ฝันรัก รอยอดีต
แต่เพียงวันแรกที่ 'นิมมาน' ได้เหยียบย่างเข้าไปที่บ้านทรงไทย เขาก็ได้บังเอิญช่วยชีวิตหญิงสาวซึ่งกำลังจะจมน้ำในสระบัว หากอะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าที่เธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้วต่างหาก!

นี่ไม่ใช่ดวงจิตหรือวิญญาณ แต่เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนมีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับตน ซ้ำสตรีผู้นี้ยังขอให้เขาตามหาบิดาที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช

ทว่าเบาะแสเดียวที่นิมมานมีคือความฝัน และนับวันความจริงอันน่าหวาดหวั่นในอดีตก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบว่า...เขานั่นเองที่อาจเคยผูกพัน ผูกกรรมกับเธอ

น้องแช่งชักหักรักขาดสะบั้น
พี่หลับฝันตั้งจิตคิดแก้ไข
น้องหลบลี้หนีรักจากพี่ไป
ขอตามใจสมัครรักมิคลาดคลา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒



"เฮ้ย ไอ้โอม เอ๋ย มาได้ไง" เสียงทักซึ่งดังขึ้นเบื้องหลังเรียกสายตาของแขกให้หันมอง

ทว่าทันทีที่นิมมานมองผ่านเพื่อนและคนรักเข้าไป ประตูห้องที่เปิดกว้างก็ทำให้เห็นร่างบางซึ่งยืนโอนเอน ใบหน้าเธอซีดขาวเหมือนตอนที่เขาช่วยเธอขึ้นจากน้ำ

"นิด"

เขาแทรกกายผ่านเพื่อนไปรับร่างเจ้าหล่อนไว้ได้ทัน กระนั้นก็ปล่อยให้ถุงกระดาษในมือหล่นกระจาย หารู้ไม่ว่ามีสายตาของคนรักมองตามอย่างปวดปลาบหัวใจ

ชานนแตะแขนเพื่อนสาวที่ทำท่าจะหันหลังกลับ เขาสบตาเธอให้รออยู่ก่อน บางทีเรื่องอาจไม่เป็นอย่างที่คิด นั่นไม่ใช่นิสัยของนิมมานที่เขารู้จักเลย

"นิด"

ประณีตปรือตามองชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเบือนสายตาไปยังบุรุษอีกคนที่ยืนอยู่หน้าห้อง เขามีผิวขาวอย่างคนมีเชื้อสายจีน หากใบหน้าคมเข้มด้วยเลือดไทยปะปน ทว่าร่างนั้นหนากว่าคนที่เธอรู้จัก เมื่อมีสติพิจารณาก็พบความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างคนสองคน

แค่เหมือนเท่านั้น แต่ไม่ใช่... ทำไมจึงเหมือนเหลือเกิน

หญิงสาวพยายามทรงตัวลุกยืน นิมมานปล่อยมือจากร่างบางพลางหันมองสายตาสองคู่ที่จับจ้องมายังตนอย่างรอคำอธิบาย

"ไปนั่งก่อนนะนิด" เขาบอกเธอเสียงเบา ก่อนจะผงกศีรษะให้แขกทั้งสองเข้ามา "ไอ้โอม เอ๋ย เข้ามาก่อนสิ"

จันทร์เจ้ามองภาพคนรักอยู่เคียงข้างไม่ห่างเธอคนนั้นแล้วก็ให้ปวดหนึบในหัวใจ ตั้งแต่คบกันมาคนรักของตนไม่เคยให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนไหน อาจรวมทั้งเธอเสียด้วยซ้ำที่มักรู้สึกว่าพวกตนคบหากันเพียงเพื่อนมากกว่าในฐานะคู่รัก

หญิงสาวนั่งลงยังสุดมุมโซฟาด้านหนึ่งโดยมีชานนยืนอยู่ข้างๆ ครั้นลองสบตาผู้หญิงคนนั้นแล้วเธอก็ต้องชักสายตากลับมา มีรัศมีบางอย่างจากเจ้าหล่อนที่ทำให้เธอหวั่นเกรงลึกๆ ทั้งที่ใบหน้าสวยปนเศร้านั้นแลดูไม่มีพิษภัย

