ฝันรัก รอยอดีต
แต่เพียงวันแรกที่ 'นิมมาน' ได้เหยียบย่างเข้าไปที่บ้านทรงไทย เขาก็ได้บังเอิญช่วยชีวิตหญิงสาวซึ่งกำลังจะจมน้ำในสระบัว หากอะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าที่เธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้วต่างหาก!

นี่ไม่ใช่ดวงจิตหรือวิญญาณ แต่เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนมีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับตน ซ้ำสตรีผู้นี้ยังขอให้เขาตามหาบิดาที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช

ทว่าเบาะแสเดียวที่นิมมานมีคือความฝัน และนับวันความจริงอันน่าหวาดหวั่นในอดีตก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบว่า...เขานั่นเองที่อาจเคยผูกพัน ผูกกรรมกับเธอ

น้องแช่งชักหักรักขาดสะบั้น
พี่หลับฝันตั้งจิตคิดแก้ไข
น้องหลบลี้หนีรักจากพี่ไป
ขอตามใจสมัครรักมิคลาดคลา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓



บริษัทรับออกแบบและก่อสร้างที่นิมมานและชานนเป็นหุ้นส่วนก่อตั้งตั้งอยู่ในโฮมออฟฟิศสไตล์โมเดิร์นสองหลังติดกัน ด้านหน้าทุบกำแพงกั้นสำหรับจอดรถได้สี่คัน ตกแต่งข้างประตูกระจกทางเข้าด้วยน้ำพุเตี้ยข้างตัวตึก

ชั้นล่างของที่ทำงานมีทั้งส่วนรับแขกและโต๊ะพนักงาน ด้านบนนั้นเป็นห้องประชุมเล็กๆ แพนทรีรูม และส่วนพักผ่อนของพนักงานที่บางคราวยามเจ้านายหรือลูกน้องอยู่ทำงานหามรุ่งก็มักพักดูถ่ายทอดสดฟุตบอลด้วยกัน

ห้องทำงานของหุ้นส่วนทั้งสองคนอยู่บนชั้นสาม เป็นชั้นที่เงียบสงบที่สุดและค่อนข้างเป็นส่วนตัว กระนั้นประตูห้องทำงานของนิมมานก็ถูกผลักเข้ามา พร้อมกับร่างสูงของชานนก้าวมานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน

"เฮ้ย เย็นนี้ไปดื่มกัน"

คนถูกชวนชะงักมองเพื่อนสนิท แล้วเขาก็ไพล่ไปนึกถึงคนหน้าเหมือนในความฝันเมื่อคืนอีกจนได้ เขารู้ว่ามันงี่เง่าสิ้นดี แต่ก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าพาลไม่ชอบหน้าเพื่อนของตน

"ไม่ได้ว่ะ ว่าจะเร่งประเมินค่าใช้จ่ายให้คุณพิทักษ์"

"งานเร่งเหรอ"

"ก็ไม่เชิง"

ชานนหรี่ตามองเพื่อน อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างแปลกไป ดูเหมือนนิมมานจะมีโลกส่วนตัวที่ไม่อยากให้เขาเข้าไป ซึ่งตนเชื่อว่ามันเกี่ยวพันถึงผู้หญิงที่นิมมานอ้างว่าเป็นญาติอย่างแน่นอน

"ทำไมวะ ห่วงญาตินายเหรอ"

ชายหนุ่มละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มามองเพื่อน มีแววขุ่นจัดปรากฏด้วยความไม่พอใจ

"เออ แล้วนี่เขาจะอยู่สักกี่วัน ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันจะดีเหรอ"

"ไอ้โอม แกพูดจาดีๆ หน่อย นิดเป็นญาติฉัน เขาจะอยู่สักกี่วันก็ได้ เพราะเขาเป็นญาติฉัน" นิมมานลงเสียงหนักท้ายประโยค

ชานนอยากเชื่อและวางใจเพื่อนอยู่เหมือนกัน แต่มันไม่สำคัญเลยว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ คนที่ต้องการความมั่นใจที่สุดคือจันทร์เจ้า คนรักของเพื่อนต่างหาก

"ถ้าฉันพูดไม่ดีก็ขอโทษแล้วกัน แต่แกอย่าลืมนึกถึงความรู้สึกเอ๋ยบ้างล่ะ" เขาทิ้งท้ายก่อนเปิดประตูออกไป

