สัญญารักพรางใจ
คิมหันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมบันดาล โชคชะตา ทำบุญร่วมกันมา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร

Tags: ความรัก สัญญา ความลับ

ตอน: ตอนที่ 2 ครึ่งแรก

ตอนที่ 2

สองแม่ลูกกำลังช่วยกันล้างจาน โดยมีเผือกคอยเช็ดจานให้แห้ง ส่วนพิมพ์ใจเพิ่งเข้านอนไปเมื่อครู่ ลมเย็นพัดผ่านมาทางบานเลื่อน มัทนาเป็นคนล้างน้ำแฟบ แม่คอยรับจานไปล้างน้ำสะอาดในอ่างพลาสติก ถึงจะอยู่บ้านสวนแต่ระบบประปาเข้าถึงแล้ว แต่ยังต้องใช้น้ำจากบ่อบาดาลสูบไปรดต้นไม้ในสวนอยู่
“มัทเจอสามคนนั้นตั้งแต่ตอนไหนน่ะลูก”
มัทนายิ้มแห้งๆ พลางมองไปยังเผือก รายนั้นรู้งานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “เอ่อ...พวกนั้นมาถามทางมัทน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก มัทแค่ตกใจที่สามคนนั้นมาโผล่ที่บ้านเท่านั้นเอง”
พิมพ์อรมองลูกสาวที่ก้มหน้าก้มตาตั้งใจล้างจานก็เลยไม่อยากถามจู้จี้ ลูกโตแล้ว ที่สอนสั่งมาย่อมรู้อะไรถูกอะไรผิด ถ้าดินทร์ยังอยู่... อย่าคิดอีก! ลูกไปอยู่ในภพภูมิที่ดีแล้ว
“วันมะรืนมัทจะไปสัมภาษณ์งานแล้วนะคะ มีบริษัทเห็นคุณค่าที่มัทคู่ควรแล้วค่ะ งานนี้นอกจากความสามารถสงสัยต้องพึ่งไสยศาสตร์บนให้หนักๆ ”
“พูดไปนั่น เจ้าลูกคนนี้ เอ แล้วพี่เราจะกลับมาตอนไหนล่ะ”
พิมพ์อรถามยังไม่ทันจบโทรศัพท์ของมัทนาก็ดังลั่น เจ้าตัวล้างมือแล้วเช็ดมือกับกางเกงเลยถูกตีก้นเบาๆ โทษฐานผ้าขี้ริ้วใกล้ๆ มีไม่ใช้ พอเห็นว่าใครโทรมาก็หัวเราะร่า
“ตายยากชะมัด โทรมาพอดีเลยค่ะ”
พิมพ์อรล้างจานอีกไม่กี่ใบต่อ เผือกเข้ามาช่วยแม่ล้างจานแล้วเช็ดให้ พอใกล้เสร็จมัทนาก็เดินกลับมาสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่ยังพอยิ้มได้ ไม่อย่างนั้นได้ยิ้มไม่ออกกันทั้งบ้าน
“เดี๋ยวมัทไปโรงพยาบาลก่อนนะคะ ไม่ต้องตกใจ พี่ไม้ไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนกลับดันมีความสุขล้นอกจนขี่มอเตอร์ไซค์ลงข้างทาง ขาหักกำลังเข้าเฝือก ส่วนอื่นๆ ยังอยู่ดี”
ใจของคนเป็นแม่วาบด้วยความห่วงขึ้นมาทันที แต่ความที่ผ่านเรื่องร้ายๆ ในชีวิตมาพอสมควรจึงพอมีสติไม่กังวลจนเกินเหตุ ถ้าเรื่องใหญ่ร้ายแรง ลูกสาวคงไม่ยิ้มอย่างนี้
“แม่ไปด้วยไหมลูก”
“แม่อยู่กับยายเถอะค่ะ เดี๋ยวมัทไปกับเผือกเอง”
เผือกรีบวิ่งตามลูกพี่ไป แต่ปัญหามันเกิดจนได้เพราะรถกระบะดันอยู่ที่อู่ สองเกลอเลยต้องเดินกลับไปที่อู่เพื่อเอารถขับไปที่โรงพยาบาลซึ่งห่างออกไปเกือบสิบกิโลเมตร ที่อู่เงียบกริบ ไม่มีตำรวจหรือคนแปลกหน้า รถของคนพวกนั้นคงถูกลากไปแล้ว แถวนี้ไม่มีบ้านใครไม่อย่างนั้นคงได้ออกมาถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้นตอนหัวค่ำ กลางดึกรถกระบะแล่นเข้าสู่เมือง เผือกหาวอยู่หลายครั้ง แต่มันรักพี่มัทเลยถ่างตานั่งรถเป็นเพื่อนจนถึงโรงพยาบาล

