Love song ลุ้นรักให้พลิกล๊อค (นิยายชุด Love pill)
ถ้าเพลงรักไม่ใช้กับความรัก จะใช้กับอะไร?
Tags: รักกุ๊กกิ๊ก
ตอน: ตอนที่ 4
แสงไฟหลากสีถูกส่องสลับไปมา เคล้ากับเสียงซาวเช็คจากกลอง กีตาร์ ปะปนมั่วไปหมด ฉันกับคลาร่าที่เคยตกลงกันว่าจะขอบ๊ายบายให้กับคอนเสิร์ตคืนนี้ แต่ก็มีอันต้องเปลี่ยนแผนเพราะฉันดันลากคลาร่ามาดูจนได้ พลางเฉไฉว่า ไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยพูดไว้ว่าจะไม่มา
“อะไรของแก ไหนบอกว่าไม่กล้ามาดูคอนเสิร์ตวงไอคีตาวันนี้ไง แล้วไหงมายืนเบียดคนอยู่หน้าเวที ซะได้ ไม่กลัวไอพวกแฟนคลับมันทุบรถแล้วเหรอ”
“ฉันมาดูในฐานะเพื่อนย่ะ ไม่ใช่แฟนกำมะลอ” ฉันปฏิเสธไปมั่วๆ พลางแสร้งทำเป็นไม่สนใจอะไรมากนัก อันที่จริงฉันก็อยากเล่าเรื่องทั้งหมดให้คลาร่ามันฟังอยู่หรอกนะ แต่ติดอยู่ตรงไอฉากจบนี่ล่ะ ว่าจะเล่ายังไงไม่ให้ติดเรท ซึ่งคิดไปคิดมาแล้วน่าจะยากเกินไปหน่อย ก็เลยไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟังเลย นอกจากบอกแค่ว่า ดีกันแล้ว
เสียงกรี๊ดระงมดังไปทั่วห้องโถงใหญ่ที่ใช้ในการจัดงานคอนเสิร์ตประจำปี ทันทีที่คีตา มือกีตาร์และร้องนำปรากฎกายขึ้นบนเวที ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าเขาดูดีมาก มันเกินกว่าคำว่าเท่ห์ไปแล้ว นี่จนฉันอยากจะละลายตัวเองให้เป็นน้ำให้มันนองเจิ่งพื้นไปเลย หล่อละลายสุดๆ หล่ออะไรได้ขนาดนี้นะ
“เบาๆหน่อย ยัยครีม ตานี่เยิ้มหมดแล้ว” คลาร่าที่ยืนไม่มีอารมณ์ร่วมอยู่นั้น กระแนะกระแหนฉันใหญ่ นี่ขนาดนี้เสียงกรี๊ดดังขนาดนี้ มันยังอุตส่าห์ตะโกนมาด่าฉันได้
“สวัสดีชาว MIU ทู้กกกคนน” เสียงคีย์เอ่ยทักทายแฟนๆ ก่อนจะรูดมือเข้ากับสายกีตาร์ เพื่อโซโล่ท่อน โปรด ที่ทุกคนเป็นอันรู้กันว่า หากวงนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ จะต้องเปิดด้วยท่อนโซโลท่อนนี้แน่นอน
/แสงอาทิตย์ร้อน ต้องแผด ต้องเผา ต้องร้อน ต้องลุกให้โชน เปรียบดั่งใจคน จะยอมถอยเท้าได้ไง โว้/
“โอ้โหวว ร้องตามได้ด้วย” ไอคลาร่ามันยังคงยืนหยัดกัดฉันไม่เลิก “ไหนว่าชอบลูกกรุง เพลงไอวง นี้มันร๊อคชัดๆนะ”
“อีร่า! เต้น!” ฉันตะโกนเรียกชื่อมันเป็นแบบสั้นๆ ซึ่งเป็นชื่อที่มันเกลียดที่สุดเวลามีคนเรียก และฉันจะใช้เรียกเวลาที่ทะเลาะกันเท่านั้น นี่ก็แอบเห็นมันทำหน้าไม่พอใจอยู่ แต่ก็เอาเถอะ...พอบอกให้มันเต้นเท่านั้น แหล่ะ มันก็กวาดขาสร้างอาณาเขตแด๊นซ์ของมันทันที
/ขอพลังแสงอาทิตย์ ให้ส่องลงมาที่จิตใจของฉัน/
“วู้วววววววๆ” เสียงปรบมือพร้อมทั้งเสียงหวีดร้องดังขึ้นทันทีที่เพลงแรกจบลง ส่วนฉันกับไอร่าที่ออกเสต็ปจนแทบเหมือนลมจะจับ ก็ต้องแอบมายืนพิงลำโพงแล้วหอบแฮ่กกันไปคนละที 2 ที
“ขอบคุณทุกๆคนนะครับ ที่ยังสนับสนุนพวกเราตลอดมา แล้วก็หวังว่าจะสนับสนุนพวกเราต่อไป เพราะเร็วๆนี้ เพลงแรกของพวกเราในฐานะศิลปินกลุ่มของค่าย Gson จะถูกปล่อยออกมาให้ทุกคนได้ฟังกันแล้วนะครับ”
สิ้นเสียงโปรโมตตัวเองของคีย์ เหล่าบรรดาแฟนคลับ เพื่อนพ้องก็ต่างทำหน้าตกใจกันยกใหญ่ รวมทั้งฉันกับคลาร่าด้วย นี่เขากำลังจะกลายเป็นศิลปินใหญ่แล้วจริงๆเหรอเนี่ย
“กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!”
