใจเย็น จนถิรมนไม่อยากเชื่อว่าจะเก็บอารมณ์ได้เก่งถึงขนาดนี้ “ตรงนี้... ต่อหน้าเลิฟ บริษัทของผมกำลังไปได้สวย ส่วนเรื่องอินทุภาผมคุยกับเลิฟแล้วว่ามันเป็นยังไง ส่วนข้อมูลของบริษัทตรงไหนที่ผมให้ได้ผมก็จะให้ แต่พี่อย่ามาบังคับ หรือเอาไปทั้งหมดทั้งที่มันไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับพี่เลย”

“เงินมากน้อยที่ให้ไปมันก็เงินกองกลาง หากบริหารดีพี่ไม่ว่า ถ้าไม่มีอะไรปกปิดก็น่าจะให้พี่ดูได้ไม่ใช่เหรอ”

ปรมัตถ์ยิ้มเหยียด “พี่ปล่อยให้ผมโตเองบ้างเถอะ”

“ที่ผ่านมาก็ปล่อย พี่ไม่เคยยุ่ง แต่หลังๆ นี่มันไม่ใช่แล้ว”

“อะไรคือไม่ใช่”

“มัตถ์...พี่เตือนแล้ว ไม่อย่างนั้นพี่ไม่ลากน้องเลิฟมายุ่งด้วยหรอก”

ปรมัตถ์มองถิรมน เหมือนจะพูด แต่ก็ไม่พูดอะไร นอกจากยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก “ผมโตจนมีเมียจะมีลูกอยู่แล้ว พี่จะควบคุมอะไรผมขนาดนี้ ให้เกียรติผมบ้างนะ ผมถามจริงๆ เถอะ พี่มีอคติอะไรกับเสี่ยโกมุทหรืออินทุภา แล้วทำไมพี่ต้องให้เลิฟมาทำอะไรเพื่อประโยชน์ของพี่เอง โดยที่พี่ไม่เคยคิดจะคุยความจริงกับเลิฟ หรือบอกอะไรเลิฟตรงๆ เหมือนที่ผมทำบ้างล่ะ”

ปภาวีมองปรมัตถ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หล่อนดูนิ่งอึ้ง พูดไม่ออกครู่หนึ่ง “พี่ทำทุกอย่างก็เพื่อครอบครัวเรานะมัตถ์ พี่เป็นห่วง ไม่อย่างนั้นจะมาสอดทำไม”

“พี่น่าจะถามผมบ้างนะว่าผมต้องการหรือเปล่า หรือถามพี่ไหมบ้างก็ได้ ว่าอยากได้หรือเปล่ากับสิ่งที่พี่ทำ ที่พี่ไหมหนีไปอยู่เมืองนอกกับแฟนก็ไม่ใช่เพราะเบื่อการบงการของพี่เหรอ” ปรมัตถ์หมายถึงปัถยา พี่สาวคนกลางของเขาที่แต่งงาน ติดตามสามีไปอยู่ต่างประเทศราวๆ สิบหกปีแล้ว และกลับเมืองไทยไม่บ่อยนัก

ถิรมนเคยพูดคุยกับปัถยาบ้างเมื่อต่างฝ่ายต่างกลับมาและได้เจอกัน แต่ก็นั่นนับครั้งได้ จะมีก็แต่ปรมัตถ์ที่เป็นเจ้าชายล่องหน

ปภาวียิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นขณะมองน้องชาย “ไหมรู้อะไรมากกว่าที่มัตถ์รู้เยอะ แค่ไม่พูดเท่านั้นตามที่พี่ขอร้อง แต่แกจะเลิกเถียงและฟังคำแนะนำพี่บ้างไม่ได้เลยเหรอ” แล้วเสียงที่บ่งบอกอำนาจของปภาวีก็กลับมาอีกครั้ง และเอ่ย...

