แก้วขวัญวันรัก
เรื่องราวของสี่สาวพี่น้องที่ต้องตามล่าหาแฟนให้ได้ภายในสามเดือน ก่อนที่จะถูกจับคลุมถุงชนกับเจ้าบ่าวที่ไม่เคยเห็นหน้า ดังนั้นภารกิจ และปฏิบัติการลับของการตามหาแฟนจึงเริ่มข้น
แต่ติดปัญหาที่แก้ไม่ตกนั่นคือ
คนหนึ่ง ขี้เหวี่ยงขี้วีน คบกับผู้ชายได้ไม่เกินหนึ่งวัน ผู้ชายคนนั้นต้องหนีเปิง เจ้าของฉายา
“สวยเหวี่ยงวีน”
คนหนึ่ง ซุ่มซ่ามจอมโก๊ะ เจ้าของฉายา “สาวโก๊ะมหาวิบัติ”
คนหนึ่ง ด้านชาต่อความรัก ไร้ความรู้สึกกลับความรัก เจ้าของฉายา “ดอกไม้น้ำแข็งไร้อารมณ์”
และอีกคนหนึ่ง สาวสวยหมดเท่ แต่ใจเธอคือหญิงแท้ แต่กลัวการมีความรัก เจ้าของฉายา
“เจ้าสาวกลัวฝน”
แต่ติดปัญหาที่แก้ไม่ตกนั่นคือ
คนหนึ่ง ขี้เหวี่ยงขี้วีน คบกับผู้ชายได้ไม่เกินหนึ่งวัน ผู้ชายคนนั้นต้องหนีเปิง เจ้าของฉายา
“สวยเหวี่ยงวีน”
คนหนึ่ง ซุ่มซ่ามจอมโก๊ะ เจ้าของฉายา “สาวโก๊ะมหาวิบัติ”
คนหนึ่ง ด้านชาต่อความรัก ไร้ความรู้สึกกลับความรัก เจ้าของฉายา “ดอกไม้น้ำแข็งไร้อารมณ์”
และอีกคนหนึ่ง สาวสวยหมดเท่ แต่ใจเธอคือหญิงแท้ แต่กลัวการมีความรัก เจ้าของฉายา
“เจ้าสาวกลัวฝน”
Tags: สี่สาว รักแท้ ความรัก การตามหา
ตอน: 31 ตามรักตามล่า 1
31
ตามรักตามล่า (1)
“น้องรัก น้องรักครับ น้องรัก” เสียงปรัชญาที่วิ่งตามหลังมาทำให้ใบหน้าที่มุ่ยอยู่แล้วของรักจิรายิ่งมุ่ยมากกว่าเดิม เธอพยายามเร่งเท้าหนี แต่ปรัชญาก็ยังพยายามตามเธอให้ทันแม้ร่างของปรัชญาจะอ้วนตุ๊ต๊ะแต่ก็ยังพยายามวิ่งตามรักจิรา คนในตึกสำนักงานพากันหันมามอง เธออับอายยังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เลิกตามสักทีได้ไหม นี่มันเวลาทำงานของฉันนะ และฉันกำลังจะไปทำธุระ เลิกตามได้แล้ว”
“น้องรักก็หยุดวิ่งสิคะ” รักจิรากำมือแน่นพยายามระงับความโกรธ
“แต่นี่มันเวลาทำงานของฉัน แกเลิกตามฉันได้แล้วไอ้เปา”
“ไม่ได้ เฮียไม่อยู่ตั้งหลายวัน ปล่อยให้ไอ้ขี้เหร่มันทำคะแนน แถมยังมีเวลาอยู่ด้วยกันเพราะทำงานด้วยกันอีก ดังนั้นเฮียต้องรีบทำคะแนนตีตื้น และวันนี้เป็นวันของเฮีย”
“แล้วแกถามฉันสักคำหรือยัง งานการไม่มีทำหรือยังไงมาวิ่งตามฉันแบบนี้”
“มีแต่ตอนนี้เฮียอยู่ในช่วงพัก เฮียจิวเข้าไปดูร้านแทนเฮียช่วงนี้ เฮียว่างเกือยเดือน มีเวลาให้น้องรักอีกนาน และหนึ่งเดือนนี้เฮียเชื่อว่าน้องรักจะต้องเปลี่ยนใจแน่นอน”
“นี่ต่อให้ไม่มีเดิมพันบ้า ๆ นั่น แกคิดว่าฉันจะรักแกหรอ” รักจิราเอ่ยเสียงดัง และมองสภาพการแต่งตัวของคนที่มั่นใจในตัวเองมาก
“เฮียเชื่อในหลักที่ว่าไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน น้ำหยดทุกวันหินยังกร่อนได้ นับประสาอะไรกับใจคน ถ้าเฮียพยายามอีกนิดน้องรักจะต้องเห็นถึงความพยายามของเฮียแน่นอน”
“แต่นี่มันกี่ปีมาแล้ว ฉันคงไม่คิดเปลี่ยนใจตอนนี้แน่ กลับไปซะ อย่ามายุ่งกับฉัน”
“ยิ่งน้องรักพูดแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เฮียท้าทาย วันหนึ่งน้องรักจะต้องรักเฮียเหมือนที่เฮียรักน้องรัก” รักจิรามองคนหน้ามึนที่เหมือนจะไม่ได้ฟังที่เธอพูดสักนิด รักจิราพูดอะไรไม่ออก สะบัดหน้าหนีไปในทันที
“น้องรักจะไปไหนครับ”
“เข้าห้องน้ำ!!! จะไปด้วยไหม” รักจิราหันกลับมาตะคอก ปรัชญาจึงยอมถอยหลังไปยืนรอ รักจิราอยากกรีดร้องดัง ๆ ตีอกชกลม ปรัชญาหายไปหลายวันนับจากวันที่ตกลงกับอัสนี แต่วันนี้กลับปรากฏตัวขึ้นแถมเป้นวันที่อัสนีออกไปข้างนอก เธอโทรตามก็บอกว่าต้องไปธุระกับพอล ทำเรื่องให้เธอแล้วยังไม่รับผิดชอบ เจอเมื่อไหร่แม่จะต่อยสักหมัด รักจิราคิดในใจ พลางลอบมองออกไปนอกห้องน้ำ จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
(ไอ้รักแกอยู่ไหน)
“รู้แล้วน่า ไอ้เปาอยู่ ๆ ก็มา เค้ากำลังรอจังหวะให้มันเผลอแล้วจะรีบไป รอก่อน”
(อย่าช้านะ เดี๋ยวฉันต้องกลับไปดูแลน้าทิพย์)
“ถ้าตัวจะห่วงว่าที่แม่สามี่ขนาดนั้นก็ไม่ต้องมาหรอก เค้าจะไปเอง”
(ไม่ได้ แกรีบมารับฉันด้วย ถ้าช้าฉันจะไปคนเดียว)
“หยุดคิดอะไรบ้า ๆ เลยนะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ อย่าทำเป็นวันรุ่นใจร้อน พึงสังวรเอาไว้บ้างเจ๊กำลังจะเข้าวัยทอง” รักจิราพูดกรอกประชดใส่โทรศัพท์
(กรี๊ด!!! ไอ้รัก แก...ติ๊ด) รักจิรากดตัดสายทิ้งไป และเดินไปที่หน้าประตูค่อย ๆ แง้มประตูเปิดออก รักจิราเดินวนเวียนไปมาเหมือนจะพยายามนึกว่าจะสลัดปรชญายังไงให้หลุด รักจิราทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ รักจิราเดินไปที่อ่างล้างหน้าและกดน้ำให้เปียกชุ่มมือและพรม ๆ ใส่หน้าก่อนจะเดินออกจากจากห้องน้ำ ตีใบหน้าให้ดูเจ็บปวดสุด ๆ
“น้องรักทำไมเหงื่อออกขนาดนั้นล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า” ปริชญาทำท่าจะเข้ามาพยุง
“ไม่ต้อง ฉันเดินได้ โอ๊ย!!!” รักจิราร้องเสียงดัง
“เป็นอะไรน้องรัก” ปรัชญาทำหน้าตื่นตกใจเมื่อรักจิราร้องเจ็บปวดแบบสุดใจ
“ปวดท้อง สงสารโรคกระเพาะจะกำเริบ คงเพราะตั้งแต่เช้าจนเที่ยงจะยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“จะให้พี่ช่วยอะไรไหม เดินไหวไหม ให้เฮียอุ้ม...”
“ไม่ต้อง” รักจิราหันไปพูดเสียงแข็งเหมือนจะนึกได้ว่าหลุดอาการก็รีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นเช่นเดิมก่อนจะเอ่ยต่อ สีหน้าแสดงความเจ็บปวดมากขึ้น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปนั่งพัก แก...เอ่อ...เฮียเปา เฮียช่วยไปซื้อยาแก้โรคกระเพาะให้ฉันได้ไหม”
“เอ่อ...ในสำนักงานไม่มีหรอ”
“หมดตั้งแต่เมื่อวาน เฮียไปซื้อให้หน่อยนะ ร้านขายยาอยู่ไม่ไกล เดินไปก็ได้” รักจิรามองเหมือนขอร้องสุด ๆ
“แต่ว่า...”