คราวนี้มีเสียงฉันปนอยู่ในนั้นด้วย ดีใจด้วยนะคีย์ ดีใจด้วยจริงๆ
“และเพื่อเป็นการขอบคุณทุกคน เราจะให้ทุกคนได้ฟังเพลงแรกของพวกเราก่อนใคร เพลงนี้มี ความหมายกับผมมากนะครับ เป็นเพลงที่ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของคนคนนึงและความรู้สึกของตัวผมเอง เป็นเพลงที่...เพราะที่สุด ตั้งแต่ผมรู้จักกับโลกดนตรีมา หวังว่าทุกคนคงชอบนะครับ”
เขาส่งเข้าเพลงไว้แบบนั้น ก่อนจะหันไปให้สัญญาณกับมือกลองของวงให้เริ่มเพลงได้
/หนีคงเป็นทางเดียว หนีคงเป็นทางออก หนีคงเหมือนการบอก หนีเพื่อบอกให้เธอไป
ฉันหนีเพื่อหลบพัก แม้ฉันรักก็ต้องหนีและหนีจากเธอคนดี...../
“เฮ้ย...นั่นมันเพลงที่แกแต่งส่งอาจารย์หนิ” คลาร่าหันขวับมาถามฉัน ที่ตอนนี้ยืนงงเป็นไก่ตาหลุดไป หมดแล้ว นี่ฉันต้องรู้สึกยังไงดีเนี่ย มันดีใจ มันตื่นเต้น มันงงไปหมดแล้ว “เอามาทำเป็นร๊อคแบบนี้ โคตรเท่ห์เลยว่ะแก”
“ขอบคุณนะคีย์” ฉันทำปากหมุบหมิบส่งให้เขาทันทีที่เห็นเขาว่ามองมาทางฉัน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฐานะระหว่างเราคืออะไร ฉันรู้แต่ว่าวันนี้ฉันชอบเขา และฉันก็มีความสุขกับทุกอย่างที่เขาทำให้ฉัน เพียงแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว สำหรับคนธรรมดาอย่างฉันที่หน้าตาสวยสุดในบรรดาคนขี้เหร่ มันไม่ต้องมีอะไรมากไปกว่านี้แล้วจริงๆ
สิ้นสุดงานในคืนนี้ไปอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ร่างฉันกับคลาร่านี่อุดมไปด้วยเหงื่อ จนต้องหาทิชชู่มายืนซับหน้าให้กัน ซับไปก็ขำไป ในความแก่ไม่รู้จักเจียมของตัวเอง
“ตอนปี 1 ไม่ยักกะเหนื่อยเท่านี้เนาะแก” คลาร่าพูดติดตลก ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ของมันและของฉันขึ้น มา เป็นเชิงพร้อมกลับบ้าน
“กลับไป ปวดตัวแน่เลยแก” ฉันบ่นอุบ พลางรับกระเป๋ามาสะพายไว้ที่ไหล่ข้างนึง ก่อนจะต้องหยุด ชะงักเพราะมีใครบางคนเรียกชื่อฉันเอาไว้
“อย่าเพิ่งกลับสิ” คีตาเจ้าเดิมเรียกฉันเอาไว้พร้อมทั้งท่าทางเหนื่อยหอบ “คลาร่าด้วย วันนี้ไปเลี้ยงฉลอง ด้วยกันนะ แฮ่กๆ”
“เลี้ยงฉลอง?” คลาร่าถามเสียงสูง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มกว้างให้คีตา พลางนิ้วป๊อกใส่เข้าที่หน้าเขา “ปาร์ตี้ถูกไหม? ดีเลย ฉันอดมานานละ หมดเข้าพรรษาซักที แต่ให้พวกฉันกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อก่อนนะ แล้วจะตามไป ว่าแต่ร้านไหนน่ะ” คลาร่าสาธยายยืดยาว ทำเอาฉันอดหมันไส้ไม่ได้ แหม...ยัยนี่ ไหนสอนฉันนักหนาว่าให้รักนวลสงวนตัว แค่ผู้ชายมาชวนไปเที่ยวกลางคืนหน่อย ระริกเชียว
“Living Room แถวปิ่นเกล้า รู้จักไหม” คีย์ถามกลับ
“ระดับฉันแล้วนะ รู้จักหมดล่ะย่ะ”
“ย่ะ แม่สาวเที่ยว” ฉันเหน็บพลางเบ้ปากใส่คลาร่าไป 1 ที
“ไปด้วยกันนะ ครีม” คีย์หันมาถามฉันบ้าง ฉันยิ้มกลับเป็นเชิงว่าตกลง ก็แน่ล่ะสิ...ฉันไม่ปล่อยให้ยัยเพื่อนนอยื่นไปร่าเริงคนเดียวหรอก
“งั้นครีมขอไปอาบน้ำที่บ้านก่อน แล้วเจอกันที่ร้านนะ” ฉันบอกพลางส่งยิ้มหวานกว้างๆให้ว่าที่ศิลปินใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะยกมือบ๊ายบายส่งไป
หลังจากนัดแนะกับคีตาเสร็จ ฉันกับคลาร่าก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัว โดยที่นัดกันไว้ว่าฉันจะเป็นคนไปรับมันที่บ้าน เพราะแน่นอนว่าระยะเวลาถือศีลของมันตามโฆษณารณรงค์ของ สสส. ว่าให้งดเหล้าเข้าพรรษา คงจะทำให้มันกระหายแอลกอฮอล์น่าดู นี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันเตรียมตัวไปเมามากแค่ไหน