"นิด นี่โอมกับเอ๋ย เพื่อนผม" นิมมานเอ่ยแนะนำ ก่อนจะหันไปบอกเพื่อนบ้าง "นิดเป็นญาติห่างๆ ของฉันเอง เธอกำลังเดือดร้อน ฉันเลยให้มาอยู่ด้วย"

ประณีตผินมองชายหนุ่มข้างๆ ด้วยความแปลกใจเล็กน้อย ก็พบกับสายตาที่มองสบมาอย่างขอให้เธอเข้าใจ

"เอ๋ยมาก็ดีแล้ว ผมอยากให้เอ๋ยรู้จักกับนิดไว้ เผื่อมีอะไรจะได้พูดคุยกันประสาผู้หญิง"

จันทร์เจ้ารับคำ แม้จะไม่เชื่อสนิทใจว่าผู้หญิงคนนี้เป็นญาติกับคนรักของตนจริงหรือไม่ แต่เขาก็แสดงความบริสุทธิ์ใจให้เธอได้ทำความรู้จักอีกฝ่าย

เธอปรายตามองหญิงสาวผู้นั้นพลางฝืนแย้มยิ้มให้ โดยมียิ้มบางตอบกลับมาเช่นกัน

"นี่คือเหตุผลที่แกหายไป ติดต่อไม่ได้หรือวะ" ชานนถามเพื่อนสนิท "รู้ไหม ข้ากับเอ๋ยเป็นห่วงแทบแย่ เอ๋ยถึงกับมาตามหาแกที่บริษัท มีอะไรก็น่าจะบอกกันนะไอ้นนท์"

"เฮ้ย ไม่มีอะไร พอดีมือถือเสีย ฉันว่าจะใช้แท็บเล็ตแช็ตไปบอกแกอยู่ ก็พอดีมากันก่อน"

นิมมานอดปรายตามองหญิงสาวข้างๆ ไม่ได้ เขาไม่อยากให้เธอคิดมากหรือคิดโทษตัวเอง หากชายหนุ่มกลับมองไม่เห็นความรู้สึกของคนรักที่หน้าเสียลงอีกครา

"เดี๋ยวพรุ่งนี้เข้าบริษัท ว่าจะติดต่อคุณพิทักษ์ด้วย"

"เออๆ งั้นเจอกัน ฉันกลับล่ะ แค่มาดูเพราะเป็นห่วง"

"เดี๋ยวโอม เอ๋ยกลับด้วย"

จันทร์เจ้ารีบลุกตาม ก่อนเธอจะหันไปยิ้มฝืดเฝือนให้คนรัก เธอยังไม่พร้อมเชื่อเขาทั้งใจ

"ขอบใจเว้ยโอม ฝากเอ๋ยด้วยนะ แล้วผมจะโทรหา" ท้ายประโยคนั้นเขาบอกกับแฟนสาว

จันทร์เจ้าผงกศีรษะ ก่อนเธอจะเป็นฝ่ายเดินนำชานนที่ยังคงรีๆ รอๆ ไปเสียเอง ชายหนุ่มก้าวเร็วมาทันเธอหน้าลิฟต์ เขาขมวดคิ้วมุ่นเมื่อคนรักของเพื่อนยอมล่าถอยออกมาง่ายๆ

"จริงๆ เอ๋ยอยู่ต่อก็ได้ ให้ไอ้นนท์มันไปส่ง"

"โอมไม่ต้องไปส่งก็ได้ เดี๋ยวเอ๋ยกลับเอง"

"ไม่ใช่อย่างนั้นนะเอ๋ย โอมแค่อยากให้เอ๋ยแสดงความเป็นเจ้าของนนท์มันบ้าง"

"เพื่ออะไรล่ะโอม เพราะผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอ ก็เขาบอกว่าเป็นญาติกัน โอมไม่เชื่อหรือไง" จันทร์เจ้าย้อนถามเสียงเครือ

ชานนงันไปเมื่อเห็นรอยแดงช้ำในดวงตา ลำคอเขาตีบตื้อขึ้นมา พลอยรู้สึกเจ็บปวดไปกับเธอ ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ โกรธเพื่อนที่มีเพชรเม็ดงามอยู่กับตัวแต่กลับไม่เห็นค่า

ร่างสูงหันหลังกลับ เขานึกอยากให้นิมมานเห็นภาพคนรักกล้ำกลืนน้ำตาอยู่นี้จริงๆ หากไม่มีมือบางตามมารั้งแขนตนไว้เสียก่อน

"จะทำอะไร ถ้าโอมกลับไปที่ห้องนั้น เอ๋ยจะไม่มาให้โอมกับนนท์เห็นหน้าอีก"

จันทร์เจ้าปล่อยมืออย่างเอาจริง เธอเดินเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดประตูรอ ก่อนชานนจำต้องตามเข้าไปอย่างนึกกลัวคำขู่นั้น เขาถอนใจอย่างหงุดหงิด ขณะที่หญิงสาวก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางพลางปาดน้ำตา

...........................