นิมมานหยุดคิดตามแล้วก็ต้องถอนใจแรง คำพูดของเพื่อนหมายความว่าจันทร์เจ้าไม่เชื่อเขาอย่างนั้นหรือ แต่อย่างน้อยเธอควรจะไว้ใจเขา เพราะตั้งแต่เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกันมานับสิบปี และคบหากันในฐานะคนรักเข้าสู่ปีที่ห้านี้ เขาไม่เคยนอกใจเธอหรือให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนไหนเป็นพิเศษสักคน

เขารู้ดีเสมอว่าความเจ้าชู้จะนำมาซึ่งความวุ่นวายและทุกข์ใจแก่ผู้หญิงที่รัก พ่อคือตัวอย่างที่ดีที่เขาได้เรียนรู้ แม้บั้นปลายชีวิตพ่อจะหยุดที่แม่ก็ตาม จันทร์เจ้าเองก็รู้เหตุผลนี้ แต่ทำไมเธอจึงไม่เชื่อมั่นในตัวเขาและหวั่นไหวง่ายดาย

ชายหนุ่มต้องหยุดความคิดเมื่อมีสายภายในโอนเข้ามา เป็นพนักงานคนหนึ่งที่โทรมาแจ้งหมายเลขโทรศัพท์ของพิทักษ์ เจ้าของบ้านเรือนไทยหลังนั้นนั่นเอง

นิมมานลืมเรื่องคนรักออกไปจากใจเสียสนิท เขารีบต่อสายไปตามหมายเลขที่ได้มา แล้วหัวใจก็เต้นระรัวเมื่อมีเสียงผู้ชายตอบรับกลับมา

"คุณพิทักษ์หรือครับ ผมนิมมาน จากฟิวเจอร์ดีไซน์"

"ขอโทษครับ ตอนนี้คุณพิทักษ์ไปยุโรป ท่านให้โทรศัพท์ติดต่องานไว้กับผม มีอะไรฝากไว้ได้ครับ"

ชายหนุ่มกดขมับอย่างอ่อนใจ นี่เขาต้องพลาดสืบหาความเป็นมาของบ้านหลังนั้นออกไปอีกหรือ เขารอได้ แต่ประณีตเล่า เขาห่วงความรู้สึกของเธอ อยากช่วยเธอสมหวังในเร็ววัน

"คุณพิทักษ์จะกลับมาเมื่อไรครับ พอดีผมจะยื่นค่าใช้จ่ายซ่อมแซมบ้านที่รังสิตน่ะครับ"

"อ๋อ ฝากผมไว้ก็ได้ครับ กว่าคุณพิทักษ์จะกลับก็อีกสองสัปดาห์"

สองสัปดาห์ที่เขาจะได้สืบหาความเป็นมาของบ้านและผู้อยู่อาศัยในอดีตถูกเลื่อนออกไป

นิมมานเพียงตอบรับว่าเขาจะส่งเอกสารต่างๆ ไปให้เร็ววันนี้ก่อนวางสาย ชายหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้พลางทอดถอนใจ เขาจะกลับไปให้คำตอบเธออย่างไรโดยไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าสร้อยของเธอ

.......................

นิมมานเปิดประตูห้องพักตนเข้าไปพบกับความว่างเปล่า เขารีบก้าวยาวพลางกวาดสายตามองหาหญิงสาวที่ควรอยู่ที่นี่ แต่แล้วหัวใจที่แทบหยุดเต้นก็กลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมองเข้าไปยังประตูห้องนอนที่เปิดทิ้งไว้ก็ได้เห็นเจ้าหล่อนนั่งพับเพียบ หันหน้ามองออกไปนอกกระจกใสอย่างเหม่อลอย

ภาพนั้นสะท้อนใจผู้พบเห็น เหมือนนกน้อยในกรง เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ถูกกักขัง เธอคงเบื่อและเหงาที่ต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในห้องลำพัง

"นิด"

ประณีตหันมาเมื่อเขาเอ่ยเรียก ชายหนุ่มฝืนแย้มยิ้มให้โดยมีรอยยิ้มเศร้าตอบกลับมา

"ทำไมไม่ออกมาข้างนอกล่ะครับ ออกมาดูทีวีก็ได้ ผมสอนวิธีเปิดแล้วนี่นา"

"ดูแล้วค่ะ ดิฉันเบื่อก็เลยปิดเสียดีกว่า มองดูคนผ่านไปใครมากับรถราภายนอกก็เพลินดี"

"แล้วนิดทานข้าวหรือยัง"

"ค่ะ ดิฉันคงชอบทำอาหารเสียแล้ว"

