...คาสบลังก้า...ดารัลฟาเดล...(จบแล้วค่ะ)
สืบเนื่องมาจากเรื่อง "อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม"
เรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของลูกสาวสุดหวงของหมอดานีส
กับนาดา โดยเรื่องราวของคุณพ่อเมื่ิอครั้งก่อนนั้น
จะเป็นแนา "แต่งก่อนจีบ"
แต่สำหรับรุ่นลูกแล้ว จะเป็นแนว "จีบก่อนแต่ง"

ต้องมาคอยดูกันค่ะว่า จะจีบกันอย่างไร แล้วคุณหมอดานีส
ที่ต้องมารับบทบาทเป็นพ่อของลูกทั้งเจ็ดจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร..
แล้วนาดาจะเป็นแม่แบบไหน...



เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศของเมือง
"คาสบลังก้า" หรือ "อัดดารัลบัยฎออ์"
ซึ่งแปลว่า..."บ้านสีขาว"
ดินแดนในฝันดั่งต้องมนต์เสน่หาแห่งโมร็อกโก...
กับดินแดนอันแสนอบอุ่นด้วยไอรักแห่งแดนอาทิตย์อุทัย...

พบกับเขาและเธอ...

...ดารัล...ฟาเดล...

หญิงสาวที่หัวใจเปี่ยมล้นไปด้วยความรักความอบอุ่น
จากครอบครัวอันแสนสุขและน่ารัก...
ชีวิตที่มีพร้อมทุกอย่าง ไม่เคยต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
เพราะเธอพอใจทุกอย่างที่มีมาตลอด

จนเมื่อเจอกับเขา...ที่นั่น "คาสบลังก้า"
เขาทำให้เธอไม่อาจลบลืมมนต์เสน่หาของที่นั่นได้เลย
ไม่ว่าจะยามหลับหรือตื่น...

กับ

ชายหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยรูปเปลือกที่สวยงามสมบูรณ์
หากภายในใจนั้นยังคงโหยหาไออุ่นแห่งรักจากใครสักคน
มาเติมเต็มหัวใจกำพร้าของเขา...

แล้วเธอคือผู้ที่เขาค้นพบว่ามีทุกอย่างที่เขากำลังต้องการอยู่
ดังนั้น...ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร เขาก็จะปล่อยเธอ
ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด!




Tags: หวานซึ้งโรแมนติก ดราม่า โมร็อกโก คาสบลังก้า ทะเลทรายซาฮาร่า ดารัล ฟาเดล โสภณพสุธ

ตอน: บทที่ 10 สัญญาสงบศึก



สัญญาสงบศึก



ฟาเดลกับดารัลตกลงกันว่าจะร่างสัญญาสงบศึกขึ้นมา
เพื่อเป็นการเปิดทางให้ทั้งสองได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ต่อจากนี้
โดยให้ต่างฝ่ายต่่างเขียนในสิ่งที่ตัวเองนั้นต้องการจากอีกฝ่าย
หรือเงื่อนไขลงไปในกระดาษเอสี่

ฟาเดลกับดารัลนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องสมุดของบ้านคนละฟากกัน
ชายหนุ่มเงยหน้ามองภรรยาทางนิตินัยนิ่งนาน ก่อนจะตัดสินใจจรดปากกาลง
ก่อนจะคว่ำกระดาษแผ่นนั้นลงแล้วยื่นมันไปยังฝั่งตรงข้ามทันที
ด้วยแววตาเฉียบขาด…

เป็นฝั่งดารัลเสียอีกที่นั่งเคาะปากกาอยู่นานว่าเธอต้องการอะไรจากคนตรงหน้า…

เธอแต่งงานกับเขาเพราะปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติของตัวเอง
และต่อจากนี้เล่า เธอจะยื่นเงื่อนไขอะไรให้เขา

หญิงสาวลอบมองชายหนุ่มผู้เป็นสามีท่ีไม่คิดจะรุกรานเธอ
มากไปกว่ากอดกับหอมแก้ม…เขาไม่บังคับขืนใจเธอ
บอกว่านานเท่าไหร่ก็รอได้ รอวันที่เธอจะพร้อมและเต็มใจ…

เธอเองอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจในข้อนี้ของเขา
เพราะผ่านมาสองสัปดาห์แล้วที่เขากับเธอใช้ชีวิตคู่กัน นอนห้องเดียวกัน
โดยที่เธอยึดเตียงนอนขนาดใหญ่เพียงคนเดียว ส่วนเขาขันอาสา
ยึดโซฟาตัวใหญ่ในห้องเธอแทน…

คิดแล้วก็ให้เห็นใจอยู่เช่นกัน
แต่เมื่อนึกถึงการมีความสัมพันธ์ในลักษณะคู่สามีภรรยา
ดารัลไม่อาจทำใจได้เลย เธอรู้สึกขนลุกทุกครั้งที่นึกถึงด้วยซ้ำไป…

ไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนเธอหรือเปล่า แต่เธอขนลุกซู่เลยทีเดียว
ยิ่งเมื่อพิศใบหน้าหล่อเหลาเอาการของเขา บวกกับรูปร่างแข็งแกร่ง
ชวนให้สาวๆหลงใหลใฝ่ฝัน อีกทั้งกริยาท่วงท่าของเขาที่ดูดีและลงตัวนั้น
ความรู้สึกหนึ่งก็ผุดขึ้น

…เธอรู้แล้วล่ะว่าจะเขียนเงื่อนไขอะไรลงไป…

ไม่มากเลย…แค่ข้อเดียวเท่านั้นที่เธอต้องการจากผู้ชายตรงหน้า
ระหว่างที่ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน…ก่อนจะคว่ำกระดาษแล้วยื่นมันไปยังฝั่งตรงข้าม

สายตาสองคู่สบประสานกันก่อนจะพลิกกระดาษขึ้นมาดู

ฟาเดลกระตุกยิ้มที่มุมปากข้างนึงและเป็นแวบเดียวเท่านั้น
ก่อนมันจะหายไปเหลือเพียงใบหน้าราบเรียบแทนเมื่อเห็นคำว่า

‘ความซื่อสัตย์’

ส่วนดารัลเองมองข้อความสั้นๆบนกระดาษในมือแล้วหัวใจกระตุก
กับข้อความที่เขียนเป็นภาษาอาหรับว่า

‘ฏออัต (การเชื่อฟังและความภักดี)’

แล้วทั้งสองก็เงยหน้าขึ้นสบตาพร้อมๆกันโดยมิได้นัดหมาย
ก่อนจะยิ้มออกมาพร้อมกัน…เป็นสายตาที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจความนัยได้ดี…

“ไม่มีอย่างอื่นแล้วแน่นะ…”ฟาเดลถามย้ำด้วยแววตาพราระยับ…

“แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ถ้าคุณทำได้…เพราะมันคือเรื่องเดียวที่ฉันจะไม่ทน”

ดารัลเอ่ยด้วยแววตาแฝงความท้าทายและฉายความแน่วแน่ในน้ำเสียง

“แล้วเงื่อนไขของพี่ล่ะ…เธอจะทำได้มั้ย…”

ดารัลลอบถอนใจ…ใครว่าเป็นเรื่องง่ายกับการที่ผู้หญิงดื้อรั้นอย่างเธอ
จะต้องรับเงื่อนไขที่เขาว่ามา…มันเป็นอะไรสั้นๆแต่ไม่ง่ายสักนิดเลย…

“ถ้าไม่ขัดกับหลักการอิสลาม และไม่ใช่ในเรื่องที่เป็นการจู้จี้จุกจิกเกินไป
ฉันทำได้แน่นอน”

ฟาเดลยิ้มทั้งปากทั้งตาเมื่อเห็นสีหน้ายุ่งยากของเธอ
ก่อนจะเอ่ยประโยคดังกล่าวออกมา…

ผู้หญิงจอมดื้อรั้น เอาแต่ใจคนนี้หรือจะทำตามเงื่อนไขเขาได้…

ส่วนเขาหรือ เขาไม่คิดจะนอกใจผู้หญิงตรงหน้าอยู่แล้ว…
ต่อให้เงื่อนไขที่เธอบอกมาจะเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ชายหลายๆคน
แต่กับเขาแล้ว เขาแน่ใจว่าเขาสามารถซื่อสัตย์กับเธอคนเดียวไปชั่วชีวิตได้
ถ้าเธอจะยินดีใช้ชีวิตทั้งชีวิตเป็นคู่ชีวิตเขา!

และเธอคงไม่รู้ว่าเงื่อนไขดังกล่าวมันทำให้เขารู้สึกดีแค่ไหน

อย่างน้อย เธอก็ ‘หวง’เขาล่ะ

…นับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีจริงๆ…


เป็นอันว่า ‘สัญญาสงบศึก’ ที่ร่างขึ้นด้วยคนสองคนเสร็จสมบูรณ์แล้ว
เมื่อต่างฝ่ายต่างเซ็น ‘สัญญาใจ’ ลงไปที่อกข้างซ้ายเพื่อเตือนตัวเองให้จดจำรำลึกมัน…




และเพราะระลึกถึง ‘สัญญา’ ดังกล่าวอยู่สม่ำเสมอ
ซึ่งเป็นสัญญาที่อยู่เหนือสัญญาหรือคำสาบานทั้งปวง
ทำให้ผู้หญิงที่แสนจะดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเองอย่างดารัล
ยอมหอบผ้าหอบผ่อนเดินทางข้ามทะเลไปยังดินแดนที่เธอได้พบเขาครั้งแรก

‘คาสบลังก้า’

ดินแดนที่เธอเคยลั่นวาจา สาบานกับเขาว่า จะไม่มีวันกลับไปเหยียบอีก

และนั่นทำให้เธอ ‘ผิดคำสาบาน’

และดูเขาจะทำสำเร็จในสิ่งที่เขาได้กล่าวท้าทายเธอไว้ก่อนหน้านี้เสียด้วย…

“ยินดีต้อนรับสู่คาสบลังก้าคร้าบบบบบบบ…”
เสียงของเขาดูจะรื่นรมย์สมใจเหลือเกินจนพาลทำให้หน้าตาสวยงามหมดจดถึงกับงอง้ำ

“ที่นี่คือที่ที่พี่ได้เห็นหน้าเธอเป็นครั้งแรกนะรู้ม้ัย…”เขากระซิบบอกเธอ
เมื่อพาเธอขึ้นมาถึงห้องนอนใหญ่ของคฤหาสถ์หลังงามที่มีอายุเกือบร้อยปี…
เกือบจะถูกบันทึกให้กลายเป็นโบราณวัตถุของที่นี่ไปแล้ว