“สวยยัง?” มันถามคำถามปัญญาอ่อนทันทีที่เปิดประตูรถฉันขึ้นมา
“ใส่กระโปรงเนี่ยนะ เดี๋ยวตอนเมาก็เที่ยวไปเปิดให้ใครต่อใครดูอีก” ฉันแซววีรกรรมเด็ดของไอเพื่อน ตัวแสบ ที่เคยเมาไม่ได้สติแถมเที่ยวไล่เปิดกระโปรงให้ชาวบ้านดูไปทั่ว คราวนั้นนี่ฉันแทบจะเอาปี๊บคุมหัว ต้องโทรให้พี่คินมาช่วยแบกมันกลับบ้าน นึกแล้วก็อายแทน
“หยุดเลยนะยะ ขอซื้อได้ไหม ไอเรื่องนี้เนี่ยถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นเถอะ แต่ถ้าแกไม่หยุดนะ ฉันจะแซวเรื่องที่แกเป็นแฟนกับหนุ่มออนไลน์ ไม่เคยเห็นหน้า แล้วสุดท้ายเค้าก็หายสาบสูญ” คลาร่าค้อนใส่ฉันก้อนใหญ่หลังจากที่เอาคืนฉันอย่างสาสม
“เออ หายกัน”
หลังจากสงบศึกวาทศิลป์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันกับคลาร่าก็ลงมติเห็นชอบตรงกันที่จะเลือกขึ้นทางด่วนมาลงแถวยมราช ก่อนจะวิ่งผ่านราชดำเนินแล้วเลี้ยวขวาไปทางปิ่นเกล้าแทนการวิ่งบนถนนธรรมดาในช่วงนี้ ก็แน่นอนล่ะ กรุงเทพฯสมัยนี้ไว้ใจเรื่องรถติดได้ที่ไหน ต่อให้จะมืดแล้วก็เถอะ
เมื่อถึงร้านแล้ว ฉันก็เลือกจอดรถหน้าร้านแทนที่จะไปจอดในลานจอดรถ เอาเถอะ...เพราะถ้าไอร่ามันเกิดเมาแบบเอ๊กซ์ตรีมขึ้นมาจริงๆ ฉันจะได้ไม่ต้องแบกมาขึ้นรถให้ไกลจากร้านมากนัก
“มาแล้วเหรอ” เสียงคีย์เอ่ยทักขึ้น ทันทีที่ฉันกับคลาร่าเดินมาถึงหน้าร้าน ฉันส่งยิ้มบางๆให้เขารวมถึง สมาชิกคนอื่นในวงด้วย
“เข้าร้านเลยเหอะ ไม่ไหวละ” ไม่ต้องเดาก็พอรู้ใช่ไหมว่าใครพูดประโยคนี้ ฉันล่ะอยากจะจับเหล้ากรอกปากให้มันหายอยากซักที
“โต๊ะ A2 นะ คีย์จองไว้แล้ว” คีย์ตะโกนตามหลังคลาร่าที่แทบจะเหาะเข้าร้านไปแล้ว นี่มันได้ยินอะไร บ้างไหมเนี่ย “เพื่อนครีมนี่รีบเนาะ”
“เดี๋ยวก็เมา ไม่เกินชั่วโมงหรอก” ฉันพูดติดตลก พลางก้าวเท้าเพื่อจะเข้าไปในร้าน แต่ยังไม่ทันที่เท้าฉันจะข้ามพ้นประตู คีย์ก็รั้งเข้าที่แขนฉันไว้ก่อน
“คีย์มีเรื่องอยากจะคุยกับครีมหน่อย”
“อะไรเหรอ” ฉันถามอย่างสงสัย แต่อาจจะเป็นเพราะหน้าตาที่จริงจังปนกับรอยยิ้มบางๆของเขาล่ะมั้ง ที่มันทำให้ฉันแอบรู้สึกร้อนผ่าวๆเข้าที่หน้า และแอบลุ้นว่าเขาจะพูดอะไรออกมา
“จำนี่ได้ไหม” เขาถามพลางชูกล่องพลาสติกขนาด 4 เหลี่ยมจัตุรัสขึ้นมาตรงหน้าฉัน ฉันเพ่งมองอยู่ ซักพัก ก็นึกออก
“หนังที่ครีมเอามาเปิดตอนนั้นหนิ ครีมลืมไว้กับคีย์เหรอ” ฉันถาม ก่อนจะรับแผ่นซีดีนั้นคืนมา แต่หลังจากที่พลิกไปพลิกมาแล้ว ก็พบว่ามีซีดีอยู่อีกแผ่นด้านหลัง
“คีย์หมายถึงว่าครีมจำซีดีแผ่นหลังได้ไหม” เขาถามอีกครั้งพลางเอื้อมมือมาขยับกล่องซีดีในมือฉัน เป็นเชิงให้ฉันลองมองดูดีดี และแค่ฉันปลายตามองแค่แว๊บเดียวก็รู้ว่าคีย์ต้องการสื่อถึงอะไร
“คีย์คืออรุณเบิกฟ้าเหรอ” ฉันถามเสียงสั่นๆด้วยความรู้สึกตื่นเต้น หนุ่มออนไลน์ที่ฉันคุยผ่านอินเตอร์มานานนับปีก่อนที่เขาหายไป คือคนคนเดียวกับชายในฝันที่ฉันแอบชอบมา 3 ปีจริงๆอย่างงั้นเหรอ
“ครับ คิมคิมครีม” เขาตอบรับก่อนจะเรียกนามแฝงของฉันกลับบ้าง “คีย์เลยเรียกชื่อครีมผิดบ่อยๆ โทษทีนะ”
คำตอบนั่นก็ทำเอาฉันถึงบางอ้อ นึกย้อนกลับไปก็ตลกดีนะ ที่ฉันต้องโมโหเอาเป็นเอาตายเวลาที่เขาเรียกชื่อผิด ไม่ทันนึกเลยว่าชื่อ ‘คิม’ ที่เขาเรียกผิดบ่อยๆ จะมาจากชื่อในโลกอินเตอร์เนตของฉัน
“แล้วตอนนั้นอรุณหายไปไหน” ฉันเปิดบทสนทนาย้อนวันวานของเรา โดยเรียกชื่อที่ฉันเคยใช้เรียกเขา “ตอนนั้นนี่อกหักเลยนะ”