“พี่ขอสรุป มัตถ์จะว่ายังไงกับข้อตกลงนี้ก็เรื่องของมัตถ์ ถ้ารับได้...ส่งเอกสารทั้งหมดให้พี่มา แล้วที่เหลือไปตกลงกับเลิฟเอาเอง ถ้าไม่...ก็จบกัน เพราะถ้ามัตถ์จะล่ม ก็ให้เงินมันล่มแค่ส่วนของมัตถ์ ไม่เกี่ยวกับส่วนของพี่หรือของไหม ส่วนทรัพย์สินที่น้องเลิฟจะรักษาไว้แกก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่ง และพี่จะไม่ยื่นมือไปช่วยอะไร และไม่แกไม่ต้องยุ่งกับทรัพย์สินส่วนกลางอีก นอกจากเงินเดือนที่จะได้แค่พอกินพอใช้ ปัญหาที่พี่กังวลและบอกแกตอนนี้จะได้จบไปซะ ไม่ต้องมาคิดมากกันอีก”

ปรมัตถ์หันมามองถิรมน แววตาของเขาดูเจ็บปวดและขุ่นเคืองไม่น้อย ทว่าก็แค่แวบเดียวก่อนจะหายไปเมื่อหันไปมองปภาวีด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาลุกขึ้นยืน ขยับเสื้อให้เข้าทาง หายใจเข้าลึกอย่างระมัดระวังกิริยา ยิ้มให้อย่างเย็นชา “พี่เลิกยุ่งกับชีวิตเลิฟได้เลย ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ไฟล์ทั้งหมดของบริษัทส่วนตัวผมจะส่งให้พี่ครบ รวมถึงรหัสเข้าด้วย”

“แต่ยังไงเลิฟก็ต้องอยู่กับพี่ที่บ้านนี้”

“ผมก็ต้องอยู่กับเมียผมสิ จะไปไหนได้” พูดแล้วเดินออกไปทันที

“จำคำพูดนี้ของแกไว้นะมัตถ์ อย่าได้ลืมเชียว” ปภาวีพูดไล่หลังโดยไม่หันไปมอง

ปรมัตถ์ยักไหล่ให้รู้ว่าไม่แคร์ ถิรมนเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจน เขาแสดงออกแล้วไม่เกรงกลัวหรือเกรงใจปภาวี แต่รอยยิ้มของปภาวีที่ถิรมนเห็นนี่สิ...กลับน่ากลัวยิ่งกว่า จนไม่รู้ว่าทุกอย่างของการตกลงกันต่อหน้าเธอนี้ แท้จริงมีอะไรอยู่เบื้องหลังของทั้งสอง ผลประโยชน์อะไรที่ต่างฝ่ายต่างปิดบังไม่ให้กันและกันรู้ และคงไม่ใช่แค่ตัวเลขหรือตัวเธอเป็นแน่ แต่มันคืออะไร

“เลิกตุกติกกับผมด้วย” เสียงปรมัตถ์ดังแว่วมา จากระดับเสียงคงไม่พ้นว่าเขาเดินออกไปที่รถ

“จบแล้ว” ปภาวีเอ่ยเท่านั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หล่อนลุกขึ้น เดินเข้ามาหาถิรมนที่ยังนั่งงงและนั่งเงียบอยู่ตรงนี้ หล่อนกุมมือของถิรมนเอาไว้ “ไม่ว่าอาจะพูดอะไรหรือต่อรองอะไรกับมัตถ์ แต่ทุกอย่างจะอยู่ที่การตัดสินใจของน้องเลิฟคนเดียวนะลูก” แววตาของหล่อนห่วงใย เอ่ยด้วยเสียงที่เอ็นดูไม่เปลี่ยน...

