Love song ลุ้นรักให้พลิกล๊อค (นิยายชุด Love pill)
ถ้าเพลงรักไม่ใช้กับความรัก จะใช้กับอะไร?
Tags: รักกุ๊กกิ๊ก

ตอน: ตอนที่ 3

(อัพช้าแต่ก็อัพน้า)

“เป็นยังไง ถ้านายว่ามันโอเค ก็เรียบเรียงทำนองส่วนที่เหลือต่อไปเลยนะ หรือว่าอยากจะแก้ตรงไหนก็บอกผ่านมาฉันมาได้เลย”

“แล้วทำไมครีมไม่มาเอง ส่งเธอมาแทนทำไม”

“จะมันมาเองหรือฉันมาแทน ก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ ฉันเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของมันนะ”

“ฉันรู้คลาร่า แต่ที่ฉันไม่เข้าใจคือครีมจะหลบหน้าฉันทำไม”

“คีตา ฉันว่านายหยุดสงสัยอะไรไร้สาระพวกนี้เถอะ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของนายให้เสร็จไป ยังไงไอครีมมันก็หนีไปแบบนี้ได้ไม่นานหรอก ฉันไปนะ”

ฉันแอบมองทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่ห่างๆหลังเสาต้นใหญ่กลางโรงยิมของคณะฯ คงต้องขอบคุณเพื่อนรักเพื่อนตายอย่างคลาร่าจริงๆ ที่ยอมทำทุกอย่างตามที่ฉันขอหมด แม้จะแอบเห็นมันถอนหายใจเป็นสิบๆรอบก็ตามบทสนทนาของมันกับคีตาคงจะอึมครึมชอบกลสินะ แค่ฉันดูอยู่ห่างๆก็พอจะสัมผัสได้

“เรียบร้อยแล้วแก กลับบ้านกันเถอะ”

“ขอบใจมากนะแก” ฉันกล่าวขอบคุณเสียงอ่อย เป็นน้ำเสียงที่เคลือบไปด้วยความซาบซึ้งปนกับความ เกรงใจเล็กๆ “คีย์เขาว่าไงบ้าง”

“ก็หงุดหงิดเอาการอยู่นะ แต่ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะไม่แค่หงุดหงิดแล้วจำใจทำตามแกหรอก จะดักเจอแล้วหาไม้หน้าสามฟาดใส่กบาลซัก 2-3 ที มีอย่างที่ไหน ทำงานคู่กันแท้ๆ แต่ดันมาทำตัวไม่มีความรับผิดชอบ เอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับงาน แย่จริง”

“นี่แกกำลังด่าฉัน ถูกปะ” ฉันมองค้อนใส่คลาร่าไป 1 ที นี่ถ้าไม่ติดว่ามันคอยช่วยเหลือฉันล่ะก็ จะหันไปจิกหัวมันแล้วโขกกับเสาซัก 2 ยก

“เปล่านะ ฉันแค่สมมติ” มันปฏิเสธหน้าตาย ก่อนจะคว้าข้อมือฉันเป็นเชิงให้กลับบ้านกันเสียที “วันนี้ฉันไม่ได้เอารถมา ไปส่งด้วยนะ”

“ย่ะ”

หลังจากส่งคลาร่าถึงบ้านอย่างปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เอาตัวเองมานั่งทอดแหอยู่ในสวนสาธารณะ แม้มันอาจจะไม่ได้ช่วยทำให้ฉันสบายใจขึ้นเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่ามาแวะหายใจ เอาอากาศบริสุทธ์จากปอดสะอาดกลางกรุงเทพเสียหน่อย อากาศเย็นๆแบบนี้มันก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีเหมือนกัน

ฉันเลือกนั่งบนม้าหินที่อยู่เกือบในสุดของสวน รอบๆตัวก็เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ฉันก็แยกไม่ค่อยออกเท่าไหร่หรอกนะ ว่าดอกอะไรเป็นดอกอะไร รู้แต่ว่าดอกไม้พวกนี้สวยทุกดอก ไม่แปลกเลยที่มันจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เพราะสำหรับฉันแล้ว ของสวยๆมันก็มักจะได้รับความรักมากกว่าอะไรที่ขี้เหร่เสมอ