“คีย์ต้องย้ายไปอยู่กับยายที่ออสเตรเรียแบบกะทันหันมาก แถมบ้านยายก็ดันไม่มีคอมพ์อีก ตอนนั้นคีย์ก็ทุรนทุรายเหมือนนะ” เขาว่ายิ้มๆก่อนจะเอื้อมมือมาวางที่มือฉัน “ดีใจไหม ที่เป็นคีย์”
“ดีใจสิ” ฉันตอบเสียงหวานก่อนขำออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเปิดคำถามใหม่อีกครั้ง “แล้วคีย์รู้ได้ยังไง ว่าครีมคือคิมคิมครีม”
“อีเมลล์”
คำตอบเขาทำเอาฉันถึงบางอ้ออีกครั้ง
“ใช่สินะ ครีมไม่เคยเปลี่ยนเมลล์เลยตั้งแต่เรียนมัธยม kimkimcream_1992@hotmail.com” ฉันทวนอีเมลล์ก่อนจะขำในความติ๊งต๊องของตัวเอง “ทุกวันนี้นี่ยังไม่รู้เลยนะ ว่าทำไมต้องคิมคิมครีม เออ...แล้วรู้ตอนไหน”
“ก็ก่อนทำรายงานด้วยกันไม่นานนะ พอไปดูชื่อที่บอร์ดแล้วเห็นอีเมลล์ตอนนั้นนี่อึ้งเลย”
“ทำไม เราหน้าแย่เหรอ”
“บ้า ไม่ใช่แบบนั้น” เขาขำ “คนที่ไม่คุยกันมาเป็นปีๆ อยู่ดีดีมาโผล่ว่าเรียนคณะเดียวกัน ที่เดียวกัน จะไม่ให้อึ้งได้ยังไง”
“นั่นสิเนาะ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคีย์จะเก็บซีดีแผ่นนี้ไว้อยู่” ฉันพูดยิ้มๆพลางยกกล่องซีดีนั้นขึ้นมามองอีกครั้ง มันเป็นซีดีที่ฉันส่งทางไปรษณีย์ให้เขา จริงๆมันก็แค่ซีดีเปล่านั่นแหล่ะ ไม่ได้มีอะไรเลย เพียงแต่ว่าบนแผ่นซีดีนั้น มันจะมีลายลักษณ์อักษร รูปการ์ตูนบ้าบอที่ฉันวาดจนเลอะเทอะเต็มไปหมด เพื่อให้มั่นใจว่าซีดีแผ่นนี้จะมีแค่แผ่นเดียวบนโลกจริงๆ และมันก็เป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าถ้าวันไหนเราได้มาเจอกัน เราจะใช้ซีดีแผ่นนี้ในการยืนยันตัวตน ส่วนที่ว่าทำไมต้องเป็นซีดี ก็คงเพราะเรา 2 คน ชอบดนตรีเหมือนกัน และก็มีความฝันอยากจะ เป็นนักดนตรีเหมือนกันด้วย แต่ดูท่าว่าเขาจะประสบความสำเร็จก่อนฉันสินะ พ่อศิลปินใหญ่
“แล้วครีมล่ะ...ยังเก็บซีดีที่คีย์ส่งให้อยู่รึเปล่า”
“ซีดีที่เขียนว่า สวัสดี UFO อ่ะนะ ไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย” ฉันเบ้ปากไป 1 ที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ มือถือแล้วเลื่อนให้เขาได้เห็นภาพที่หน้าจอ “แต่เอาเป็นวอลเปเปอร์ก็สวยดีนะ”
ทันทีที่เขาเห็นรูปหน้าจอของฉัน เขาก็ยิ้มกว้างพลางดึงฉันเข้ามากอดอย่างแนบแน่นทันที ฉันเองก็รีบรับเอาสัมผัสนั้นไว้เช่นกัน
“ขอบคุณนะที่ยังคิดถึงกัน” คีย์กระซิบเข้าที่ข้างหู ก่อนจะประทับริมฝีปากลงที่แก้มฉันเบาๆ
“ขอบคุณเหมือนกันนะ ที่ยังดีใจเมื่อรู้ว่าเป็นเรา ทั้งๆที่เราไม่สวย ไม่น่ารักเหมือนคนอื่นๆที่เข้ามาหาคีย์”
“ถ้าพูดแบบนี้อีก คีย์จะโกรธนะ”
“ก้จริงๆ ถ้าเราสวย แฟนคลับคีย์คงไม่ทำกับเราแบบนั้น” ฉันพูดด้วยใบหน้าสลด เมื่อคิดถึงเหตุการ์ณสะเทือนใจนั้น คีย์เองก็คงสังเกตุได้ว่าฉันดูไม่สบายใจนัก
“มันไม่ใช่คนอื่นหรอกครีม ไม่ได้มีใครเกลียดครีมแบบนั้นหรอกนะ” เขาพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอมมี่ แฟนเก่าคีย์ต่างหากที่เป็นคนทำ”
“เอมมี่?” ฉันถามเขาเบาๆ
“ใช่ ทั้งเพจแอนตี้ กระถางต้นไม้ที่ตกลงมาทับรถ ฝีมือเอมมี่ทั้งนั้น คีย์ขอโทษนะครีมที่เป็นต้นเหตุ ให้ครีมต้องเดือดร้อน”
ฮึ่ม...ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่ายัยเอมมี่ผีกระถางนี่มันมีตัวตนอยู่บนโลกตั้งแต่ช่วงไหน แล้วมันเป็นใคร แต่ถ้ามันไม่ใช่แฟนคลับคีตา ที่จะมีผลแต่หน้าที่การงานเขาในอนาคตล่ะก็ ฉันก็จะไม่ไว้หน้า จะขอแก้แค้นเข้าซักวัน บังอาจนักนะแก!