“ถ้าไม่ชอบ ไม่เต็มใจ... ก็ปฏิเสธ อาไม่ว่า แค่ตัวเลขบริษัทของมัตถ์น่ะอาไม่แคร์หรอก ยังไงที่ให้ไปก็ตัดใจไม่ยุ่งอยู่แล้ว อาแค่อยากรู้ว่ามัตถ์จะยอมหรือเปล่าเท่านั้น บอกแล้วว่าเจ้านี่เขี้ยวเล็บมันเยอะ รักบริษัทตัวเองจะตาย ถ้ายอมปล่อยสิ่งที่กอดเอาไว้โดยไม่ให้อาเข้าไปยุ่งเลยเพื่อแลกกับน้องเลิฟ อาก็โล่งใจ...ว่าอย่างน้อยมัตถ์ก็คงชอบน้องเลิฟจริงๆ จะดูแลน้องเลิฟและแคร์ความรู้สึกของน้องเลิฟมากพอ ถึงได้กล้าแลกกับสิ่งที่รักสุดชีวิตนั่น ส่วนน้องเลิฟจะคิดยังไง ตัดสินใจยังไงอาคงไม่เข้าไปยุ่ง” ปภาวียิ้มให้ ลูบกึ่งทัดผมให้ถิรมนอย่างอ่อนโยน

“อาไม่มีอะไรจะให้น้องเลิฟนอกจากสิ่งที่อาเห็นว่าน่าจะดีที่สุด แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับอามันอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับน้องเลิฟ น้องเลิฟต้องเลือกเอง น้องเลิฟเข้าใจที่อาพูดใช่มั้ย”

ถิรมนไม่พูดอะไร ได้แต่กอดปภาวีเอาไว้เท่าที่จะทำได้เมื่อได้ยินคำอธิบาย ไม่รู้ว่าเหตุใดน้ำตาของเธอจึงไหลออกมา ชีวิตของเธอมีค่าและเป็นที่รักของผู้มีพระคุณช่างมีความหมายนัก เธอไม่อยากปภาวีเสียใจหรือผิดหวังสักนิด

ไม่...เลยจริงๆ

ปภาวีกอดถิรมนเอาไว้ โยกตัวเบาๆ ราวกับว่าถิรมนยังเป็นเด็กน้อยอยู่ “อารู้ว่าน้องเลิฟชอบมัตถ์ แต่เบื้องหลังระหว่างกันอาไม่รู้หรอกว่าความจริงเป็นยังไง แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อาก็รักน้องเลิฟเสมอนะลูก” หล่อนหอมที่ศีรษะของถิรมนและยังกอดเอาไว้เช่นนั้น

ถิรมนรู้ดีว่าปภาวีคงสังเกตเห็นอะไรมาบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของเธอหรือพฤติกรรมของปรมัตถ์ที่อาจผิดหูผิดตา จึงทำให้รูปการทุกอย่างออกมาเป็นแบบนี้

“น้องเลิฟขอโทษที่ทำให้อามุกเสียใจค่ะ”

หล่อนดันตัวถิรมนออกมา ส่ายหน้าที่ยังคงยิ้มอย่างภูมิใจเมื่อมองเธอ “อาดีใจมากกว่าที่น้องเลิฟเป็นเด็กดี ดีใจที่สุดที่จะได้ดูแลน้องเลิฟจริงจัง ได้ดูแลน้องเลิฟตลอดไป เพราะอาใจหายทุกครั้งที่คิดว่าวันหนึ่งน้องเลิฟต้องออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ส่วนอาก็ไม่สามารถเข้าไปดูแลช่วยเหลือได้อีก” หล่อนกอดถิรมนเอาไว้อีกครั้ง ตบบ่าเบาๆ ให้กำลังใจ “ไปดูมัตถ์เถอะ ป่านนี้คงหัวเสียสุดๆ แล้วไปแล้วมั้งน่ะ”

ปภาวีเช็ดน้ำตาให้ถิรมน ไม่พูดอะไร มีแค่รอยยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะแยกตัวออกไปเงียบๆ ตรงไปยังบันไดทางขึ้นห้องของตนเอง

ถิรมนนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้งและทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนตั้งตัวไม่ทันแทบทั้งสิ้น มองทุกอย่างตรงนี้ด้วยใจที่เลื่อนลอย ลุกขึ้นอย่างมึนงง เดินไปด้วยใจที่มีแต่ความสับสน ไม่รู้จริงๆ ว่าสาเหตุทั้งหมดของเรื่องคืออะไร