“ขอโทษนะคะ” เสียงเล็กๆของผู้หญิงคนนึงปลุกฉันให้ตื่นจากภวังค์ ฉันค่อยๆหันไปมองหน้าเจ้าของเสียงก่อนจะทำหน้างงเล็กน้อย ใครกันนะ...หน้าตาสะสวยเหมือนดาราจัง

“มีอะไรรึเปล่าคะ” ฉันถามทันทีที่เราทั้งคู่สบตากัน แต่ฉับพลันฉันก็สัมผัสได้ว่าสีหน้าของพี่ผู้หญิงคนนี้ดูไม่ดีเลย ฉันเลยถามเธอไปอีกครั้ง ด้วยคำถามใหม่ “มีอะไรให้ช่วยไหมคะ”

“คือ...น้องนั่งอยู่ตรงนี้มานานรึยังคะ”

“เกือบชั่วโมงแล้วค่ะ ทำไมเหรอคะ”

“น้องพอจะเห็นเด็กผู้ชายใส่เสื้อสีขาว กางเกงยีนส์ ถือลูกโป่งวิ่งมาทางนี้บ้างไหมคะ พี่คลาดกับลูกชาย น่ะค่ะ หามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่เจอเลย” พี่เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ รอบดวงตาก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นชมพูระเรื่อเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา แต่ให้ตายเถอะ ฉันก็ไม่ได้สังเกตุใครเท่าไหร่ด้วย มัวแต่ดราม่าอยู่

“ไม่เห็นเลยค่ะ แต่พี่ใจเย็นๆนะคะ เดี๋ยวหนูไปช่วยหา” ฉันพูดพลางเก็บของใส่กระเป๋า แล้วเตรียมตัว ลุกขึ้นจากเก้าอี้ม้าหิน แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร พี่เขาก็รีบปฏิเสธความช่วยเหลือจากฉัน

“ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ เขาคงไปไหนได้ไม่ไกล”

“2คนยังไงก็ต้องดีกว่าคนเดียวค่ะ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ ยังไงหนูก็ไม่ต้องรีบไปทำอะไรอยู่แล้ว อ้อ..หนูชื่อครีมค่ะ พี่ล่ะคะ”

“พี่ชื่อรุ้งค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะน้องครีม” พี่รุ้งกล่าวเบาๆก่อนจะเอื้อมมือมาจับที่มือฉัน “ขอบคุณจริงๆค่ะ”

ฉันยิ้มรับคำขอบคุณนั้นก่อนจะเริ่มตามหาลูกชายของพี่รุ้งทันที สวนสาธารณะนี้ค่อนข้างใหญ่ก็จริง แต่ว่ามันไม่ได้มีซอกมุมเยอะ ออกจะเป็นลานกว้างๆโล่งๆเสียมากกว่า ฉันเลยคิดว่าถ้าลองเดินหารอบๆสวนแล้วคอยสังเกตุให้ทั่ว ก็น่าจะเจอได้ไม่ยากนัก

“ลูกโป่งนั่น” พี่รุ้งหยุดชะงักก่อนจะชี้ไปที่ลูกโป่งสวรรค์ที่ลอยไปติดแหงกกับกิ่งไม้ “ลูกโป่งนี้เป็นของลูกชายพี่ค่ะ”

“พี่รุ้งแน่ใจนะคะ” ฉันหันไปถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ซึ่งพี่รุ้งเองก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ เราทั้งคู่เลยรีบ ซอยเท้าไปยังเบาะแสชึ้นสำคัญทันที

“แล้วรองเท้านี่ล่ะคะ” ฉันถามด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีทันทีที่เห็นรองเท้าผ้าใบเด็กหล่นอยู่ใต้ต้นไม้ 1 ข้าง เพราะถ้ามันเป็นของลูกพี่รุ้งจริงๆ ฉันว่างานนี้คงไม่ใช่แค่เด็กหายไปธรรมดาแน่

“รองเท้านี่ก็ของตาโรมค่ะ” พี่รุ้งตอบเสียงแข็ง และเพียงแค่เราสบตากัน ก็เหมือนจะเข้าใจทุกอย่างไปในทิศทางเดียวกันทันที เพราะเราทั้งคู่ต่างวิ่งกันไปรอบๆพลางตะโกนเรียกชื่อน้องโรมอย่างไม่ขาดสาย ฉันเองก็รู้สึกร้อนใจไม่ต่างกับพี่รุ้งเลย สถานการ์ณมันทำให้ฉันรู้สึกว่านี่คือการลักพาตัวเด็กยังไงไม่รู้ชอบกล