"คุณลำบากใจหรือเปล่าที่ผมแนะนำไปอย่างนั้น" นิมมานถามขึ้นเมื่ออยู่กันตามลำพัง

"ดิฉันเข้าใจค่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นมายากเกินคำอธิบาย"

"ขอบคุณครับ" เขาค่อยโล่งใจ "งั้นมากินข้าวกันเถอะ คุณคงหิวจนเป็นลมเมื่อกี้นี้"

ชายหนุ่มยกถุงพลาสติกใบหนึ่งไปยังเคาน์เตอร์ครัว ในนั้นมีทั้งเครื่องดื่มชนิดต่างๆ นอกจากนี้ก็มีอาหารสำเร็จรูปและอาหารแช่แข็งที่เขาซื้อมาสำรองไว้สำหรับมื้อต่อๆ ไป

ประณีตลุกไปดูด้วยความสนใจ เธอเห็นเขาถ่ายกับข้าวจากถุงใส่จาน ก่อนจะใส่มันไว้ในตู้สี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่เธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน

"เขาเรียกไมโครเวฟ ใช้สำหรับอุ่นอาหารครับ นิดมาดูสิ ผมจะสอนวิธีใช้ให้"

เธอก้าวไปใกล้ขณะจดจำวิธีต่างๆ ที่เขาอธิบาย กระทั่งแสงในตู้นั้นดับลงพร้อมกับเสียงร้องเตือน เขาก็เปิดฝาแล้วยกชามแกงเขียวหวานซึ่งส่งกลิ่นหอมและควันร้อนออกมา สร้างความตื่นตาให้แก่เธอ

"แกงเขียวหวานกับหมูทอด ผมคิดว่าคุณน่าจะพอทานได้"

"ค่ะ"

เธอมองเขาจัดโต๊ะอย่างนึกละอาย ตนเป็นกุลสตรีเสียอีกแต่กลับยืนงกเงิ่น อย่างที่คุณพ่อมักส่ายหน้าระอาทุกครั้งยามเธอเข้าครัว

"ถ้ายุคดิฉันมีเครื่องมือแบบนี้ ดิฉันคงไม่ขยาดงานครัวนัก"

"คุณไม่ชอบเข้าครัวหรอกเหรอ" เขาถามแปลกใจพร้อมกับนั่งลงตรงข้าม "ผมคิดว่าผู้หญิงสมัยก่อนต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือนซะอีก"

"ผู้หญิงในยุคดิฉันมีโอกาสมากขึ้นค่ะ เราได้รับการศึกษา สามารถออกสังคมได้เทียบเท่าผู้ชาย แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องภายในบ้านก็เป็นหน้าที่ของผู้หญิงอยู่ดี"

"อืม ถ้าอย่างนั้นก็อาจไม่ต่างจากสมัยนี้เท่าไร ผิดแต่ว่าผู้ชายสมัยนี้บางคนยังต้องให้ผู้หญิงเลี้ยงด้วยนะครับ"

"ถ้าอารี...เพื่อนสนิทของดิฉันรู้ เธอคงต่อว่าผู้ชายเหล่านั้นเสียๆ หายๆ แน่ค่ะ อารีเธอเป็นสตรีนิยม" หญิงสาวลดเสียงเล่าราวกลัวว่าคนที่เอ่ยถึงจะมาได้ยินเข้าจริงๆ

นิมมานยิ้มขันท่าทางมีลับลมคมในนั้น ดูเหมือนเธอจะสนิทกับเพื่อนคนที่เขาฝันถึงมากทีเดียว

"ถ้ามีโอกาส ผมจะพยายามตามหาครอบครัวของเพื่อนสนิทคุณ"