เธอไม่เข้าใจเหตุผลในการกระทำของปภาวี ไม่เข้าใจเหตุผลในการกระทำของปรมัตถ์ รู้แค่ตัวเองเหมือนหมากบนกระดานที่ชะตากรรมขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ไม่รู้ว่าจะเข้าวินหรือถูกกินเมื่อเดินมาได้ไม่กี่ตา

ลางสังหรณ์บางอย่างบอกว่ามีอะไรมากกว่าที่คิด ต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็น ทว่าความคิดทุกอย่างของเธอได้หยุดลง เมื่อตัดสินใจเดินขึ้นไปที่ห้องนอน

และเมื่อมาถึงหน้าห้อง ก็ได้แต่มองลูกบิดประตูสีทองสวยหรู เธอค่อยๆ ถอนหายใจออกมา มือยื่นออกไปแต่ก็ค้างไว้ตรงนั้น มองตรงไปก็เห็นเพียงประตูไม้สลักลายสวยในระยะประชิด กำลังคิดว่าปรมัตถ์กำลังทำอะไรอยู่ข้างนอกนั่น เขาจะมีสีหน้าอย่างไร และเธอควรให้คำตอบไหนแก่เขาเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน

ถิรมนสูดลมหายใจเข้าลึกอีกครั้ง เรียกสติตัวเองกลับมา โฟกัสทุกอย่างไปที่สถานการณ์ตรงหน้า บอกตัวเองว่าควรมองให้ถูกจุด ทำในส่วนของตนเองให้ดีที่สุดเถอะ อย่าไปมองปัญหาของคนอื่นเลย ใครเขาจะคิดอย่างไร มีจุดประสงค์อะไร หรือคิดจะทำอะไรก็เรื่องของเขา เพราะเมื่อเธอไม่สามารถเข้าใจและรู้คำตอบของสิ่งเหล่านั้นได้ในตอนนี้ ก็จงทำใจและจัดการปัญหาของตัวเองให้ดีที่สุดจะดีกว่า

คิดได้เท่านั้นจึงหายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ อีกครั้งหนึ่ง หมุนลูกบิดประตูและเปิดเข้าไป เปิดไฟในห้องและนั่งนิ่งๆ ที่ปลายเตียง

เสียงกอกแกกทำให้มองตาม ประตูห้องนอนถูกเปิดออก ในมือของปรมัตถ์มีแล็ปท้อปติดเข้ามาด้วย เขาเดินผ่านหน้าเธอไป วางแล็ปท้อปไว้บนโต๊ะทำงานของเธอใกล้กับหน้าต่างฝั่งระเบียง มองมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย นั่งลงบนเก้าอี้ประจำโต๊ะทำงานนั้น ง่วนอยู่กับการพิมพ์บางอย่างและคลิกไม่หยุด

“หวังว่าเธอเห็นอะไรบ้างนะ” พูดเมื่อเงยหน้ามองเธอ ก่อนจะก็ก้มหน้าก้มตาจัดการต่อไป

ถิรมนพูดอะไรไม่ออก ไม่เขาใจการกระทำของเขา เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะมีผลอะไรบ้าง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องการดำเนินการในบริษัท หรือเรื่องใดๆ

คิดว่าตอนนี้ความรู้สึกของปรมัตถ์คงจะเสียใจไม่น้อยทีเดียว เพราะเท่าที่ทราบมา...ตั้งแต่เขาแยกไปทำบริษัทของตนเอง ข้อมูลทุกอย่างของบริษัทเขาถูกปิดเป็นความลับทั้งหมด และปภาวีก็ปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้นโดยไม่สนใจ แต่วันนี้หล่อนกลับใช้เรื่องของเธอมาเป็นเครื่องมือต่อรอง นั่นจึงเป็นต้นเหตุของความสงสัยว่ามีอะไรซ่อนอยู่กับตัวเลขที่ปรมัตถ์พยายามเก็บเป็นข้อมูลส่วนตัว มีอะไรซ่อนอยู่กับการลองใจ