“โรม...ลูกอยู่ไหนลูก ได้ยินคุณแม่ไหม”

“น้องโรมคะ อยู่แถวนี้รึเปล่า” ฉันตะโกนเรียกหาอยู่ซักพัก ก่อนที่หางตาฉันจะเหลือบไปเห็นรถตู้สีขาวคันหนึ่งที่จอดอยู่นอกรั้วของสวนสาธาณะ รถตู้คันนั้นเปิดไฟฉุกเฉินไว้อยู่ ส่วนภายในรถก็เปิดไฟไว้ ทำให้มองเห็นว่ามีคนอยู่ในรถประมาณ 3-4 คน ฉันพยายามเพ่งเข้าไปในรถเพื่อให้เห็นรายละเอียดมากขึ้น ก่อนจะโป๊ะเช๊ะ ชัดเจน ในรถมีเด็กเล็กอยู่ด้วย

“มีอะไรรึเปล่าคะน้องครีม”

“พี่รุ้งคะ ตอบครีมมาตามความจริงนะคะ พี่รุ้งได้มีเรื่องทะเลาะอะไรกับใครบ้างรึเปล่า หรือว่ามีใครพยายามจะขอยืมเงินอะไรทำนองนี้ไหมคะ” ฉันยิงคำถามตรงไปตรงมาทันที เพราะเวลาแบบนี้จะมาโอ้เอ้ก็คงไม่ใช่เรื่อง แต่ฉันก็ไม่อยากวู่วามพุ่งเข้าไปที่รถตู้ก่อน บางทีเด็กคนนั้นอาจจะไม่ใช่น้องโรมก็ได้ แม้ว่าภาพที่ฉันเห็นจะเป็นเด็กที่กำลังดิ้นหนีก็ตาม

“เอ่อ...ถ้าเอาตามตรงก็มีนะคะ มีคนพยายามจะเปิดโปงเรื่องที่พี่มีลูกแล้วน่ะค่ะ”

“งั้นพี่รุ้งโทรหาตำรวจเลยค่ะ ครีมว่าน้องโรมอยู่ในรถตู้คันนั้น มีคนจะลักพาตัวน้องโรมค่ะ” ฉันทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ประตูทางออกของสวนสาธารณะทันที และก็ได้แต่หวังว่าพี่รุ้งจะมีสติ พอที่จะทำตามที่ฉันบอกได้
ฉันค่อยๆเดินเลียบทางเท้าไปเพื่อไปอยู่ให้ใกล้รถตู้คันนั้นมากที่สุด สิ่งที่ฉันจะทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คงเป็นการถ่วงเวลาพวกมันไว้ ก่อนที่ตำรวจจะมา

ฉันพยายามสังเกตุทุกอย่างให้ละเอียดก่อนจะพบว่า ในรถตอนนี้ค่อนข้างจะวุ่นวาย เพราะจับเด็กให้อยู่นิ่งๆไม่ได้ แม้กระทั่งคนขับเองก็ต้องเอี้ยวตัวจากเบาะคนขับไปช่วยพวกที่เหลือจับเด็ก จังหวะนี้ล่ะ...เหมาะเลย
ฉันค่อยๆเขยิบตัวไปทีละนิด มือก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋า เอาของที่ปกติไม่ได้พกมา แต่ดันต้องพกมาวันนี้เพราะไอคลาร่าเพื่อนรักมันดันอยากกินส้มโอแต่ปอกไม่เป็น ฉันเลยต้องพกมีดมาด้วย ตาก็จ้องไปที่พวกมันทุกคน เมื่อสบจังหวะเหมาะ ฉันก็รีบไปประชิดล้อรถของพวกมันที

“ขอความคมกริบสถิตย์อยู่กับมีดข้าด้วยเถิดด...เพี้ยง!”

/จึก จึก จึก/

ฉันรัวมีดลงไปบนล้ออย่างไม่ยั้งมือ ก่อนจะเห็นว่ามีลมเบาๆรอดออกมาจากแผลที่ฉันแทงลงไป เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว ก็เลยค่อยๆถอยหลังออกมาให้ห่างจากรถเล็กน้อย ขอให้ตำรวจรีบๆมาด้วยเถอะนะ

“คิดจะมาปกป้องเด็กหรือไง ไอหนู”

ฉันหันขวับไปหาต้นเสียง ก่อนจะพบชายร่างใหญ่ยืนจ้องหน้าฉันเขม็ง ที่แย่ไปกว่านั้นคือบนขอบกางเกงมีปืนเหน็บอยู่ แต่ที่แย่สุดๆไปเลย ก็คงจะเป็นตัวฉันนี่แหล่ะ... โอ๊ยดีนะ ที่วันนี้ใส่รองเท้าผ้าใบมา

“หยุดนะนังหนู!”

