ฝันรัก รอยอดีต
แต่เพียงวันแรกที่ 'นิมมาน' ได้เหยียบย่างเข้าไปที่บ้านทรงไทย เขาก็ได้บังเอิญช่วยชีวิตหญิงสาวซึ่งกำลังจะจมน้ำในสระบัว หากอะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าที่เธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้วต่างหาก!
นี่ไม่ใช่ดวงจิตหรือวิญญาณ แต่เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนมีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับตน ซ้ำสตรีผู้นี้ยังขอให้เขาตามหาบิดาที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช
ทว่าเบาะแสเดียวที่นิมมานมีคือความฝัน และนับวันความจริงอันน่าหวาดหวั่นในอดีตก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบว่า...เขานั่นเองที่อาจเคยผูกพัน ผูกกรรมกับเธอ
น้องแช่งชักหักรักขาดสะบั้น
พี่หลับฝันตั้งจิตคิดแก้ไข
น้องหลบลี้หนีรักจากพี่ไป
ขอตามใจสมัครรักมิคลาดคลา
นี่ไม่ใช่ดวงจิตหรือวิญญาณ แต่เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนมีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับตน ซ้ำสตรีผู้นี้ยังขอให้เขาตามหาบิดาที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช
ทว่าเบาะแสเดียวที่นิมมานมีคือความฝัน และนับวันความจริงอันน่าหวาดหวั่นในอดีตก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบว่า...เขานั่นเองที่อาจเคยผูกพัน ผูกกรรมกับเธอ
น้องแช่งชักหักรักขาดสะบั้น
พี่หลับฝันตั้งจิตคิดแก้ไข
น้องหลบลี้หนีรักจากพี่ไป
ขอตามใจสมัครรักมิคลาดคลา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๕
๕
นิมมานหิ้วถุงของกินและของใช้เต็มสองมือหลังกลับจากห้างสรรพสินค้า แม้เขาจะอยากชวนหญิงสาวดูภาพยนตร์ต่อ หากก็ตระหนักดีว่าความวุ่นวายของแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ใจกลางเมืองคงสร้างความวิงเวียนแก่ผู้ไม่คุ้นชิน
ประณีตปิดประตูตามหลังเจ้าของห้องเข้าไป ถุงใส่ข้าวของทั้งหมดวางกองอยู่บนเก้าอี้ยาวขณะนิมมานผงกศีรษะให้เธอมาช่วยกันแยกของ กว่าครึ่งหนึ่งของข้าวของที่ซื้อมาวันนี้ล้วนเป็นของเธอ
"คุณไม่น่าขนซื้อมาให้ดิฉันถึงเพียงนี้เลย" เธอเปรยด้วยความเกรงใจอีกครั้ง เมื่อมองเห็นถุงข้าวของของตนกองพะเนิน "เสื้อตัวหนึ่งซื้อทองได้เทียวค่ะ"
"ผมบอกนิดแล้วไง สินค้าสมัยนี้ก็ราคานี้ทั้งนั้น เอาไปเปรียบเทียบกับค่าเงินเมื่อแปดสิบปีที่แล้วไม่ได้หรอกครับ" เขาอธิบายกึ่งปลอบให้เจ้าหล่อนคลายใจ "แล้วทองสมัยนี้น่ะบาทละสองหมื่นนะครับ ไม่ใช่ไม่กี่บาทอย่างที่นิดบอกผม"
เธอเข้าใจในเหตุผลของเขา แต่เธอก็มีเหตุผลส่วนตัว
"ดิฉันไม่อยากให้คุณหมดเปลืองดอกค่ะ ดิฉันคงอยู่ที่นี่ไม่นาน"
ชายหนุ่มชะงักมือซึ่งจัดแยกขนมและเครื่องดื่ม เขามองกระป๋องน้ำอัดลมหลากสีที่ขนซื้อมาให้เจ้าหล่อนลิ้มลอง ก่อนจะกำมือแน่นพลางเงยหน้าสบตาเธอ