“เธอเป็นผู้หญิงที่พี่ให้คำจำกัดความตอนนั้นว่า…สวยและหยิ่ง…”

ดารัลถึงกับค้อนขวับให้คนที่ยืิ่นหน้าเข้ามาทำตากรุ้มกริ่มหยอกเย้าเธอ
ทำเอาหัวใจเธอถึงกับกระตุก
ถ้าเขาเกิดเผลอไปยิ้มแบบนี้ให้สาวอื่นล่ะก็…ไม่อยากจะคิด…

“ถามจริงเถอะ…ถ้าไม่สวย จะหาเรื่องแต่งงานด้วยมั้ย…”ดารัลถามตรงๆ
อย่างนึกหมั่นไส้อีกฝ่ายเต็มขั้น ส่วนฟาเดลยิ้มขำ
นี่เธอใช้คำว่า ‘หาเรื่องแต่งงาน’ เลยเชียวหรือ…ฟังแปลกๆดีแท้…

“ไม่รู้สิ…แต่ที่รู้ๆก็คือ ที่นี่มีผู้หญิงสวยๆเยอะมาก…
และพี่ก็เคยไปเรียนต่อที่สวิสเซอแลนด์มาแล้วด้วย
เดินทางท่องเที่ยว ติดต่องาน และลงพื้นที่ในหลายๆประเทศ
ผู้หญิงที่นั่นต่างก็สวย…ผู้หญิงสวยมีทั่วทุกมุมโลก…
เหมือนดอกไม้สวยๆ ต้นไม้สวยๆที่มีทั่วไปอยู่บนหน้าแผ่นดิน…

พี่ชอบของสวย ชอบชื่นชมธรรมชาติ…และเลือกที่จะเก็บภาพสวยๆ
เหล่านั้นไว้ในความทรงจำและถ่ายภาพมาเก็บไว้…
ไม่ได้อยากจะเข้าไปยึดครองหรือแตะต้องมันให้มัวหมอง…
ถ้าพี่แค่อยากแต่งงานกับคนสวย…คงไม่อยู่รอมาจนป่านนี้แน่…”

ฟาเดลตอบขณะช่วยเธอยกกระเป๋าวางลงบนเตียง
แล้วจัดการกับกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองหยิบเสื้อผ้าเก็บเข้าตู้…

“ความสวยของเธออาจเป็นปัจจัยหนึ่ง เพราะพี่ชอบอะไรสวยๆงามๆ
แต่ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด…พี่ก็อยากจะหาคำพูดดีๆที่จะทำให้เธอประทับใจ
มาตอบเธอให้ได้เหมือนกันนะว่าเพราะอะไรที่แต่งงานกับเธอ”

ดารัลมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาแล้วอดรู้สึกเจ็บจี๊ดๆไม่ได้…

…นี่เขาไม่ได้รักเธอหรอกหรือ ถึงได้ขอเธอแต่งงาน…
…ก็แค่เขาจะบอกว่ารัก…เหตุผลแค่ไหนก็ยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้เธอเชื่อและมั่นใจ…
แต่เขากลับบอกว่าไม่รู้…

หรือว่าเป็นเพราะเธออยากได้อะไรที่มันยังไม่บังเกิดขึ้น

…เอาเถอะ…ค่อยดูกันต่อไปก็แล้วกัน

“เหตุผลที่ใกล้เคียงที่สุดที่พี่พอจะบอกเธอได้ตอนนี้ก็คือ…
พี่ถูกตาต้องใจเธออย่างที่ไม่เคยถูกใจใคร…
และมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆเธอ…อยากปกป้องดูแลเธอ
อยากเห็นเธอยิ้มและมีความสุข…”

พูดแล้วก็สบตาอีกฝ่ายขณะสาวเท้าไปหาร่างบาง
ชายหนุ่มวางมือบนไหล่ทั้งสองข้างของเธอแล้วรั้งให้เธอนั่งลงบนเบาะนุ่ม

“เธอคือสิ่งดีงามสำหรับพี่นะ…ไม่ใช่แค่สวยเท่่านั้น…”เขานั่งลงข้างๆ
แล้วขโมยหอมแก้มอีกฝ่ายโดยที่เจ้าตัวไม่ทันตั้งตัว…
ทำเอาดารัลถึงกับหน้าแดงระเรื่อ…สะดุ้งตกใจ…

“อยากได้ยินอะไรหวานๆแบบนี้ก็ไม่บอก…”เขากระเซ้าเย้าแหย่ไม่เลิก

“ผู้ชายเราจะเน้นการแสดงออกทางการกระทำมากกว่าคำพูด…
แต่เพราะพี่รู้ว่าผู้หญิงต้องการความมั่นใจ พี่ถึงต้องพยายามหาคำพูดอะไรสักอย่าง
ที่ใกล้เคียงมาบอก…พี่ไม่เก่งนักหรอก ไม่ใช่นักพูดที่ดีสักเท่าไหร่
แต่พี่ก็อยากเห็นเธอสบายใจ…นึกอยู่ว่าจะทำอะไรให้เธอสบายใจได้บ้าง…”

ถ้อยคำและน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนนั้น
ทำให้ดารัลถึงกับก้มหน้าซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้
ไม่อยากเปิดเผยให้เขาได้รู้ในตอนนี้…

“อยากให้พี่ทำอะไร บอกพี่มาเถอะ…พี่ยินดี
หากว่าสิ่งนั้นจะทำให้เธอสบายใจและมีความสุขกับการอยู่ที่นี่…กับการอยู่กับพี่…”

ดารัลเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มออกมาเมื่อได้พบกับแววตาจริงใจ
และจริงจังคู่นั้น

“แค่ทำตามเงื่อนไขในสัญญาของเราก็พอแล้วค่ะ…”

ฟาเดลกุมมือบางขึ้นมาแล้วจุมพิตหนักๆ
ก่อนจะช้อนตาคมขึ้นมองแก้มแดงๆของภรรยา…

“เมื่อไหร่จะยอมพี่น้า…รู้มั้ยว่าพี่ต้องใช้ความอดทนมากมายแค่ไหน
กับการไม่ทำอะไรเธอทั้งๆที่เธอก็อยู่แค่นี้…แค่เอื้อม…”

จนบัดนี้แล้ว เขาก็ไม่อาจเอื้อมมือคว้าตัวเธอได้ ทำได้แค่เพียงมองและหอมแก้ม…
กอดเธอเอาไว้…เขาทำได้แค่นี้เอง…

เธอจะรู้บ้างมั้ยว่าแก้มแดงๆของเธอทำเอาหัวใจเขาละลาย…
มันมีแรงดึงดูดมหาศาลที่เขาต้องใช้แรงกายและแรงใจหักห้ามมันไว้…

เหมือนไกล แม้ใกล้แค่ปลายเอื้อม…

เขาไม่ควรพาตัวเองมาทรมานแบบนี้เลยจริงๆ

จากที่เคยคิดว่าการรวบรัดให้เธอยอมแต่งงานด้วยเร็วๆเป็นสิ่งที่ดี
แต่แล้วดูตอนนี้สิ สภาพของเขามันแย่ยิ่งกว่าก่อนหน้านี้อีก…

จากที่ต้องอดทนหักห้ามใจในระดับนึงในการแอบมองหมายปองเธอ
แต่พอได้มาอยู่ใกล้ๆแบบนี้กลับทรมานสุดใจขาดดิ้น…

เฮ้อ…ยิ่งคิดยิ่งปวดร้าว…เขามันใจปลาซิว…

แต่จะให้รุกรานหรือหักหาญน้ำใจเธอ เขาก็ทำไม่ลง…
เขาอยากให้เธอเต็มใจ ไม่ใช่ฝืนใจ…หรือทำๆไปเพราะหน้าที่

…แต่กว่าเธอจะรักจะเต็มใจ มันเมื่อไหร่กันนะ…

…แล้วเขาต้องนอนมองเธอในทุกๆคืนโดยไม่สามารถทำอะไรได้
ไปอีกนานแค่ไหนหนอ…

แต่เอาเถอะ…ศัตรูหัวใจเขาตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว เพราะเขาขจัดมันไป
ด้วยการแต่งงานกับเธอแล้วนี่…

เหลือเพียงด่านเดียว คือพิชิตใจเธอให้ได้เท่านั้น…
หัวใจน้อยๆดวงนี้…คงไม่ยากเกินไปที่เขาจะเข้าไปนั่งในนั้น…

“ขอเวลาอีกนิดนะคะ…”เสียงนั้นแผ่วเบาเหมือนจะอ้อนวอน

เขาก็เข้าใจและยอมรับมัน…ก่อนจะโอบกอดเธอเอาไว้หลวมๆ…
จุมพิตลงบนเส้นผมหอมกรุ่นนั่นด้วยรอยยิ้มหวาน…










ดานีสทอดสายตามองไปยังสวนสวยที่ถูกปรับแต่งใหม่ทั้งหมด
มีเรือนกล้วยไม้ที่มารดาและลูกสาวคนโตโปรดปรานเป็นพิเศษ

ชายวัยกลางคนอย่างเขาในยามนี้คงจะมีเรื่องให้วิตกกังวลไม่กี่เรื่องนัก
และหนึ่งในนั้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของบุตรสาวคนโตที่ได้เดินทาง
ไปอยู่กับสามีที่คาสบลังก้า

แม้จะรู้สึกใจหายที่อยู่ๆลูกสาวที่เคยประคบประหงมไม่เคยให้ห่างกายไปไหน
ต้องพลัดพรากจากอก

‘ความหวง’ก็ไม่หนักหนาเท่า ‘ความห่วง’
เพราะเขารู้แก่ใจว่าภายภาคหน้าบุตรสาวคนโตของเขาจะต้องพานพบกับสิ่งใด…

แล้วลมหายใจก็ถูกพ่นออกมา…เมื่อนึกถึงวันที่ไปส่งลูกสาวที่สนามบิน

เขาไม่ใช่ไม่เคยสังเกตว่าลูกเขยของเขานั้นมีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามมากมายแค่ไหน
เพราะรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น ท่วงท่าสง่าผ่าเผย ทุกอย่างที่รวมขึ้นเป็นฟาเดลนั้น
ดูจะเป็นที่พึงพอใจแก่ผู้พบเห็น โดยเฉพาะบรรดาสตรีทั้งหลาย