ใครจะไปสนเสียงเรียกแก ฉันรีบวิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อเข้าไปหาฝูงชนให้เร็วที่สุด อย่างน้อยถ้าอยู่ในที่ที่มีคนมากๆ ไอ้โจรชั่วช้านั่นก็คงไม่กล้าทำอะไรฉัน

“ช่วยผมด้วยย พี่ครับ อย่าพึ่งไป”

“โรม!!!!” ฉันรีบหันไปหาน้องโรมทันที และภาพที่เห็นมันแทบจะทำให้ฉันเข่าทรุดลงไปกับพื้น แม้เราจะไม่เคยรู้จักกัน แต่การที่มีเด็กคนนึงถูกปืนจ่อหัวอยู่แบบนั้น มันก็เกินจะห้ามน้ำตาจริงๆ

“แกอย่าทำอะไรเด็กนะ ปล่อยเด็กไปหาแม่ แล้วเอาตัวฉันไป” ฉันตะโกนเสียงดัง ก่อนที่ไอพวกบ้านั่นจะระเบิดหัวเราะออกมา พวกมันขำบ้าอะไรกัน

“เอาแกแทนแล้วพวกข้าจะได้อะไร ไอเด็กโรมนี่มันมีค่าหัวนะเว้ย แต่แกดันมาเจาะยางรถแบบนี้ พวกข้าเสียเงินเสียทองหมด ไปจับมันมา!”

“ปล่อยฉันนะ” ฉันพยายามดิ้นสุดชีวิต แต่ก็ไร้ผล นี่พี่รุ้งโทรหาตำรวจรึยัง แล้วบรรดาจ่าๆหมวดๆนี่เมื่อไหร่จะมา นี่ฉันกำลังจะโดนพวกมันฆ่าปิดปากอยู่แล้วนะ

/เอี๊ยดดดดดด/

เสียงยางรถที่ถูกเบรคกะทันหันดังสนั่นไปทั่วบริเวณนั้น ก่อนจะปรากฎหน้าฮีโร่ที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะเป็นคนมาช่วยฉันจากเหตุการ์ณบ้าๆนี่

“คีย์!!!”

“ปล่อยผู้หญิงกับเด็ก จะเอาเงินเท่าไหร่ว่ามา”

อื้อหืมม...หล่อมาก ถ้าอยู่ดีดีฉันกรี๊ดออกมา จะผิดสถานการ์ณมากไปไหม

“อะไรกันนักหนาวะ แส่หาเรื่องกันจริงๆ” หนึ่งในกลุ่มโจรตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ ฉันแอบเห็นว่า พวกมันต่างจับไปที่กระบอกปืนกันทุกคน ฉันขอให้ทุกอย่างจบลงด้วยดีเถอะนะ นี่ฉันชักจะกลัวเข้าแล้วจริงๆ

“พวกแกทำแบบนี้เพราะเงินไม่ใช่เหรอ ก็บอกมาสิ...ว่าจะเอาเท่าไหร่” คีย์ยังคงถามคำถามเดิม สายตาที่แข็งกร้าวแบบนั้น ฉันไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน สายตาที่ดูดุร้าย น่ากลัวไม่แพ้พวกโจรนี่เลยจริงๆ

“1ล้าน แลกกับเด็ก ส่วนนังตัวแสบแส่หาเรื่องนี่ 3 ล้าน”

“จะบ้ารึไง ใครจะไปมีให้แก” ฉันด่ากราดทันทีที่พวกมันเรียกค่าไถ่ทุเรศๆแบบนี้ “พวกแกนี่สมกับเป็นโจรจริงๆ”

“หุบปาก” ไอโจรคนเดิมตะโกนใส่หน้าฉัน ก่อนจะง้างมือจะตบเข้าที่หน้า

“อย่าทำอะไรผู้หญิงของฉัน ไม่งั้นพวกแกจะไม่ได้เลยซักบาท” คีย์ขู่ห้าม พลางมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่อ่อนโยน นี่ฉันเป็นผู้หญิงของเขางั้นเหรอ