"นิดจะไปอยู่ไหน"
"สักวันดิฉันต้องกลับไปยังที่ที่จากมา"
ใช่ เขารู้ แต่ทำไมจึงเจ็บปวดนักเมื่อเธอตอกย้ำ
"ครับ เมื่อถึงวันนั้นผมจะนำเสื้อผ้าพวกนี้ไปบริจาค นิดไม่ต้องห่วงหรอก แค่รักษาสัญญาที่ให้กับผมระหว่างนี้ก็พอ"
นิมมานตัดใจลุกนำเครื่องดื่มต่างๆ ไปแช่ ทิ้งให้ความรู้สึกผิดเกาะกินใจหญิงสาวเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชาในน้ำเสียงสุภาพดังเคย
ประณีตนำถุงข้าวของไปเก็บในห้องนอน เธอควรทำอย่างไรในเวลาเช่นนี้ดี เธอไม่มีพี่น้อง ไม่เคยต้องง้อใครสักที ข้างอารีก็ไม่เคยโกรธกันจนต้องง้องอน จะมีก็แต่ยามปะเหลาะเอาใจคุณพ่อ เธอจะชงชาร้อนอย่างที่คุณพ่อชอบ แล้วลงนั่งบีบนวดให้ท่านเท่านั้น
ประณีตมองผ่านประตูซึ่งแง้มเปิดเล็กน้อยอย่างลังเลใจ ระหว่างก้าวข้ามความเหมาะสมกับรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้เช่นที่เธอเคยปฏิบัติต่อทุกคน
แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจง่ายขึ้นเมื่อแว่วเสียงพูดคุยโทรศัพท์จากผู้ที่หันมองออกไปนอกกระจกใส เธอไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาท หากเสียงสนทนาที่ลอยมาก็พอรับรู้ได้ว่านิมมานกำลังสนทนากับผู้ใด
"พรุ่งนี้หรือครับ ไม่แน่ใจ งั้นผมฝากบอกคุณแม่ว่าจะเข้าไปฝากท้องตอนเย็นดีกว่า เอ๋ยกับคุณแม่สะดวกนะครับ"
ประณีตค่อยดึงประตูปิด เขารับนัดคนรัก หวังว่าเขาจะไม่ลืมนัดในวันพรุ่งนี้ที่รับปากไว้กับเธอ
........................
นับแต่เขายกห้องนอนให้กลายเป็นกรรมสิทธิ์แขกพิเศษ นิมมานก็ได้ย้ายเสื้อผ้าที่จำเป็นของตนใส่กระเป๋าเดินทางออกมาไว้ยังมุมห้องทำงาน เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเธอยามตนต้องทำธุระส่วนตัว
หากเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์นี้เขาตั้งใจว่าจะปลุกเธอ ชายหนุ่มตื่นเต้นจนนอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน และไม่ได้ฝันถึงบ้านเดี่ยวร่มรื่นด้วยร่มเงาต้นไม้ใหญ่หลังนั้นอีก
ทว่าผู้ที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำหลังแต่งตัวเตรียมพร้อมก็ต้องนิ่วหน้าแปลกใจเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังสาละวนอยู่ในครัว เธอมัวแต่ทุ่มความสนใจยังเตาแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีกาตั้งอยู่ เห็นดังนั้นนิมมานจึงเดินไปกดปุ่มบนแผงควบคุมปุ่มหนึ่งให้เธอ
"นิดต้มน้ำทำอะไรหรือครับ"
ประณีตก้มหน้าเอียงอายในความไม่ประสาของตน ทั้งที่เธอตั้งใจจะชงชาให้เขาดื่มแท้ๆ
"จะชงชาหรือ" เขาถามขึ้นเมื่อเหลือบไปพบกับขวดพลาสติกใสสุญญากาศที่บรรจุใบชาอบแห้งซึ่งแม่เขาส่งมา
"ดิฉันชงให้คุณหรอกค่ะ"
เธอไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา ท่าทางเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแอบเล่นซนเรียกรอยยิ้มเอ็นดูยังมุมปากชายหนุ่ม เจ้าหล่อนน่ารักเหลือเกินยามเอาใจใส่ใครเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ชายชาติทหารอย่างหลวงชาญยุทธกิจผู้นั้นจะใจอ่อนให้บุตรสาวดังที่เขาเคยเห็นเหตุการณ์
"ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอขอบคุณในน้ำใจของนิด รู้สึกเป็นเกียรติมากครับ" เขารู้สึกจริงดังคำพูดทุกคำ
ประณีตคลี่ยิ้มด้วยความมั่นใจ ต้องขอบคุณที่เขาไม่ทำเหมือนความผิดพลาดของเธอเป็นเรื่องขบขัน เมื่อร่างสันทัดถอยออกไปรอหน้าโทรทัศน์ เธอก็เปิดโหลใส่ใบชาพลางหยิบออกมาใส่กากระเบื้องสวยหยิบมือหนึ่ง ก่อนเทน้ำร้อนที่ต้มไว้จากกาสแตนเลสเติมลงไป
หญิงสาวยกกากระเบื้องเคลือบพร้อมชุดถ้วยและจานรองไปให้นิมมานยังโต๊ะรับแขกตัวเตี้ย เธอรินชาร้อนจากกาให้เขา แล้วจึงขยับไปนั่งยังเก้าอี้นวมยาวเยื้องออกไป
"ของนิดล่ะ"
"ดิฉันชงให้คุณค่ะ คุณได้ชามาจากไหนหรือคะ หอมเทียว"
"แม่ของผมทำไร่ชาอยู่ทางเหนือครับ ทั้งชาและชุดน้ำชานี้ก็เป็นของแม่ขนมาทั้งนั้น ที่นั่นสวยเหมือนสวรรค์เลยนะนิด ผมเชื่อว่าคุณต้องชอบถ้าได้ไปเห็นสักครั้งหนึ่ง"
หญิงสาวรับฟังด้วยแววตาเปล่งประกายชื่นชมลึกซึ้ง เขามีวิธีพูดให้คนฟังอบอุ่นใจประหลาด ทุกสิ่งที่บุรุษผู้นี้เอ่ยถึงล้วนแล้วแต่เป็นไปในทางชื่นชม เห็นคุณค่าความงามของสิ่งต่างๆ รอบตัว นิสัยใจคอเช่นนี้ของเขาทำให้เธอสบายใจได้ทุกครั้งที่สนทนา
"ในสมัยนี้เรายังเดินทางด้วยรถไฟอยู่หรือเปล่าคะ หรือจะเป็นรถไฟลอยฟ้าที่คุณเคยบอกดิฉัน"
นิมมานโคลงศีรษะพร้อมรอยยิ้มบาง "รถไฟฟ้ามีแต่ย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ ครับ ถ้าจะไปถึงเชียงใหม่อย่างสะดวกและรวดเร็วที่สุดคือเครื่องบิน นิดจำเจ้านกเหล็กยักษ์ที่ผมชี้ให้ดูได้หรือเปล่า"
"ลอยอากาศน่ะหรือคะ น่าหวาดเสียวเทียว ดิฉันคนหนึ่งล่ะไม่เอาด้วยดอก" หญิงสาวจากอดีตทำหน้าปูเลี่ยนคล้ายจะเป็นลม
ยิ่งเธอพูดอย่างนั้น เขาก็ยิ่งอยากพาเธอไปให้ได้ หากชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยออกมา
เขาเสกดเปิดหน้าจอแท็บเล็ตและเรียกแผนที่ขึ้นมา มันเป็นแผนที่จากดาวเทียม แสดงถนนหนทางและบริเวณโดยรอบของถนนบำรุงเมือง ที่ซึ่งเธอเคยบอกว่าบ้านของบิดาอยู่บริเวณนั้นนั่นเอง
"นิดจำได้ไหมครับว่าบ้านที่เราจะไปอยู่ตรงไหน ถนนบำรุงเมืองยาวตั้งแต่ถนนอัษฎางค์มาจนถึงถนนกรุงเกษม"
"บ้านของดิฉันอยู่ใกล้คลองขุดใหม่ คลองผดุงกรุงเกษมค่ะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
ประณีตขยับเข้าไปใกล้พลางมองแผนที่บนหน้าจอด้วยความสนใจ บนนั้นมีชื่อถนนและตรอกซอกซอยต่างๆ ที่บ้างก็คุ้นหู บ้างไม่เคยได้ยิน
"ตรงนี้คือวัดเทพศิรินทร์ฯ" นิมมานบอกพลางชี้ขอบเขตสี่เหลี่ยมบนแผนที่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคลองผดุงกรุงเกษม
"ใช่ค่ะ อยู่ไม่ไกล ทุกวันพระยายแม่ครัวที่บ้านแกมักมาทำบุญที่นี่"