ดวงตาเศร้าหมองค่อยมีประกายแต่งแต้ม นิมมานหัวเราะขัน คงสะดวกกว่าเดิมแน่ล่ะเมื่ออาหารแช่แข็งที่เขาซื้อมานั้นปรุงสำเร็จ เพียงเธอนำไปใส่ไมโครเวฟ ทุกอย่างก็พร้อมทานโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนยุ่งยาก

ก่อนรอยยิ้มของชายหนุ่มจะจางลงไป เมื่อครานี้ประณีตขยับหันมาเต็มตัว เอ่ยถามคำถามซึ่งเขายังไม่พร้อมให้คำตอบแก่เธอ

"คุณทราบข่าวคุณพ่อกับคุณป้าของดิฉันหรือยังคะ"

นิมมานลอบถอนใจ เขาถือวิสาสะเดินเข้ามาใกล้พลางนั่งขัดสมาธิข้างเธอ

"วันนี้ผมลองติดต่อคุณพิทักษ์...เจ้าของบ้านคนปัจจุบันแล้ว แต่เขาไม่อยู่ เขาไปยุโรปสองสัปดาห์ครับ"

สีหน้าผู้รับสารหมองลง กระนั้นเธอก็ผงกศีรษะเข้าใจ ไม่โทษเขาสักนิดเดียว นอกจากโทษโชคชะตาที่ช่างเล่นตลกเหลือเกิน

"แต่พรุ่งนี้วันหยุด เราจะลองไปหาบ้านคุณพ่อคุณกันนะครับ นิดช่วยบอกทางผมแล้วกัน และผมอยากให้คุณสัญญาว่าจะไม่ผิดหวัง เสียใจจนเกินไป ไม่ว่าบ้านหลังนั้นจะยังอยู่หรือไม่ก็ตาม"

ประณีตเงยหน้าสบตาเขาอีกครั้งด้วยประกายตาโชนแสง จริงสินะ จะเกิดอะไรขึ้นกับบ้านที่ถูกยึดหลังกลุ่มคนเหล่านั้นยัดเยียดโทษกบฎให้พ่อของเธอ เมื่อก่อนนั้นเธอไม่เคยใส่ใจเท่าที่ควร ทุ่มเทกับการตามหาท่านเท่านั้น

"ดิฉันเสียใจอย่างถึงที่สุดมาแล้วค่ะ หากจะต้องพบพานความผิดหวังอีกครั้ง ก็คงไม่หนักหนาเกินรับกระมัง"

เธอฝืนแย้มยิ้มบางให้เขา ผู้ที่มีน้ำใจต่อเธอเหลือเกินในยามนี้

ทว่าคำพูดนั้นเสียดแทงใจของนิมมาน เขาไม่อาจสบแววตาเข้มแข็ง ทะนงของเธอได้เต็มตา ชายหนุ่มพลอยรู้สึกอึดอัดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาต้องเสเปลี่ยนเรื่องให้ห่างไกลความทุกข์ของเธอออกไปมากที่สุด

"งั้นเย็นนี้เราออกไปทานข้าวข้างนอกดีไหม นิดจะได้เปิดหูเปิดตา ดูชีวิตผู้คนสมัยนี้บ้างเป็นไง"

ครานี้ประณีตยิ้มออกมาทั้งปากและตา หากดอกไม้ริมหนทางที่เธอไม่คุ้นเคยสายนี้คือความสุขเล็กๆ น้อยๆ เธอก็หวังจะเก็บดอกไม้เหล่านั้นไว้ให้ชื่นใจชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี

......................

หญิงสาวจากอดีตไม่คิดเลยว่าห้างสรรพสินค้าในอนาคตอีกแปดสิบปีข้างหน้าจะใหญ่โตถึงเพียงนี้ ช่างแตกต่างจากห้างดังของพระนครที่เธอเคยไป และห้างของอารีนั้นก็ดูจะเล็กเพียงตึกแถวข้างทางที่พบเห็นได้ทั่วไป

"ทุกอย่างใหญ่โตเหลือเกินนะคะ"

"คุณเห็นรางข้างบนนั่นไหม นั่นคือรางรถไฟฟ้าครับ" นิมมานชี้ชวนดูขณะรถติดอยู่หน้าห้าง

ประณีตชะเง้อมองตาม ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ "รถไฟฟ้า... หมายถึงรถไฟหรือคะ"

"ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ในเชิงรูปลักษณ์ แต่รถไฟฟ้าทำงานด้วยไฟฟ้า และรางของมันอยู่บนฟ้า"