“หน้าตาอ่อนโลกอย่างแก มีตังค์งั้นเหรอ” ก็ยังเป็นโจรคนเดิมที่ต่อรองด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม คีย์เลยต้องแสยะยิ้มกลับเล็กน้อยเพื่อเหยียดหยามคืน

“ถ้าแกไม่โง่พอที่จะรู้ราคารถของฉัน แกก็จะเข้าใจว่าฉันมีปัญญาบริจาคให้พวกชั่วๆอย่างแกแค่ไหน” คีย์ดูถูกกลับ ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบสมุดเช็คออกมา นี่นายคีตาเขาพกสมุดเช็คไปเรียนด้วยเหรอเนี่ย บ้าจัง “ปล่อยเด็กก่อน แล้วฉันจะเซ็นให้”

แล้วฉ..ฉันล่ะ?

เอาเถอะ ชีวิตเด็กต้องสำคัญกว่าสิ เพราะทันทีที่คีย์ยื่นข้อเสนอแบบนั้น พวกไอโจรบ้านี่ก็ทำหน้าตาเลิ่กลั่ก รีบปรึกษากันอย่างร้อนรน เงินมันคงสำคัญมากสินะ ถึงได้ทำหน้าสนใจกันขนาดนี้

“อย่าตุกติกนะเว้ย” เสียงหนึ่งในนั้นดังขึ้น ก่อนที่จะผลักให้น้องโรมเดินไปหาคีย์ คีย์เองก็รีบมาโอบน้องไว้พลางส่งยิ้มบางๆให้ฉัน และมันก็ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจมากที่น้องปลอดภัยแล้ว

“1ล้านบาท สำหรับเด็ก” คีย์เซ็นตามสัญญาทันที ก่อนจะยื่นเช็คออกไปนอกตัว เป็นเชิงให้เดินมาเอา “ลมแรงแบบนี้ แกคงไม่ให้ฉันโยนให้หรอกนะ วางปืนก่อนด้วย”

ฉันสัมผัสได้ว่าพวกมันยืนชั่งใจอยู่ซักพัก ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะค่อยๆทิ้งปืนลง แล้วเดินมารับเช็คจากคีย์ ทำไมฉันรู้สึกกลัวๆกับสถานการ์ณแบบนี้ชอบกลนะ ถึงพวกมันจะดูไม่เป็นมืออาชีพมาก แต่อย่างน้อยพวกมันก็มีปืนกันทุกคน ในขณะที่ฉันมีแค่มีดโง่ๆที่เอาไว้ปอกผลไม้อันเดียว

“เช็คจำนวนเงินก่อนสิ” เสียงคีย์บอกเบาๆ ก่อนจะยื่นเช็คราคา 1ล้านบาทให้ นี่ฉันไม่ยักกะรู้เลยนะ ว่านอกจากหน้าตาเทวดาแล้ว เขายังมีทรัพย์สมบัติให้น่าปอกลอกอีก เอ้ย..ให้น่าชื่นชมสิ

/บลั้กก/

เสียงร่างที่กระทบอัดลงกับรถ มันทำให้โจรทุกคนรวมทั้งฉันต้องเบิกตาโพลง อีตาบ้าคีย์...นั่นนายทำบ้าอะไรน่ะ อยู่ดีดีเขาก็คว้าแขนโจรให้บิดมาข้างหลังแล้วดันลงหลังรถดังโครม นายไปทำแบบนั้นกับพวกของมัน แล้วฉันที่นั่งให้ปืนจ่อหัวอยู่นี่จะรอดรึยังไง ไอบ้าเอ๊ยย!

“เด็กน้อย รีบขึ้นรถไปเร็ว” คีย์หันไปพูดกับน้องโรมให้รีบขึ้นรถไป ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับโจรทั้ง 5 รวมทั้งฉันต่อ นี่เขาคงไม่ได้ก่ะมาช่วยแค่น้องโรมถูกไหม

“แกคิดจะตุกติกเหรอ ลุกขึ้นมานี่!”

“โอ๊ย...เจ็บนะ”

นั่นไง...ตามที่ฉันคิดไว้เลย ฉันถูกดึงหัวขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ความเท่ห์ของนายมันหายไปหมดแล้วจริงๆ นายคีตา ผมฉันทั้งยวงเลยนะนั่น นายจะรับผิดชอบยังไงห๊า!!!!