"ไม่ค่ะ" ประณีตปฏิเสธทันควัน

ชายหนุ่มนิ่วหน้าแปลกใจ เขาคิดว่าเธออาจอยากพบเพื่อนรักอีกสักครั้ง แน่นอนว่าคนชื่ออารีคงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ก็อาจมีลูกหลานสืบมาก็เป็นได้

"ผมคิดว่าคุณอยากเจอเธอ"

"ดิฉันอยากเจออารีค่ะ" เธอตอบเสียงขื่น "แต่ใครอื่นนอกจากนี้ดิฉันไม่ปรารถนาจะพบเจออีก แม้ทายาทของพวกเขาก็ตาม"

นิมมานมองสบดวงตาซึ่งฉายแสงอาฆาต เธอกลายเป็นผู้หญิงอีกคนที่เขาไม่รู้จัก แล้วก็นึกอยากรู้ขึ้นมาครามครันว่าใคร...หรือสาเหตุใดกันที่ทำให้หญิงสาวอ่อนหวานคนหนึ่งเปลี่ยนไป

................................

เสียงรถยนต์เคลื่อนมาหยุดยังหน้ารั้วบ้านเรียกสายตาของสาวใช้ให้ชะเง้อมอง ครั้นมองผ่านซี่รั้วไม้เห็นตัวรถสีแดงคุ้นตาตัดกับหลังคารถสีดำ ศรีชุมก็รีบขึ้นบันไดไปบอกผู้เป็นเจ้านายของตนที่แต่งตัวเสร็จพอดี

"สวยเหลือเกินค่ะคุณนิดของศรี"

ประณีตแกล้งหมุนตัวให้ชายกระโปรงของชุดเดรสบานพริ้ว ก่อนจะหลุดหัวเราะกิ๊กออกมา

"นี่อารีมาแล้วหรือจ๊ะ ไปเถอะ ประเดี๋ยวอารีจะรอ"

ศรีชุมถือกระเป๋าใบเล็กตามหลังนายสาวออกไป ครั้นลงบันไดมาถึงชั้นล่างประณีตก็ต้องหยุดชะงัก นอกจากเพื่อนสนิทจะเดินผ่านโถงบ้านเข้ามาพอดียังตามด้วยบุรุษร่างสูง ผิวขาวจัดกว่าเพื่อนของเธอ หากก็มีเค้าความคมเข้มของใบหน้าราวถอดออกมาจากพิมพ์เดียว

หญิงสาวพนมมือไหว้ หวนนึกถึงคำบอกของเพื่อนว่าพี่ชายเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากสิงคโปร์ก่อนหน้านี้ไม่นาน

"เราจะรอที่รถแล้ว แต่คุณพี่ชายบอกว่าให้ลงมาไหว้คุณพ่อเธอก่อน"

ประณีตไม่กล้าสบตาชายหนุ่มเต็มตา เธอผงกศีรษะให้เพื่อนตามมา ก่อนจะจูงมือกันเข้าไปยังห้องนั่งเล่นของบ้านซึ่งมีเก้าอี้ไม้รองที่นั่งด้วยเบาะ ตรงกลางเป็นโต๊ะรับแขกขนาดเล็กตั้งอยู่

"คุณพ่อคะ อารีกับพี่ชายมาไหว้คุณพ่อค่ะ"

หลวงชาญยุทธกิจปิดหนังสือเล่มหนา ท่านเงยหน้ามองหนุ่มสาวทั้งสองคนพนมมือไหว้ ฝ่ายหญิงนั้นคุ้นตาดีด้วยไปมาหาสู่กับบุตรสาวตนเสมอ ดวงตาคมกริบจึงกวาดมองสำรวจฝ่ายชายในที

"พี่เอื้อ พี่ชายของอารีค่ะคุณอา เธออาสาขับรถให้ อารีขออนุญาตพานิดไปทานข้าวที่บ้านนะคะ"

ผู้อาวุโสกว่าผงกศีรษะพร้อมพรายยิ้มบาง บุตรสาวของตนก็ดูจะแคล่วคล่องขึ้นบ้าง ไม่นุ่มนิ่มอย่างเคยตั้งแต่คบหาเพื่อนคนนี้ กระนั้นเรื่องคบหาผู้ชายก็เป็นสิ่งที่เขาไม่วางใจในตัวลูกนัก และเฝ้าระวังอยู่ห่างๆ เสมอ