โรงพยาบาลค่อนข้างเงียบ แต่พอเดินเข้าไปก็มีคนหันมาทักทาย อยู่ชุมชนเดียวกัน เห็นหน้ากันมาแต่เด็ก บางคนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมด้วยซ้ำไป บำรุงทำเฝือกเสร็จแล้วและนั่งอยู่บนรถเข็น บุรุษพยาบาลที่ดูแลก็เพื่อนๆ กันทั้งนั้น มัทนานั่งลงมองพี่ชาย ไม่บุบสลายยังหล่อเหมือนเดิม ยกเว้นตรงโหนกแก้มที่มีรอบแดงช้ำๆ ขาขวาเข้าเฝือกตั้งแต่เข่าลงไป ทีนี้อย่างนี้ล่ะโทรหาน้องนุ่ง ทำไมไม่โทรหาแฟนจะได้ทำคะแนนอ้อนได้สมใจ
บำรุงจ่ายเงินค่ารักษาตัวเองไปแล้วเลยไม่ต้องทำเรื่องอะไรอีก เผือกช่วยเข็นรถให้พี่ชายมาที่รถ ส่วนมัทนาเดินไปดูรถมอเตอร์ไซค์พร้อมบุรุษพยาบาลเพื่อจะได้ช่วยกันเข็นมาขึ้นที่กระบะท้ายรถ รถมอเตอร์ไซค์ไม่เสียหายเท่าไหร่ แค่กระจกข้างหักไปข้างหนึ่งและมีรอยสีถลอกอีกนิดหน่อยเท่านั้น
เพื่อนของบำรุงช่วยเข็ญขึ้นรถกระบะ มัทนาบอกขอบคุณก่อนจะเดินมาที่นั่งคนขับ พลันสายตาก็ดันไปเห็นคนที่เพิ่งหนีตายมาด้วยกัน ไม่เห็นมีใครถูกยิงเสียหน่อย แล้วมาที่โรงพยาบาลทำไม หรือว่าถูกยิง แต่ไม่พูด ช่างเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของเธอ
“มีอะไรล่ะมัท มองหาใคร” บำรุงมองตาม
“ไม่มีอะไร ง่วงแล้ว รีบกลับไปนอนดีกว่า” มัทนาสตาร์ทรถ แล้วขับออกมาจากโรงพยาบาล เช่นเดียวกับคนแปลกหน้าที่พบกันเมื่อตอนค่ำ เพียงแต่ไปกันคนละทาง
“พรุ่งนี้ฝากอู่หน่อยสิ ใจอยากไปเปิดอู่ แต่สังขารมันไม่ไหว”
“ทีง้อแฟนล่ะไม่บ่น เดี๋ยวดูแลให้ก็ได้ ระบมไปทั้งตัวล่ะสิท่า ยังดีที่แค่ขาหัก ไม่หัวแตก ม้ามพัง หลังเดาะ”
บำรุงทำหน้าเหยเกรีบยกมือห้าม “พอเลย ยิ่งพูดยิ่งเสียว”
เผือกเปิดปากหาวแล้วหลับพับไปกับเบาะ มัทนาขับรถเร็วขึ้นเมื่อถนนโล่งจะได้กลับถึงบ้านเร็วๆ แม่ยังไม่นอน พอเห็นสภาพลูกชายนอกจากปลอบใจแล้วยังตีแขนดังเพี๊ยะโทษฐานไม่ระวัง ผู้ชายตัวโตประจบกอดเอวผู้หญิงตัวเล็กที่เขาเรียกว่าแม่ แม้ว่าจะไม่มีสายเลือดเดียวกันเลย แต่เขารักแม่ เหมือนกับที่รักน้องสาว รักยาย รักเผือก เราเป็นครอบครัวเดียวกัน