เขาหันไปยิ้มใส่ตาเธอที่เก็บอาการตื่นตาตื่นใจไม่อยู่ ชายหนุ่มหวนนึกถึงหญิงสาวผู้สดใส ร่าเริงในความฝัน เขาปรารถนาจะเห็นรอยยิ้มบริสุทธิ์เช่นนั้นตลอดไป

ประณีตมองดูผู้คนมากมายก้าวเดินอย่างเร่งรีบ น่าอัศจรรย์ที่พวกเขาบางคนเดินก้มหน้า แต่กลับไม่ชนเข้ากับคนที่เดินสวนมา

"ประเทศของเราเจริญรุดหน้ามากขึ้นนะคะ ในสมัยดิฉัน คนที่ซื้อของจากห้างล้วนเป็นผู้มีอันจะกิน แม้แต่ส่วนตัวดิฉันยังโดนคุณพ่อเอ็ดหากจับจ่ายสิ้นเปลือง"

นิมมานมีสีหน้าจืดเจื่อนลง เขาละอายที่จะตอบเธอว่ามันเป็นวิถีชีวิตของผู้คนสมัยนี้ ไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจของประเทศหรือชาวไทยทุกคนจะร่ำรวยขึ้น

"เราเจริญขึ้นตามกาลเวลา แต่ก็ไม่ใช่กับทุกสิ่งหรือทุกที่หรอกครับ ตอนนิดอยู่ที่นี่ ผมอยากให้นิดรู้จักความเป็นไปต่างๆ เผื่อว่ามันจะเป็นประโยชน์บ้าง และนิดจะได้ไม่เบื่อ"

หญิงสาวเหม่อมองเสี้ยวหน้าของผู้ที่ลดกระจกรถลงขณะเลี้ยวเข้าสู่ลานจอดรถคล้ายที่ตึกที่พักของเขา เธอไม่มีวันลืมเลยว่าช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตตนได้รู้จักกับคนจิตใจดีคนหนึ่ง ผู้มีน้ำใจอันงดงาม

"ดิฉันจะระลึกถึงช่วงเวลานี้ตราบชั่วชีวิตของดิฉัน"

นิมมานรับบัตรจอดรถมาจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพลางหันมองใบหน้าที่มีพรายยิ้มประดับ หัวใจคนฟังโลดแรงขึ้นเพียงเพราะประโยคนั้น ทั้งที่เธอไม่ได้เอ่ยถึงเขาสักคำ หากเขาก็คิดพาตัวเองรวมเข้าไปอยู่ในความทรงจำ ณ ช่วงเวลานี้ของเธอ

ทำไมนะ ความรู้สึกที่เขามีต่อหญิงสาวผู้นี้จึงมากมาย รุนแรงกว่าที่เคยเกิดขึ้นกับสตรีใดที่ผ่านเข้ามา ยามเธอสุข หัวใจเขาพองโตและมองทุกอย่างสวยงามไปหมด แต่ยามเธอทุกข์ หัวใจราวกับถูกมัดด้วยเชือกซึ่งมองไม่เห็น เขาเจ็บปวดไปกับเธอ

นอกจากแม่ ผู้ที่เขารักและเทิดทูนที่สุดในชีวิต ความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับใครเลย แม้กระทั่งจันทร์เจ้า...ผู้หญิงที่เขาควรใส่ใจเธอให้มากก็ตาม

"อุ๊ย"

เสียงอุทานของคนใกล้ตัวเรียกสตินิมมานกลับมาอีกครั้ง แล้วเขาก็ทันเห็นว่าเธอเปิดประตูรถลงไปก่อนเขาเสียอีก ชายหนุ่มรีบกดล็อกรถอัตโนมัติ ก่อนจะก้าวยาวไปหาผู้ที่ก้มสำรวจรองเท้าตน

เขายอบตัวลงนั่งบนปลายเท้าข้างเธอ แล้วจึงได้เห็นรองเท้าแตะยางสีดำฉีกขาดเล็กน้อย สมกับสภาพที่ดูผ่านการใช้งานมานานซึ่งคงเป็นของใครสักคนลืมทิ้งไว้ที่เรือนหลังนั้น นิมมานอดกลั้นยิ้มขันไม่ได้ขณะเงยหน้าสบแววตาตระหนกของเจ้าหล่อน

"ผมนี่แย่จริง ซื้อชุดให้คุณใหม่แต่ดันลืมซื้อรองเท้า" เขาเอ่ยขันๆ พลางลุกยืนเต็มความสูง “ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลยครับ”