ประณีตยังหัวอ่อน เด็กเกินกว่าจะควบคุมความรู้สึกรุนแรงนั้นในทางที่ถูกที่ควร

"ไปเถอะ แม่นิดมาขอแล้ว ให้ศรีชุมไปด้วยอีกคนคงไม่ลำบากกระมัง"

"ไม่ลำบากขอรับ กระผมและอารีจะพาหนูนิดมาส่งก่อนพลบค่ำ"

ครานี้เอื้อเป็นฝ่ายรับคำแทน อารีถองศอกใส่แขนเพื่อนเชิงเย้า พลางทำปากขมุบขมิบล้อเลียน 'หนูนิด'

ประณีตหนีบแขนเพื่อน เธอวางหน้าไม่ถูก ไม่กล้าสบตาใครในที่นั้นสักคน

หนุ่มสาวขอตัวออกมาหลังจากไหว้ลาคุณหลวง แล้วประณีตก็ต้องพึมพำขอบคุณเมื่อเอื้อเปิดประตูรถให้เธอกับคนติดตามก้าวขึ้นไปนั่งตอนหลัง

"คุณหลวงน่าจะเปลี่ยนรถบ้างนะคะคุณนิด อย่างคันนี้ปะไร" ศรีชุมเอ่ยพลางลูบเบาะมันปลาบของรถรุ่นใหม่ที่เธอเพิ่งเคยนั่ง

รถของพันโทหลวงชาญยุทธกิจน่ะหรือ นายคนขับยังถึงกับส่ายหัวหลังกลับจากขับรถให้ท่าน มันออกจะเกเรเกรวนให้ได้ลุ้นทุกครั้งยามใช้งาน

"พอเถอะศรีชุม พูดมาก" เธอเอ็ดลูกน้องที่ไม่รู้จักรักษากิริยาเอาเสียเลย

ไม่รู้หูตนแว่วไปเองหรือไม่ ประณีตจึงได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจากที่นั่งคนขับ แล้วใบหน้าหญิงสาวก็ร้อนผ่าวขึ้นมา

...........................

บ้านของพระยาประกาศพาณิชย์ ต้นตระกูลประกาศพาณิชย์ ผู้เป็นปู่ของสองพี่น้องตั้งอยู่บนถนนราชวงศ์ ด้านหน้าของบ้านเป็นตึกแถวสามชั้นทะลวงถึงกันหลายคูหา หรือในชื่อ 'ห้างโธมัส โค.' ที่ชาวพระนครรู้จักดี

ซอยเล็กๆ ข้างตัวห้างเป็นทางเข้าไปสู่บ้านหลังใหญ่ มีแขกยามคอยเปิดรั้วเหล็กลวดลายอ่อนช้อยให้รถแล่นเข้าไป บริเวณด้านหน้าเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่และซุ้มม้านั่งกึ่งกลางสนาม บ้านทรงตึกขนาดใหญ่ทาสีขาวทั้งหลัง ก่อนรถจะเคลื่อนมาจอดยังบันไดระเบียงซึ่งมีกระถางต้นไม้ลายครามตั้งประดับอยู่บนขั้นบันได

ประณีตมองมือที่ยื่นมาขณะตนกำลังจะก้าวลงรถ เธอเงยหน้าสบตาพราวระยับวูบหนึ่งแล้วก็ต้องรีบหลุบเปลือกตาลง วางมือเย็นชืดของตนลงกลางฝ่ามืออุ่นนั้นตามมารยาท

"คุณเอื้อ แล้วศรีล่ะคะ" ศรีชุมแสร้งประท้วงเมื่อไม่ได้รับความช่วยเหลือ

อารีรีบรับลูกทันที "มานี่จ้ะแม่ศรี ฉันช่วยเอง"

ประณีตได้แต่ส่งค้อนให้เพื่อนรักและคนสนิทซึ่งหัวเราะขันกันอย่างออกรส แล้วก็ให้ร้อนซู่ที่ใบหน้า ก้อนเนื้อในอกพลิกคว่ำพลิกหงายอย่างไม่เคยเป็น

"คุณแม่อยากเจอแขกพิเศษแย่แล้ว เข้าข้างในเถอะค่ะ" เอื้อเอ่ยชวน หวังให้เธอคลายความประหม่าที่น่าเอ็นดูในสายตาเขา