ชายหนุ่มมองเสี้ยวหน้าของผู้ที่ตั้งใจดูแผนที่ ใบหน้าอ่อนหวานขมวดคิ้วมุ่นอย่างพยายามทำความเข้าใจ เธอชี้นิ้วลังเลเหนือขึ้นไป ก่อนจะหันไปประสบสายตาซึ่งทอดมองมาพอดี มือข้างที่ชี้บอกเขาจึงเลื่อนมากุมแก้มตนด้วยความประหลาดใจ
"หน้าดิฉันมีอะไรติดหรือคะ"
นิมมานสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้ม ความเนียนสล้างต่างหากเล่าที่ทำให้เขาเผลอมองอย่างลืมตัว
"เมื่อกี้นิดจะบอกผมว่าอะไรนะครับ"
"อ้อ ดิฉันจะบอกว่าดิฉันดูแผนที่ไม่เป็น แต่คิดว่าบ้านคุณพ่อคงอยู่บริเวณนี้ค่ะ"
เขามองตามนิ้วที่ชี้ บนแผนที่ภาพถ่ายจากดาวเทียมบ่งบอกว่าบริเวณนั้นได้กลายเป็นห้างสรรพสินค้า เขาไม่กล้าบอกเธอหากใจเสียไปกว่าครึ่ง แล้วกับผู้ที่รักและผูกพันกับสถานที่นั้นย่อมต้องรู้สึกมากกว่าเท่าทวี
ชายหนุ่มกดปิดหน้าจอพลางลุกยืน บางทีมันอาจเป็นความเข้าใจผิดของหญิงสาวเท่านั้น สู้ไปให้เห็นกับตา และถ้าผลออกมาคือความผิดหวัง เสียใจ ก็ให้มันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเถิด
.............................
ถนนบำรุงเมืองสร้างขึ้นครั้งแรกด้วยเทคนิคตามแบบตะวันตกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหนึ่งในถนนสามสายหลัก ได้แก่ ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร
ต่อมา ก่อนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชประสงค์และโปรดเกล้าฯ ให้ขยายถนนสายนี้ออกไปสำหรับเส้นทางรถสัญจร มีการสร้างตึกแถวขนาบสองฝั่งถนนเลียนแบบเมืองสิงคโปร์ สำหรับให้ชาวไทยและชาวต่างชาติเช่าทำมาหากิน
ถนนบำรุงเมืองในวันนี้กับอดีตนั้นไม่แตกต่างกันมากนักในสายตาของผู้เคยพบเห็น นอกจากรถราที่เพิ่มมากขึ้นไม่ขาดสาย ประณีตมองตึกแถวซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ชั้นล่างนั้นมีตั้งแต่เปิดเป็นร้านขายอาหารไปจนถึงร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วยังตึกอาคารใหญ่โตที่เธอไม่เคยเห็น จะมองหาบ้านสักหลังนั้นยากเย็นเหลือเกิน
"ผมคิดว่าเราน่าลองเข้าไปตามซอย ถ้าคุณแน่ใจว่าเป็นแถวนี้จริง"
"ดิฉันไม่มั่นใจแล้วค่ะ"
"ถ้าคุณบอกว่าบ้านคุณอยู่บนถนนบำรุงเมือง ไม่ไกลจากคลองผดุงฯ ผมก็คิดว่าเรามาถูกทาง"
ประณีตผงกศีรษะ ทว่าในหัวใจอันสับสนกำลังร้องไห้ เธอรู้สึกเหมือนตนเป็นเด็กหลงทาง แม้จะมีมืออันอบอุ่นยื่นมาช่วยเหลือก็ตาม แต่จะมีประโยชน์อันใดที่เธอจำไม่ได้แม้แต่บ้านของตัวเอง
"เราน่าจะหาที่จอดรถ ถ้าเดินดูก็ถามผู้คนแถวนี้ได้"
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง ความมั่นใจที่เหลืออยู่ของเธอคือความเชื่อมั่นที่มีต่อบุรุษผู้นี้เท่านั้น
นิมมานเลี้ยวรถไปจอดในห้างสรรพสินค้า ก่อนเธอและเขาจะเดินย้อนออกมาด้วยกัน แดดแรงจัดยามสายส่งผลให้ประณีตต้องยกมือป้องตา เสียงเครื่องยนต์และกลิ่นไอเสียของรถราที่สัญจรต่างจากถนนอันเงียบสงบในวันวาน