มีสายตาหลายคู่ทอดมองลูกเขยของเขา
แน่นอนว่า ลูกสาวของเขาก็ไม่ได้สวยน้อยหน้าผู้เป็นสามี
แต่ดารัลลูกสาวของเขาก็ใช้ผ้าผืนน้อยปกปิดใบหน้านั้นเอาไว้อย่างมิดชิด
หุ้มกายเอาไว้ด้วยเสื้อผ้าหลวมๆ

ดังนั้น สายตาของบรรดาบุรุษจึงมิได้หันมามองหรือจ้องลูกสาวของเขา
ด้วยสายตาเช่นที่บรรดาสตรีมองลูกเขยของเขา…

จะมิให้เขากังวลได้อย่างไร…แม้จะมั่นใจว่าลูกเขยของเขามิใช่คนเจ้าชู้สักแค่ไหน
แต่เขาก็ไม่อาจนิ่งนอนใจว่าบรรดาสตรีเหล่านั้นจะยอมหยุดหรือมองดูเฉยๆ…

ความปรารถนาใจจิตใจมนุษย์นั้นยากจะหยั่งถึงความลึกได้…


“มีอะไรรึเปล่าคะ…ดูคุณหมอจะกังวล เห็นถอนใจไปไม่รู้กี่รอบแล้ว”
นาดาเดินเข้ามายืนอยู่เบื้องหลังผู้เป็นสามีอยู่นานแล้วโดยที่เจ้าตัวคงไม่รู้ตัวเลย…
เธอจึงเดินขึ้นไปยืนข้างๆ วางมือลงบนหลังมือของสามีแล้วบีบเบาๆ
ยิ้มให้เขาด้วยแววตาอ่อนโยน ดานีสหันมายิ้มตอบ
แล้วเปลี่ยนเป็นโอบบ่าภรรยาเข้าหาขณะถามคนข้างกายว่า

“เธอรู้จักผู้หญิงแค่ไหนน้ำค้าง…”นาดาขมวดคิ้วก่อนจะลอบยิ้ม
เมื่อเห็นแววตาจริงจังของผู้ถาม

“ในแง่ไหนล่ะคะ…”

“ความปรารถนา…”ดานีสกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น…

“ผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่รู้จักคำว่า พอค่ะ…
ซึ่งคำว่าพอในที่นี้หมายรวมทั้งสิ่งที่เป็นไปในรูปธรรมและนามธรรม…
น้ำค้างถึงพยายามสอนลูกให้รู้จักคำว่าพอ…”
นาดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ผู้ชายก็เป็น…”

“แต่ไม่เหมือนกันค่ะ…สิ่งที่ผู้ชายปรารถนากับผู้หญิงปรารถนานั้น
มีหลายอย่างที่ต่างกัน…”นาดาทัดทานเสียงนุ่มพร้อมยกตัวอย่าง

“มีผู้ชายหลายคนที่พึงพอใจจะมีภรรยาหลายคน…
ในขณะที่ผู้หญิงอีกหลายคนพอใจที่จะเป็นภรรยาคนเดียวของสามี…
ซึ่งเป็นความปรารถนาที่แตกต่างกันและอยู่กันคนละฟากฝั่ง…”

“แต่ก็มีผู้ชายอีกส่วนหนึ่งที่พึงพอใจจะมีภรรยาแค่คนเดียวเป็นคู่ชีวิตเป็นคู่คิด…อย่างฉัน…”
ดานีสเอ่ยพร้อมรอยยิ้มภาคภูมิใจ

“ซึ่งมันเป็นส่วนน้อยค่ะ…คุณหมอย่อมรู้ว่ามันเป็นส่วนน้อย…
ทั้งชีวิตคุณหมอไม่เคยยุ่งกับผู้หญิงคนไหนนอกจากน้ำค้าง
แต่ก็ใช่ว่าผู้ชายส่วนใหญ่จะทำได้อย่างคุณหมอ…”นาดาท้วงเสียงนุ่ม
แววตายังคงอ่อนโยน…ไร้ความกระด้างใดๆ…

“และก็ยังมีผู้หญิงอีกมากมายที่ยังไร้คู่…และต้องการความเป็นหนึ่งเดียวในใจ
ของคนที่ตนรักและพึงพอใจ…ในขณะที่ผู้ชายมีน้อยกว่าผู้หญิง
คุณหมอว่า…โลกเราจะช่างโหดร้ายต่อจิตใจผู้หญิงมากมายแค่ไหน…”
นาดาหยุดนิดนึงก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“จึงไม่แปลก…ที่จะมีผู้หญิงอีกส่วนหนึ่งยอมตกเป็นเมียลับๆของผู้ชายด้วยความเต็มใจ
เพราะรักและปรารถนาในตัวเขา…
และแน่นอนค่ะ…สิ่งเหล่านั้นศาสนาอิสลามห้าม…
โดยอิสลามได้เปิดโอกาสให้ฝ่ายชายสามารถมีภรรยาได้สี่คน…
สามารถดูแลหญิงสาวอย่างเปิดเผยได้สี่คนอย่างทัดเทียมกันทุกคน…
ให้เกียรติทุกคนที่เป็นภรรยาและบุตรของพวกนางอย่างเสมอกัน
และความยุติธรรมจากสามี ย่อมเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้หญิงปรารถนาค่ะ…”

นาดายิ้มทั้งปากทั้งตากับสามีเมื่อเอ่ยต่อไปว่า

“แต่ถ้าหากสามีไม่ได้ให้ความยุติธรรมและความเสมอภาค
เลือกที่รักมักที่ชังขึ้นมาแล้วล่ะก็…ไฟริษยาและการแข่งขันชิงดีชิงเด่น
กันระหว่างภรรยาย่อมต้องลุกไหม้บ้านแน่ๆค่ะ…
สามีย่อมจะหาความสงบสุขมิได้เลย…

ผู้ชายหลายคนที่รู้ดีในข้อนี้จึงหลีกเลี่ยงที่จะมีภรรยาหลายคน
เพราะรู้ดีว่าตนนั้นไม่อาจให้ความยุติธรรม
และให้การดูแลภรรยาของตนให้สุขสบายได้…”

ดานีสพยักหน้าเห็นด้วย เพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น…

“ความปรารถนาของผู้หญิงนั้นลึกซึ้งเกินกว่าผู้ชายจะเข้าถึงได้หมด
ที่สำคัญ ผู้หญิงหลายคนสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตนปรารถนา
แม้ว่าสิ่งนั้นจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ใครก็ตาม…”

นาดาเอ่ยด้วยแววตาล้ำลึก…ทำเอาดานีสถึงกับจ้องมองดวงตาคู่นั้นนิ่ง
แม้จะอยู่กันมานานจนลูกโตจนออกเรือนไปแล้ว

ทว่า…ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างนักที่เขายังมิอาจเข้าถึงคู่ชีวิต
คู่คิดที่ยืนอยู่ข้างๆเขา…

“คุณหมออย่ากังวลเรื่องน้องรัลไปเลยนะคะ…น้ำค้างเป็นแม่
และรู้จักผู้หญิงทุกซอกทุกมุม…อย่างไรซะ น้ำค้างก็ไม่ยอมให้ลูกสาวคนโตของเรา
ต้องพ่ายแพ้แก่ความปรารถนาของผู้หญิงคนไหนได้ค่ะ…

ดารัลคือลูกสาวของน้ำค้าง…ลูกจะต้องเข้มแข็งและมีวิธีจัดการมันได้ค่ะ…
เขาต้องออกไปเผชิญกับสิ่งนั้นด้วยตัวเขาเอง…

เราต้องให้เกียรติในการต่อสู้แก่เขา…หากเขาสู้ไม่ไหว
น้ำค้างจะคอยเป็นลมใต้ปีกให้ลูกเองค่ะ…เชื่อมือน้ำค้างนะคะ…”

นาดาโอบเอวผู้เป็นสามีแล้วซบศีรษะลงบนอกกว้าง…
ดานีสระบายยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ…

ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงเป็นคู่คิดให้เขาอยู่เสมอ…
เธอรู้แม้กระทั่งความคิดความกังวลของเขา

ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่าเธอเองก็สังเกตเห็นเงาของอะไรบางอย่าง
ทาทับลงมาบนชีวิตคู่ของลูกสาวคนโตอย่างมิต้องสงสัย…





ณ ห้องชุดสุดหรูของผู้จัดการโรงแรมแห่งตระกูลโสภณพสุธของท่านหญิงอะมานี



“เธอคิดจะทำอะไรของเธอน่ะนาตาชา…
ฉันไม่เข้าใจว่าอะไรสิงให้เธอคิดอ่านทำเรื่องแบบนี้”
เสียงเจ้าของโทรศัพท์มือถือร้องท้วงอีกฝ่ายที่สนทนาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“แบบนี้มันแบบไหน…”
เสียงนั้นถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ ไม่สนไม่แคร์สิ่งใด

“ฉันรู้นะว่าทำไมเธอถึงขอไปดูแลโครงการที่คาสบลังก้า…”

“ฉันก็แค่ชอบที่นั่น…”

“ชอบคนที่นั่นมากกว่าล่ะสิไม่ว่า…”เจ้าของเสียงเอ่ยอย่างรู้เท่าทันอีกฝ่าย
ก่อนจะย้ำให้คนที่สนทนาด้วยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

“เขา-มี-เมีย-แล้ว-นะ…”

หากกลับได้ยินเสียงตอบกลับราวกับไม่แยแสต่อคำเตือนของเธอว่า

“มีแล้วก็มีได้อีก ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน…”

“นี่เธอหมายความว่าไง…”

“ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหล่ะ…”พูดเสร็จก็อธิบายเสริมต่อไปว่า

“คนอย่างนาตาชา…ถ้าต้องการสิ่งใด ย่อมไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้มา
แล้วฉันก็ไม่ยอมเป็นเมียลับๆหรือเมียน้อยใครแน่ๆ…

แม้ไม่ได้เป็นเมียหมายเลขหนึ่ง…แต่ฉันมั่นใจว่าคนอย่างฉัน
ย่อมเป็นหนึ่งในหัวใจเขาได้อย่างแน่นอน…
และเขาต้องเชิดชูฉัน…เท่าเทียมกับเมียคนแรก…ไม่เชื่อเธอก็คอยดูต่อไป…”

น้ำเสียงนั้นราวกับมั่นอกมั่นใจยิ่งนัก
ทำเอาคนฟังถึงกับอดรนทนไม่ไหว แหวเสียงสูงตอกกลับไปว่า

“เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ…”

“คนที่จะบ้าคือเมียคนแรกของเขา ไม่ใช่ฉัน…
ผู้หญิงที่ดูสะอาดบริสุทธิ์ เวอร์จิ้นไร้เดียงสาเหมือนไข่ในหินแบบนั้นหรือ
จะสู้เสน่ห์แม่ม่ายอย่างฉันได้…