เกือบเที่ยงคืนรถคันหรูได้ขับเข้าสู่บ้านหลังใหญ่ที่คนในละแวกนี้เรียกว่าคฤหาสน์สีน้ำเงินซึ่งมีที่มาจากชื่อบริษัท Blue Enterprise หรืออาจเป็นการล้อเชิงกระทบ สีน้ำเงิน...เงิน บ้านที่สร้างจากเงินมหาศาลซึ่งเบื้องหลังเคยเกิดโศกนาฏกรรมกับคนที่อยู่ในนั้น ลูกชายและลูกสะใภ้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ไม่ถึงเดือน แต่ข่าวถูกปิดเงียบ เช่นเดียวกับลูกชายกำพร้านอนโรงพยาบาลอยู่เป็นเดือนกว่าจะรู้ว่าพ่อแม่ตายไปแล้ว
คิมหันต์เห็นไฟที่ชั้นสองของบ้านยังคงเปิด เดาได้ไม่ยากว่าใครยังรออยู่ บ้านหลังนี้ใหญ่โตเกินกว่าจะอยู่กันแค่ปู่กับหลาน แต่มันก็เป็นอย่างนี้มาเป็นปีแล้วจนเขาชินกับความเงียบ ร่างสูงเปิดประตูลงไปมาจากรถก่อนที่พ่อบ้านจะช่วยเปิดประตูให้เสียอีก
“คุณท่านรออยู่ครับ”
เรียวปากหนาเม้มปิดเมื่อรู้อยู่แล้วว่าปู่รอเขาด้วยเรื่องอะไร อย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำ เขากำชับคนของปู่ที่เป็นคนขับรถไปรับแล้วว่าห้ามรายงานเรื่องลอบยิงเด็ดขาด
“พวกคุณไปพักได้ อย่าพูดเรื่องที่เกิดขึ้นกับใคร”
“ครับคุณคิม/บอส” รหัทเอ่ยพร้อมกับปวร
คิมหันต์เดินเข้าไปในบ้านผ่านห้องโถงใหญ่ แชนเดอเลียร์ยังเปิดไฟไว้ให้สว่างพอที่จะเดินต่อผ่านห้องนั่งเล่นไปยังบันไดสู่ชั้นสองของบ้าน รูปมากมายติดที่ฝาผนังราวกับย้ำเตือนว่าไม่ใช่เพียงเขากับปู่ที่อยู่บ้านหลังนี้ พ่อกับแม่ก็เคยมาอยู่เหมือนกัน
ภายนอกสำหรับคนอื่นคุณทีปต์ดูเกรงขามจากอดีตนักเลงที่รอวันตายข้างถนน แต่กลับตัวกลับใจทำมาหากินค่อยๆ เปลี่ยนชีวิตตัวเองจนเด็กเรือ กลายเป็นไต้ก๋งเรือ ซื้อเรือเก่ามาทำให้ดูใหม่ ปล่อยขาย ปล่อยเช่าจนกิจการรุ่งเรืองมาถึงรุ่นพ่อของเขา และมาถึงช่วงเวลาของเขา ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ในชีวิต และการสูญเสียพ่อแม่ไปพร้อมๆ กัน การผ่านความเศร้ามาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เพราะเขามีปู่คอยให้สติ ให้กำลังใจ เขาถึงทั้งรักและเคารพปู่มากกว่าใคร