“คีย์!!” เสียงหวีดร้องดุจผีโดนข้าวสารเสกดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คน ก่อนจะตามมาด้วยส้นของรองเท้าที่กระแทกลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง นี่ยัยผู้หญิงเป็นใครกันนะ
“เอมมี่!”
“อะไรของแก ไหนบอกว่าไม่กล้ามาดูคอนเสิร์ตวงไอคีตาวันนี้ไง แล้วไหงมายืนเบียดคนอยู่หน้าเวที ซะได้ ไม่กลัวไอพวกแฟนคลับมันทุบรถแล้วเหรอ”
“ฉันมาดูในฐานะเพื่อนย่ะ ไม่ใช่แฟนกำมะลอ” ฉันปฏิเสธไปมั่วๆ พลางแสร้งทำเป็นไม่สนใจอะไรมากนัก อันที่จริงฉันก็อยากเล่าเรื่องทั้งหมดให้คลาร่ามันฟังอยู่หรอกนะ แต่ติดอยู่ตรงไอฉากจบนี่ล่ะ ว่าจะเล่ายังไงไม่ให้ติดเรท ซึ่งคิดไปคิดมาแล้วน่าจะยากเกินไปหน่อย ก็เลยไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟังเลย นอกจากบอกแค่ว่า ดีกันแล้ว
เสียงกรี๊ดระงมดังไปทั่วห้องโถงใหญ่ที่ใช้ในการจัดงานคอนเสิร์ตประจำปี ทันทีที่คีตา มือกีตาร์และร้องนำปรากฎกายขึ้นบนเวที ฉันปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าเขาดูดีมาก มันเกินกว่าคำว่าเท่ห์ไปแล้ว นี่จนฉันอยากจะละลายตัวเองให้เป็นน้ำให้มันนองเจิ่งพื้นไปเลย หล่อละลายสุดๆ หล่ออะไรได้ขนาดนี้นะ
“เบาๆหน่อย ยัยครีม ตานี่เยิ้มหมดแล้ว” คลาร่าที่ยืนไม่มีอารมณ์ร่วมอยู่นั้น กระแนะกระแหนฉันใหญ่ นี่ขนาดนี้เสียงกรี๊ดดังขนาดนี้ มันยังอุตส่าห์ตะโกนมาด่าฉันได้
“สวัสดีชาว MIU ทู้กกกคนน” เสียงคีย์เอ่ยทักทายแฟนๆ ก่อนจะรูดมือเข้ากับสายกีตาร์ เพื่อโซโล่ท่อน โปรด ที่ทุกคนเป็นอันรู้กันว่า หากวงนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่ จะต้องเปิดด้วยท่อนโซโลท่อนนี้แน่นอน
/แสงอาทิตย์ร้อน ต้องแผด ต้องเผา ต้องร้อน ต้องลุกให้โชน เปรียบดั่งใจคน จะยอมถอยเท้าได้ไง โว้/
“โอ้โหวว ร้องตามได้ด้วย” ไอคลาร่ามันยังคงยืนหยัดกัดฉันไม่เลิก “ไหนว่าชอบลูกกรุง เพลงไอวง นี้มันร๊อคชัดๆนะ”
“อีร่า! เต้น!” ฉันตะโกนเรียกชื่อมันเป็นแบบสั้นๆ ซึ่งเป็นชื่อที่มันเกลียดที่สุดเวลามีคนเรียก และฉันจะใช้เรียกเวลาที่ทะเลาะกันเท่านั้น นี่ก็แอบเห็นมันทำหน้าไม่พอใจอยู่ แต่ก็เอาเถอะ...พอบอกให้มันเต้นเท่านั้น แหล่ะ มันก็กวาดขาสร้างอาณาเขตแด๊นซ์ของมันทันที
/ขอพลังแสงอาทิตย์ ให้ส่องลงมาที่จิตใจของฉัน/
“วู้วววววววๆ” เสียงปรบมือพร้อมทั้งเสียงหวีดร้องดังขึ้นทันทีที่เพลงแรกจบลง ส่วนฉันกับไอร่าที่ออกเสต็ปจนแทบเหมือนลมจะจับ ก็ต้องแอบมายืนพิงลำโพงแล้วหอบแฮ่กกันไปคนละที 2 ที
“ขอบคุณทุกๆคนนะครับ ที่ยังสนับสนุนพวกเราตลอดมา แล้วก็หวังว่าจะสนับสนุนพวกเราต่อไป เพราะเร็วๆนี้ เพลงแรกของพวกเราในฐานะศิลปินกลุ่มของค่าย Gson จะถูกปล่อยออกมาให้ทุกคนได้ฟังกันแล้วนะครับ”
สิ้นเสียงโปรโมตตัวเองของคีย์ เหล่าบรรดาแฟนคลับ เพื่อนพ้องก็ต่างทำหน้าตกใจกันยกใหญ่ รวมทั้งฉันกับคลาร่าด้วย นี่เขากำลังจะกลายเป็นศิลปินใหญ่แล้วจริงๆเหรอเนี่ย
“กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!”