"ก็... คุณช่างพูดให้ดิฉันได้อาย" เธอเฉไฉ

คราวนี้ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเต็มเสียงเมื่อได้รับค้อนงาม ไม่อยากเชื่อเลยว่าบนโลกนี้จะมีผู้หญิงที่ตื่นตระหนกเพราะรองเท้าขาด แต่กับเธอคนนี้มักมีสิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจได้ทุกครั้งไป

"ขอโทษเถอะ ผมไม่ได้หัวเราะเยาะคุณ ไปเถอะครับ ไปหาซื้อรองเท้ากันก่อน แล้วคุณจะได้เดินสบายๆ"

ประณีตไม่วายทิ้งค้อนซึ่งทำให้อีกฝ่ายเอ่ยต่ออย่างเห็นขัน ขณะออกเดินไปด้วยกัน

"คุณรู้ไหม มีแต่ผู้หญิงไทยเท่านั้นที่ช่างค้อน ไม่ว่ายุคสมัยไหน"

"อ้อ แล้วพวกแหม่มเขาทำกันอย่างไรเล่าคะ" เธอถามพลางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

"เธอก็คง...เท้าสะเอว มองกันตรงๆ มั้งครับ"

"ไว้ดิฉันจะฝึก เผื่อเป็นผู้ศิวิไลซ์บ้าง"

นิมมานยิ้มอ่อน จับความดื้อในน้ำเสียงของเธอได้อยู่เหมือนกัน

"อย่าเลยครับ ผู้หญิงไทยมีเสน่ห์ที่สุดไม่ว่ายุคสมัยไหน"

"เพราะผู้หญิงไทยหัวอ่อนกระมังคะ เธอจึงถูกร้อยไว้ใต้อาณัติบุรุษ อารีเคยพูดกับดิฉัน ซึ่งถูกต้องที่สุด"

ถ้อยความนั้นเสียดลึกในหัวอกชายหนุ่ม ใครกันที่เปลี่ยนหญิงสาวสดใสในอดีตให้มองโลกในแง่ลบเช่นนี้ เขาอยากกล่าวโทษคนคนนั้น ผู้ที่ช่างมีอิทธิพลต่อความคิดเธอเหลือเกิน

นิมมานหวนนึกถึงบุรุษรูปงาม ท่าทางเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้วที่ตนฝันถึงเมื่อคืน เขาไม่ได้เล่าให้เธอฟัง บางสิ่งร้องเตือนในใจว่าไม่ควรรื้อฟื้นถ้าเขาอยากเห็นเธอมีความสุข หากเขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าบุตรชายคนเดียวในครอบครัวนั้นทำอะไรให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจ

"เราไปไกลจากเรื่องรองเท้าแล้วนะครับ แวะร้านนี้ก่อนเถอะ" ชายหนุ่มเอ่ยติดตลกพร้อมกับแตะศอกเธออย่างสุภาพให้เข้าไปด้วยกัน

ประณีตมองกระจกใสหน้าร้านซึ่งมีรองเท้าและกระเป๋าจัดแสดงอยู่ภายใน เธอตามเขาเข้าไปยังร้านเครื่องหนัง ที่ซึ่งมีกระจกเต็มบานและเก้าอี้เหลี่ยมไร้พนักตั้งอยู่กึ่งกลางร้าน ล้อมรอบด้วยชั้นวางสินค้ารอบด้าน

หญิงสาวเผลอปรายตามองเงาสะท้อนของตนในกระจก แล้วก็ได้เห็นเงาผู้หญิงสาวผมสั้นเป็นระเบียบสะท้อนกลับมา สิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมคือเสื้อผ้าที่สวมใส่ เสื้อเชิ้ตแขนกุดพิมพ์ลายจุดหลากสีเพิ่มความสดใส แปลกตาให้แก่เธอ ยิ่งเมื่อสวมกับกางเกงผ้าขาสามส่วนสีขาวดังที่สตรีในยุคนี้นิยมสวมใส่กางเกงเช่นผู้ชาย เธอก็ได้แต่มองภาพสะท้อนของตนอย่างไม่คุ้นเคย

กระทั่งเงาของคนที่เธอรู้จักดีปรากฏขึ้นเบื้องหลัง ประณีตรีบหันขวับกลับไป แล้วเธอก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อพบใบหน้าคุ้นตาของเอื้อส่งยิ้มละไมมา

..................................