คนอย่างฟาเดลดูก็รู้ว่าไก่อ่อน…ไม่ประสีประสาเรื่องผู้หญิงนักหรอก…
ดารัลคงเป็นผู้หญิงคนแรกและรักแรกของเขาล่ะมั้ง…
ดังนั้น…ถ้าเธอไม่อยากเดือดร้อนและยังเห็นแก่มิตรภาพของเรา ก็หุบปากไว้ซะ…
อีกสองวันฉันก็จะเดินทางแล้ว…เธออยู่ทางนี้ก็รับช่วงต่อก็แล้วกัน…”

“เอาไว้ฉันได้ดีเมื่อไหร่ จะไม่ลืมเธอแน่ๆซูซาน่า…”
ซูซาน่าเจ้าของชื่อถึงกับถอนใจอย่างหนักหน่วง
เริ่มห่วงเพื่อนที่คบหากันมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยม…
แต่เพราะรู้ว่าเพื่อนคนนี้นั้นมีความทะยานอยากอยู่ในหัวใจมากเพียงใด
เธอซึ่งเป็นเพื่อนก็ไม่อยากเห็นเพื่อนตกลงไปในไฟริษยา

“เธอรู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร…”

“ทำไมฉันจะไม่รู้…”

“ท่านหญิงอะมานีน่ะ…รักและหวงแหนหลานสาวคนโตแค่ไหนเธอก็รู้
ฉันว่าจะเป็นเธอต่างหากที่ต้องเดือดร้อน…”
เสียงนั้นยังไม่ลดละความพยายามในการจะเตือนสติเพื่อน

“ถ้าเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อนฉันคงต้องบอกว่ากลัวหญิงชราคนนี้อยู่หรอกนะ
แต่เดี๋ยวนี้ ยัยแก่นั่นไม่มีอะไรที่ฉันจะต้องกลัวสักนิด…
ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไหร่…”

น้ำเสียงคนพูดติดจะดูหมิ่นบุคคลที่ถูกเอ่ยถึง จนทำเอาคนฟังถึงกับฉุนกึก

“ที่เธอพูดถึงน่ะ ผู้มีพระคุณให้งานให้เงินเธอนะนาตาชา…”

“เขาให้ฉันฟรีๆซะที่ไหนล่ะ ฉันก็ต้องเอาแรงเอาความสามารถเข้าแลกนะ
ไม่ได้แบมือขอเขาสักหน่อย…”เสียงนั้นกระชาก
จนคนฟังลอบถอนใจพร้อมส่ายหน้าอิดหนาระอาใจ

“ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ…เธอก็ไม่ควรพูดถึงผู้ที่เมตตาเธอแบบนั้น…”

“เมตตาเหรอ…เธอน่ะมันก็คิดได้แค่นี้ ถึงหยุดอยู่แค่คำว่าพนักงาน
หรือลูกจ้างอะไรอยู่น่ะสิ…ไม่เอาแล้ว พูดกับเธอแล้วประสาทจะกินหัว”

“แต่ยังไงเธอก็ไม่ควรประมาทแม่ของคุณดารัลนะ…”ซูซาน่ายังคงเป็นห่วงเพื่อน

ใช่ เธอเป็นห่วงผู้หญิงที่มีความคิดสั้นๆแบบนี้เสมอแหล่ะ
ก็เพราะความคิดเช่นนี้มิใช่หรือที่ทำให้เพื่อนของเธอเป็นแม่หม้ายมาแล้วสองครั้ง…

“ผู้หญิงคนนั้นน่ะหรือจะมีฤทธิ์เดชอะไรนักหนา…เก่งก็แต่เฝ้าบ้านให้สามี…
ไม่เห็นว่าจะมีอะไรให้น่ากลัวสักนิด…”ถ้อยคำสบประมาทนั้น
ดูจะทำให้คนฟังถึงกับส่ายหน้า…เพื่อนของเธอน่ะทั้งสวยทั้งรูปร่างดี
ใครเห็นเป็นต้องมอง มองเท่าไหร่มิรู้เบื่อ

…แต่ทำไมนะ ทำไมพระเจ้าถึงให้ความสวยมาพร้อมกับสมองที่เล็กกว่าหน้าอกนั่นนะ

และนั่น ทำให้เธออดเป็นห่วงเพื่อนคนนี้ไม่ได้ อยากจะตัดความสัมพันธ์
เลิกคบไปให้รู้แล้วรู้รอดไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่พอเห็นเพื่อนผิดหวังและผิดพลาด
เธอก็ไม่อาจซ้ำเติมได้ ครั้งนี้เลยถือโอกาสเตือนไว้เสียแต่เนิ่นๆ
ด้วยไม่อยากเห็นเพื่อนหลงเดินทางผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“งั้นเธอคงไม่รู้ล่ะสิ…ว่าแผนการจัดการโรงแรมทั้งแผงน่ะ…
รวมทั้งแผนการบริหารจัดการมนุษย์น่ะเป็นฝีมือของผู้หญิงที่เธอบอกว่า
ไม่น่ากลัวสักนิด…”

“ก็ไม่เห็นจะเก่งกาจอะไร…”น้ำเสียงและถ้อยคำหมิ่นแคลนยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง…

“เธอแน่ใจนะที่พูดแบบนั้น…ขนาดเธอยังคิดแผนการแบบนั้นไม่เป็น
ท่านหญิงอะมานีที่ว่าเก่งแล้วยังคิดไม่ได้ขนาดนั้น…อย่าดูถูกคนอื่น
จนกลายเป็นหลงตัวเองแบบนี้นักเลย…ฉันขอเตือนเธอในฐานะเพื่อน…”

“ขอบใจนะที่ยังเห็นฉันเป็นเพื่อน…ถึงยังไงฉันก็ไม่มีวันปล่อยให้ฟาเดล
หลุดมือไปได้หรอก…ผู้ชายแบบนั้นไม่ได้มีมาให้เห็นกันบ่อยๆนักหรอก
ฉันจะเอา…ใครขวางทางฉันซัดไม่เลี้ยง…ต่อให้เป็นเธอก็เถอะ…”

ซูซาน่าส่ายหน้าให้กับความเอาแต่ใจตัวเองของเพื่อน…
ไม่ใช่แค่เอาแต่ใจ แต่ไม่สนใจใคร ไม่สนความรู้สึกคนอ่ืนด้วย…

“เธอนี่มัน…”

“เธอก็รู้ว่าฉันก็เป็นแบบนี้…ไม่สนใจใคร…เอาแต่ใจ…นิสัยไม่ดี…
ไม่ยอมลงให้ใคร…และงานนี้ฉันเอาจริง ไม่ได้ขู่…
ต่อให้เขาหนีเท่าไหร่ก็ไม่มีผล…เพราะฉันจะตามรังควานไม่เลิก
จนกว่าเขาจะยอมสยบแทบตักฉัน…”น้ำเสียงนั้นมั่นคงหนักแน่น
และหากอีกฝ่ายได้เห็นดวงหน้าและแววตาคนพูด ก็ย่อมรับรู้ได้ถึง
กระแสของความเป็นนักสู้ที่แผ่ออกมา…

“เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังไม่สายนะนาตาชา…”

“ไม่มีทาง!”

“ถ้าเธอคิดว่าตัวเองมีปัญญาจะทำให้ผู้ชายคนนั้นหันมารัก
มาหลงเธอได้ก็เชิญเลย…แต่ขอบอกเอาไว้ตรงนี้ว่า เธอคิดผิด…
ผู้ชายบางคนก็ไม่ลุ่มหลงมัวเมาอยู่กับอารมณ์ใฝ่ต่ำของตัวเอง
อย่างที่เธอเจอมานักหรอกนาตาชา…”

“ไม่หรอกซูซาน่า…ใครเขาใช้ปัญญาในการเข้าหาผู้ชายเล่า
ผูู้หญิงเราเขาใช้มารยาต่างหาก…และคนอย่างฟาเดลหรือจะรู้ทันมารยาหญิง…
ไม่มีทางซะหรอก…”น้ำเสียงนั้นยังคงเชื่อมั่นในความมัั่นอกม่ันใจในเสน่ห์ของตน

“งั้นก็เชิญใช้มารยาของเธอไปเถอะ

…อ้อ…ผู้ชายบางคนถึงเขาจะไม่ทันมารยาหญิงก็จริงนะ…
แต่เขาก็ชอบสติปัญญาของผู้หญิง และฉันก็เห็นคุณดารัลมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว…
ผู้หญิงคนนั้นไม่ธรรมดานักหรอก…ไม่อย่างนั้น หนุ่มที่เธอหมายปองอยู่จะรีบคว้าหรือ…

ระดับลูกสาวคุณหมอสมองเพชรน่ะ…จะธรรมดาได้ไงนาตาชา…
เธอลืมไปแล้วเหรอว่า นั่นน่ะลูกคุณหมอดานีสเชียวนะ…

ที่สำคัญคุณดารัลเธอเป็นผู้หญิง…และมีหรือที่เธอจะไม่รู้ทันมารยาหญิง…
ดีไม่ดีเธออาจจะใช้สติปัญญาของเธอพร้อมๆกับมารยาหญิง
ได้ดีกว่าเธอด้วยก็ได้นะนาตาชา…อย่าหลงตัวเองนักเลยเพื่อน…”

ซูซาน่าพยายามจนไม่รู้จะพยายามอย่างไรแล้วให้เพื่อนตัดใจ
จากความคิดที่จะหาทางแทรกแซงครอบครัวผู้อื่น…

“ขอบใจนะที่เตือนฉัน…แต่ฉันก็ยังยืนยันว่าเพื่อเขาคนนี้ฉันสู้ขาดใจ!
เสี่ยงยังไงก็คงต้องขอลองดูสักทีละ…เธอก็รู้ว่าฉันชอบอะไรที่มันยากและท้าทาย…
ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าเสมอตัว…เพราะคนอย่างฉันน่ะเสียอะไรมาตั้งมากมายแล้ว…
จะเสียอีกจะเป็นไรไป…แต่ถ้าเกิดได้เขาขึ้นมาล่ะ…”
น้ำเสียงทอดยาวลึก ทำเอาคนฟังถึงกับพ่นลมหายใจออกมา
คงหมดหวังแล้วสินะที่จะห้ามปรามเพื่อนคนนี้

“เฮ้อ…อยากจะไปตายที่ไหนก็ไปเถอะนาตาชา ฉันเบื่อเธอแล้ว…”