หลานยกมือไหว้ปู่แล้วนั่งลงกับพื้น เขากับปู่เหมือนกัน เราจะเป็นใครก็ได้นอกบ้าน แต่พอเข้าบ้านเราก็เป็นแค่ปู่กับหลานในบ้านหลังใหญ่เท่านั้นเอง
“หาบุษบันพบหรือยังล่ะคิม”
ชายชราวัยเลยเกษียรมาสองปีถามขึ้น แม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่เค้าของความสู้ชีวิตยังอยู่ในดวงตาของทีปต์ ดวงตาของคิมหันต์ถอดแบบมาจากปู่ ทว่าริมฝีปากเหมือนแม่ จมูกเหมือนพ่อ ทำให้เวลาเห็นหลานทีไร เขามักจะคิดถึงลูกชายและลูกสะใภ้เสมอ
“ยังครับ ทำไมปู่ถึงได้อยากพบคนชื่อบุษบันนักนักหนา รู้แต่ชื่อ รูปถ่ายสักใบก็ไม่มี ผมต้องใช้เวลา”
หมอนบนโซฟามาถูกคว้ามาหนุนหัวนอนกับพื้นพรม ก่อนกลับมาเขาแวะโรงพยาบาลเผื่อว่าจะมีคนชื่อบุษบันไปรักษาตัวที่นั่น แต่ก็ไม่พบอยู่ดี
“ก็เพราะปู่อยากให้คิมเป็นคนตามหาผู้หญิงคนนั้นด้วยตัวเองน่ะสิ ห้ามใช้นักสืบ ใช้เพียงข้อมูลที่ปู่ให้เท่านั้น”
“แล้วปู่จะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่าผมหามาให้ถูกคน”
ทิปต์คลี่ยิ้ม คิมหันต์เป็นนักต่อรอง เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด การทำให้หลานชายได้รู้จักบุษบันผ่านการตามหาด้วยตัวเองต่างหากที่เขาต้องการ พบง่ายๆ ก็ไม่สนุกน่ะสิ
“ปู่รู้แล้วกัน มาเหนื่อยๆ ก็อาบน้ำพักผ่อนเถอะ ขอบใจมากที่ให้ความสำคัญในสิ่งที่ปู่ต้องการ”
“ผมเหลือแค่ปู่คนเดียวนี่ครับ” ดวงตาแข็งกร้าวอ่อนลงยามมองปู่อย่างอ่อนโยน
มือเหี่ยวย่นยื่นไปลูบหัวหลานเบาๆ แล้วสั่งให้ลุกขึ้น ขืนปล่อยให้นอนตรงนี้คงได้นอนจนถึงเช้า คิมหันต์ยอมลุกขึ้น แต่ยังไม่กลับไปห้อง ร่างสูงใหญ่เดินไปส่งชายชราที่ยังเดินได้สง่าผ่าเผยเหมือนตอนหนุ่มๆ ที่ห้อง ช่วยห่มผ้าแล้วปิดไฟให้ ก่อนจะกลับไปห้องนอนของตัวเอง
พออาบน้ำเสร็จแทนที่จะนอน คิมหันต์กลับเดินไปที่โต๊ะทำงาน แต่ถึงสายตาจะอ่านเอกสารในไอแพดสมองกลับยังสงสัยว่าบุษบันที่ปู่ให้เขาตามหานี่เป็นใคร หรือว่าเป็นกิ๊กเก่าของปู่สมัยแตกเนื้อหนุ่ม เรียวปากหนายิ้มขัน ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ปู่ของเขาเสน่ห์แรงจริงๆ ตั้งแต่หนุ่มยันหนุ่มใหญ่มาก