คราวนี้มีเสียงฉันปนอยู่ในนั้นด้วย ดีใจด้วยนะคีย์ ดีใจด้วยจริงๆ
“และเพื่อเป็นการขอบคุณทุกคน เราจะให้ทุกคนได้ฟังเพลงแรกของพวกเราก่อนใคร เพลงนี้มี ความหมายกับผมมากนะครับ เป็นเพลงที่ทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของคนคนนึงและความรู้สึกของตัวผมเอง เป็นเพลงที่...เพราะที่สุด ตั้งแต่ผมรู้จักกับโลกดนตรีมา หวังว่าทุกคนคงชอบนะครับ”
เขาส่งเข้าเพลงไว้แบบนั้น ก่อนจะหันไปให้สัญญาณกับมือกลองของวงให้เริ่มเพลงได้
/หนีคงเป็นทางเดียว หนีคงเป็นทางออก หนีคงเหมือนการบอก หนีเพื่อบอกให้เธอไป
ฉันหนีเพื่อหลบพัก แม้ฉันรักก็ต้องหนีและหนีจากเธอคนดี...../
“เฮ้ย...นั่นมันเพลงที่แกแต่งส่งอาจารย์หนิ” คลาร่าหันขวับมาถามฉัน ที่ตอนนี้ยืนงงเป็นไก่ตาหลุดไป หมดแล้ว นี่ฉันต้องรู้สึกยังไงดีเนี่ย มันดีใจ มันตื่นเต้น มันงงไปหมดแล้ว “เอามาทำเป็นร๊อคแบบนี้ โคตรเท่ห์เลยว่ะแก”
“ขอบคุณนะคีย์” ฉันทำปากหมุบหมิบส่งให้เขาทันทีที่เห็นเขาว่ามองมาทางฉัน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฐานะระหว่างเราคืออะไร ฉันรู้แต่ว่าวันนี้ฉันชอบเขา และฉันก็มีความสุขกับทุกอย่างที่เขาทำให้ฉัน เพียงแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว สำหรับคนธรรมดาอย่างฉันที่หน้าตาสวยสุดในบรรดาคนขี้เหร่ มันไม่ต้องมีอะไรมากไปกว่านี้แล้วจริงๆ
สิ้นสุดงานในคืนนี้ไปอย่างสนุกสุดเหวี่ยง ร่างฉันกับคลาร่านี่อุดมไปด้วยเหงื่อ จนต้องหาทิชชู่มายืนซับหน้าให้กัน ซับไปก็ขำไป ในความแก่ไม่รู้จักเจียมของตัวเอง
“ตอนปี 1 ไม่ยักกะเหนื่อยเท่านี้เนาะแก” คลาร่าพูดติดตลก ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ของมันและของฉันขึ้น มา เป็นเชิงพร้อมกลับบ้าน
“กลับไป ปวดตัวแน่เลยแก” ฉันบ่นอุบ พลางรับกระเป๋ามาสะพายไว้ที่ไหล่ข้างนึง ก่อนจะต้องหยุด ชะงักเพราะมีใครบางคนเรียกชื่อฉันเอาไว้
“อย่าเพิ่งกลับสิ” คีตาเจ้าเดิมเรียกฉันเอาไว้พร้อมทั้งท่าทางเหนื่อยหอบ “คลาร่าด้วย วันนี้ไปเลี้ยงฉลอง ด้วยกันนะ แฮ่กๆ”
“เลี้ยงฉลอง?” คลาร่าถามเสียงสูง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มกว้างให้คีตา พลางนิ้วป๊อกใส่เข้าที่หน้าเขา “ปาร์ตี้ถูกไหม? ดีเลย ฉันอดมานานละ หมดเข้าพรรษาซักที แต่ให้พวกฉันกลับไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อก่อนนะ แล้วจะตามไป ว่าแต่ร้านไหนน่ะ” คลาร่าสาธยายยืดยาว ทำเอาฉันอดหมันไส้ไม่ได้ แหม...ยัยนี่ ไหนสอนฉันนักหนาว่าให้รักนวลสงวนตัว แค่ผู้ชายมาชวนไปเที่ยวกลางคืนหน่อย ระริกเชียว
“Living Room แถวปิ่นเกล้า รู้จักไหม” คีย์ถามกลับ
“ระดับฉันแล้วนะ รู้จักหมดล่ะย่ะ”
“ย่ะ แม่สาวเที่ยว” ฉันเหน็บพลางเบ้ปากใส่คลาร่าไป 1 ที
“ไปด้วยกันนะ ครีม” คีย์หันมาถามฉันบ้าง ฉันยิ้มกลับเป็นเชิงว่าตกลง ก็แน่ล่ะสิ...ฉันไม่ปล่อยให้ยัยเพื่อนนอยื่นไปร่าเริงคนเดียวหรอก
“งั้นครีมขอไปอาบน้ำที่บ้านก่อน แล้วเจอกันที่ร้านนะ” ฉันบอกพลางส่งยิ้มหวานกว้างๆให้ว่าที่ศิลปินใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะยกมือบ๊ายบายส่งไป
หลังจากนัดแนะกับคีตาเสร็จ ฉันกับคลาร่าก็แยกย้ายกันกลับบ้านเพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัว โดยที่นัดกันไว้ว่าฉันจะเป็นคนไปรับมันที่บ้าน เพราะแน่นอนว่าระยะเวลาถือศีลของมันตามโฆษณารณรงค์ของ สสส. ว่าให้งดเหล้าเข้าพรรษา คงจะทำให้มันกระหายแอลกอฮอล์น่าดู นี่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันเตรียมตัวไปเมามากแค่ไหน
“สวยยัง?” มันถามคำถามปัญญาอ่อนทันทีที่เปิดประตูรถฉันขึ้นมา