“หรือแค่เงินไม่กี่บาทเฮียงกไม่ซื้อให้ อย่างนี้หรอจะเอาชนะใจฉัน เดี๋ยวฉันโทรตามสายฟ้าก็ได้ ถ้าเป็นสายฟ้าคงจะรีบซื้อมาให้”
“ไม่ต้อง ๆ แค่ไปซื้อยาเฮียทำได้ เดี๋ยวเฮียไปส่งรัก”
“พี่รักคะ” รักจิรามองหฤหัยที่เดินมาได้จังหวะ หฤทัยเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า รักจิราโผเข้าไปเกาะไหล่เอามือโอบเอวไว้ หฤทัยมองมือที่คล้องเอวเธอและมองรักจิรา
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกเฮียรีบไปซื้อยาฉันปวดท้องมาก อ่อแวะซื้อข้าวผัดร้านตรงข้ามกลับร้านขายยาให้ฉันด้วย เฮียไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันให้หวานไปส่ง หวานเป็นรุ่นน้องฉัน รีบไปเถอะ”
“แน่นะ ว่าไม่ให้เฮียอุ้ม”
“ถ้าเฮียช้าฉันจะโทรเรียกสายฟ้า”
“ก็ได้ ๆ” แล้วปรัชญาก็รีบเดินไป รักจิรารอสักพักก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวหฤหัยและวิ่งไปดูที่หน้าต่าง มองจนแน่ใจว่าปรัชญาเดินพ้นตึกไปแล้ว รักจิราวิ่งกลับเข้าไปเอากระเป๋าออกจากห้อง
“พี่รักจะไปไหนคะ ไม่ปวดท้องแล้วหรอคะ”
“ไม่แล้ว หวานถ้าเกิดไอ้เฮียเปานั่นกลับมา มันถามหาพี่บอกว่าพี่กลับบ้านไปแล้วนะ พี่ไปนะ”
“เดี๋ยวค่ะ พี่รักจะไปไหนคะ”
“ธุระด่วน พี่ไปนะ” แล้วรักจิราก็วิ่งออกไปเพราะกลัวปรัชญาจะวิ่งกลับมาอีกรอบ รักจิรานั่งรถแท็กซี่กลับไปที่ร้านเพื่อเอารถของแก้วกัลยาและขับรถไปหาแก้วกัลยาที่โรงพยาบาลที่เจ้าตัวอาสาเป็นพยาบาลพิเศษชดเชยความผิดให้กับเพทาย
(เจ๊แก้วเค้าถึงแล้วลงมาเลย) และแก้วกัลยาก็เดินออกมาจากโรงพยาบาล ตรงมาที่รถ หน้าตาดูสดใสขึ้นเพียงแค่วันเดียวที่เพทายยอมคุยด้วย แก้วกัลยาเปิดประตูขึ้นมานั่งบนรถ รักจิราขับรถออกจากเขตโรงพยาบาลและเริ่มต้นพูด
“หน้าตานี่สดใสขึ้นกว่าเมื่อวานนะ”
“แน่นอนสิยะ ว่าแต่เรื่องที่แกไปถามรุ่นน้องแกมาว่ายังไง ได้เรื่องไหม”
“ไม่ได้จะใช่รักจิราหรอ ไอ้นิวมันบอกว่าไอ้แบงค์เนี่ยอยู่แถว ๆ xxx มันทำงานอยู่ที่ผับนั่นจริง ไอ้นิวเล่าประวัติมันให้ฟังด้วย ไอ้นิวบอกว่ามันติดคุกโดนยัดข้อหาค้ายา พอออกมาก็หางานทำไม่ได้ เลยมาเป็นลูกไล่ของพวกนักเลงแถวนั้น แม่ยังติดพนันต้องหาเงิน จากที่รู้จักมันเมื่อตอนนั้นมันเป็นคนดีมาก แต่นะชีวิตคน เฮ้อ...”
“แล้วเราจะเจอมันที่นั่นไหม”
“น่าจะเจอ ไอ้นิวทำงานอยู่ผับเดียวกับมัน มันบอกว่าไอ้แบงค์ไม่มาทำงานหลายวันแล้ว คงกลัวโดนจับได้ หรือไม่ก็ตัวบงการสั่งให้หนี เราคงต้องไปดูมันที่บ้านก่อน ถ้ามันยังไม่หนีไปไหนก็คงจะเจอ”
“ถ้าช่วยคุณเพชรเรื่องนี้ได้คุณเพชรจะได้ลดความเครียดให้น้อยลง ฉันเห็นคุณเพชรหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วไม่สบายใจ” รักจิรามองพี่สาวที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้าตัวเขาอยู่เรื่อย
“ค่ะแม่คนดี หลงขนาดนี้ถ้าเกิดคุณเพชรเค้าไม่เลือกจะหัวเราะให้ดู”
“ปากหรอนั่น บอกให้ฉันต่างหากที่เลือกคุณเพชร”
“หรอ...ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบ่ายใจก็ตามใจ”
“เลิกพูดเรื่องฉันได้แล้ว ว่าแต่ไอ้ฟ้ามันปล่อยให้แกห่างตาได้ยังไง ปกติแกไปไหนมันต้องตามไม่ใช่หรอ” พอพูดถึงสายฟ้าใบหน้าของรักจิราก็มุ่ยขึ้นมาทันที
“ไปหาแฟนเขามั้ง”
“บ้าน่า ไอ้ฟ้าเนี่ยนะมีแฟนแล้ว ไม่จริงหรอก ฉันว่าฉันไม่พลาดแน่ ๆ จากสายตามันอ่ะ”
“เลิกพูดเรื่องนี่เถอะเจ๊แก้ว” แก้วกัลยามองหน้ามุ่ย ๆ ของน้องสาวและยิ้มออกมา นี่ล่ะนะ ปากแข็ง ใจก็ทำแข็ง แต่ตาฟ้องออกมาแล้ว
“ไม่ถามถึงไอ้ฟ้าก็ได้ ฉันถามถึงว่าที่เจ้าบ่าวแกแล้วกัน หนีไอ้เปามันมาได้ยังไง”
“เจ๊แก้ว ถ้าเจ๊ไม่หยุดพล่ามถึงคนที่ทำให้เค้าโมโห เค้าจะโทรไปหาเฮียจิว ให้เฮียจิวมาหาตัวบ้างนะเจ๊แก้ว แล้วเจ๊แก้วจะรู้สึก”
“หยุดความคิดแกเรื่อง เลิกพูดก็ได้ แล้วใกล้ถึงหรือยัง” ทันทีที่แก้วกัลยาถามรถก็จอดลง
“ถึงแล้วเจ๊แก้ว เราต้องเดินเข้าไปแล้วล่ะ” แก้วกัลยามองซอยแคบ ๆ เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นสลัมแบบชัด ๆ แก้วกัลยาเปิดประตูเดินลงมาในมือถือร่มสวมแว่นกันแดดครบครัน
“แกนี่เราต้องเข้าไปในนั้นจริงสิ”
“จริง ถ้าอยากเจอมันก็ต้องเข้าไป แล้วนี่ตัวจะโอเว่อร์ไปไหม แล้วเค้าไม่ได้โทรบอกตัวก่อนหรอเจ๊แก้วว่าเราไม่ได้มางานแฟชั่นวีคไม่ต้องจัดเต็ม ถ้าเจ๊ตกน้ำพวกนั้นเค้าไม่ลงไปช่วยงมนะ เปลี่ยนส่นสูงเป็นอีแตะในรถเค้าเลย”
“ไม่เอา ฉันสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมถอดส้นสูงอีกเด็ดขาดหลังจากปาหัวไอ้เอ็มแตกไป”
“เจ๊แก้วนี่มันใช่เวลาไหม แล้วตัวรู้ไหมตรงนั้นอ่ะพื้นปูน แต่ตรงไปลึกข้างในมันเป็นพื้นไม้ เอาล่ะเปลี่ยนไม่เปลี่ยน เค้าไม่ให้ตัวมาเป็นภาระเค้านะ เร็ว”
“แกทำร้ายฉันไอ้รัก” แล้วแก้วกลัยาก็เดินหน้าบึ้งไปเปิดหลังรถหยิบรองเท้าแตะที่รักจิรานำมันมาถอดทิ้งไว้มาสวมใส่ เธอสาบานกับตัวเองแม้ต้องเดินเท้าเปล่าเธอจะไม่ใช่ปั๊บป้าเด็ดขาด แล้วนี่อะไรชีวิตไฮโซของเธอป่นปี้หมดเพราะรักจิรานี่นะ น้องตัวแสบที่ทำลายเธอทุกอย่าง
“คราวหน้าคราวหลังถ้าบอกว่าให้แต่งทะมัดทะแมงก็ทะมัดทะแมง ไปได้แล้ว ส่วนร่มเอาไปเก็บอย่าเอามันมาเป็นภาระ เสื้อแค้นยาวกับแว่นกันแดดก็พอแล้ว”
“นี่แกเป็นพี่ฉันหรือน้องฉันไอ้รัก”
“หวังดีนะเจ๊แก้ว เค้าเตือนเพราะถ้าเกิดไปเจอเจ้าถิ่นเข้าจะแย่ ซอยแถวนี้เป็นซอยพวกแก๊งค์ขี้ยามันชอบมาซ่องสุม แม้ตัวจะวิ่งบนส้นสูงได้ แต่ส้นสูงบนพื้นไม้ตัวตายแน่เจ๊แก้ว แล้วยิ่งทำอะไรให้เป็นจุดเด่นจะยิ่งไม่ดี แล้วตัวแต่งตัวโอเว่อร์กลางร่มใส่ส้นสูง มันก็ได้แห่ตามตัวมาสิเจ๊แก้ว ไป” รักจิราเดินนำไป แก้วกัลยารีบวิ่งตามรักจิราไป รักจิราพาเดินลัดเลาะมองที่อยู่ในกระดาษและถามทางไปด้วย
“นี่เดินมานานแล้วแกรู้ทางป่ะเนี่ยไอ้รัก”
“พึ่งมาครั้งแรกเหมือนตัวนั้นแหละเจ๊แก้ว ตัวเลิกบ่นสักทีเถอะ ป้าคนนั้นบอกว่าเราเดินไปอีกนิดก็จะถึงแล้ว นั่นไง” รักจิราชี้ไปที่บ้านไม้โทรม ๆ เก่า ๆ บ้านเลขที่ 99 ตามใบที่เขียนบอกมา รักจิรามองประจตูบ้านที่ปิดสนิท