น้ำเสียงนั้นราวกับจะตัดบท เพราะหมดความอดทนแล้วจริงๆ

“เธอน่าจะรู้นะซูซาน่าว่าคนอย่างฟาเดลน่ะ
มีความสามารถพอที่จะเลี้ยงดูภรรยาให้สุขสบาย
และให้ความเท่าเทียมเสมอกันสี่คนได้สบายๆ

มันผิดนักหรือที่ฉันจะฝัน ผิดด้วยหรือที่ฉันอยากจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องอีกคนของเขา
ฉันไม่ได้คิดจะไปลักกินขโมยกินของเขานะ

และในเมื่อศาสนาก็ให้สิทธิ์กับผู้ชายในเรื่องนี้ด้วย…
ฉันก็แค่อยากจะส่งเสริมเขาให้เขาได้บุญจากการเลี้ยงดูผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคน…”

เสียงนั้นอ่อนลงทำเอาคู่สนทนาถึงกับเงียบงันไป…

“เมียเขาก็ต้องหัดใจกว้างบ้างสิ…เรื่องอะไรจะเอาผู้ชายดีๆที่หาได้ยากบนแผ่นดิน
ไปครองอยู่คนเดียว…ฉันก็แค่อยากเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกให้ฟาเดลเขา…
เมียเขาน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนช่วยดูแลสามีเขาอีกแรง

ทำไมฉันต้องยอมด้วยล่ะ…ในเมื่อฉันก็รักเขาไม่แพ้ผู้หญิงคนไหนๆเหมือนกัน…”
เสียงนั้นต่ำลงจนคนฟังแทบอยากจะเห็นใบหน้าและแววตาของเพื่อนขึ้นมา…

“หรือเธอคิดว่าคนอย่างฉันไม่มีสิทธิ์…”เสียงนั้นถามเพื่อนด้วยน้ำเสียง
เหมือนคนท่ีกำลังเจ็บปวด

“จะให้ฉันถอยเหรอซูซาน่า…ทำไมต้องเป็นฉันที่ยอมสูญเสียเขาไปล่ะ
ทำไมล่ะซู…”เสียงนั้นทอดยาว…
เสียงที่นุ่มกว่าเดิมและมีนัยตัดพ้อต่อว่าซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนั้นอีก
ทำเอาคนฟังพูดไม่ออก

“ผิดถูกเขาดูกันที่ตรงไหนซู…ฉันอยากรู้ว่าเขาตัดสินกันที่ตรงไหน…
แค่ฉันรักเขา อยากดูแลเขาบ้าง อยากมีเขาอยู่ข้างๆ มันผิดมากเลยหรือไงซู…
ฉันไม่ได้ต้องการให้เขาเลิกกับภรรยาเขานะซู
ก็แค่อยากเป็นภรรยาอีกคนของเขา เท่านั้นนะซู…”

น้ำเสียงราวกับตัดพ้อนั้นทำเอาซูซาน่าถึงกับลอบถอนหายใจ
ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลทว่าหนักแน่นและเฉียบขาดไปว่า

“เธอมีสิทธิ์นาตาชา มีสิทธิ์ทุกอย่างตามที่เธอพูดมา…
และเธอสามารถใช้สิทธิ์นั้นได้บนพื้นฐานจริยธรรมอันดีงาม…
ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ที่แท้จริง…

ศาสนาเราไม่ได้สอนให้เราทำตามกฎโดยลืมเจตนาอันบริสุทธิ์
หรือความบริสุทธิ์ใจนะนาตาชา

หากเธอแน่ใจว่าตัวเองมีความบริสุทธิ์ใจจริง…ฉันก็จะไม่ห้ามเธอ”

ซูซาน่าพยายามเหลือเกินที่จะกล่อมเพื่อนอีกครั้ง…ไม่แน่ใจเลยว่ามันจะได้ผล…
เธอรู้จักเพื่อนตัวเองดี รู้จักดีที่สุดเลยด้วย…

รู้ด้วยซ้ำว่าเพื่อนนั้นลึกๆแล้วมิได้เคร่งครัดต่อบทบัญญัติศาสนา
ด้วยความบริสุทธิ์ใจสักเท่าไหร่นัก หลายครั้งก็ชอบเอาศาสนามาอ้าง
เพื่อหาผลประโยชน์เข้าตัวเสียส่วนใหญ่ ซึ่งนั่นมันไม่ถูกต้องตามหลักศรัทธา…
เพราะหลักศรัทธากับหลักปฏิบัติย่อมจะต้องเดินไปด้วยกัน

“แต่อยากให้เธอตรองสักนิด…อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบชั่วแล่น
หรืออารมณ์ใฝ่ต่ำฉุดเธอเดินหลงทางผิดไปเลย…
เส้นทางที่เธอกำลังตัดสินใจจะเดินน่ะ มันเส่ียงมากนะนาตาชา…
อย่างน้อย เธอก็ต้องไม่ทำผิดกฎอื่นๆของศาสนาด้วย เช่น ผิดประเวณี
หรือยั่วยวนผู้ชาย…ต้องประพฤติตัว วางตัวอย่างดี ไม่ก้อร้อก้อติกหรือให้ท่าเขา…

ถ้าเธอทำให้เขารักในความดีงามและความบริสุทธิ์ใจของเธอได้จริงๆ…
ฉันคนนี้แหล่ะที่จะยินดีกับเธอด้วย…”

ซูซาน่าหยุดเพียงนิดเมื่อเห็นเพื่อนฟังโดยไม่ขัด
ก่อนจะกล่าวต่อไปเพื่อเตือนอีกฝ่ายว่าอย่าได้ชะล่าใจ

“แต่เพราะฉันรักและรู้จักเธอดี…ดีกว่าใคร…ฉันรู้ว่าเธอไม่เคยทำได้เลย
เธออาจจะสรรหาคำพูด สรรหาเหตุผลสวยหรูมาปรุงแต่ง
ความคิดผิดๆในใจเธอให้ดูดีให้เป็นไปตามแบบฉบับคนที่รู้เรื่องกฎศาสนาดี

แต่เธอหลอกเพื่อนอย่างฉันไม่ได้ เธอหลอกตัวเองไม่ได้หรอก…

ที่สำคัญ…เธอหลอกพระเจ้าไม่ได้หรอกนาตาชา…
เพราะเจตนาและความตั้งใจที่แท้จริงของเธอน่ะ...พระเจ้ารู้…
แม้ว่าเธอจะซ่อนมันไว้อย่างดีในซอกหลึบหัวใจเอาไว้ก็ตาม..จำไว้…”

และเพื่อไม่ปล่อยโอกาสให้คนเก่งในการสรรหาเหตุผล
มาอ้างมาปรุงแต่งความผิดบาปของตัวเองให้ดูดีขึ้นของเพื่อน
ซูซาน่าจึงปิดบทสนทนาด้วยคำพูดทิ้งท้ายไว้ว่า

“ความรู้ที่มีประโยชน์น่ะ คือความรู้ที่นำพาเราไปสู่หนทางที่ดี ที่ถูกที่ควร…
แต่ถ้าเรานำความรู้มาเพื่อหาผลประโยชน์ตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ
เท่่ากับเธอกำลังเหยียบย่ำความรู้ของตัวเองอยู่

คนมีความรู้เรื่องศาสนาอย่างเธอ ได้เปรียบคนไม่รู้อีกมากมาย
แต่น่าเสียดายเหลือเกินนาตาชา ที่ความรู้ของเธอดูจะไม่ช่วยเธอให้พ้นจากนรกได้…

เพราะหัวใจเธอนั่นแหล่ะนาตาชา หัวใจของเธอมันเต็มไปด้วยจุดด่างดำ…
ทำให้หัวใจเธอมืดบอด…ดวงตาก็พลอยมืดบอดไปด้วย…
แล้วดวงใจกับดวงตาที่มืดบอดน่ะจะยังประโยชน์อะไรในการมองเห็นได้…
แม้จะมีแสงสว่างอยู่รอบตัว แสงนั่นจะมีค่าได้อย่างไรในเมื่อหัวใจเธอมันมืดบอดไปแล้ว…”

จบประโยคยืดยาว ซูซาน่าก็กดวางสายก่อนจะระบายลมหายใจออกมาอีกยืดยาว
รู้ดีทุกอย่างว่าที่พูดไปก็คงจะไม่ซึมซาบไปยังหัวใจของเพื่อนได้นักหรอก…

แต่เธอเป็นเพื่อน มีหน้าที่เตือน
และเธอก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสมบูรณ์แล้ว…
ที่เหลือก็คงขึ้นอยู่กับเจ้าตัวแล้วล่ะ…

ก็ได้แต่หวังว่า ผู้หญิงอย่างดารัลจะหนักแน่นและยึดมั่นอยู่บนแนวทาง
ที่ดีงามตามที่ร่ำเรียนมา และนำสิ่งดีงามเหล่านั้นมาใช้อย่างถูกต้อง
มิใช่นำมาทำปู้ยี่ปู้ยำเหมือนเพื่อนเธอ

เพราะหากดารัลรู้จักใช้ประโยชน์จากความรู้ไปในทางที่ดีงาม
เชื่อแน่ว่า คนที่ต้องล่าถอยไปในที่สุดก็คือเพ่ือนของเธอ…

ขอให้คราวนี้ เพื่อนของเธอได้รับบทเรียนและเข็ดหลาบ สำนึกได้เสียทีเถิด

…ชีวิตเพื่อนของเธอจะได้สว่างไสวกับเขาขึ้นมาบ้าง…

เพราะบางครั้ง มนุษย์บางคนก็ช่างฉลาดในเรื่องโง่ๆ…
กว่าจะรู้ว่าได้นำความรู้ท่ีมีไปใช้ในทางไม่ดีจนทำให้ชีวิตล้มละลายไม่เป็นท่าไปเสียแล้ว…

กี่มากน้อยแล้วที่ผู้รู้ที่มีความรู้นำความรู้ที่มีไปล้างผลาญผู้อื่น
จนในที่สุดก็ล้้างผลาญตัวเองไปด้วย…

…เธอไม่อยากให้เพื่อนใช้ความสามารถของตัวเอง
เพื่อทำลายชีวิตตัวเองอีกครั้ง…










“เบื่อมั้ย อยู่บ้านเฉยๆแบบนี้…”

ฟาเดลนั่งลงยังโซฟาข้างดารัลที่กำลังหยิบหนังสือบ้านและสวนของเขามาเปิดดูเล่น…
หลังจากที่เขาเพิ่งกลับมาจากบริษัท…