"หนูนิดลองสวมดูนะคะว่าพอดีไหม"

ประณีตมองผู้ที่นำรองเท้าซึ่งเธอสั่งตัดมาให้ด้วยตัวเองอย่างคาดไม่ถึง แล้วดูเถอะ เผลอเดี๋ยวเดียวแม่เพื่อนตัวดีที่มาด้วยกันก็หายไปเสียแล้ว รวมทั้งเจ๊กซึ่งดูแลห้างนี้ก็หายไปเช่นกัน

"เจ๊กตงกำลังหาคู่ที่อารีสั่งไว้ค่ะ พี่จึงอาสานำรองเท้ามาให้หนูนิด" เขาบอกราวล่วงรู้ความคิดเธอ

หญิงสาวก้มหน้าเขินอายเมื่อร่างสูงก้าวมาใกล้มากขึ้น หัวใจสาวเต้นไม่เป็นส่ำอย่างที่มักเป็นเมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษผู้นี้เท่านั้น

"พี่ต้องให้รางวัลอารีกระมัง พาลูกค้ามาถึงร้านได้" เขาเอ่ยเสียงเบาพอให้เธอได้ยิน

ประณีตช้อนตามองวูบหนึ่ง แล้วเธอก็ต้องหลุบตาลงอีกครั้งเมื่อสบเข้ากับประกายตาพราวระยับที่ทำเอาก้อนเนื้อในอกพลิกคว่ำพลิกหงาย

"คุณพี่" ประณีตอุทานเมื่อชายหนุ่มยอบตัวนั่งพลางหยิบรองเท้าจากกล่องมาวางให้แทบเท้าเธอ จนตนต้องก้าวถอยด้วยความกระดากอาย

"ลองดูสิคะ"

เอื้อลุกยืนอีกครั้ง หญิงสาวจึงค่อยสอดปลายเท้าเข้าไปยังรองเท้าหนังส้นเตี้ยสีขาวซึ่งสั่งตัดพิเศษ เพิ่มความเก๋ด้วยสายรัดสีเดียวกันบนหลังเท้า ขนาดที่พอดีและพื้นรองเท้านุ่มเรียกรอยยิ้มพึงใจของลูกค้าสาว เธอลืมตัวสบตาชายหนุ่มตรงๆ เนิ่นนาน

"แหม นิดสวมแล้วสวยจริง ช่างงามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายก้อย" เสียงเอ่ยชมเกินจริงดังขึ้นขัดจังหวะหนุ่มสาว

อารีก้าวออกมาจากหลังร้านด้วยท่วงท่ามาดมั่น เธอจงใจเยื้องย่างมาแทรกกลางระหว่างพี่ชายและเพื่อนรักของตน โดยที่เอื้อได้แต่นิ่วหน้ามองน้องที่ช่างขัดจังหวะอย่างทั้งฉุนระคนอ่อนใจ

"งามไหมคะคุณพี่เอื้อ" เจ้าหล่อนจีบปากจีบคอถาม "อุ๊ย ไม่ใช่นิดนะคะ หมายถึงน้อง"

ประณีตยกมือปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะ อารีนี่เซี้ยวจริง แล้วเธอก็ได้เห็นใบหน้าแดงระเรื่อของหนุ่มนักเรียนนอกที่คงโกรธและเขินอายเมื่อกลายมาเป็นตัวตลกให้น้องสาว

ไม่นานหรอกที่เอื้อจะยอมเสียทีให้แม่น้องสาว เขายืนตรงพลางไขว้มือไว้ข้างหลัง แสร้งกวาดตามองรูปลักษณ์ของน้องตนตั้งแต่ศีรษะลงมา

"อารีน่ะรึ ถ้าอารีขี้ริ้ว ผู้หญิงทั้งพระนครก็คงดูไม่ได้ดอก"

ประณีตกลั้นยิ้มขั้น กระแสเสียงป้อยอเกินจริงนั้นเหมือนจะสื่อความนัยอีกทาง ทว่าอารีกลับรับคำชมง่ายๆ

"ขอบพระคุณค่ะ ตัวน้องก็พอรู้ กระจกบนห้องบอกอยู่ทุกวันนี่คะ" หญิงสาวผิวคมขำเชิดหน้าตอบ ก่อนผินมองเพื่อนที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างๆ "ดูเถอะค่ะ แม่นิดยังพยักหน้าหงึกๆ พอเถอะจ้ะนิด ฉันรู้ตัวดอก"

"โธ่ อารี เธออย่าทำให้ฉันขำซี"

ประณีตหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น แล้วจึงได้รับค้อนวงงามจากเพื่อนสนิทที่เอ่ยขอตัวนำรองเท้าไปเก็บอย่างแสนงอน