“มีใครอยู่ไหม” รักจิราเอ่ย
“บ้านปิดประตูเงียบขนาดนี้แกยังถามโง่ ๆ อีกหรอรัก”
“เอ้าตัวไม่เคยดูหนังหรอว่าคนทำผิดเค้าไม่เปิดประตูรับคนแปลกหน้า บางทีอาจมีคนอยู่แต่อาจจะแกล้งทำเป็นไม่อยู่ก็ได้”
“ฉันว่าแกดูละครมากไปนะ”
“เอ้ามาหาใครล่ะ” สองสาวที่กำลังเถียงกันหันไปมองผู้หญิงหน้าตาโทรม ๆ ใบหน้าดูหงุดหงิด ดวงตาปรือ ๆ ในมือถือขวดเหล้า กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง ทั้งสองมองหน้ากัน
“พวกเรามาหาแบงค์ค่ะ” รักจิราเอ่ย
“ไอ้แบงค์ หึ มันไม่กลับบ้านมาสามวันแล้ว ไปตายที่ไหนแล้วก็ไม่รู้” รักจิรามองใบหน้าผู้หยิงที่กำลังพูดไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่
“แล้วป้าเป็นอะไรกับแบงค์ค่ะ”
“ข้าก็เป็นแม่มันน่ะสิ ไม่มีอะไรแล้วก็หลบ ๆ ไป ข้าจะเข้าบ้าน”
“ป้าพอจะรู้ไหมคะว่าแบงค์ไปไหน”
“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่รู้ไง หลีกทางข้าจะเข้าบ้าน”
“แต่ป้าค่ะ พวกเรามีนี่ค่ะ” แก้วกัลยาหยิบแบงค์ห้าร้อยออกจากกระเป๋า อรนงค์แม่ของแบงค์หรืออธิชาติหันมามอง แต่ทำเป็นไม่เห็นและจะเดินเข้าบ้าน
“ถ้างั้นหนึ่งพันบาทถ้าป้าบอก”
“พวกเอ็งเป็นใครก็ไม่รู้ พันเดียวแลกกับลูกข้าไม่เอาหรอก ไป ๆ ข้าจะไปนอนแล้ว”
“ห้าพันขาดตัว ถ้าไม่เอา ดูจากสภาพป้าแล้ว คงรอเงินลูกอยู่ และถ้าลูกป้าไม่กลับบ้าน ป้าก็จะไม่มีเงินใช้ ดูจากสภาพนี้ป้าคงไปเล่นไพ่มาแล้วหมดตัวแล้ว บางทีอาจจะติดหนี้เขาอีก และรอเงินจากลูก แต่รับรองถ้าอาทิตย์นี้ลูกป้าไม่กลับมาป้าแย่แน่ คิดเอานะ ฉันจะนับหนึ่งถึงสามถ้าไม่เอา ก็จบ คิดว่ามีป้าคนเดียวหรือไงที่รุ้ว่าลูกป้าอยู่ไหน หนึ่ง สอง...สาม...ไปรัก”
“เอ่อ...ก็ได้ ๆ ไอ้แบงค์มันน่าจะไปคลุกตัวอยู่ที่บ่อนทำงานให้เสี่ยพงศ์บ่อนที่ข้าไปเล่น ไอ้แบงค์มันสั่งข้าไว้ว่าถ้ามีคนมาถามหามันให้บอกว่าไม่รู้”
“แล้วบ่อนนั่นอยู่ที่ไหน”
“ไม่ไกลจากที่นี่ เดินถัดไปอีกประมาณสามซอย บ่อนอยู่สุดซอยนั่นแหละ”
“ทำไมมีบ่อนมาอยู่ในสลัมเล็ก ๆ แถวนี้ไม่มีตำรวจรู้ มันเป็นบ่อนเล็ก ๆ หรือบ่อนใหญ่” รักจิราถามอย่างสนใจ เลือดนักข่าวกำลังร้อนขึ้นมาทันที เพราะเดือนกว่า ๆ นับจากโดนสั่งห้ามทำข่าว เธอไม่ได้ลงทำข่าวอีกเลย แต่การได้มาเห็นข่าวลอยอยู่ตรงหน้า สัญชาตญาณนักข้าวก็ร้องเตือนเธออีกครั้ง
“เป็นบ่อนใหญ่ แต่ตำรวจจะไปรู้ได้ยังไง ก็แถวนั้นเป็นถิ่นเสี่ยพงษ์ ใครหือใครอือ แกสั่งเก็บหมด ข้าตอบหมดแล้วเอาเงินมาสิ ข้าจะได้ไปทำธุระปะปังของข้าบ้าง”
“ป้าแน่ใจแค่ไหนว่าลูกป้าอยู่ที่นั่นจริง ๆ ป้าไม่ได้โกหกพวกเราใช่ไหม” แก้วกัลยามองอย่างจับผิด อรอนงค์ไม่มีท่าทีโกหก และตอบแก้วกัลยากลับไป
“แน่สิ ข้าแม่มันนะ เวลามันไม่กลับบ้านถ้าไม่ไปที่นั่นก็ค้างที่ผับที่มันทำงานอยู่ แต่ก่อนกลับมาข้าแวะไปหามันมาแล้วที่นั่น” แก้วกัลยายื่นเงินนั่นให้อรนงค์เมื่อได้รับคำตอบ มืออรนงค์กำลังจะคว้ารับเงินนั่นไว้ แก้วกัลยาชักมือกลับ
“ฉันขอเตือนนะป้า ถ้าลูกป้าตาย หรือเป็นอะไรขึ้นมา ป้าอดตายหรือไม่ก็โดนพวกบ่อนกระทืบตายแน่ ป้าควรจะคิดได้แล้วว่าอายุยิ่งมากโอกาสในการทำอะไรก็น้อยลง ถ้าป้ายังทำตัวแบบนี้วันหนึ่งไม่มีลูกป้าจะอยู่ยังไง ที่แบงค์ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำก็เพ่อหาเงินมาให้ป้า แต่ป้าเองไปลงที่ขวดที่บ่อนหมด ถ้าป้ายังทำตัวแบบนี้วันหนึ่งป้าจะตายอย่างอนาถแน่นอน”
“แกแช่งข้าหรอ”
“เปล่า ฉันก็แค่เตือนป้า ป้าใช้ชีวิตแบบนี้ตั้งแต่แบงค์ยังเรียนอยู่ จนแบงค์หมดอนาคตป้าก็ยังทำตัวแบบนี้ ป้าไม่สงสารแบงค์บ้างหรอ ถ้าแบงค์ไม่มีทางเลือกต้องไปทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา ที่ลูกป้าเสียคนก็เพราะป้านั่นแหละ”
“แก...”
“ยังทำอะไรได้ก็ควรทำ ถ้าไม่ทำก็อย่าทำตัวให้เป็นภาระ ไปรัก” แก้วกัลยายัดเงินใส่มือคนที่ยืนนิ่งชะงัก และเดินออกไป ควรปล่อยให้ได้คิดอะไรบ้าง ถ้าพูดชนาดนี้แล้วคิดไม่ได้ สุดท้ายจุดจบก็คงไม่ต่างคนอื่นหรอก
“ตัวเจ๋งอ่ะเจ๊แก้ว”
“ฉันพึ่งจะเข้าใจรุ่นน้องของแกแล้ว แค่ชีวิตหมดอนาคตเพราโดนยัดข้อหาก็แน่แล้ว แต่นี่มีแม่เป็นภาระอีก คงไม่มีทางออก แล้วไปคบกับพวกแก๊งค์ค้ายาพวกนั้น มันเป็นวงจรที่เลวร้ายจริง ๆ แล้วนี่เราจะไปไหน”
“ก็ไปซอยที่ว่าไง เผลอ ๆ เค้าอาจจะได้ข่าวกลับไปแก้ตัวให้สายฟ้าดูว่าฉันทำข่าวได้”
“หยุดคิดไปเลยนะ จำไว้ว่าพวกเราไม่ได้มาทำข่าว ถ้าไม่อยากเดือดร้อนห้ามทำสิ่งที่แกคิดอยู่ แม่ของนายนั่นบอกว่าถัดไปสองสามซอยใช่ไหม”
“ลองถามคนแถวนี้ดูก็ได้”
“นี่แกคิดว่าคนอื่นเขาจะรู้หรอ เปิดผับนะเว้ย”
“ไม่เชื่อใช่ไหม เดี๋ยวรอดู” รักจิรามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาและตรงไปห้าป้าคนหนึ่งที่กำลังขายส้มตำอยู่
“ป้าค่ะ คือพวกเราจะไปบ่อนเสี่ยพงศ์ ต้องเดินไปอีกไกลไหม” แม่ค้าส้มตำทำหน้างง ๆ มองการแต่งตัวของวสองสาวเหมือนยังงง
“เดินไปอีกสองซอย บ่อนเสียพงศ์อยู่สุดซอย แต่บ่อยเสี่ยพงศ์ไม่ค่อยให้คนนอกเข้าไป ส่วนใหญ่ต้องเป็นขาประจำ” สองสาวมองหน้ากัน
“เอ่อ...พอดีมีคนแนะนำมาค่ะป้า พวกเราขอตัวนะคะ” สองสาวพากันเดินไปตามที่แม่ค้าขายส้มตำบอก
“เฮ้ยบ่อนมีคนรู้แบบนี้ทำไมตำรวจยังจับไม่ได้”
“ก็ป้านงค์แม่ไอ้แบงค์มันบอกอยู่ว่าแถวนี้ถิ่นเสี่ยพงศ์ คงมีปิดปากอะไรไปบ้าง ไปเถอะเจ๊แก้ว เดี๋ยวก็เย็นพอดี มาตั้งแต่บ่ายนี่สามโมงกว่าแล้วนะ”
“แล้วเราจะเข้าไปยังไง ป้าร้านส้มตำแกก็บอกว่ามันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าไป ถ้าไปขอเจอไอ้แบงค์ตรง ๆ เขาไม่ให้เข้าแน่” แก้วกัลยาคิด รักจิราไม่รอลากแขนแก้วกัลยาให้เดินดุ่ม ๆ เข้าไปด้านใน
“ไอ้รักแกอยากตายก่อนหรือไง” แก้วกัลยาพูดเมื่อรักจิราเดินไปที่บ้านไม้ที่สภาพกึ่งเก่ากึ่งไม้ที่หลังรั้วมีบ้านสองหลังที่ปลูกติดกัน รักจิราคิดว่ามันคงเคยเป็นบ้านคนละหลัง แต่เสี่ยพงศ์คงรื้อรั้วกั้นกลางออกและทำเป็นบ่อนโดยสร้างทางเชื่อมต่อระหว่างสองบ้านเข้าหากัน
“เถอะน่า” รักจิราลากพี่สาวมาถึงหน้าประตูทางเข้าซึ่งมีชายร่างยักษ์สองคนยืนอยู่