ชายหนุ่มหันไปชี้นิ้วยังน้องสาวช่างล้อ ขณะขบวนเล็กๆ นั้นเดินเข้าไปตามทางเดินของบ้านซึ่งขนาบข้างด้วยห้องหับทั้งสองฝั่ง

ร่างสูงเดินนำเข้าไปยังห้องนั่งเล่นของบ้านที่มีตู้กระจกใสหลายใบสำหรับจัดแสดงของมีค่า ของที่ระลึกต่างๆ ทั้งจากเมืองจีนและยุโรปรายรอบผนังห้อง มารดาของเขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ลงยาตัวใหญ่ ท่านลุกยืนรับเมื่อเห็นว่าใครตามบุตรชายตนเข้ามา ก่อนจะรวบตัวหญิงสาวอีกคนที่เปรียบเสมือนลูกไว้ในอ้อมแขน

"แม่นิด ไม่เจอเสียนาน บอกให้อารีชวนมาเที่ยวห้าง แม่นี่ก็ท่ามากอยู่เรื่อย"

"คุณแม่คิดถึง แต่ลูกไม่คิดถึงนี่คะ สัปดาห์หนึ่งเจอนิดที่โรงเรียนตั้งห้าวัน" อารีโต้กลับ

"ดูแม่คนนี้"

ประณีตพลอยหัวเราะขันไปกับสองแม่ลูกซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมา

"คุณป้ากับท่านเจ้าสัวสบายดีหรือคะ"

"ตามประสาน่ะจ้ะ นี่เจ้าสัวดูบัญชีอยู่ เย็นๆ จะมาทานข้าวด้วยกัน คุณหลวงสบายดีนะ"

"คุณพ่อแข็งแรงดีค่ะ"

"และหล่อเฟี้ยวเหมือนเดิม" ลูกสาวทโมนเสริม

"ไปไกลๆ เลยลูกคนนี้" ผู้เป็นมารดาว่าพลางค้อน

"ลูกไปก็ได้ค่ะ แต่ต้องพาตัวนิดไปด้วย"

คุณหญิงสายหยุดกำลังจะขัด หากเสียงนุ่มของบุตรชายก็ทำเอาเธอใจอ่อนลง

"ตามใจเขาเถิดครับคุณแม่ ประเดี๋ยวเจ้าของวันเกิดขู่จะล้มเลิกงานขึ้นมา"

"แหม พี่เอื้อ รู้ใจน้องเสียจริง เอ หรือจะกลัวใครบางคนรีบกลับ" น้องสาวทำตาชวนฝันใส่ ก่อนจะคล้องแขนเพื่อนสนิท "ไปเถิดนิด ไปนั่งเล่นในสนามกัน"

ประณีตหนีบแขนเพื่อนทันทีที่ลับหลังผู้ใหญ่ออกมาด้วยกัน เรียกเสียงสูดปากจากเพื่อนซึ่งลูบแขนตนป้อยๆ

"อูย เจ็บนะ"

"อารีแกล้งฉันก่อนทำไม"

"ฉันไปแกล้งอะไรนิด"

"เรื่อง...เรื่อง..." หญิงสาวคิดหาคำพูดอย่างไรให้ไม่กระดากปาก กระนั้นแววตาท้าทายที่มองมาก็กระตุ้นให้เธอต้องเอ่ยออกไป "เรื่องที่เธอริอ่านทำตัวเป็นแม่สื่อไง"

"อ๋อ" อารีลากเสียงยาวอย่างยียวน "แล้วสำเร็จหรือเปล่าล่ะ"

"อารี!"

ประณีตจะบิดต้นแขนเพื่อนอีกครั้ง หากครานี้คนรู้ทันไหวตัวเสียก่อน สองสาววิ่งไล่กันอยู่ยังสนามหญ้าหน้าบ้าน โดยมีสายตาสองคู่จากห้องนั่งเล่นมองตามเสียงหัวเราะร่าเริง

"แม่ว่าแม่นิดน่ารักดี ผิดกับน้องสาวเราลิบลับ"

เอื้อผินมองมารดาพลางนิ่วหน้าฉงน เขาพอเข้าใจความนัยของท่านและคิดว่าตนตีความไม่ผิดแน่ แต่หากเขาจะเลือกใช้ชีวิตกับใครสักคน เขาก็เห็นว่าความรู้สึกของตนสำคัญไม่น้อยกว่ากัน

"ขอรับ น้องน่ารักดี"