"อารีนี่โกรธง่ายจริง" ผู้เป็นพี่เปรยอย่างอ่อนใจ

"อารีน่ะหรือคะ อารีไม่เคยโกรธใครดอก เธอมักสร้างความบันเทิงให้คนรอบข้าง ประเดี๋ยวก็ยิ้มร่าออกมาแล้วค่ะ ฉันจึงชอบกับอารีมาก" เธออดแก้แทนเพื่อนมิได้

"อย่างนั้นหรือ หนูนิดรู้จักอารีดีกว่าพี่อีก"

จากความขัดเขินก่อนหน้านี้ เมื่อมีคนกลางให้สนทนาถึง หญิงสาวก็ค่อยคลายความประหม่าลงไป

"คุณพี่กลับมาแล้ว ประเดี๋ยวก็รู้จักอารีมากขึ้นค่ะ อารีเธอรักและภูมิใจในตัวพี่ชายมาก เธอเล่าให้เพื่อนฟังเสมอ"

"แต่ในจดหมายที่ส่งไปสิงคโปร์ อารีเธอเล่าถึงเพื่อนคนเดียวเท่านั้น จนพี่คิดว่าแม่ประณีตช่างดีเสียจริง คงเป็นคนเดียวที่ทนคบน้องพี่ได้"

"ไม่จริงดอกค่ะ"

ประณีตก้มหน้าเขินอายอีกครั้ง เมื่อเรื่องวกมาถึงตนจนได้

"อะไรไม่จริงหรือหนูนิด ถ้าเป็นเนื้อความในจดหมายล่ะก็ อารีเธอเล่าถึงหนูนิดเพียงสองครั้งดอก หลังจากนั้นพี่เป็นคนขอให้อารีเล่ามาเอง"

"ฉันหมายถึงอารีมีเพื่อนมากต่างหาก" หญิงสาวเค้นเสียงเอ่ยอย่างอัดใจ

"อ้อ หมายถึงเรื่องนั้นหรอกรึ พี่ก็เกรงว่าหนูนิดจะไม่เชื่อจึงอธิบายความเสียยืดยาว" เอื้อตอบกลับกลั้วหัวเราะ

ประณีตก้มหน้าสะเทิ้นอาย คนน้องว่าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแล้ว คนพี่ก็ดูจะหนักกว่าสักเท่า โดยเฉพาะดวงตาพราวประกายใต้คิ้วเข้มนั้นที่ราวกับมีมนต์สะกดดึงดูดให้เธอสูญเสียความมั่นใจอยู่ร่ำไป

.........................

ใจร้อนรุ่มของนิมมานค่อยสงบลงเมื่อแพขนตาซึ่งปิดสนิทของผู้ที่เป็นลมกะพริบไหว หลังจากก่อนหน้านี้เธอทำให้เขาใจหายใจคว่ำเมื่อล้มพับไปต่อหน้าต่อตา เขาปล่อยรองเท้าคู่สวยในมือพลางรับร่างบางไว้ได้ทัน ก่อนพนักงานร้านจะนำยาดมมาให้เขาแกว่งไกวปลายจมูกหญิงสาว

ประณีตปรือตามองรอบตัว บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าระหว่างย้อนกลับไปในอดีตหรือข้ามผ่านกาลมายังอนาคตเช่นนี้ อย่างไรดีกว่ากัน เธอฝืนกล้ำกลืนน้ำตา ไม่อยากให้ผู้ที่ดีต่อเธอที่สุดไม่สบายใจ ทั้งที่ตอนนี้ตนสับสนเหลือเกิน

ประณีตทรงตัวนั่งตรงเมื่ออาการวิงเวียนก่อนนี้บรรเทาลง เธอมองรองเท้าหุ้มส้นสีขาว มีลายฉลุดอกไม้เล็กๆ ซึ่งวางอยู่แทบเท้าตน แล้วจึงดึงสายตากลับมายังชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ กัน สีหน้าเขายังไม่คลายกังวลเสียทีเดียว

"คุณไม่เป็นไรจริงหรือ ผมไม่สบายใจเลยนิด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณเป็นลม"

น้ำเสียงเข้มงวดนั้นเรียกพรายยิ้มบางจากผู้ฟัง จากที่เคยสับสน ไม่มั่นใจไม่ว่าทางใดทั้งนั้น แต่น้ำเสียงอันแสดงถึงความห่วงใยของเขาก็เรียกความเชื่อมั่นที่จะฟันฝ่าโชคชะตาต่อไปอีกครา เพราะมีชายผู้นี้คอยอยู่เคียงข้างนั่นเอง