“ที่นี่ไม่ให้คนแปลกหน้าเข้า”
“พวกเรารู้จากน้านงค์ แม่ของแบงค์ รวมถึงแก๊งค์ของไอ้แบงค์ฉันก็รู้จัก น้านงค์บอกว่าที่นี่เป็นบ่อนของเสี่ยพงศ์ ปลอดภัยที่สุดในกรุงเทพ พวกเรามีเงิน พวกเราจะจ่ายให้นายคนละสองพันให้พวกเราเข้าไปเล่นได้ไหม”
“ไม่ได้กฎก็ต้องเป็นกฎ ถ้าอยากเข้าก็ต้องเป็นสมาชิดหรือมีคนรับรองก่อน”
“งั้นพวกเราขอพบเสี่ยพงศ์ก่อนก็ได้”
“เสี่ยพงศ์ไม่อยู่”
“เอาอย่างนี้ฉันจะเซ็นเช็คให้พวกนายคนละสองหมื่น ให้พวกเราเข้าไปเล่น พอเสี่ยพงค์กลับมานานก็เข้าไปตามพวกฉันให้ไปพบเสี่ย ยังไงพวกเราก็หนีไม่ได้ และถ้าเสี่ยยอมให้พวกเราเข้ามาเล่นในบ่อนนี้ได้ เสี่ยอาจจะเลื่อนขั้นจากคนเฝ้าประตูไปทำหนเที่อื่นเพราะพวกนายหาลูกค้ากระเป๋าหนักอย่างพวกฉันให้ ทั้งสองหันมองหัน
“ก็ได้ เอาเงินมาก่อน” แก้วกัลยาหยิบเช็คขึ้นมาเซ็นและส่งให้ทั้งสอง ทั้งสองรับเช็คมาเปิดดูอย่างพอใจเมื่อเห็นจำนวนเงิน ยิ่งนามสกุลทั้งสองก็พอมองออกว่าสองสาวเป็นคนมีเงิน
“เอ่อ...แบงค์อยู่ที่นี่ไหม”
“ถามถึงมันทำไม”
“มันบอกว่าจะยืมเงินฉันไปใช้หนี้น่ะ”
“มันอยู่ด้านในนั่นแหละ” รักจิราพยักหน้ารับและเดินตามชายร่างใหญ่ก้ามปูคนนั้นที่เปิดประตูให้ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน ถายในบ่อนเหมือนกับที่เคยเห็นในโทรศัพท์ไม่มีผิด มีคนนั่งอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ เสียงเงอยู่ในโต๊ะของตัวเอง ใบหน้าแต่ละคนเหมือนอดหลับอดนอน ตั้งหน้าตั้งตาเล่น รักจิรามองภาพนั้นอย่างสมเพชรและเวทนา ทั้งคนแก่ คนหนุ่ม วัยรุ่น วัยทำงาน ปะปนอยุ่ในกลุ่มคนเหล่านี้ อบายมุขหล่อหลมอให้คนเป็นเดรัจฉานได้
“นี่เจ๊ลงทุนขนาดนี้เลยหนอ”
“เดี๋ยวไปอาญัติเช็คสิ ใครจะโง่ให้เงินพวกมัน เอาอย่างนี้ก่อนที่ให้เสี่ยพงศ์จะกลับมา เรารีบไปตามหานายแบงค์ อีกสิบห้านาทีมาเจอกันตรงนี้นะ คงอยู่นานไม่ได้” ทั้งสองพยักหน้าและเดินแยกกันตามหาอธิชาติ รักจิรากวาดตามองแต่ไม่เห็นเงาของอธิชาติแม้แต่น้อย และยิ่งเดินเข้าไปเลือดนักข่าวก็ยิ่งร้อน รักจิรามองซ้ายขวาเมื่อไม่เห็นว่าใครสักเกตเห็นก็เดินตรงไปที่ทางเชื่อมกันของบ้านสองหลัง บานประตูเปิดอ้าไว้กลับไร้เงาคนเฝ้ารักจิราค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังเสียง ชั้นบนแบ่งออกเป็นสามห้อง ข้างล่างมีเสียงคนดังอยู่คงเป็นบ่อนเหมือนกัน รักจิราสนใจห้อง ๆ หนึ่งที่แง้มประตูอยู่และมีเสียงร้องทรมานของคน และเสียงข่มขู่ตะคอกเสียงดัง เลือดนักข่าวยิ่งร้อนขึ้น รักจิราหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงและมองป่านประตูที่แง้มอยู่เข้าไป เธอเห้นผู้ชายคนหนึ่งนอนจมกองเลือด
“ถ้าพรุ่งนี้แก/ไม่หาเงินมาใช้หนี้เสี่ยแกได้เป็นศพแน่” รักจิราทนมองความป่าเถื่อนนั่นต่อไม่ได้ และเธอจะต้องแจ้งตำรวจมาจัดการให้ได้ แต่เธอต้องมีหลักฐานที่มากพอ ตำรวจท้องที่ทำอะไรไม่ได้ แต่ตำรวจคนอื่นถ้าเธอไปขอให้อติพงษ์ช่วยเขาต้องช่วยแน่ รักจิราหยิบโทรศัพท์กดถ่ายภาพ และกำลังคิดว่าจะไปถ่ายภาพข้างล่าง เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้น
“นั่นใคร” บานประตูเปิดออก รักจิราลุกขึ้นและตั้งท่าวิ่งไปในทันที วินาทีนี้ไม่มีเวลาอีกแล้ว
“จับนังนั่น” รักจิราตั้งใจวิ่งกลับไปบ้านหลังที่สองเพื่อไปตามพี่สาว แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากห้อง ๆ หนึ่ง พอหันไปยังไม่ทันอ้าปากตะโกน
อุ๊บส์!!!
“เบา ๆ เจ๊รัก เดี๋ยวพวกมันก็แห่มาที่นี่หมด”
“ไอ้แบงค์”
“เจ๊ต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้พวกมันกำลังตามหาเจ๊ เดี๋ยวผมจะไปล่อมันไว้ก่อนเจ๊วิ่งออกไปทางประตุหลังมันจะทะลุไปอีกซอยหนีไปให้เร็วเลย”
“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉัน”
“ผมเห้นเจ๊ตั้งแต่เจ๊เข้ามาแล้ว แต่ผมไม่อยากให้เจ๊เห็นผม ผมกลัวเจ๊ผิดหวังที่ผมต้องเป็นแบบนี้ แต่ผมรู้จักคนอย่างเจ๊รักดีว่าไม่มีทางเดินเปล่า ๆ และปล่อยสิ่งไม่ดีที่เจอไว้แน่ ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เจ๊รีบไปเถอะ”
“แล้วเจ๊แก้วล่ะ”
“พี่สาวเจ๊ผมให้ออกไปก่อนแล้ว ผมเจอพี่สาวเจ๊ก่อนแล้ววิ่งมาช่วยเจ๊นี่แหละ”
“แต่ฉันมาตามแก จะให้ฉันกลับโดยที่แก”
“เอาเป็นว่าผมจะตามไปแล้วกัน พี่สาวเจ๊ข่มขู่ผมขนาดนั้นถ้าผมไม่ตามออกไป ต้องตามมาเผาบ้านผมแน่ ผมจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ผมก็กำลังหนีคนที่จ้างผมทำ พวกมันจะฆ่าผม เอาเป็นเจ๊ไปเร็วเถอะ เวลาไม่มีมากหรอกนะ” รักจิราพยักหน้าและวิ่งออกไปทางประตูหลัง แต่เหมือนพวกมันจะเห็นก่อนว่าเธอวิ่งออกมา พวกมันจึงวิ่งตามหลังเธอมา รักจิราวิ่งออกจากประตูหลังแต่วิ่งที่อธิชาตยังไม่บอกเธอคือ แล้วเธอควรจะไปทางไหนล่ะ ในเมื่อซอยแถบนี้แทบทุกซอยมันทะลุต่อกัน แต่เชื่อเถอะว่าเธอวิ่งกลับไปข้างหน้าต้องเจอพวกมันแน่
“เอาไงดีวะ”
ปัง!!!
เสียงปืนยิงตามหลังรักจิรามา รักจิราหันซ้ายขวาตัดสินใจวิ่งเข้าอีกซอย หวังว่าดวงเธอจะดี วิ่งพ้นพวกมันได้ รักจิราวิ่งลัดเลาะไปมั่ว ๆ และผลคือ
“หยุดแค่นั้นแหละ” รักจิรามองคนคุมบ่อนร่างยักษ์สามคนที่ขวางหน้าเธอไว้ จุดไต้ตำตอจริง ๆ วิ่งไปวิ่งมาดันมาเจอพวกมันได้ รักจิราถอยหลังจะกลับทางเก่าแต่พวกมันก็ขวางหน้าเธออยู่ รักจิราคิดว่าเธอคนเดียวคงสู้พวกก้ามปูหกคนไม่ได้ แม้เธอจะทะนงตัวว่าเก่งเรื่องชกต่อย แต่เธอก็พอจะประมาณตัวได้ เธอจะหนีจากสถานการณีนี้ไปได้ยังไง นี่สินะที่อัสนีย้ำเธอนักหนาว่านักข่าวสิ่งที่ควรจำไว้ให้แม่นขึ้นอย่าวู่วาม อย่าเลือดร้อน และคิดอย่างรอยคอบแม้จะอยู่ในเหตุการ์ใน ห้ามหยุดคิด แต่เธอหยุดคิดมัวแต่นึกถึงกฎหมาย ตอนนี้เธอกำลังซวยอย่างที่สุด บทเรียนครั้งก่อนบทเกาะไม่ได้สอนเธอให้เคล็ดหลาบเลย แล้วครั้งนี้เธอจะหนียังไง มองไม่ทางไหนก็ทางตัน มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละที่ช่วยเธอได้ แต่ปาฏิหาร์ยคงไม่มีทางเกิดขึ้นในเวลาแบบนี้แน่นอน
...ติดตามต่อต่อไป...