/พลั่กกก/

1 หมัดของคีย์ถูกหวดลงไปกลางหน้าของโจรผู้ดวงซวยคนนั้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงใบมีดคัตเตอร์ ที่ถูกเลื่อนออกมาจากปลอก

“ถ้าแกทำอะไรผู้หญิง ฉันก็จะทำคืนกับ...ลูกชายของแก” คำพูดของคีย์มันทำให้ฉันอ้าปากเหวอ อะไรยังไง ใครเป็นลูกใคร แล้วเขารู้ได้ยังไง แล้วเขาเคยถามฉันไหม ว่าฉันอยากเจ็บตัวรึเปล่า ทำไมต้องมาเล่นสงครามจิตวิทยาอะไรตอนนี้ด้วยห๊ะ ฉันไม่สนุกด้วยหรอกนะ

“พ่อ ช่วยก่ำด้วย” เสียงโจรที่ถูกคีย์เอามีดคัตเตอร์จ่ออยู่ใกล้เปลือกตาร้องขอความช่วยเหลือและทันทีที่เสียงนั่นลอยมากระทบกับหูของผู้เป็นพ่อ ปืนที่จ่อหัวฉันอยู่ก็ถูกลดระดับลงมาทันที

“ปละ...ปล่อยลูกผมเถอะนะครับ ผมแค่อยากได้เงินไปรักษาเมียผม ไม่ได้อยากจะทำแบบนี้จริงๆ ไอพวกนี้ก็เป็นนักเรียนของเมียผม มันอยากได้เงินไปช่วยครูของพวกมัน”

“ครีม” คีย์เรียกฉันให้ตื่นจากภาวะงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนจะที่เขาจะพยักหน้าให้ฉันเป็นเชิงเรียกให้ฉัน รีบย้ายร่างของตัวเองมาหาเขา ซึ่งแน่นอนว่าฉันรีบทำตัวว่าง่าย ทำตามเขาอย่างรวดเร็ว และทันทีที่ที่เขามั่นใจว่าฉันปลอดภัยแล้ว ลูกดีเด่นที่หาทางช่วยแม่ด้วยการเป็นโจร ก็ถูกคีย์ผลักกลับไปหากลุ่มโจรทันที

“ก่ำเอ้ยย...ลูกพ่อ” 2 พ่อลูก โผลเข้ากอดกันทันที บรรดาสมุนคนอื่นๆ ก็พากันทำหน้าสลด ส่วนฉันที่ยืนเก้ๆกังๆ ทำตัวไม่ถูกกับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ก็พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า...

“นี่ตำรวจยังไม่มาอีกเหรอ”

“โรมมลูก...ลูกแม่” เสียงพี่รุ้งดังขึ้นเป็นระลอกท่ามกลางลมที่พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของเธอ และบรรดาตำรวจอีก 4-5 คน หึ...ไม่มาซะพรุ่งนี้เลยล่ะคะ พ่อคุณ

“แม่ครับบ ผมอยู่นี่” เมื่อได้ยินเสียงพี่รุ้งแล้ว น้องโรมที่นั่งตัวสั่นอยู่ในรถ ก็รีบเปิดประตูรถออกมาหาแม่ของเขาทันที ภาพที่ทั้งคู่วิ่งเข้าหาและโอบกอดกัน มันทำให้ฉันอิ่มใจกับการเป็นพลเมืองดีอย่างบอกไม่ถูก

“ขอบคุณมากนะคะ น้องครีม”

“สีรุ้ง” คีย์เอ่ยชื่อออกมาเบาๆ ทันทีที่เขาเห็นหน้าพี่รุ้งชัดๆ นี่เขารู้จักกันด้วยเหรอ “แม่ผมเป็นแฟนละครของคุณ ท่านชอบคุณมากเลยนะครับ”

“แฟนละคร?” ฉันถามเสียงสูง ก่อนจะที่พี่รุ้งจะคลายยิ้มออกมา “มิน่าล่ะคะ พี่รุ้งถึงดูสวยกว่าคน ธรรมดา ขอโทษนะคะที่ครีมจำไม่ได้ ครีมไม่ค่อยได้ดูทีวีเท่าไหร่”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอส่งยิ้มให้ฉันบางๆ ก่อนจะหันไปที่น้องโรมสุดหล่อที่ยังคงยืนเกาะแขนแม่ไม่ห่าง “โรมลูก...ขอบคุณพี่ๆที่มาช่วยโรมสิครับ”