“มันคุ้มที่ทำแบบนี้เหรอคะพี่มัตถ์” เธอถาม

เขาเงยหน้าจากแล็ปท้อป ยิ้มให้เล็กน้อย “ไม่คุ้มก็คงไม่ทำ” พูดจบก็หมุนแล็ปท้อปมาให้เธอดู “พี่ส่งข้อมูลทั้งหมดไปแล้ว ให้รหัสเข้าโปรแกรมบัญชีทั้งหมดไปด้วย จะได้ไม่ต้องมาถามให้วุ่นวายอีก”

ถิรมนนั่งนิ่งไม่ขยับไปไหน

“เช็กของก่อนรับสินค้าและเป็นพยานด้วยครับ...คุณสุภาพสตรี” เขาเอียงหน้าเป็นความหมายว่าให้มายืนข้างๆ กัน มาดูว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้องเรียบร้อยหรือไม่

ถิรมนลุกขึ้น เดินไปเหมือนถูกสะกดวิญญาณ มองปรมัตถ์ที่กำลังรอเมื่อเธอเดินเข้าไป เขายังนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยมีเธอยืนอยู่เคียงข้างเมื่อไปถึง และมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา

ปรมัตถ์เปิดให้ดูรายการต่างๆ ที่ส่งไปว่ามีไฟล์ไหนบ้าง มีข้อความอะไร ส่งผ่านเรียบร้อยแล้วหรือไม่ ก่อนจะเงยหน้ามองเธอ หมุนเก้าอี้ให้มา เอนตัวติดพนักพิง มองเธอตรงๆ ไขว้ขาไขว่ห้างนิดหนึ่ง ชันศอกไว้กับที่พักแขน ลูบคางช้าๆ นัยน์ตามีแววครุ่นคิดไม่น้อย กริยาทั้งหลายนั้นบ่งบอกอะไรหลายอย่างได้ดีแม้ไม่พูด

“มันก็แค่ตัวเลข ตัวคนมีค่ามากกว่า” เสียงของเขาเรียบนิ่ง คล้ายจะบอกเธอว่าอย่ากังวล นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาแคร์เธอมากว่าข้อมูลของบริษัทที่ส่งให้ปภาวี จงรับรู้แต่บัดนี้ไปเถิด “เรียบร้อยนะ”

ถิรมนพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร ปรมัตถ์หมุนเครื่องคอมพิวเตอร์กลับไป ปิดโปรแกรมทุกอย่างและปิดเครื่อง เรียบร้อยแล้วจึงลุกขึ้นยืน มองเธอและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

แต่ถิรมนยิ้มแทบไม่ออก สมองตื้อไปหมด บอกไม่ถูกว่าดีใจ เสียใจ ตื้นตัน มึนงง หรือรู้สึกอย่างไรกันแน่

รู้แค่ปรมัตถ์ลุกขึ้น สิ่งที่ไม่คาดคิดต่อจากนั้นคือขยับกอดเธอเอาไว้ ไม่มีคำพูดใด มีแค่เสียงลมหายใจของกันและกัน มีแค่แรงสัมผัสเมื่อเขาโอบกอดเธออย่างระมัดระวังไม่ให้แขนข้างที่เจ็บได้รับผลกระทบ คางของเขาวางไว้บนกลางกระหม่อมของเธอนี้ และแม้ไม่ได้กอดตอบ ปรมัตถ์ก็ยังกอดเธอเอาไว้เช่นนั้น

ทุกอย่างอยู่ในความเงียบงัน ฟังเสียงหัวใจของกันและกันที่กำลังเต้นโดยไม่มีคำพูดใดออกมา

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -




ขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามม่านลวงมาจนถึงวันนี้นะคะ อ้อยขอขอบพระคุณจากใจ และต้องขอโทษที่ต้องแจ้งให้ทราบว่าจะลงให้อ่านต่อจนถึงบทก่อนเลิฟซีน (บทที่ 17 จากทั้งหมด 25 บท) อีกทั้งหนังสือมีกำหนดวางแผงในวันที่ 15 ต.ค. 57 ในงานสัปดาห์หนังสือเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

จึงขอขอบพระคุณนักอ่านทุกท่านที่รักและติดตามงานเขียนของอ้อยเสมอมา ขอบพระคุณความรักที่ท่านได้มอบให้ค่ะ ส่วนนักอ่านท่านใดที่สั่งจองหนังสือเรื่องม่านลวงมากับอ้อยแล้ว สามารถดูรายละเอียดที่แนบมานี้ได้เลยค่ะ

รัก...