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่น่ารักทุกคนค่ะ
ตื่นเต้นและค้างกันไปอีกตอน รักเราเป็นเรื่องอีกแล้ว ออกแนวหาเรื่องใส่ตัวตลอด
ถึงพาสตัวเองทีไรมีัเรื่องให้เธอสร้างอีกตลอด ต้องมาลุ้นแล้วล่ะว่ารักจะทำยังไงกันนะ
เธอจะสู้จนตัวตายหรือจะเหาะหนีกันเนี่ย 5555
ใครยังรอขวัญอีกประมาณสองตอนน่าจะได้พบนางแน่นอน
รู้ว่า่รีดเดอร์กำลังรอว่านางจะเป็นยังไง
ส่วนแก้วหลังจากออกไปแล้วจะเจออะไรหรือเปล่าก็รอกันนะคะ
ช่วงนี้เป็นช่วงกลางเทอมไรเตอร์กำลังเริ่มสอบกลางภาค ต้องเก็บเวลาไปอ่านหนังสือสอบด้วย
อาจจะมีหายไปบ้าง ไม่ได้มาตามนัดก็อย่าว่ากัน แล้วจะรีบนำตอนมาลงให้
พบกันในตอนต่อไป ไม่มีอะไรฝากไปมากกว่าผากคอมเม้นส์ด้วยนะคะ
บ๊ายบายค่ะ
ตามรักตามล่า (1)
“น้องรัก น้องรักครับ น้องรัก” เสียงปรัชญาที่วิ่งตามหลังมาทำให้ใบหน้าที่มุ่ยอยู่แล้วของรักจิรายิ่งมุ่ยมากกว่าเดิม เธอพยายามเร่งเท้าหนี แต่ปรัชญาก็ยังพยายามตามเธอให้ทันแม้ร่างของปรัชญาจะอ้วนตุ๊ต๊ะแต่ก็ยังพยายามวิ่งตามรักจิรา คนในตึกสำนักงานพากันหันมามอง เธออับอายยังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เลิกตามสักทีได้ไหม นี่มันเวลาทำงานของฉันนะ และฉันกำลังจะไปทำธุระ เลิกตามได้แล้ว”
“น้องรักก็หยุดวิ่งสิคะ” รักจิรากำมือแน่นพยายามระงับความโกรธ
“แต่นี่มันเวลาทำงานของฉัน แกเลิกตามฉันได้แล้วไอ้เปา”
“ไม่ได้ เฮียไม่อยู่ตั้งหลายวัน ปล่อยให้ไอ้ขี้เหร่มันทำคะแนน แถมยังมีเวลาอยู่ด้วยกันเพราะทำงานด้วยกันอีก ดังนั้นเฮียต้องรีบทำคะแนนตีตื้น และวันนี้เป็นวันของเฮีย”
“แล้วแกถามฉันสักคำหรือยัง งานการไม่มีทำหรือยังไงมาวิ่งตามฉันแบบนี้”
“มีแต่ตอนนี้เฮียอยู่ในช่วงพัก เฮียจิวเข้าไปดูร้านแทนเฮียช่วงนี้ เฮียว่างเกือยเดือน มีเวลาให้น้องรักอีกนาน และหนึ่งเดือนนี้เฮียเชื่อว่าน้องรักจะต้องเปลี่ยนใจแน่นอน”
“นี่ต่อให้ไม่มีเดิมพันบ้า ๆ นั่น แกคิดว่าฉันจะรักแกหรอ” รักจิราเอ่ยเสียงดัง และมองสภาพการแต่งตัวของคนที่มั่นใจในตัวเองมาก
“เฮียเชื่อในหลักที่ว่าไม่มีอะไรจริงแท้แน่นอน น้ำหยดทุกวันหินยังกร่อนได้ นับประสาอะไรกับใจคน ถ้าเฮียพยายามอีกนิดน้องรักจะต้องเห็นถึงความพยายามของเฮียแน่นอน”
“แต่นี่มันกี่ปีมาแล้ว ฉันคงไม่คิดเปลี่ยนใจตอนนี้แน่ กลับไปซะ อย่ามายุ่งกับฉัน”
“ยิ่งน้องรักพูดแบบนี้ก็ยิ่งทำให้เฮียท้าทาย วันหนึ่งน้องรักจะต้องรักเฮียเหมือนที่เฮียรักน้องรัก” รักจิรามองคนหน้ามึนที่เหมือนจะไม่ได้ฟังที่เธอพูดสักนิด รักจิราพูดอะไรไม่ออก สะบัดหน้าหนีไปในทันที
“น้องรักจะไปไหนครับ”
“เข้าห้องน้ำ!!! จะไปด้วยไหม” รักจิราหันกลับมาตะคอก ปรัชญาจึงยอมถอยหลังไปยืนรอ รักจิราอยากกรีดร้องดัง ๆ ตีอกชกลม ปรัชญาหายไปหลายวันนับจากวันที่ตกลงกับอัสนี แต่วันนี้กลับปรากฏตัวขึ้นแถมเป้นวันที่อัสนีออกไปข้างนอก เธอโทรตามก็บอกว่าต้องไปธุระกับพอล ทำเรื่องให้เธอแล้วยังไม่รับผิดชอบ เจอเมื่อไหร่แม่จะต่อยสักหมัด รักจิราคิดในใจ พลางลอบมองออกไปนอกห้องน้ำ จนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
(ไอ้รักแกอยู่ไหน)
“รู้แล้วน่า ไอ้เปาอยู่ ๆ ก็มา เค้ากำลังรอจังหวะให้มันเผลอแล้วจะรีบไป รอก่อน”
(อย่าช้านะ เดี๋ยวฉันต้องกลับไปดูแลน้าทิพย์)
“ถ้าตัวจะห่วงว่าที่แม่สามี่ขนาดนั้นก็ไม่ต้องมาหรอก เค้าจะไปเอง”
(ไม่ได้ แกรีบมารับฉันด้วย ถ้าช้าฉันจะไปคนเดียว)
“หยุดคิดอะไรบ้า ๆ เลยนะ จะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ อย่าทำเป็นวันรุ่นใจร้อน พึงสังวรเอาไว้บ้างเจ๊กำลังจะเข้าวัยทอง” รักจิราพูดกรอกประชดใส่โทรศัพท์
(กรี๊ด!!! ไอ้รัก แก...ติ๊ด) รักจิรากดตัดสายทิ้งไป และเดินไปที่หน้าประตูค่อย ๆ แง้มประตูเปิดออก รักจิราเดินวนเวียนไปมาเหมือนจะพยายามนึกว่าจะสลัดปรชญายังไงให้หลุด รักจิราทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ รักจิราเดินไปที่อ่างล้างหน้าและกดน้ำให้เปียกชุ่มมือและพรม ๆ ใส่หน้าก่อนจะเดินออกจากจากห้องน้ำ ตีใบหน้าให้ดูเจ็บปวดสุด ๆ
“น้องรักทำไมเหงื่อออกขนาดนั้นล่ะ เป็นอะไรหรือเปล่า” ปริชญาทำท่าจะเข้ามาพยุง
“ไม่ต้อง ฉันเดินได้ โอ๊ย!!!” รักจิราร้องเสียงดัง
“เป็นอะไรน้องรัก” ปรัชญาทำหน้าตื่นตกใจเมื่อรักจิราร้องเจ็บปวดแบบสุดใจ
“ปวดท้อง สงสารโรคกระเพาะจะกำเริบ คงเพราะตั้งแต่เช้าจนเที่ยงจะยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“จะให้พี่ช่วยอะไรไหม เดินไหวไหม ให้เฮียอุ้ม...”
“ไม่ต้อง” รักจิราหันไปพูดเสียงแข็งเหมือนจะนึกได้ว่าหลุดอาการก็รีบปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นเช่นเดิมก่อนจะเอ่ยต่อ สีหน้าแสดงความเจ็บปวดมากขึ้น
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปนั่งพัก แก...เอ่อ...เฮียเปา เฮียช่วยไปซื้อยาแก้โรคกระเพาะให้ฉันได้ไหม”
“เอ่อ...ในสำนักงานไม่มีหรอ”
“หมดตั้งแต่เมื่อวาน เฮียไปซื้อให้หน่อยนะ ร้านขายยาอยู่ไม่ไกล เดินไปก็ได้” รักจิรามองเหมือนขอร้องสุด ๆ
“แต่ว่า...”
“หรือแค่เงินไม่กี่บาทเฮียงกไม่ซื้อให้ อย่างนี้หรอจะเอาชนะใจฉัน เดี๋ยวฉันโทรตามสายฟ้าก็ได้ ถ้าเป็นสายฟ้าคงจะรีบซื้อมาให้”
“ไม่ต้อง ๆ แค่ไปซื้อยาเฮียทำได้ เดี๋ยวเฮียไปส่งรัก”
“พี่รักคะ” รักจิรามองหฤหัยที่เดินมาได้จังหวะ หฤทัยเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า รักจิราโผเข้าไปเกาะไหล่เอามือโอบเอวไว้ หฤทัยมองมือที่คล้องเอวเธอและมองรักจิรา
“เอ่อ...ไม่ต้องหรอกเฮียรีบไปซื้อยาฉันปวดท้องมาก อ่อแวะซื้อข้าวผัดร้านตรงข้ามกลับร้านขายยาให้ฉันด้วย เฮียไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันให้หวานไปส่ง หวานเป็นรุ่นน้องฉัน รีบไปเถอะ”
“แน่นะ ว่าไม่ให้เฮียอุ้ม”
“ถ้าเฮียช้าฉันจะโทรเรียกสายฟ้า”
“ก็ได้ ๆ” แล้วปรัชญาก็รีบเดินไป รักจิรารอสักพักก่อนจะปล่อยมือออกจากเอวหฤหัยและวิ่งไปดูที่หน้าต่าง มองจนแน่ใจว่าปรัชญาเดินพ้นตึกไปแล้ว รักจิราวิ่งกลับเข้าไปเอากระเป๋าออกจากห้อง
“พี่รักจะไปไหนคะ ไม่ปวดท้องแล้วหรอคะ”
“ไม่แล้ว หวานถ้าเกิดไอ้เฮียเปานั่นกลับมา มันถามหาพี่บอกว่าพี่กลับบ้านไปแล้วนะ พี่ไปนะ”
“เดี๋ยวค่ะ พี่รักจะไปไหนคะ”
“ธุระด่วน พี่ไปนะ” แล้วรักจิราก็วิ่งออกไปเพราะกลัวปรัชญาจะวิ่งกลับมาอีกรอบ รักจิรานั่งรถแท็กซี่กลับไปที่ร้านเพื่อเอารถของแก้วกัลยาและขับรถไปหาแก้วกัลยาที่โรงพยาบาลที่เจ้าตัวอาสาเป็นพยาบาลพิเศษชดเชยความผิดให้กับเพทาย
(เจ๊แก้วเค้าถึงแล้วลงมาเลย) และแก้วกัลยาก็เดินออกมาจากโรงพยาบาล ตรงมาที่รถ หน้าตาดูสดใสขึ้นเพียงแค่วันเดียวที่เพทายยอมคุยด้วย แก้วกัลยาเปิดประตูขึ้นมานั่งบนรถ รักจิราขับรถออกจากเขตโรงพยาบาลและเริ่มต้นพูด
“หน้าตานี่สดใสขึ้นกว่าเมื่อวานนะ”
“แน่นอนสิยะ ว่าแต่เรื่องที่แกไปถามรุ่นน้องแกมาว่ายังไง ได้เรื่องไหม”
“ไม่ได้จะใช่รักจิราหรอ ไอ้นิวมันบอกว่าไอ้แบงค์เนี่ยอยู่แถว ๆ xxx มันทำงานอยู่ที่ผับนั่นจริง ไอ้นิวเล่าประวัติมันให้ฟังด้วย ไอ้นิวบอกว่ามันติดคุกโดนยัดข้อหาค้ายา พอออกมาก็หางานทำไม่ได้ เลยมาเป็นลูกไล่ของพวกนักเลงแถวนั้น แม่ยังติดพนันต้องหาเงิน จากที่รู้จักมันเมื่อตอนนั้นมันเป็นคนดีมาก แต่นะชีวิตคน เฮ้อ...”