“ตอนนี้ยังไม่เบื่อค่ะ เพราะไม่ได้พักสมองแบบนี้มานาน
พอได้พักก็ชักติดใจ…แต่คิดว่านานๆไปต้องได้เบื่อแน่ๆ…
สงสัยคงต้องเตรียมหาอะไรทำ…คุณมีอะไรที่พอจะให้ฉันทำได้บ้างคะ…”

ดารัลเงยหน้าจากหนังสือมองคนถามด้วยใบหน้าแช่มชื่น…
เธอรู้ว่าเขาพูดด้วยความห่วงใยอย่างจริงใจ

“งานโรงแรมน่ะ…เป็นรองผู้บริหารโรงแรม…เธอพอทำไหวมั้ย…”

ฟาเดลเลิกคิ้วให้อีกฝ่ายยิ้มทั้งปากทั้งตา…

“ไม่เหนื่อยสมองเท่าไหร่ด้วย…เพราะว่าผู้บริหารโรงแรมเป็นคนขยัน…”

ดารัลยิ้มให้กับผู้บริหารโรงแรมที่ไม่ค่อยจะถ่อมตนเลยแม้แต่นิด

“ตอนนี้ทางคุณย่าอะมานีกำลังร่วมทุนกับทางนี้เพื่อสร้างโรงแรมในแบบฉบับของท่าน...
พี่ว่าเธอน่าจะรู้เรื่องระบบที่ท่านวางไว้เป็นอย่างดี…
และพี่คิดว่าคุณย่าอะมานีก็คงหวังอยากให้หลานสาวที่ย้ายมาอยู่ทางนี้
ไม่ว่างจนเบื่อแล้วร้องอยากกลับบ้านเกินไปนัก…
เลยเตรียมงานใหญ่ไว้ให้แล้ว”ฟาเดลเย้าแหย่อีกฝ่ายเล่นด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม…
ทำเอาดารัลถึงกับก้มหน้าซ่อนความหวั่นไหวยามเมื่อต้องสบตาของเขา…

“เสียดายไม่ใช่บริษัทยา…”ดารัลแกล้งแหย่อีกฝ่ายกลับบ้าง…

“โหย ถ้าบริษัทยาล่ะก็ เห็นทีเธอคงต้องเหนื่อยอยู่คนเดียวแล้วล่ะ
เพราะปัญญาผู้บริหารโรงแรมที่แสนขยันคนนี้ไม่รู้เรื่องธุรกิจแนวนี้เลยสักกะผีก…

พอเรามีลูกด้วยกัน…เธอก็ต้องเอาเวลามาดูแลลูกๆ…มาวิ่งไล่จับอาบน้ำให้ลูก
พาลูกๆไปโรงเรียน ไหนจะหาของอร่อยๆให้ลูกกิน ไหนจะเตรียมเสื้อผ้าให้ลูก
วันนึงๆคงหมดไปกับลูกๆนั่นแหล่ะ…แค่คิดพี่ก็นึกเหนื่อยแทนเธอแล้ว…
พี่ว่าเรื่องบริษัทยาน่ะเลิกคิดไปได้เลย…”

คนพูดก็พูดไปเรื่อย ไม่ได้มองเลยว่าคนฟังหน้าแดงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว…
พอหันมาสบเพียงเท่านั้น คนพูดก็ต้องหยุดชะงักคำพูดไว้
แล้วได้ทีแกล้งอีกฝ่ายต่ออย่างนึกสนุก

“โทษที พี่คงพูดข้ามช็อตไปนิด…คิดไปถึงเรื่องลูกซะแล้ว…”

เท่านั้นแหล่ะ หน้าที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่
ทำเอาคนมองมองเพลินและชอบนักกับแก้มแดงๆแบบนี้…
จนอดใจไม่ไหวต้องฝังจมูกและปากหนักๆลงบนพวงแก้มนิ่มนวลตานั่น

“พี่ว่า พ่ีหางานที่เหมาะสมกับตำแหน่งของเธอได้แล้วนะน้องรัล…”

เสียงนั้นเจอแววหวาน ทว่าสายตาแวววาวนั่นหาเชื่อใจได้ไม่

“งานอะไรคะ…”

แล้วดารัลก็ถูกดึงลงไปในหลุมที่คนตีขลุมขุดไว้เป็นอย่างดีโดยละม่อม…

ฟาเดลยิ้มทั้งปากทั้งตาเมื่อตอบว่า

“เลี้ยงลูกให้พี่สักคนสองคนเป็นไง…ถ้าเลี้ยงได้ดี ผลงานต้องตา
ผู้บริหารอย่างพี่ ก็อาจจะมีการพิจารณาเพิ่มจำนวนในคราวถัดไป
เธอสนใจงานนี้ไหม…”คนฟังก้มหน้างุด ต่อว่าอีกฝ่ายเบาๆว่า

“บ้า…”

“แต่พี่อยากนำเสนอ…ลักษณะงานเป็นยังไงเดี๋ยวพี่บอกพี่สอนให้
รับรองว่าสอนฟรีๆไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ใดๆ…ผ่านโปรเมื่อไหร่มีโบนัสให้…สนมั้ย”

เสียงนั้นกระซิบข้างๆแก้มหญิงสาว
พยายามรบเร้าคนที่เอาแต่เบี่ยงหน้าหลบเขา
เพิ่งรู้ว่าคนดื้อนั้น แสนจะขี้อายได้มากขนาดนี้…

“สนเถอะนะ นะน้องรัลนะ…”ฟาเดลพยายามรุกเร้าไม่ลดละ…
จมูกก็ปัดผ่านแก้มนวลหอมละมุนนั่นไปด้วย…
มือทั้งสองพยายามคว้าไหล่บางให้หันหน้ามาหาเขา…

“เสียงเด็กๆจะทำให้บ้านหลังนี้ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป…”

แววตาของเขาคาดหวัง ดารัลเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเขาพยายามให้เธอหันมาทางเขา

“ขอฉันลองเลี้ยงลูกแมวสักสองสามตัวก่อนได้มั้ยคะ…”

แฮ่…ฟาเดลชะงักไปกับคำต่อรองนั่น…

“เสียงลูกแมวแย้วๆก็สามารถทำให้บ้านหลังนี้ไม่เงียบเหงาได้เหมือนกันนะ…”
อยู่ๆคนขี้อายก็เปลี่ยนมาเล่นบทนักธุรกิจ
ซึ่งดูแล้วเป็นการเจรจาต่อรองที่ใช้ได้ทีเดียว แต่ขอย้ำว่าใช้ได้นะ
ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องพอใจด้วย…

“ทำไมอยากเป็นแม่แมวนักนะ…เป็นแม่คนไม่ดีกว่าเหรอ…
พี่แน่ใจนะว่าลูกของพี่ต้องหล่อและสวยไม่น้อยกว่าพี่หรอก…
ยิ่งได้แม่ที่ทั้งสวยและน่ารักแบบนี้ด้วยแล้ว

เธอไม่อยากจะรู้บ้างเหรอว่าลูกของเราจะออกมาหน้าตาเป็นยังไง จะน่ารักแค่ไหน…

ส่วนเรื่องหน้าตาของลูกแมวน่ะ…พี่ไม่เห็นอยากรู้อยากเห็นเลยสักนิด…
และพี่แน่ใจว่าลูกเราต้องน่ารักกว่าลูกแมวหลายพันเท่า…
เลี้ยงคนดีกว่าเลี้ยงแมวนะน้องรัล…”

ผู้บริหารโรงแรมไม่ยอมให้นักลงทุนหน้าใหม่มาต่อรองอะไรต่อมิอะไร
ที่ขัดผลประโยชน์ที่เขาพึงจะได้หรอก…

ปลูกต้นไม้ ดอกไม้มาก็ได้ผลดี สวยสดงดงามมาก็เยอะ
ขอลองเพาะพันธุ์มนุษย์ดูบ้างเถอะ เขาอยากรู้อยากเห็นและลุ้นมาตลอดเลยว่า
ลูกเขากับเธอจะหน้าตาเป็นอย่างไร

แต่ดูเธอสิ…ต่อรองขอเลี้ยงลูกแมวเสียนั่น…

“เชื่อพี่สิ…อย่างน้อยคนก็ป้อนขนมให้เราได้นะ…ขี่คอได้ด้วย…
จะบีบจะนวดก็ทำได้…พี่เห็นลูกสาวของเพื่อนพี่นวดตัวให้พ่อ
พูดคุณพ่อคะคุณพ่อขา ทานข้าวมารียังคะ…ดื่มน้ำก่อนนะคะ กลับมาเหนื่อยๆ…
ขนมนี้ก็อร้อยอร่อยนะคะ มาค่ะเดี๋ยวไลล่าป้อนให้…”

ฟาเดลเลียนเสียงใสๆของลูกสาวเพื่อนสนิท
ที่แต่งงานไปเมื่อหลายปีก่อนจนได้ลูกสาวมาเป็นของขวัญ
หลังงานแต่งงานไปไม่ถึงปีให้ดารัลฟัง…ทำเอาหญิงสาวถึงกับอมยิ้ม

“แค่นี้ก็กินขาดลูกแมวเป็นไหนๆ แมวน่ะมันทำไม่ได้อย่างนี่นะน้องรัล
พี่เห็นไลล่าที่ไรก็อยากมีลูกเป็นของตัวเองทุกที แต่ตอนนั้นยังหาแม่ของลูกไม่ได้
ตอนนี้มีน้องรัลมาอยู่ด้วยแล้ว น้องรัลเป็นแม่ให้ลูกพี่เถอะนะ…นะ…
เป็นแม่ของลูกพี่…นะครับ…อย่าเลี้ยงลูกแมวเลย…เลี้ยงลูกคนดีกว่า…

พี่สัญญาว่าจะช่วยน้องรัลเลี้ยงด้วย…ไม่ให้เหนื่อยอยู่คนเดียวแน่ๆ
น้องรัลอยากได้กี่คนขอให้บอกพี่มาเถอะ…”

ว่าแล้วเขาก็ยกนิ้วก้อยขึ้นราวกับจะขอสัญญาจากคนตรงหน้าที่นั่งอมยิ้มแก้มปริ…
จนเห็นแก้มบุ๋ม

“ขอเวลาคิดสักเดือนก่อนได้มั้ยคะ…”ฟาเดลถึงกับห่อปากด้วยสีหน้าสลด…

“ตั้งเดือนนึงเลยเหรอครับ…”