ปวรเดินออกมาจากห้องเลขาเป็นอันรู้กันว่า ‘บอส’ กำลังจะเดินทางมาถึงแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามกฎยามใดที่พนักงานทำผิด คนอย่างคิมหันต์ไม่เคยยอมให้เกิดเรื่องผิดไม่ว่ากฎหมายหรือศีลธรรมภายใต้การบริหารงานของเขา Blue Ship เป็นบริษัทลูกของ Blue Enterprise ทำธุรกิจให้ซื้อและเช่าเรือทุกประเภทที่น่าชื่อถือเพราะคุณทีปต์กับลูกชายวางพื้นฐานการทำงานและลูกค้าเอาไว้ดี แล้วยิ่งคิมหันต์เข้ามาบริหารและหาลูกค้าจากต่างประเทศเข้ามาเสริม บริษัทยิ่งมีความมั่นคง แผนงานในปีหน้า Blue Enterprise คือเปิด Blue Ship สาขาสองที่ภูเก็ต
รถคันหรูสีดำสนิทแล่นเข้ามาจอดหน้าบริษัท ปวรมายืนรอพร้อมรับคำสั่ง คิมหันต์เห็นความผิดปกติบางอย่างจากสายของเขา ทำให้เช้าวันนี้ห้องประชุมจะเป็นห้องทำงานแรก
“เรียกประชุมผู้จัดการและหัวหน้าแผนกทุกคน”
ปวรเดินตามคิมหันต์ไปที่ห้องประชุม สั่งแม่บ้านให้เตรียมกาแฟและของว่าง ส่วนตัวเองรีบทำงานตามที่บอสเพิ่งสั่ง ไม่ถึงสิบห้านาที ทั้งผู้จัดการและหัวหน้าแผนกต่างๆ ก็มาพร้อมกัน สาเหตุของการประชุมเร่งด่วนกำลังฉายจากโปรเจคเตอร์ ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่กลับไม่มีผู้จัดการสักคนโทรมาแจ้ง
“ผมต้องการข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น น้ำมันที่รั่วลงทะเลมาจากบริษัทอะไรที่เช่าเรือ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว แต่ผมกลับไม่ได้รับรายงานเหตุการณ์ทั้งสองครั้ง”
“ของเสี่ยทรงชัยครับ” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดตอบโดยที่ไม่ต้องเปิดแฟ้มหาข้อมูลด้วยซ้ำ
คิมหันต์มองตรัยคุณอย่างไม่พอใจนัก ทั้งที่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่จงใจปิดบัง ถ้ามันเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องมีผู้จัดการฝ่ายการตลาดคนใหม่ ถึงจะให้เช่าเรือไปแล้ว แต่ต้องมีการติดตามการใช้ หากเรือมีปัญหาก็ส่งเรื่องต่อให้ผู้จัดการฝ่ายซ่อมบำรุง แต่ไม่มีการแจ้งตามที่เขาดึงข้อมูลในคอมพิวเตอร์จากฝ่ายต่างๆ มาดูระหว่างรอประชุม
“ผมต้องการยกเลิกการเช่าตามสัญญาข้อสาม ระบุไว้ว่าหากผู้เช่าทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อผู้ให้เช่า ผู้ให้เช่าสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที”
“แต่ว่าอาจมีปัญหาตามมานะครับ บริษัทเพิ่งยกเลิกการเช่าเรือของเสี่ยทรงชัยไปสองลำเมื่อเดือนก่อน”
คิมหันต์กอดอกเลิกคิ้วมองตรัยคุณ เหตุผลนี้เองน่ะหรือที่ทำให้เขาไม่ได้รับรายงาน การคิดว่าเรื่องเล็กน้อย หรือการคิดว่าอาจผิดใจ เสียผลประโยชน์ เกิดปัญหา สุดท้ายใครเป็นผู้มีอำนาจในการต่อรอง
“ไปทำตามที่สั่ง แล้วถ้าผมรู้ว่าใครก็ตามในห้องประชุมรู้เห็นเป็นใจให้เกิดการมักง่ายแบบนี้อีก โทษมีเพียงข้อเดียว...ไล่ออก! อย่าลืมว่าปู่ของผมก่อตั้งบริษัทนี้อย่างถูกกฎหมายเพื่อทำเรื่องถูกกฎหมาย แต่ถ้าใครคิดจะทำเรื่องผิดกฎหมาย ขอให้รู้ไว้ว่าผมไม่มีวันยอม แล้วโทษของคนแบบนั้นไม่ใช่แค่ไล่ออก แต่ผมจะพาไปส่งตำรวจให้อีกด้วย พวกคุณเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”
ทั้งผู้จัดการและหัวหน้าแผนกพากันก้มหน้าเพราะรู้เต็มอกว่าคิมหันต์ไม่เคยขู่ เมื่อสองเดือนก่อนพบการใช้เรือเพื่อขนน้ำมันหนีภาษี โดยมีพนักงานรู้เห็นเป็นใจ นอกจากคิมหันต์จะไล่พนักงานที่ทำผิดออกจากงานแล้วยังส่งให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย
“ครับบอส”
“เลิกประชุม”
คิมหันต์เดินออกไปจากห้องประชุมเป็นคนแรก พนักงานค่อยๆ ทยอยออกไป ปวรเดินไปตบไหล่ตรัยคุณเบาๆ ไม่ใช่เพราะเห็นใจ แต่เพื่อเตือนว่าอย่าทำอะไรผิดกฎของบริษัทอีก ก่อนจะเดินออกไปจากห้องอีกคน เมื่อไม่มีใครแล้วคนที่ทำหน้ากังวลกลับส่งข้อความหาเสี่ยทรงชัย ถ้าวันนึ่งถูกไล่ออก เขายังมีที่หมายใหม่



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ต.ค. 2557, 10:03:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ต.ค. 2557, 10:03:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1158





<< ตอนที่ 1 ครึ่งหลัง   ตอนที่ 2 ครึ่งหลัง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account