“แล้วเราจะเจอมันที่นั่นไหม”
“น่าจะเจอ ไอ้นิวทำงานอยู่ผับเดียวกับมัน มันบอกว่าไอ้แบงค์ไม่มาทำงานหลายวันแล้ว คงกลัวโดนจับได้ หรือไม่ก็ตัวบงการสั่งให้หนี เราคงต้องไปดูมันที่บ้านก่อน ถ้ามันยังไม่หนีไปไหนก็คงจะเจอ”
“ถ้าช่วยคุณเพชรเรื่องนี้ได้คุณเพชรจะได้ลดความเครียดให้น้อยลง ฉันเห็นคุณเพชรหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วไม่สบายใจ” รักจิรามองพี่สาวที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนเจ้าตัวเขาอยู่เรื่อย
“ค่ะแม่คนดี หลงขนาดนี้ถ้าเกิดคุณเพชรเค้าไม่เลือกจะหัวเราะให้ดู”
“ปากหรอนั่น บอกให้ฉันต่างหากที่เลือกคุณเพชร”
“หรอ...ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบ่ายใจก็ตามใจ”
“เลิกพูดเรื่องฉันได้แล้ว ว่าแต่ไอ้ฟ้ามันปล่อยให้แกห่างตาได้ยังไง ปกติแกไปไหนมันต้องตามไม่ใช่หรอ” พอพูดถึงสายฟ้าใบหน้าของรักจิราก็มุ่ยขึ้นมาทันที
“ไปหาแฟนเขามั้ง”
“บ้าน่า ไอ้ฟ้าเนี่ยนะมีแฟนแล้ว ไม่จริงหรอก ฉันว่าฉันไม่พลาดแน่ ๆ จากสายตามันอ่ะ”
“เลิกพูดเรื่องนี่เถอะเจ๊แก้ว” แก้วกัลยามองหน้ามุ่ย ๆ ของน้องสาวและยิ้มออกมา นี่ล่ะนะ ปากแข็ง ใจก็ทำแข็ง แต่ตาฟ้องออกมาแล้ว
“ไม่ถามถึงไอ้ฟ้าก็ได้ ฉันถามถึงว่าที่เจ้าบ่าวแกแล้วกัน หนีไอ้เปามันมาได้ยังไง”
“เจ๊แก้ว ถ้าเจ๊ไม่หยุดพล่ามถึงคนที่ทำให้เค้าโมโห เค้าจะโทรไปหาเฮียจิว ให้เฮียจิวมาหาตัวบ้างนะเจ๊แก้ว แล้วเจ๊แก้วจะรู้สึก”
“หยุดความคิดแกเรื่อง เลิกพูดก็ได้ แล้วใกล้ถึงหรือยัง” ทันทีที่แก้วกัลยาถามรถก็จอดลง
“ถึงแล้วเจ๊แก้ว เราต้องเดินเข้าไปแล้วล่ะ” แก้วกัลยามองซอยแคบ ๆ เกิดมานี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นสลัมแบบชัด ๆ แก้วกัลยาเปิดประตูเดินลงมาในมือถือร่มสวมแว่นกันแดดครบครัน
“แกนี่เราต้องเข้าไปในนั้นจริงสิ”
“จริง ถ้าอยากเจอมันก็ต้องเข้าไป แล้วนี่ตัวจะโอเว่อร์ไปไหม แล้วเค้าไม่ได้โทรบอกตัวก่อนหรอเจ๊แก้วว่าเราไม่ได้มางานแฟชั่นวีคไม่ต้องจัดเต็ม ถ้าเจ๊ตกน้ำพวกนั้นเค้าไม่ลงไปช่วยงมนะ เปลี่ยนส่นสูงเป็นอีแตะในรถเค้าเลย”
“ไม่เอา ฉันสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมถอดส้นสูงอีกเด็ดขาดหลังจากปาหัวไอ้เอ็มแตกไป”
“เจ๊แก้วนี่มันใช่เวลาไหม แล้วตัวรู้ไหมตรงนั้นอ่ะพื้นปูน แต่ตรงไปลึกข้างในมันเป็นพื้นไม้ เอาล่ะเปลี่ยนไม่เปลี่ยน เค้าไม่ให้ตัวมาเป็นภาระเค้านะ เร็ว”
“แกทำร้ายฉันไอ้รัก” แล้วแก้วกลัยาก็เดินหน้าบึ้งไปเปิดหลังรถหยิบรองเท้าแตะที่รักจิรานำมันมาถอดทิ้งไว้มาสวมใส่ เธอสาบานกับตัวเองแม้ต้องเดินเท้าเปล่าเธอจะไม่ใช่ปั๊บป้าเด็ดขาด แล้วนี่อะไรชีวิตไฮโซของเธอป่นปี้หมดเพราะรักจิรานี่นะ น้องตัวแสบที่ทำลายเธอทุกอย่าง
“คราวหน้าคราวหลังถ้าบอกว่าให้แต่งทะมัดทะแมงก็ทะมัดทะแมง ไปได้แล้ว ส่วนร่มเอาไปเก็บอย่าเอามันมาเป็นภาระ เสื้อแค้นยาวกับแว่นกันแดดก็พอแล้ว”
“นี่แกเป็นพี่ฉันหรือน้องฉันไอ้รัก”
“หวังดีนะเจ๊แก้ว เค้าเตือนเพราะถ้าเกิดไปเจอเจ้าถิ่นเข้าจะแย่ ซอยแถวนี้เป็นซอยพวกแก๊งค์ขี้ยามันชอบมาซ่องสุม แม้ตัวจะวิ่งบนส้นสูงได้ แต่ส้นสูงบนพื้นไม้ตัวตายแน่เจ๊แก้ว แล้วยิ่งทำอะไรให้เป็นจุดเด่นจะยิ่งไม่ดี แล้วตัวแต่งตัวโอเว่อร์กลางร่มใส่ส้นสูง มันก็ได้แห่ตามตัวมาสิเจ๊แก้ว ไป” รักจิราเดินนำไป แก้วกัลยารีบวิ่งตามรักจิราไป รักจิราพาเดินลัดเลาะมองที่อยู่ในกระดาษและถามทางไปด้วย
“นี่เดินมานานแล้วแกรู้ทางป่ะเนี่ยไอ้รัก”
“พึ่งมาครั้งแรกเหมือนตัวนั้นแหละเจ๊แก้ว ตัวเลิกบ่นสักทีเถอะ ป้าคนนั้นบอกว่าเราเดินไปอีกนิดก็จะถึงแล้ว นั่นไง” รักจิราชี้ไปที่บ้านไม้โทรม ๆ เก่า ๆ บ้านเลขที่ 99 ตามใบที่เขียนบอกมา รักจิรามองประจตูบ้านที่ปิดสนิท
“มีใครอยู่ไหม” รักจิราเอ่ย
“บ้านปิดประตูเงียบขนาดนี้แกยังถามโง่ ๆ อีกหรอรัก”
“เอ้าตัวไม่เคยดูหนังหรอว่าคนทำผิดเค้าไม่เปิดประตูรับคนแปลกหน้า บางทีอาจมีคนอยู่แต่อาจจะแกล้งทำเป็นไม่อยู่ก็ได้”
“ฉันว่าแกดูละครมากไปนะ”
“เอ้ามาหาใครล่ะ” สองสาวที่กำลังเถียงกันหันไปมองผู้หญิงหน้าตาโทรม ๆ ใบหน้าดูหงุดหงิด ดวงตาปรือ ๆ ในมือถือขวดเหล้า กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง ทั้งสองมองหน้ากัน
“พวกเรามาหาแบงค์ค่ะ” รักจิราเอ่ย
“ไอ้แบงค์ หึ มันไม่กลับบ้านมาสามวันแล้ว ไปตายที่ไหนแล้วก็ไม่รู้” รักจิรามองใบหน้าผู้หยิงที่กำลังพูดไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่
“แล้วป้าเป็นอะไรกับแบงค์ค่ะ”
“ข้าก็เป็นแม่มันน่ะสิ ไม่มีอะไรแล้วก็หลบ ๆ ไป ข้าจะเข้าบ้าน”
“ป้าพอจะรู้ไหมคะว่าแบงค์ไปไหน”
“เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่รู้ไง หลีกทางข้าจะเข้าบ้าน”
“แต่ป้าค่ะ พวกเรามีนี่ค่ะ” แก้วกัลยาหยิบแบงค์ห้าร้อยออกจากกระเป๋า อรนงค์แม่ของแบงค์หรืออธิชาติหันมามอง แต่ทำเป็นไม่เห็นและจะเดินเข้าบ้าน
“ถ้างั้นหนึ่งพันบาทถ้าป้าบอก”
“พวกเอ็งเป็นใครก็ไม่รู้ พันเดียวแลกกับลูกข้าไม่เอาหรอก ไป ๆ ข้าจะไปนอนแล้ว”
“ห้าพันขาดตัว ถ้าไม่เอา ดูจากสภาพป้าแล้ว คงรอเงินลูกอยู่ และถ้าลูกป้าไม่กลับบ้าน ป้าก็จะไม่มีเงินใช้ ดูจากสภาพนี้ป้าคงไปเล่นไพ่มาแล้วหมดตัวแล้ว บางทีอาจจะติดหนี้เขาอีก และรอเงินจากลูก แต่รับรองถ้าอาทิตย์นี้ลูกป้าไม่กลับมาป้าแย่แน่ คิดเอานะ ฉันจะนับหนึ่งถึงสามถ้าไม่เอา ก็จบ คิดว่ามีป้าคนเดียวหรือไงที่รุ้ว่าลูกป้าอยู่ไหน หนึ่ง สอง...สาม...ไปรัก”
“เอ่อ...ก็ได้ ๆ ไอ้แบงค์มันน่าจะไปคลุกตัวอยู่ที่บ่อนทำงานให้เสี่ยพงศ์บ่อนที่ข้าไปเล่น ไอ้แบงค์มันสั่งข้าไว้ว่าถ้ามีคนมาถามหามันให้บอกว่าไม่รู้”
“แล้วบ่อนนั่นอยู่ที่ไหน”
“ไม่ไกลจากที่นี่ เดินถัดไปอีกประมาณสามซอย บ่อนอยู่สุดซอยนั่นแหละ”