“ขอบคุณนะครับพี่ๆ” เด็กน้อยผู้ใสซื่อเอ่ยคำขอบคุณเบาๆ พลางพนมมือขึ้นแล้วไหว้อย่างอ่อนช้อย กริยาแสนน่ารักแบบนั้นของน้องโรม มันทำให้ฉันกับคีย์หุบยิ้มไม่ได้จริงๆ ต้องอมยิ้มน้อยใหญ่ไปตามๆกัน

“ เอ่อ ขอโทษนะครับ” เสียงหนึ่งในคุณตำรวจเรียกให้พวกเราทุกคนหันไปสนใจ ก่อนจะพบว่าโจรทั้ง 5 ถูกควบคุมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว “ยังไงต้องขอเชิญพวกคุณ ไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยนะครับ”

“ด้วยความยินดีครับ” คีย์ตอบอย่างหนักแน่น ก่อนจะปรายตามองไปยังคู่โจรพ่อลูก ที่บัดนี้หน้าตาไม่ เหลือเคร้าโจรแล้ว คงไว้แต่เพียงชายที่กำความรู้สึกผิดไว้

หลังจากที่ทั้งฉัน คีย์ พี่รุ้งและน้องโรมเสร็จธุระที่โรงพักแล้ว เราก็แยกย้ายกันเพื่อจะกลับบ้าน โดยก่อนกลับพี่รุ้งก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะขอตอบแทนบุญคุณเรื่องนี้ให้ได้ แม้ฉันกับคีย์จะบอกว่าไม่เป็นไรก็ตาม แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับคำไปว่า ถ้าเดือดร้อนอะไร ก็จะขอนึกถึงพี่รุ้งเป็นคนแรก

ส่วนตอนนี้ฉันกับคีย์ก็ต้องมานั่งติดฝนแหง่กอยู่หน้าโรงพัก เพราะขามาตำรวจพามา แต่ขากลับไม่ยักกะพาไปส่งที่รถ ฉันเลยต้องจำใจนั่งอยู่เงียบๆด้วยภาวะกดดันแปลกๆ ก็จะไม่ให้หวั่นได้ยังไง เล่นหลบหน้าเขาไปเป็นเดือน ทำตัวไม่สนใจงานแบบนี้ นี่เขาคงไม่เอาคัตเตอร์มาขู่จิ้มตาฉันอีกคนนะ

/แกร้กกก/

“เฮ้ย...นายจะทำบ้าอะไรน่ะ” ฉันโผลงใส่คีย์ทันทีที่ตาบ้านี่เลื่อนคัตเตอร์ออกจากปลอก “อย่าทำอะไรฉันนะ”

“อะไรของเธอ ฉันแค่จะเลื่อนดู ก่อนทิ้งก็เท่านั้น”

“แล้วไป” ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกลืนน้ำลายอีกหนึ่งเฮือก เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจก่อนการจะเปิดบทสนทนา “ขอบใจมากนะคีย์ ที่มาช่วยฉัน”

“ไม่เป็นไรหรอก ดีนะ ที่พ่อสั่งให้ฉันเอาเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคารแถวนั้นพอดี”

“มิน่าล่ะ นี่ก็งงอยู่ว่านายพกเช็คไปเรียนด้วยเหรอ” ฉันพูดขำๆ และนั่นก็พอที่จะทำให้เขาก็ขำเช่นกัน “และทำไมนายถึงรู้ว่า 2 คนนั้นเป็นพ่อลูกกัน” ฉันยิงอีกหนึ่งคำถามที่มันน่าสงสัยพอๆกับเรื่องสมุดเช็ค เป็นคำถามที่ถ้าแปลอีกนัยนึงก็คือ นายทำให้ฉันโดนจิกหัวทำไม นั่นเอง

“รอยสักน่ะ คนนึงสักคำว่าพ่อ อีกคนสักคำว่าลูก ที่ข้อมือซ้ายเหมือนกัน ก็เลยเดาสุ่มๆว่าน่าจะใช่ คนเป็นพ่อยังไงก็คงไม่ยอมเห็นลูกโดนทำร้ายหรอก เธอว่าไหม” เขาหันมาถามพลางทำหน้าจริงจังใส่ฉัน ก่อนจะเบือนหน้าออกไปอีกทาง แล้วเพ่งมองไปยังสายฝนที่โหมกระหน่ำ “ไม่มีใครยอมเห็นคนที่เรารักเป็นอะไรไปได้หรอก คีย์ก็จะไม่ยอมปล่อยคนที่คีย์รักเปนอะไรไปเหมือนกัน”