อ้อย/สุชาคริยา


***************************************


รายละเอียดการจองหนังสือผ่านผู้เขียนโดยตรง รบกวนแจ้งรายละเอียดตามนี้นะคะ

1. ชื่อ - นามสกุล - ชื่อเล่น
2. ที่อยู่ที่ให้จัดส่งหนังสือ
3. เบอร์โทรศัพท์
4. นอกจากลายเซ็นแล้ว ต้องการให้เขียนอะไรพิเศษเพิ่มเติมหรือไม่ หรือไม่ต้องการลายเซ็น

ส่วนรายละเอียดเบื้องต้นมีดังนี้นะคะ
- ม่านลวง ราคาปก 200 บาท ลด 10% จากราคาหน้าปก = 180 บาท
- ค่าขนส่งแบบลงทะเบียน 1 เล่ม 30 บาท (รวมน้ำหนักประมาณ 350 กรัม ใช้เวลาขนส่ง 3-5 วัน)
- ค่าขนส่งแบบ EMS 1 เล่ม 60 บาท (รวมน้ำหนักประมาณ 350 กรัม ใช้เวลาขนส่ง 1-3 วัน)

โดยแจ้งความประสงค์มาได้ทั้งทางข้อความของเฟชบุ๊ค 'สุชาคริยา' หรือ 'สุชาคริยา อ้อย' หรืออีเมล chacriya@windowslive.com อ้อยจะส่งรายละเอียดการโอนเงินให้ทราบอีกครั้งหลังจากได้รับรายละเอียดของท่านค่ะ

*ปิดจองวันที่* 13 ต.ค. 57 เวลา 23.59 น. (เที่ยงคืนของวันที่ 13 ต.ค.)

***กำหนดส่งหนังสือ*** วันพุธ ที่ 15 ต.ค. 57 (แต่จะเข้าไปรับหนังสือวันที่ 14 ต.ค. 57)

ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ


----------------------------------------------------



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ต.ค. 2557, 22:27:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2557, 19:02:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1404





<< บทที่ 8 (2/2)   บทที่ 10 >>
คิมหันตุ์ 1 ต.ค. 2557, 23:01:04 น.
ลงชื่อให้กำลังใจค่ะ


ใบบัวน่ารัก 1 ต.ค. 2557, 23:44:31 น.
รักให้จริงนะ ห้ามทำเลิฟร้องไห้หรือเสียใจหละ


pseudolife 2 ต.ค. 2557, 09:05:27 น.
พี่มัตถ์น่ารักจริงๆ ขอบคุณคนเขียนค่ะ


แว่นใส 2 ต.ค. 2557, 10:59:28 น.
น่ารักจริงเชียว


นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ต.ค. 2557, 17:05:43 น.
ตกลงมันมีเงื่อนงำอำพรางอะไร หรือพี่มัตถ์ไม่รักเลิฟจริงๆ ทุกอย่างคือแผนการ!!!


สุชาคริยา 2 ต.ค. 2557, 17:34:59 น.

@คุณคิมหันตุ์ = ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ กอด
@คุณใบบัวน่ารัก = ^^
@คุณ pseudolife = ขอบพระคุณมากๆ ที่ติดตามเช่นกันค่ะ (^.^)
@แว่นใส = (^.^) ขอบพระคุณมากๆ เลยค่ะ อ้อยเห็นคอมเม้นท์ทางเว็บเด็กดีด้วยนะคะ จุ๊บๆ
@นักอ่านเหนียวหนึบ = งานนี้ต้องลุ้นจ้าาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account