“ทำไมมีบ่อนมาอยู่ในสลัมเล็ก ๆ แถวนี้ไม่มีตำรวจรู้ มันเป็นบ่อนเล็ก ๆ หรือบ่อนใหญ่” รักจิราถามอย่างสนใจ เลือดนักข่าวกำลังร้อนขึ้นมาทันที เพราะเดือนกว่า ๆ นับจากโดนสั่งห้ามทำข่าว เธอไม่ได้ลงทำข่าวอีกเลย แต่การได้มาเห็นข่าวลอยอยู่ตรงหน้า สัญชาตญาณนักข้าวก็ร้องเตือนเธออีกครั้ง
“เป็นบ่อนใหญ่ แต่ตำรวจจะไปรู้ได้ยังไง ก็แถวนั้นเป็นถิ่นเสี่ยพงษ์ ใครหือใครอือ แกสั่งเก็บหมด ข้าตอบหมดแล้วเอาเงินมาสิ ข้าจะได้ไปทำธุระปะปังของข้าบ้าง”
“ป้าแน่ใจแค่ไหนว่าลูกป้าอยู่ที่นั่นจริง ๆ ป้าไม่ได้โกหกพวกเราใช่ไหม” แก้วกัลยามองอย่างจับผิด อรอนงค์ไม่มีท่าทีโกหก และตอบแก้วกัลยากลับไป
“แน่สิ ข้าแม่มันนะ เวลามันไม่กลับบ้านถ้าไม่ไปที่นั่นก็ค้างที่ผับที่มันทำงานอยู่ แต่ก่อนกลับมาข้าแวะไปหามันมาแล้วที่นั่น” แก้วกัลยายื่นเงินนั่นให้อรนงค์เมื่อได้รับคำตอบ มืออรนงค์กำลังจะคว้ารับเงินนั่นไว้ แก้วกัลยาชักมือกลับ
“ฉันขอเตือนนะป้า ถ้าลูกป้าตาย หรือเป็นอะไรขึ้นมา ป้าอดตายหรือไม่ก็โดนพวกบ่อนกระทืบตายแน่ ป้าควรจะคิดได้แล้วว่าอายุยิ่งมากโอกาสในการทำอะไรก็น้อยลง ถ้าป้ายังทำตัวแบบนี้วันหนึ่งไม่มีลูกป้าจะอยู่ยังไง ที่แบงค์ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำก็เพ่อหาเงินมาให้ป้า แต่ป้าเองไปลงที่ขวดที่บ่อนหมด ถ้าป้ายังทำตัวแบบนี้วันหนึ่งป้าจะตายอย่างอนาถแน่นอน”
“แกแช่งข้าหรอ”
“เปล่า ฉันก็แค่เตือนป้า ป้าใช้ชีวิตแบบนี้ตั้งแต่แบงค์ยังเรียนอยู่ จนแบงค์หมดอนาคตป้าก็ยังทำตัวแบบนี้ ป้าไม่สงสารแบงค์บ้างหรอ ถ้าแบงค์ไม่มีทางเลือกต้องไปทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา ที่ลูกป้าเสียคนก็เพราะป้านั่นแหละ”
“แก...”
“ยังทำอะไรได้ก็ควรทำ ถ้าไม่ทำก็อย่าทำตัวให้เป็นภาระ ไปรัก” แก้วกัลยายัดเงินใส่มือคนที่ยืนนิ่งชะงัก และเดินออกไป ควรปล่อยให้ได้คิดอะไรบ้าง ถ้าพูดชนาดนี้แล้วคิดไม่ได้ สุดท้ายจุดจบก็คงไม่ต่างคนอื่นหรอก
“ตัวเจ๋งอ่ะเจ๊แก้ว”
“ฉันพึ่งจะเข้าใจรุ่นน้องของแกแล้ว แค่ชีวิตหมดอนาคตเพราโดนยัดข้อหาก็แน่แล้ว แต่นี่มีแม่เป็นภาระอีก คงไม่มีทางออก แล้วไปคบกับพวกแก๊งค์ค้ายาพวกนั้น มันเป็นวงจรที่เลวร้ายจริง ๆ แล้วนี่เราจะไปไหน”
“ก็ไปซอยที่ว่าไง เผลอ ๆ เค้าอาจจะได้ข่าวกลับไปแก้ตัวให้สายฟ้าดูว่าฉันทำข่าวได้”
“หยุดคิดไปเลยนะ จำไว้ว่าพวกเราไม่ได้มาทำข่าว ถ้าไม่อยากเดือดร้อนห้ามทำสิ่งที่แกคิดอยู่ แม่ของนายนั่นบอกว่าถัดไปสองสามซอยใช่ไหม”
“ลองถามคนแถวนี้ดูก็ได้”
“นี่แกคิดว่าคนอื่นเขาจะรู้หรอ เปิดผับนะเว้ย”
“ไม่เชื่อใช่ไหม เดี๋ยวรอดู” รักจิรามองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาและตรงไปห้าป้าคนหนึ่งที่กำลังขายส้มตำอยู่
“ป้าค่ะ คือพวกเราจะไปบ่อนเสี่ยพงศ์ ต้องเดินไปอีกไกลไหม” แม่ค้าส้มตำทำหน้างง ๆ มองการแต่งตัวของวสองสาวเหมือนยังงง
“เดินไปอีกสองซอย บ่อนเสียพงศ์อยู่สุดซอย แต่บ่อยเสี่ยพงศ์ไม่ค่อยให้คนนอกเข้าไป ส่วนใหญ่ต้องเป็นขาประจำ” สองสาวมองหน้ากัน
“เอ่อ...พอดีมีคนแนะนำมาค่ะป้า พวกเราขอตัวนะคะ” สองสาวพากันเดินไปตามที่แม่ค้าขายส้มตำบอก
“เฮ้ยบ่อนมีคนรู้แบบนี้ทำไมตำรวจยังจับไม่ได้”
“ก็ป้านงค์แม่ไอ้แบงค์มันบอกอยู่ว่าแถวนี้ถิ่นเสี่ยพงศ์ คงมีปิดปากอะไรไปบ้าง ไปเถอะเจ๊แก้ว เดี๋ยวก็เย็นพอดี มาตั้งแต่บ่ายนี่สามโมงกว่าแล้วนะ”
“แล้วเราจะเข้าไปยังไง ป้าร้านส้มตำแกก็บอกว่ามันไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าไป ถ้าไปขอเจอไอ้แบงค์ตรง ๆ เขาไม่ให้เข้าแน่” แก้วกัลยาคิด รักจิราไม่รอลากแขนแก้วกัลยาให้เดินดุ่ม ๆ เข้าไปด้านใน
“ไอ้รักแกอยากตายก่อนหรือไง” แก้วกัลยาพูดเมื่อรักจิราเดินไปที่บ้านไม้ที่สภาพกึ่งเก่ากึ่งไม้ที่หลังรั้วมีบ้านสองหลังที่ปลูกติดกัน รักจิราคิดว่ามันคงเคยเป็นบ้านคนละหลัง แต่เสี่ยพงศ์คงรื้อรั้วกั้นกลางออกและทำเป็นบ่อนโดยสร้างทางเชื่อมต่อระหว่างสองบ้านเข้าหากัน
“เถอะน่า” รักจิราลากพี่สาวมาถึงหน้าประตูทางเข้าซึ่งมีชายร่างยักษ์สองคนยืนอยู่
“ที่นี่ไม่ให้คนแปลกหน้าเข้า”
“พวกเรารู้จากน้านงค์ แม่ของแบงค์ รวมถึงแก๊งค์ของไอ้แบงค์ฉันก็รู้จัก น้านงค์บอกว่าที่นี่เป็นบ่อนของเสี่ยพงศ์ ปลอดภัยที่สุดในกรุงเทพ พวกเรามีเงิน พวกเราจะจ่ายให้นายคนละสองพันให้พวกเราเข้าไปเล่นได้ไหม”
“ไม่ได้กฎก็ต้องเป็นกฎ ถ้าอยากเข้าก็ต้องเป็นสมาชิดหรือมีคนรับรองก่อน”
“งั้นพวกเราขอพบเสี่ยพงศ์ก่อนก็ได้”
“เสี่ยพงศ์ไม่อยู่”
“เอาอย่างนี้ฉันจะเซ็นเช็คให้พวกนายคนละสองหมื่น ให้พวกเราเข้าไปเล่น พอเสี่ยพงค์กลับมานานก็เข้าไปตามพวกฉันให้ไปพบเสี่ย ยังไงพวกเราก็หนีไม่ได้ และถ้าเสี่ยยอมให้พวกเราเข้ามาเล่นในบ่อนนี้ได้ เสี่ยอาจจะเลื่อนขั้นจากคนเฝ้าประตูไปทำหนเที่อื่นเพราะพวกนายหาลูกค้ากระเป๋าหนักอย่างพวกฉันให้ ทั้งสองหันมองหัน
“ก็ได้ เอาเงินมาก่อน” แก้วกัลยาหยิบเช็คขึ้นมาเซ็นและส่งให้ทั้งสอง ทั้งสองรับเช็คมาเปิดดูอย่างพอใจเมื่อเห็นจำนวนเงิน ยิ่งนามสกุลทั้งสองก็พอมองออกว่าสองสาวเป็นคนมีเงิน
“เอ่อ...แบงค์อยู่ที่นี่ไหม”
“ถามถึงมันทำไม”
“มันบอกว่าจะยืมเงินฉันไปใช้หนี้น่ะ”
“มันอยู่ด้านในนั่นแหละ” รักจิราพยักหน้ารับและเดินตามชายร่างใหญ่ก้ามปูคนนั้นที่เปิดประตูให้ทั้งสองเดินเข้าไปด้านใน ถายในบ่อนเหมือนกับที่เคยเห็นในโทรศัพท์ไม่มีผิด มีคนนั่งอยู่ตามโต๊ะต่าง ๆ เสียงเงอยู่ในโต๊ะของตัวเอง ใบหน้าแต่ละคนเหมือนอดหลับอดนอน ตั้งหน้าตั้งตาเล่น รักจิรามองภาพนั้นอย่างสมเพชรและเวทนา ทั้งคนแก่ คนหนุ่ม วัยรุ่น วัยทำงาน ปะปนอยุ่ในกลุ่มคนเหล่านี้ อบายมุขหล่อหลมอให้คนเป็นเดรัจฉานได้
“นี่เจ๊ลงทุนขนาดนี้เลยหนอ”