“ฉันขอโทษนะคีย์”

อยู่ดีดีฉันก็โผลงพูดออกไปแบบนั้น โดยที่ใช้ความมโนระดับสูงในการปักใจเชื่อไปแล้วว่าประโยคเมื่อกี๊เขาหมายถึงฉัน คีย์เองที่มองไปทางอื่นอยู่นาน ก็ค่อยๆหันมาทางฉันพลางเอื้อมมือมาลูบที่หัวฉันเบาๆ

“ขอโทษนะที่ทำให้เธอโดนกระชากผม ไม่เจ็บใช่ไหม” เขาพูดยิ้มๆ เอาเถอะ...นี่ก็เห็นแก่ความหล่อ ถ้าไม่หล่อนะ ฉันล่ะอยากจะตะโกนใส่หน้าจริงๆ ว่า ‘เจ็บสิว้อยยย’

“ไม่เจ็บหรอก” มีรางวัลมารยา อวอร์ดไหม ฉันอยากจะเข้าประกวดจริงๆ

“แล้วก็ขอโทษเรื่องนั้นด้วย คีย์ไม่โกรธหรอกนะ ที่ครีมหายไปแบบนั้น แต่คีย์แค่เสียใจ ที่ปกป้องอะไรครีมไม่ได้เลย”

“จ่ายค่าซ่อมรถมาดิ” ฉันโผลงพูดขึ้น ก่อนจะปั้นหน้าเจ้าเล่ห์ใส่คีย์

“จ่ายเป็นอะไรดี” คีย์พูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัยแปลกๆด้วยหน้าที่เจ้าเล่ห์กว่าฉัน 10 เท่า

“ก็ต้องเงิ...อุ๊บบ”

โซเดมาคอมแล้วค่ะคุณๆ อยู่ดีดีพ่อตัวดีก็เอามือช้อนเข้าที่ต้นคอฉัน แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้ ก่อนจะจู่โจมใส่ฉันด้วยริมฝีปากอย่างไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากที่อ่อนนุ่มของเขาถูกประกบทับลงบนริมฝีปากฉันเป็นเวลาครู่หนึ่ง ก่อนจะถูกเปลี่ยนมาแทรกตรงกลางระหว่างริมฝีปากบนล่างของฉัน เขาขยับเบาๆอยู่แบบนั้นเพียงไม่นาน ก็ค่อยๆถอนออก พลางเลื่อนจมูกมาสัมผัสกับปลายจมูกฉัน ลมหายใจที่โรยระรินของเขา มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เขาค่อยๆเลื่อนจมูกของเขาผ่านแก้มซ้ายของฉันไป ก่อนจะหยุดไว้ตรงระหว่างหลังใบหูและสันคอ แล้วประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ

“อย่าหายไปแบบนี้อีกนะ คีย์สัญญาว่าจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอะไรครีมอีก เรามาแต่งเพลงของเราด้วยกันนะ เพลงที่ครีมแต่งมา มันเพราะมากเลยรู้ไหม” คีย์พูดเบาๆ ทันทีที่เขาเคลื่อนตัวออกห่างฉันแล้ว ฉันที่เพิ่งลืมตาตื่นจากสัมผัสพิศวงนั้น ก็แต่ได้กระพริบตาปริบๆ พลางพงกหัวรับคำอย่างว่าง่าย พลางแอบสงสัยเล็กน้อยว่า ที่เขาทำแบบนี้ ...เพราะเขารู้สึกอะไรกับฉัน จริงๆใช่ไหม?

(อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วนะคะ ... แต่จะต่อด้วยนิยายรักเรื่องใหม่ของดาราสาวแม่หม้ายอย่างสีรุ้ง กับหนุ่มแบดบอยแสนเจ้าเล่ห์ รับประกันความสนุกค่ะ ส่วนเรื่องที่ 3 จะเป็นเรื่องของพี่คิน พี่ชายครีมในเรื่องนี้นะคะ ฝากติดตามกันเยอะๆน้าคะ ขอบคุณค่ะ)



กล้วยสีเขียว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2557, 15:59:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2557, 15:59:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 907





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account