“แค่เดือนเดียวเอง…”ดารัลส่งเสียงอ้อน…

“นะคะ…ขอคิดแค่เดือนเดียว ระหว่างนี้ก็ขอเลี้ยงลูกแมวไปพลางๆ”

“ครึ่งเดือน”ชายหนุ่มต่อรอง ดารัลส่ายหน้า

“หนึ่งเดือนค่ะ…”

“แสดงว่าพี่ต้องนอนรอลูกของเราไปอีกน่ะสิ…
โธ่น้องรัล…ทรมานใจพี่ บาปนะรู้มั้ย…”

“ถ้าคุณอภัยให้ ก็ไม่มีบาปติดตัว…อภัยให้ได้มั้ยล่ะคะ…”
ดารัลยิ้มหวานส่งไปให้คนที่ซุกหน้าลงตรงไหล่ของเธอ

“อภัยให้ ถ้าเธอเปลี่ยนเป็นเรียกพี่ว่าพี่ แล้วแทนตัวเองว่าน้องรัล…
โดยต้องพูดว่า ถ้าพี่ฟาเดลอภัยให้ น้องรัลก็ไม่ต้องมีบาปที่ทำให้พี่ฟาเดลทรมานใจ
อภัยให้น้องรัลได้มั้ยคะพี่ฟาเดลขา…”

เขาทอดเสียงหวานลากยาวเป็นตัวอย่าง ทำเอาดารัลที่ได้ฟังถึงกับขนลุก

“ว่าไงครับ…ทำตามตัวอย่างที่พี่บอกให้ทำได้มั้ย ถ้าทำได้นะ
ต่อไปพี่ก็จะยอมรอแต่โดยดีและให้อภัยล่ะ…จะไม่ถือสาด้วยเอ้า”

ฟาเดลหันมาจ้องหน้าคนหน้าหวาน
ลุ้นว่าหากเธอพูดหวานๆออกมาจะเป็นอย่างไร…

“ว่าไง…”ฟาเดลรุกเร้า…

“คุณสัญญาแล้วนะคะว่าจะรอแต่โดยดี…”ฟาเดลพยักหน้า

“แต่เธอก็ห้ามผิดสัญญาว่าจะต้องพูดเพราะๆหวานๆกับพี่ด้วย…”

ดารัลคิดว่าเธอทำได้หรอก หากเขายอมลงให้เธอในเรื่องนี้ไปได้อีกหนึ่งเดือน…
อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอเบาใจได้ว่าอีกหนึ่งเดือน เธอจะยังคงเป็นเธอคนเดิม
ไม่ต้องนอนหวาดระแวงเรื่องกิจกรรมที่ชวนให้ขนลุก…

“ก็ได้ค่ะ…ถ้าพี่ฟาเดลอภัยให้ น้องรัลก็ไม่ต้องมีบาปที่ทำให้พี่ฟาเดลต้องทรมานใจ
อภัยให้น้องรัลได้มั้ยคะพี่ฟาเดลขา…”ดารัลทอดเสียงให้หวานนุ่ม
โดยที่พยายามก้มหน้าก้มตาขณะที่พูด เพราะไม่กล้า
แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองสบตาคมคู่นั้นที่จ้องเธอเขม็งอยู่
ยิ่งพูดขนก็ยิ่งลุกเกรียว ให้ตายสิ นี่หน้าเธอไม่ได้แดงเห่อไปด้วยหรอกนะ

และเมื่อพูดจบ ร่างเธอก็ถูกรวบเข้าหาอกแกร่งทันที…
แล้วมือใหญ่ก็เชยคางของเธอขึ้น แวบเดียวที่สบตาคมคู่นั้น
ก่อนดวงหน้านั้นจะลอยเข้าใกล้

ฉับพลันริมฝีปากของเธอก็โดนริมฝีปากของเขาทาบลงมา…
ดารัลประท้วง ทว่าเสียงนั้นไม่สามารถผ่านพ้นออกมาได้
เพราะฟาเดลไม่ยอมให้มันเป็นอิสระได้อีกต่อไป

ความหวานแทรกซึมชวนให้คนที่กำลังประท้วงแทบจะหมดเรี่ยวแรง
มันมีทั้งความหวาน โหยหาและอ่อนละมุนละไม…

“หวานใจของพี่…”ฟาเดลเอ่ยออกมาเมื่อผละออกจากริมฝีปากที่เขาชิมจนพอใจแล้ว…
ก่อนจะกอดเธอเอาไว้แน่น ซบหน้าลงยังกลุ่มผมของเธอแล้วสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ
ของแชมพูที่เขาเริ่มคุ้นเคย…

“แค่คิดว่าต้องทนอีกหนึ่งเดือน พี่ก็แทบจะขาดใจตายแล้ว…
น้องรัลอย่าทรมานใจพี่ไปมากกว่านั้นเลยนะครับคนดี…”

เสียงนั้นเว้าวอน ฟังดูน่าสงสารจัง…

“เอ่อ…เอ่อ…ฉัน…เอ่อ…น้องรัลไม่แน่…”ดารัลช่างใจ
เมื่อโดนอีกฝ่ายต้อนเอาต้อนเอา

“ไม่สงสารพี่บ้างเลยหรือครับ…”เขาพยายามปิดประตูทุกบาน
จนเธอยากจะอ้าปากต่อรองได้อีกต่อไป…

“แล้วทานอะไรมารึยังคะ…”ดารัลเปลี่ยนเรื่อง เบนเข็มทันทีเมื่อสบโอกาส…
ฟาเดลส่ายหน้า

“กะจะกลับมากินข้าวกับน้องรัลไงครับ…เพราะคุณปู่กับคุณย่า
และฮาน่าเพิ่งโทรมาบอกว่าจะค้างต่อที่บ้านเพื่อน…
แม่บ้านก็มาลากลับบ้านไป…พี่กลัวน้องรัลเหงา ก็เลยรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแต่หัววัน…”

น้ำเสียงของเขาช่างอ่อนหวานนุ่มนวลน่าฟังเหลือเกินในความรู้สึกของดารัล…
ทั้งๆที่ปกติเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงโทนนี้กับเธอประจำอยู่แล้ว
ยกเว้นช่วงที่ต้องปะทะคารมกันเท่านั้น

หรือว่า หัวใจเธอ ความรู้สึกเธอที่มีต่อเขามันเริ่มเปลี่ยนไป!

“วันนี้ทำอะไรให้พี่กินครับ…”เขาอ้อนถาม…ใบหน้าไม่ยอมให้ห่่างจากใบหน้าอีกคน…

“อาหารไทยค่ะ…”

“อะไรบ้างครับ…”

“แกงส้มกุ้งกับดอกแคค่ะ…”รายการอาหารที่ได้ยินทำเอาฟาเดล
ถึงกับตาโตด้วยความตกใจ แปลกใจ ประหลาดใจ

“น้องรัลเอาดอกแคมาจากไหนครับ…”ดารัลส่ายหน้า

“ฉัน…เอ่อ…น้องรัลล้อเล่นค่ะ…น้องรัลแกงส้มกุ้งเฉยๆ ไม่ได้ใส่ดอกแค…
เพราะที่นี่ดอกแคไม่มี…”

แววตาที่ดูแสนจะเสียดายนั้นของเธอ
ทำเอาฟาเดลถึงกับผละออกห่างแล้วกุมมือบางขึ้นเอาไว้มั้น

“แล้วพี่จะเอาดอกแคมาลงในสวนบ้านเรานะครับ…มันจะปลูกยากสักแค่ไหนกันเชียว…”

แววตาคนพูดดูจะจริงจังหนักแน่นมุ่งมั่นเสียจนดารัลถึงกับอึ้ง

“พี่ฟาเดลเอามันมาปลูกได้หรือคะ…ที่นี่ คาสบลังก้านะคะ”

“ดูเสียก่อนว่านี่ใคร…”ฟาเดลจิ้มนิ้วหันมาทางตัวเองแล้วทำท่าโอ่
ส่งผลให้คนมองถึงกับหัวเราะคิกออกมา

“ขนาดดื้ออย่างน้องรัลพี่ยังเอามาไว้ที่คาสบลังก้าได้เลย
นับประสาอะไรกับต้นไม้ต้นเดียว…พี่จะไปดูว่ามันชอบดินแบบไหน
รากมันลึกขนาดไหน ชอบอากาศยังไง ขนาดต้นพอปลูกลงในกระถางได้มั้ย…
พี่ขอเวลาศึกษาไม่นาน รับรองว่าอีกไม่นานน้องรัล
จะได้เห็นดอกแคบานสะพรั่งในสวนบ้านเรา…”

น้ำเสียงที่ยืนยันหนักแน่นนั่นทำเอาดารัลถึงกับเป็นปลื้ม ยิ้มทั้งปากทั้งตา
รู้สึกอบอุ่นซาบซ่านไปทั่วทั้งใจกับคำว่า ‘บ้านเรา’ ที่เขาเปล่งออกมา

ต่อให้เขาจะเอาดอกแคมาปลูกที่นี่ไม่สำเร็จ เธอก็ไม่สนใจหรอก
แค่รู้ว่าเขาแคร์เธอ แคร์ความรู้สึก แค่ร์ความต้องการของเธอ
แค่นี้ดอกแคที่เขาดูตั้งใจจะปลูกที่คาสบลังก้ามันก็บานสะพรั่งในใจเธอ
เพียงไม่กี่วินาทีโดยไม่ต้องพึ่งพาดิน น้ำ อากาศ หรือกระถางใดๆเลย…

“ตอนนี้ดอกแคร์ของพี่บานสะพรั่งเรียบร้อยแล้วค่ะ…บานที่ตรงนี้เลย…”

ดารัลจิ้มนิ้วตรงตำแหน่งของหัวใจ ทำเอาฟาเดลถึงกับขมวดคิ้ว
ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลายปมคิ้วแล้วยิ้มออกมา แล้วรวบร่างบางเข้าหา กอดเอาไว้แน่น…

“พี่พูดจริงทำจริง…ไม่ว่าอะไรที่จะทำให้น้องรัลอยู่กับพี่ที่นี่ได้ พี่ยินดีทำครับ…
ขอแค่น้องรัลจะอยู่กับพี่ ไม่ทิ้งพี่ไปไหน…”

เขากอดเธอราวกับกลัวว่าเธอจะหายไปไหน…

“ก็แล้วน้องรัลจะทิ้งพี่ฟาเดลไปไหนได้ล่ะคะ ในเมื่อเราแต่งงานกันแล้ว…
พี่ฟาเดลอยู่ที่ไหนน้องรัลก็ต้องอยู่ที่นั่น…”

ดารัลยืนยันหนักแน่น…ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวานหวานว่า