“ใส่กระโปรงเนี่ยนะ เดี๋ยวตอนเมาก็เที่ยวไปเปิดให้ใครต่อใครดูอีก” ฉันแซววีรกรรมเด็ดของไอเพื่อน ตัวแสบ ที่เคยเมาไม่ได้สติแถมเที่ยวไล่เปิดกระโปรงให้ชาวบ้านดูไปทั่ว คราวนั้นนี่ฉันแทบจะเอาปี๊บคุมหัว ต้องโทรให้พี่คินมาช่วยแบกมันกลับบ้าน นึกแล้วก็อายแทน
“หยุดเลยนะยะ ขอซื้อได้ไหม ไอเรื่องนี้เนี่ยถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นเถอะ แต่ถ้าแกไม่หยุดนะ ฉันจะแซวเรื่องที่แกเป็นแฟนกับหนุ่มออนไลน์ ไม่เคยเห็นหน้า แล้วสุดท้ายเค้าก็หายสาบสูญ” คลาร่าค้อนใส่ฉันก้อนใหญ่หลังจากที่เอาคืนฉันอย่างสาสม
“เออ หายกัน”
หลังจากสงบศึกวาทศิลป์กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันกับคลาร่าก็ลงมติเห็นชอบตรงกันที่จะเลือกขึ้นทางด่วนมาลงแถวยมราช ก่อนจะวิ่งผ่านราชดำเนินแล้วเลี้ยวขวาไปทางปิ่นเกล้าแทนการวิ่งบนถนนธรรมดาในช่วงนี้ ก็แน่นอนล่ะ กรุงเทพฯสมัยนี้ไว้ใจเรื่องรถติดได้ที่ไหน ต่อให้จะมืดแล้วก็เถอะ
เมื่อถึงร้านแล้ว ฉันก็เลือกจอดรถหน้าร้านแทนที่จะไปจอดในลานจอดรถ เอาเถอะ...เพราะถ้าไอร่ามันเกิดเมาแบบเอ๊กซ์ตรีมขึ้นมาจริงๆ ฉันจะได้ไม่ต้องแบกมาขึ้นรถให้ไกลจากร้านมากนัก
“มาแล้วเหรอ” เสียงคีย์เอ่ยทักขึ้น ทันทีที่ฉันกับคลาร่าเดินมาถึงหน้าร้าน ฉันส่งยิ้มบางๆให้เขารวมถึง สมาชิกคนอื่นในวงด้วย
“เข้าร้านเลยเหอะ ไม่ไหวละ” ไม่ต้องเดาก็พอรู้ใช่ไหมว่าใครพูดประโยคนี้ ฉันล่ะอยากจะจับเหล้ากรอกปากให้มันหายอยากซักที
“โต๊ะ A2 นะ คีย์จองไว้แล้ว” คีย์ตะโกนตามหลังคลาร่าที่แทบจะเหาะเข้าร้านไปแล้ว นี่มันได้ยินอะไร บ้างไหมเนี่ย “เพื่อนครีมนี่รีบเนาะ”
“เดี๋ยวก็เมา ไม่เกินชั่วโมงหรอก” ฉันพูดติดตลก พลางก้าวเท้าเพื่อจะเข้าไปในร้าน แต่ยังไม่ทันที่เท้าฉันจะข้ามพ้นประตู คีย์ก็รั้งเข้าที่แขนฉันไว้ก่อน
“คีย์มีเรื่องอยากจะคุยกับครีมหน่อย”
“อะไรเหรอ” ฉันถามอย่างสงสัย แต่อาจจะเป็นเพราะหน้าตาที่จริงจังปนกับรอยยิ้มบางๆของเขาล่ะมั้ง ที่มันทำให้ฉันแอบรู้สึกร้อนผ่าวๆเข้าที่หน้า และแอบลุ้นว่าเขาจะพูดอะไรออกมา
“จำนี่ได้ไหม” เขาถามพลางชูกล่องพลาสติกขนาด 4 เหลี่ยมจัตุรัสขึ้นมาตรงหน้าฉัน ฉันเพ่งมองอยู่ ซักพัก ก็นึกออก
“หนังที่ครีมเอามาเปิดตอนนั้นหนิ ครีมลืมไว้กับคีย์เหรอ” ฉันถาม ก่อนจะรับแผ่นซีดีนั้นคืนมา แต่หลังจากที่พลิกไปพลิกมาแล้ว ก็พบว่ามีซีดีอยู่อีกแผ่นด้านหลัง
“คีย์หมายถึงว่าครีมจำซีดีแผ่นหลังได้ไหม” เขาถามอีกครั้งพลางเอื้อมมือมาขยับกล่องซีดีในมือฉัน เป็นเชิงให้ฉันลองมองดูดีดี และแค่ฉันปลายตามองแค่แว๊บเดียวก็รู้ว่าคีย์ต้องการสื่อถึงอะไร
“คีย์คืออรุณเบิกฟ้าเหรอ” ฉันถามเสียงสั่นๆด้วยความรู้สึกตื่นเต้น หนุ่มออนไลน์ที่ฉันคุยผ่านอินเตอร์มานานนับปีก่อนที่เขาหายไป คือคนคนเดียวกับชายในฝันที่ฉันแอบชอบมา 3 ปีจริงๆอย่างงั้นเหรอ
“ครับ คิมคิมครีม” เขาตอบรับก่อนจะเรียกนามแฝงของฉันกลับบ้าง “คีย์เลยเรียกชื่อครีมผิดบ่อยๆ โทษทีนะ”
คำตอบนั่นก็ทำเอาฉันถึงบางอ้อ นึกย้อนกลับไปก็ตลกดีนะ ที่ฉันต้องโมโหเอาเป็นเอาตายเวลาที่เขาเรียกชื่อผิด ไม่ทันนึกเลยว่าชื่อ ‘คิม’ ที่เขาเรียกผิดบ่อยๆ จะมาจากชื่อในโลกอินเตอร์เนตของฉัน
“แล้วตอนนั้นอรุณหายไปไหน” ฉันเปิดบทสนทนาย้อนวันวานของเรา โดยเรียกชื่อที่ฉันเคยใช้เรียกเขา “ตอนนั้นนี่อกหักเลยนะ”
“คีย์ต้องย้ายไปอยู่กับยายที่ออสเตรเรียแบบกะทันหันมาก แถมบ้านยายก็ดันไม่มีคอมพ์อีก ตอนนั้นคีย์ก็ทุรนทุรายเหมือนนะ” เขาว่ายิ้มๆก่อนจะเอื้อมมือมาวางที่มือฉัน “ดีใจไหม ที่เป็นคีย์”
“ดีใจสิ” ฉันตอบเสียงหวานก่อนขำออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเปิดคำถามใหม่อีกครั้ง “แล้วคีย์รู้ได้ยังไง ว่าครีมคือคิมคิมครีม”