“เดี๋ยวไปอาญัติเช็คสิ ใครจะโง่ให้เงินพวกมัน เอาอย่างนี้ก่อนที่ให้เสี่ยพงศ์จะกลับมา เรารีบไปตามหานายแบงค์ อีกสิบห้านาทีมาเจอกันตรงนี้นะ คงอยู่นานไม่ได้” ทั้งสองพยักหน้าและเดินแยกกันตามหาอธิชาติ รักจิรากวาดตามองแต่ไม่เห็นเงาของอธิชาติแม้แต่น้อย และยิ่งเดินเข้าไปเลือดนักข่าวก็ยิ่งร้อน รักจิรามองซ้ายขวาเมื่อไม่เห็นว่าใครสักเกตเห็นก็เดินตรงไปที่ทางเชื่อมกันของบ้านสองหลัง บานประตูเปิดอ้าไว้กลับไร้เงาคนเฝ้ารักจิราค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังเสียง ชั้นบนแบ่งออกเป็นสามห้อง ข้างล่างมีเสียงคนดังอยู่คงเป็นบ่อนเหมือนกัน รักจิราสนใจห้อง ๆ หนึ่งที่แง้มประตูอยู่และมีเสียงร้องทรมานของคน และเสียงข่มขู่ตะคอกเสียงดัง เลือดนักข่าวยิ่งร้อนขึ้น รักจิราหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงและมองป่านประตูที่แง้มอยู่เข้าไป เธอเห้นผู้ชายคนหนึ่งนอนจมกองเลือด
“ถ้าพรุ่งนี้แก/ไม่หาเงินมาใช้หนี้เสี่ยแกได้เป็นศพแน่” รักจิราทนมองความป่าเถื่อนนั่นต่อไม่ได้ และเธอจะต้องแจ้งตำรวจมาจัดการให้ได้ แต่เธอต้องมีหลักฐานที่มากพอ ตำรวจท้องที่ทำอะไรไม่ได้ แต่ตำรวจคนอื่นถ้าเธอไปขอให้อติพงษ์ช่วยเขาต้องช่วยแน่ รักจิราหยิบโทรศัพท์กดถ่ายภาพ และกำลังคิดว่าจะไปถ่ายภาพข้างล่าง เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้น
“นั่นใคร” บานประตูเปิดออก รักจิราลุกขึ้นและตั้งท่าวิ่งไปในทันที วินาทีนี้ไม่มีเวลาอีกแล้ว
“จับนังนั่น” รักจิราตั้งใจวิ่งกลับไปบ้านหลังที่สองเพื่อไปตามพี่สาว แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกจ้องมองจากห้อง ๆ หนึ่ง พอหันไปยังไม่ทันอ้าปากตะโกน
อุ๊บส์!!!
“เบา ๆ เจ๊รัก เดี๋ยวพวกมันก็แห่มาที่นี่หมด”
“ไอ้แบงค์”
“เจ๊ต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้พวกมันกำลังตามหาเจ๊ เดี๋ยวผมจะไปล่อมันไว้ก่อนเจ๊วิ่งออกไปทางประตุหลังมันจะทะลุไปอีกซอยหนีไปให้เร็วเลย”
“แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉัน”
“ผมเห้นเจ๊ตั้งแต่เจ๊เข้ามาแล้ว แต่ผมไม่อยากให้เจ๊เห็นผม ผมกลัวเจ๊ผิดหวังที่ผมต้องเป็นแบบนี้ แต่ผมรู้จักคนอย่างเจ๊รักดีว่าไม่มีทางเดินเปล่า ๆ และปล่อยสิ่งไม่ดีที่เจอไว้แน่ ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เจ๊รีบไปเถอะ”
“แล้วเจ๊แก้วล่ะ”
“พี่สาวเจ๊ผมให้ออกไปก่อนแล้ว ผมเจอพี่สาวเจ๊ก่อนแล้ววิ่งมาช่วยเจ๊นี่แหละ”
“แต่ฉันมาตามแก จะให้ฉันกลับโดยที่แก”
“เอาเป็นว่าผมจะตามไปแล้วกัน พี่สาวเจ๊ข่มขู่ผมขนาดนั้นถ้าผมไม่ตามออกไป ต้องตามมาเผาบ้านผมแน่ ผมจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ผมก็กำลังหนีคนที่จ้างผมทำ พวกมันจะฆ่าผม เอาเป็นเจ๊ไปเร็วเถอะ เวลาไม่มีมากหรอกนะ” รักจิราพยักหน้าและวิ่งออกไปทางประตูหลัง แต่เหมือนพวกมันจะเห็นก่อนว่าเธอวิ่งออกมา พวกมันจึงวิ่งตามหลังเธอมา รักจิราวิ่งออกจากประตูหลังแต่วิ่งที่อธิชาตยังไม่บอกเธอคือ แล้วเธอควรจะไปทางไหนล่ะ ในเมื่อซอยแถบนี้แทบทุกซอยมันทะลุต่อกัน แต่เชื่อเถอะว่าเธอวิ่งกลับไปข้างหน้าต้องเจอพวกมันแน่
“เอาไงดีวะ”
ปัง!!!
เสียงปืนยิงตามหลังรักจิรามา รักจิราหันซ้ายขวาตัดสินใจวิ่งเข้าอีกซอย หวังว่าดวงเธอจะดี วิ่งพ้นพวกมันได้ รักจิราวิ่งลัดเลาะไปมั่ว ๆ และผลคือ
“หยุดแค่นั้นแหละ” รักจิรามองคนคุมบ่อนร่างยักษ์สามคนที่ขวางหน้าเธอไว้ จุดไต้ตำตอจริง ๆ วิ่งไปวิ่งมาดันมาเจอพวกมันได้ รักจิราถอยหลังจะกลับทางเก่าแต่พวกมันก็ขวางหน้าเธออยู่ รักจิราคิดว่าเธอคนเดียวคงสู้พวกก้ามปูหกคนไม่ได้ แม้เธอจะทะนงตัวว่าเก่งเรื่องชกต่อย แต่เธอก็พอจะประมาณตัวได้ เธอจะหนีจากสถานการณีนี้ไปได้ยังไง นี่สินะที่อัสนีย้ำเธอนักหนาว่านักข่าวสิ่งที่ควรจำไว้ให้แม่นขึ้นอย่าวู่วาม อย่าเลือดร้อน และคิดอย่างรอยคอบแม้จะอยู่ในเหตุการ์ใน ห้ามหยุดคิด แต่เธอหยุดคิดมัวแต่นึกถึงกฎหมาย ตอนนี้เธอกำลังซวยอย่างที่สุด บทเรียนครั้งก่อนบทเกาะไม่ได้สอนเธอให้เคล็ดหลาบเลย แล้วครั้งนี้เธอจะหนียังไง มองไม่ทางไหนก็ทางตัน มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้นแหละที่ช่วยเธอได้ แต่ปาฏิหาร์ยคงไม่มีทางเกิดขึ้นในเวลาแบบนี้แน่นอน
...ติดตามต่อต่อไป...
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่น่ารักทุกคนค่ะ
ตื่นเต้นและค้างกันไปอีกตอน รักเราเป็นเรื่องอีกแล้ว ออกแนวหาเรื่องใส่ตัวตลอด
ถึงพาสตัวเองทีไรมีัเรื่องให้เธอสร้างอีกตลอด ต้องมาลุ้นแล้วล่ะว่ารักจะทำยังไงกันนะ
เธอจะสู้จนตัวตายหรือจะเหาะหนีกันเนี่ย 5555
ใครยังรอขวัญอีกประมาณสองตอนน่าจะได้พบนางแน่นอน
รู้ว่า่รีดเดอร์กำลังรอว่านางจะเป็นยังไง
ส่วนแก้วหลังจากออกไปแล้วจะเจออะไรหรือเปล่าก็รอกันนะคะ
ช่วงนี้เป็นช่วงกลางเทอมไรเตอร์กำลังเริ่มสอบกลางภาค ต้องเก็บเวลาไปอ่านหนังสือสอบด้วย
อาจจะมีหายไปบ้าง ไม่ได้มาตามนัดก็อย่าว่ากัน แล้วจะรีบนำตอนมาลงให้
พบกันในตอนต่อไป ไม่มีอะไรฝากไปมากกว่าผากคอมเม้นส์ด้วยนะคะ
บ๊ายบายค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ต.ค. 2557, 18:09:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ต.ค. 2557, 18:14:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 1223
<< 30 ไม่จบไม่สิ้น | 32 ตามรัก ตามล่า 2 >> |

นักอ่านเหนียวหนึบ 4 ต.ค. 2557, 21:34:50 น.
รองเท้าส้นสูงเจ้แก้วก็ไม่ได้ใส่มา แล้วใครจะเป็นคนช่วยเธอละ ยัยรัก หาเรื่องเก่งตลอด เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ รอเจ็บหนักก่อนดีมั้ยยยยย นิสัยเสียจริงๆ เล้ยยย
รองเท้าส้นสูงเจ้แก้วก็ไม่ได้ใส่มา แล้วใครจะเป็นคนช่วยเธอละ ยัยรัก หาเรื่องเก่งตลอด เพิ่งมาคิดได้ตอนนี้ รอเจ็บหนักก่อนดีมั้ยยยยย นิสัยเสียจริงๆ เล้ยยย

แว่นใส 4 ต.ค. 2557, 23:55:49 น.
พระเอกขี่ม้าขาวจะมาช่วยไหม
พระเอกขี่ม้าขาวจะมาช่วยไหม