“ขออ้อมกอดอุ่นๆที่มาจากความจริงใจที่กลั่นออกมาจากหัวใจพี่ฟาเดลอย่างนี้ไปตลอด
แค่นี้ก็ทำให้น้องรัลทิ้งพี่ฟาเดลไม่ไหนไม่ได้แล้วล่ะค่ะ…”

ฟาเดลยิ้มทั้งปากทั้งตาแล้วก้มลงกดจมูกโด่งลงบนกลุ่มผมหอมกรุ่น
ไล่ลงมาตรงขมับ แล้วขยับลงมาที่พวงแก้มสีชมพูระเรื่อ
ฝังจมูกและปากลงบนแก้มนุ่มนั้นอย่างถนัดถนี่

“ผมนุ่ม…แก้มหอม ปากหวานอย่างนี้…พี่ชักจะไม่อยากรอซะแล้วซิ”

ชายหนุ่มกระซิบเบาๆชิดริมฝีปากหญิงสาว…ดารัลจึงเอียงหน้าหลบไปอีกทาง
เพราะรู้ว่าเขากำลังสื่ออะไรออกมา เธอได้ยินสัญญาณเตือนดังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
เสียงกระซิบของมันแม้จะแผ่วเบา แต่กลับส่งผลทำให้ผิวหน้าของเธอร้อนผ่าว

“เอ่อ…เราไปทานข้าวกันเถอะค่ะ…ขอน้องรัลอุ่นอาหารหน่อย
แล้วเดี๋ยวจะออกมาเรียกนะคะ…”ดารัลลุกขึ้นตั้งท่าจะผละออกไป
ทว่่าฟาเดลกลับลุกขึ้นรั้งเอวบางไว้ ดูจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายห่างกาย
จนทำเอาดารัลหายใจไม่ทั่วท้อง

“พี่ไปด้วย…”

“มีแต่ของคาว ไม่มีของหวานนะคะ…”
ดารัลดักทางอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยรอยยิ้มและแววตารู้ทัน…

“ไม่เป็นไร พี่ชอบทำของหวาน…จะกินอะไรบอกพี่ เดี๋ยวพี่จัดให้…”
ฟาเดลแกล้งอีกฝ่ายให้ได้หน้าแดง อยากรู้ทันเขาดีนัก

“ไม่ดีกว่าค่ะ…น้องรัลไม่อยากกินของหวาน เดี๋ยวจะเป็นเบาหวานเอา”

หญิงสาวไม่ยอมแพ้ รีบเดินแกมวิ่งไปยังห้องครัว ฟาเดลรวบร่างนั้นเอาไว้ได้อีกครั้ง
กอดเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง
แล้วไม่ลืมฝังจมูกโด่งที่พวงแก้มแดงๆให้ชื่นใจ
กระซิบตรงกกหูนั่นเบาๆว่า

“ไม่เป็นเบาหวานหรอก เพราะความหวานที่พี่จะมอบให้นั้น
จะทำให้น้องรัลกลายเป็นคนอ่อนหวานต่างหาก…”

ดารัลพยายามแกะมือที่ดูจะไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระออก
หากก็ยากเย็นเหลือเกิน

“เมื่อกี้รับปากอะไรไว้…”ดารัลทวงสัญญาทันทีเมื่อกำลังเพลี้ยงพล้ำ
อีกฝ่ายที่ดูจะพยายามต้อนเธอให้จนมุม

“เปลี่ยนจากหนึ่งเดือน เป็นหนึ่งวันได้มั้ยครับ…”เสียงนั้นออดอ้อน
ต่อรองจนเธอต้องอมยิ้มให้กับท่าทางขี้อ้อนนั้น…

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผู้ชายตัวใหญ่ๆแบบนี้จะมีลูกอ้อนซ่อนไว้ขนาดนี้

“พี่ฟาเดลต่อรองมากเกินไป…สงสัยคงต้องงดของหวานไปด้วย
ของคาวที่จะไปอุ่นให้ก็ไม่ต้องกินแล้วนะคะ ยืนกอดน้องรัลตรงนี้เสียให้พอ
และคืนนี้นอนนอกห้องไปก็แล้วกันนะคะ…น้องรัลไม่ไว้ใจแล้ว…”

ดารัลยื่นคำขาด ทำเอามือของคนที่รวบร่างบางอยู่ถึงกับตกเพราะหมดแรง

“ใจร้าย…”

“ก็ดีกว่าคนใจดีที่คิดจะเอาเปรียบกันแหล่ะ…สรุปว่าพี่ฟาเดลไม่กินข้าวเย็นแล้วนะคะ…”

“กินสิ…หิวจะแย่…ท้องร้องแล้วเห็นมั้ย…”ดารัลก็เห็นว่าจริงดังเขาว่า
เพราะเธอได้ยินเสียงท้องของเขาประท้วงมาได้สักพักแล้ว
แต่คนที่อ้อนอยากกินของหวานก่อนกินของคาวนี่สิ มันน่าตีนัก…

และไม่เพียงแค่คิด ดารัลฟาดมือลงไปที่มือซึ่งกำลังจะคว้าแขนของเธอไปกุมไว้
ให้อย่างหมั่นเขี้ยวเหลือกำลัง

“ตีพี่ทำไม…”เสียงทุ้มหวานประท้วง

“ก็มันน่าตีมั้ยล่ะ…”

“เดี๋ยวก็เปลี่ยนจากจูงเข้าห้องครัว…อุ้มเข้าห้องนอนซะเลย…”

เสียงขู่และแววตาดุๆที่ถูกส่งมาหาได้ทำให้ดารัลหวาดกลัวแต่อย่างใด…
เพราะรู้ว่าเขาจะไม่ทำอย่างที่พูดหรอก…

ดารัลจึงหันมายิ้มโชว์ฟันขาวให้พ่อจงอางที่กำลังขู่หนูฟ่อๆ…
แล้วเดินเข้าห้องครัวไปพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ

“ฝากไว้ก่อนนะน้องรัล…ฝากไว้…”ฟาเดลคาดโทษอีกฝ่ายในใจ
กะจะเก็บไว้เอาคืนในภายภาคหน้า




....โปรดติดตามตอนต่อไป.....


ตอนนี้ยังคงความหวานไว้อยู่ แม้จะเริ่มได้กลิ่นน้ำตาลไหม้ๆมาบ้างแล้ว
ตอนหน้าจะรีบมาให้กันไวๆค่ะ...อาจจะเป็นพรุ่งนี้เลยก็เป็นไปได้...

ต้องขอโทษนักอ่านที่หยุดอัพเรื่องนี้ไปแป๊บนึง ปล่อยให้อารมณ์ค้างกัน
มาต่อให้กันอย่างนี้แล้ว ขอกำลังใจนิดนึงได้มั้ยคะ...



...ขอคุยกับนักอ่านจากบทที่แล้วค่ะ...

1.คุณแว่นใส...เรื่องที่รอกำลังจะเกิดขึ้นในตอนหน้าจ้าาาาาาา...
แววร้ายกำลังฉายแสง...โยเพิ่งสร้างนางร้ายมา ปกติเรื่องอื่นๆไม่ค่อยมีนางร้าย
แต่เรื่องนี้มีนางร้าย และร้ายไม่หยอกเสียด้วย...

2.คุณคิมหันตุ์...ใช่แล้วค่ะกำลังไปได้สวย นางร้ายเราก็สวย
เขาว่าดอกไม่สวยมักมีหนามแหลมคม งานนี้คงต้องระวังของสวยๆงามๆกันบ้างแล้วล่ะ
พี่ฟาเดลเอ๋ย...

3.คุณตุ๊งแช่...ตอนนี้รักแบบมีสติ เพราะสติยังไม่หลุดน่ะสิคะ...
ถ้าสติหลุดขึ้นมา สภาพจะเป็นเยี่ยงไรหนอ...อิอิอิ

4.น้องเจื้อยแจ้ว...ไม่อยู่บ้านสิบวัน แสดงว่าหนีไปเที่ยวมาแหงๆ อิอิ
ฉากล่าสุดนี่ก็หวานน้าาาาา...แม้ชีวิตคนเขียนจะไม่ค่อยหวาน
แต่ก็อยากเขียนอะไรหวานๆบ้าง...อิอิ...ตอนนี้ปล่อยให้สงสารพระเอกไปก่อน
จะได้รักพระเอกของพี่มากๆ มากพอที่จะไม่ด่าในภายหลัง...เฮะๆ...
แอบคิดนะว่า...พี่จะให้พระเอกของพี่กินหญ้าดีหรือเปล่า...
และถ้าไม่กินหญ้า จะให้กินอะไรแทน...แต่ที่แน่ๆ พ่อตาน่ะไม่ย่อยสักเท่าไหร่
ฮ่าๆ...



สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่เข้ามาคลิกอ่าน เข้ามาส่งกำลังใจ และกดไลค์ให้ชื่นใจกันนะคะ


รักษาสุขภาพนะคะ

"เต่าโยโผล่จากกระดองแล้ว"

^^




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2557, 22:06:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2557, 22:06:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 4189





<< บทที่ 9 อาทิตย์อุทัย   บทที่ 11 ไฟริษยา >>
คิมหันตุ์ 15 ต.ค. 2557, 22:47:02 น.
เอิ่มประเมินลูกแม่นาดาต่ำไปป่าวคะ. คุณแม่ม่าย


แว่นใส 16 ต.ค. 2557, 01:41:47 น.
ต้องเชื่อใจกันให้มากนะ


saralun 16 ต.ค. 2557, 05:30:47 น.
ผู้หญิงแบบนาตาขามีเยอะมากสมัยนี้...ไม่รู้จิตใจทำด้วยอะไร


ตุ๊งแช่ 16 ต.ค. 2557, 08:35:47 น.
หวานซะไม่น่าเชื่อก่อนหน้านี้ กัดกันแทบตาย นางร้ายโผล่มาแล้ว รออ่านความมีสติของดารัล หุหุ


pseudolife 16 ต.ค. 2557, 22:15:59 น.
แอร๊ ดอกแครรรรรรรรร์
ตอนนี้หวานมากค่า
หวังว่าตอนต่อๆ ไป พระเอกนางเอกของเราจะมีสติและไม่ลืมสัญญาใจในตอนนี้เนอะ
ส่วนตัวอิจฉาที่จะตามมานี่ดูนางคิดง่ายๆ ซะเหลือเกิน จะคอยดูว่าลูกแม่น้ำค้างจะตอบโต้ยังไงนะคะ

เป็นกำลังใจให้พี่โยค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account