“อีเมลล์”
คำตอบเขาทำเอาฉันถึงบางอ้ออีกครั้ง
“ใช่สินะ ครีมไม่เคยเปลี่ยนเมลล์เลยตั้งแต่เรียนมัธยม kimkimcream_1992@hotmail.com” ฉันทวนอีเมลล์ก่อนจะขำในความติ๊งต๊องของตัวเอง “ทุกวันนี้นี่ยังไม่รู้เลยนะ ว่าทำไมต้องคิมคิมครีม เออ...แล้วรู้ตอนไหน”
“ก็ก่อนทำรายงานด้วยกันไม่นานนะ พอไปดูชื่อที่บอร์ดแล้วเห็นอีเมลล์ตอนนั้นนี่อึ้งเลย”
“ทำไม เราหน้าแย่เหรอ”
“บ้า ไม่ใช่แบบนั้น” เขาขำ “คนที่ไม่คุยกันมาเป็นปีๆ อยู่ดีดีมาโผล่ว่าเรียนคณะเดียวกัน ที่เดียวกัน จะไม่ให้อึ้งได้ยังไง”
“นั่นสิเนาะ ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคีย์จะเก็บซีดีแผ่นนี้ไว้อยู่” ฉันพูดยิ้มๆพลางยกกล่องซีดีนั้นขึ้นมามองอีกครั้ง มันเป็นซีดีที่ฉันส่งทางไปรษณีย์ให้เขา จริงๆมันก็แค่ซีดีเปล่านั่นแหล่ะ ไม่ได้มีอะไรเลย เพียงแต่ว่าบนแผ่นซีดีนั้น มันจะมีลายลักษณ์อักษร รูปการ์ตูนบ้าบอที่ฉันวาดจนเลอะเทอะเต็มไปหมด เพื่อให้มั่นใจว่าซีดีแผ่นนี้จะมีแค่แผ่นเดียวบนโลกจริงๆ และมันก็เป็นเหมือนเครื่องยืนยันว่าถ้าวันไหนเราได้มาเจอกัน เราจะใช้ซีดีแผ่นนี้ในการยืนยันตัวตน ส่วนที่ว่าทำไมต้องเป็นซีดี ก็คงเพราะเรา 2 คน ชอบดนตรีเหมือนกัน และก็มีความฝันอยากจะ เป็นนักดนตรีเหมือนกันด้วย แต่ดูท่าว่าเขาจะประสบความสำเร็จก่อนฉันสินะ พ่อศิลปินใหญ่
“แล้วครีมล่ะ...ยังเก็บซีดีที่คีย์ส่งให้อยู่รึเปล่า”
“ซีดีที่เขียนว่า สวัสดี UFO อ่ะนะ ไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย” ฉันเบ้ปากไป 1 ที ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ มือถือแล้วเลื่อนให้เขาได้เห็นภาพที่หน้าจอ “แต่เอาเป็นวอลเปเปอร์ก็สวยดีนะ”
ทันทีที่เขาเห็นรูปหน้าจอของฉัน เขาก็ยิ้มกว้างพลางดึงฉันเข้ามากอดอย่างแนบแน่นทันที ฉันเองก็รีบรับเอาสัมผัสนั้นไว้เช่นกัน
“ขอบคุณนะที่ยังคิดถึงกัน” คีย์กระซิบเข้าที่ข้างหู ก่อนจะประทับริมฝีปากลงที่แก้มฉันเบาๆ
“ขอบคุณเหมือนกันนะ ที่ยังดีใจเมื่อรู้ว่าเป็นเรา ทั้งๆที่เราไม่สวย ไม่น่ารักเหมือนคนอื่นๆที่เข้ามาหาคีย์”
“ถ้าพูดแบบนี้อีก คีย์จะโกรธนะ”
“ก้จริงๆ ถ้าเราสวย แฟนคลับคีย์คงไม่ทำกับเราแบบนั้น” ฉันพูดด้วยใบหน้าสลด เมื่อคิดถึงเหตุการ์ณสะเทือนใจนั้น คีย์เองก็คงสังเกตุได้ว่าฉันดูไม่สบายใจนัก
“มันไม่ใช่คนอื่นหรอกครีม ไม่ได้มีใครเกลียดครีมแบบนั้นหรอกนะ” เขาพูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เอมมี่ แฟนเก่าคีย์ต่างหากที่เป็นคนทำ”
“เอมมี่?” ฉันถามเขาเบาๆ
“ใช่ ทั้งเพจแอนตี้ กระถางต้นไม้ที่ตกลงมาทับรถ ฝีมือเอมมี่ทั้งนั้น คีย์ขอโทษนะครีมที่เป็นต้นเหตุ ให้ครีมต้องเดือดร้อน”
ฮึ่ม...ฉันไม่รู้หรอกนะ ว่ายัยเอมมี่ผีกระถางนี่มันมีตัวตนอยู่บนโลกตั้งแต่ช่วงไหน แล้วมันเป็นใคร แต่ถ้ามันไม่ใช่แฟนคลับคีตา ที่จะมีผลแต่หน้าที่การงานเขาในอนาคตล่ะก็ ฉันก็จะไม่ไว้หน้า จะขอแก้แค้นเข้าซักวัน บังอาจนักนะแก!
“คีย์!!” เสียงหวีดร้องดุจผีโดนข้าวสารเสกดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของผู้คน ก่อนจะตามมาด้วยส้นของรองเท้าที่กระแทกลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง นี่ยัยผู้หญิงเป็นใครกันนะ
“เอมมี่!”
กล้วยสีเขียว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ต.ค. 2557, 16:13:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ต.ค. 2557, 16:13:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 987
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5 (ตอนจบ) >> |