"คุณป้าดิฉันก็ไม่ได้ลมจับแค่ครั้งแรกและครั้งเดียวนี่คะ"

"นิด ไม่ตลก" เขากดเสียงดุคนช่างเฉไฉ

ประณีตย่นจมูกพลางหลุบเปลือกตาลง บทจะจริงจังขึ้นมาเขาก็เน้นเสียงเน้นคำเหมือนคุณพ่อ ไม่เหลือเค้าคนใจดี ใจเย็นเลย

"ดิฉันสบายดีค่ะ"

นิมมานลอบผ่อนลมหายใจ ได้รู้อีกอย่างว่าเธอช่างแสนงอนแล้วก็นึกเอ็นดู ออกจะพึงใจเสียด้วยซ้ำที่เจ้าหล่อนได้แสดงอารมณ์หลากหลาย ไม่ใช่ปิดตัวเองด้วยเกราะที่ใครก็เข้าไม่ถึงจิตใจเธอ

"เอาเถอะ ถ้านิดเป็นลมอีกครั้ง ผมสาบานว่าคุณต้องลืมตาขึ้นมาในโรงพยาบาลแน่ๆ" เขาขู่เสียงไม่จริงจัง "เพราะฉะนั้นนิดต้องดูแลตัวเอง ทานเยอะๆ และอย่าคิดมากนะครับ"

"ค่ะ ดิฉันจะไม่ก่อเรื่องให้คุณต้องวุ่นวายใจ" เธอตอบด้วยหางเสียงปึ่งงอน

"จริงเร้อ นิดพูดเองนะว่าจะไม่ดื้อกับผม" ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย "ถ้าอย่างนั้นผมซื้ออะไรให้ก็ต้องใช้ ต้องชอบ และต้องชม"

ประณีตมองค้อนคนเผด็จการ แต่แล้วก็ต้องอุทานตกใจเมื่อนิมมานขยับไปนั่งบนปลายเท้า เขาเลื่อนรองเท้าคู่ใหม่มาใกล้เธอพลางเลิกคิ้วทวงคำสัญญา

"คุณนนท์"

หัวใจเขาพองโตประหลาดแค่เพียงเธอเอ่ยชื่อเขาเป็นครั้งแรก

"ครับ"

"อย่าทำอย่างนี้ค่ะ ไม่งาม"

"ไม่งามหรือ แต่ผมชอบคู่นี้นี่นา"

"โธ่ ดิฉันไม่ได้หมายความเช่นนั้น" หญิงสาวเอ่ยอย่างอ่อนใจ "ลุกเถิดค่ะ ดิฉันยอมแล้ว จะสวมแล้ว"

นิมมานหัวเราะในลำคอ เขายอมลุกยืนถอยไปมองเธอสวมรองเท้าคัชชูที่ตนเลือก ก่อนจะชำระเงินด้วยบัตรเครดิตกับพนักงาน

หนุ่มสาวใช้เวลาเที่ยวชมห้างสรรพสินค้าอย่างเพลิดเพลิน การอธิบาย บอกเล่าถึงสิ่งต่างๆ โดยมีสีหน้าใคร่รู้ของผู้ฟังคอยรับฟังกลายเป็นความภาคภูมิใจของเขา

จากเดิมที่เคยมองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป เขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่ธรรมดาสามัญสำหรับคนรุ่นหนึ่งอาจเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ของผู้คนอีกยุคสมัยหนึ่งก็ได้ แม้แต่เขาในตอนนี้กับอนาคตอีกห้าสิบปีข้างหน้า เขาคงรับฟังลูกหลานเล่าความเป็นไปของโลกภายนอกด้วยสีหน้าเช่นเดียวกันกับเธอ

..................................

เรื่องนี้จะตัดฉากอดีตสลับกับปัจจุบันอยู่บ่อยๆเลยค่ะ
อ่านแล้วงงตรงไหนบอกแพรวได้นะคะ
รวมถึงเรื่องคำพูดในช่วงอดีตด้วยที่แพรวไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร
ใครมีคำแนะนำก็ยินดีมากค่ะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ต.ค. 2557, 15:47:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ต.ค. 2557, 15:47:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 1330





<< บทที่ ๒    บทที่ ๕ >>
แว่นใส 20 ต.ค. 2557, 12:24:02 น.
หน้าตาสลับวิญญาณหรือเปล่า ถึงได้มีความรู้สึกอย่างนั้น


ภาพิมล_พิมลภา 24 ต.ค. 2557, 15:58:50 น.
อันนี้ก็ต้องติดตามต่อไปนะคะ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account