"เอื้อคบหาไว้ก็ไม่เสียหลายนัก อีกหน่อยคุณหลวง...พ่อของแม่นิดก็อาจได้เป็นถึงพระน้ำพระยา แม่ล่ะดีใจแค่ไหนที่เอื้อไม่คว้าแหม่มกลับมาด้วยกัน"

สายหยุดลูบท่อนแขนบุตรชายอย่างฝากฝัง ก่อนท่านจะผละไป ทิ้งให้เขาใช้ความคิดลำพัง

ชายหนุ่มยอมรับกับตนเองว่าเขาถูกใจเพื่อนของน้องสาวไม่น้อย จากที่เคยรู้จักชื่อเสียงเรียงนามเมื่ออารีจดหมายไปเล่าความเป็นไปต่างๆ ให้ทราบ ครั้นกลับมาแล้วก็พลอยนึกอยากพบเพื่อนคนดีของน้องสักครั้ง และวันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่เขาอาสาขับรถให้น้องสาวตน

เมื่อเจอแล้วก็ประทับใจ ใช่แต่เพียงใบหน้าอ่อนหวาน ผุดผาดสมวัย เจ้าหล่อนยังมีกิริยาเรียบร้อย นุ่มนวลให้นึกเอ็นดูแต่แรกรู้จัก ต่างจากสาวสังคมสมัยนี้ นั่นทำให้เขาปรารถนาจะทำความรู้จักเธอยิ่งขึ้นไปอีก และคงดีไม่น้อยหากความรู้สึกนั้นจะค่อยพัฒนาต่อไป

...........................

นิมมานลืมตาในความมืด เขากดหน้าอกข้างซ้ายที่ซึ่งหัวใจเต้นรัว มันเจ็บแปลบประหลาดเมื่อคิดทบทวนถึงความฝันเมื่อครู่นี้ โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้นซึ่งมีใบหน้าละม้ายเพื่อนสนิทตน

หรือเพราะสาเหตุนี้หญิงสาวจึงถึงกับเป็นลมยามพบหน้าแขกไม่ได้รับเชิญเมื่อเย็น เขาปรายตามองผนังกั้นห้องนอนที่ตนเสียสละให้เจ้าหล่อนพักพิง อยากปลุกเธอมาถามเหลือเกินว่าบุตรชายแห่งบ้านประกาศพาณิชย์ใช่ไหมที่เป็นสาเหตุให้เธอไม่อยากพบเจอคนในตระกูลนั้นอีก รวมทั้งชานนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายบุรุษผู้นั้น

เขาไม่เคยเชื่อเรื่องกลับชาติมาเกิด คงเชื่อแต่ว่ากรรมคือผลของการกระทำเท่านั้น ทว่าบัดนี้นิมมานกลับไม่มั่นใจเสียแล้ว

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพื่อนของตนคือชายในอดีตคนนั้น แต่ที่รู้แน่ๆ คือเขาจะต้องพยายามสืบเสาะเรื่องราวของตระกูลประกาศพาณิชย์ให้จงได้ โดยเฉพาะนายเอื้อ ผู้ที่เขามั่นใจว่ามีส่วนเปลี่ยนโลกสดใสของวัยรุ่นสาวในอดีตให้หมองหม่นลง

..................................

ขอโปรโมตบูธในงานหนังสือวันที่ 15-26 ต.ค. นี้หน่อยนะคะ
สามารถอุดหนุนหนังสือของแพรว ทั้งนิยายนามปากกาพิมลภา และหนังสือ SMA ไม่มีคำว่าเสียใจแม้ในหยดน้ำตา
ได้ที่บูธสนพ. แฮปปี้บานาน่า โซน C1 เลข M09 ได้ค่ะ

ปล. พรุ่งนี้แพรวจะไปที่งานเปิดตัวหนังสือด้วยน้าาา ที่เวทีเอเทรียม 4 โมงเย็นจ้า ใครสะดวกมาพบกันได้นะคะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2557, 16:16:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2557, 16:16:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1377





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
แว่นใส 15 ต.ค. 2557, 21:57:13 น.
ความหลังฝังใจ


ภาพิมล_พิมลภา 19 ต.ค. 2557, 15:48:28 น.
คุณแว่นใส - ใช่แล้วค่ะ อิอิ เรื่องนี้มีแต่คนมีอดีต


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account