คุณพ่อขา ช่วยนำทางลูกกลับบ้านเราที
นิมมานพาเธอเดินไปบนบาทวิถี ผ่านหน้าตึกแถวที่ค้าขายสินค้าเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ก่อนชายหนุ่มจะหยุดถามถึงบ้านเก่าแก่บริเวณใกล้เคียงกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่สวมเสื้อคล้ายกัน เขาเคยอธิบายกับเธอว่าคนที่สวมเสื้อสีแสดนี้มีอาชีพขี่รถรับจ้าง ก็คงเหมือนรถเจ๊กในยุคสมัยเธอ
"ถ้ามีก็อยู่ในซอยนะ แต่แถวนี้มีซอยเยอะแยะ จะหาเจอเหรอ ถ้ามีรูปก็ว่าไปอย่าง"
นิมมานเปิดหน้าจอแท็บเล็ตขึ้นมา เขาเลือกไฟล์ภาพบ้านในความฝันที่ตนเคยร่างคร่าวๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังหญิงสาวข้างกายแวบหนึ่ง เธอจะว่าเขาบ้าหรือไม่หนอที่เชื่อในความฝันเป็นตุเป็นตะถึงกับร่างภาพบ้านหลังนั้นออกมา
รูปวาดฝีมือตนคงไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงมากนัก เมื่อแววตาของเจ้าของบ้านที่มองมาแฝงแววประหลาดใจ
"เคยเห็นไหมพี่"
"เอ คุ้นๆ นะ หรือจะเป็นหลังนั้น แต่มันโทรมมากแล้ว"
หัวใจสองดวงโลดแรง หนุ่มสาวหันมาสบตากัน ก่อนนิมมานจะตัดสินใจว่าจ้างรถจักรยานยนต์สองคันให้ไปส่งพวกตน
"ไม่ต้องกลัวนะนิด นั่งดีๆ ไม่ยากเท่าพายเรือแน่ครับ" เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ขณะสวมหมวกนิรภัยให้หญิงสาว
ประณีตสบแสงตาอ่อนโยนที่อยู่ไม่ไกลกันเลย หัวใจสาวซวนเซเสียจังหวะเมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสแก้มตนโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอหลุบตาพลางกดคางลงให้อีกฝ่ายคลายความห่วงกังวล เธอกำลังจะได้กลับบ้านอีกครั้ง เรื่องแค่นี้จึงเล็กน้อยเหลือเกินในความรู้สึกตน ต่อให้ทางที่เดินไปมีแต่กรวดหินร้อน เธอก็ต้องฝ่าไป
.................
"นี่แหละคุณ ใช่หลังนี้ไหม ผมว่าใกล้เคียงอยู่นา เห็นเขาว่าว่าโดนระเบิดตั้งแต่สงครามโลก แล้วก็ร้างจากนั้นเป็นต้นมา"
คำบอกเล่าถึงความเป็นไปในอดีตเพียงผ่านหูนิมมานไปเท่านั้น เขาจ่ายเงินค่าโดยสารให้ผู้ขี่รถรับจ้างทั้งสองคน หากสายตากลับจับจ้องยังร่างบางที่ก้าวช้าไปใกล้รั้วผุพัง บางส่วนของกำแพงปูนกลายเป็นแผ่นสังกะสีปิดกั้นคนนอกเท่านั้น ไม่เหลือเค้าของบ้านอันอบอุ่นปลอดภัยที่เขาฝันถึงเลย
"นิด ผมว่าอาจไม่ใช่..."
"ใช่ค่ะ" ประณีตตอบเสียงเรียบก่อนที่เขาจะพูดจบ
ถึงแม้บ้านหลังนี้จะชำรุดทรุดโทรม สีลอกดำและมีคราบตะไคร่จับตามผนัง หากเธอก็ไม่มีวันลืมบ้านที่ตนเกิดและเติบโตมา บ้านสองชั้นที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมผสม หลังคาทรงปั้นหยายื่นออกมาเท่ากันรอบทิศ มีลายฉลุไทยตกแต่งกรอบหลัง
มุกระเบียงเล็กหน้าบ้านคือมุมโปรดที่คุณพ่อมักออกมานั่งอ่านหนังสือ ทว่าเก้าอี้ซึ่งเคยอยู่ตรงนั้นหายไป สนามหญ้ารกครึ้มสูงเทียมราวระเบียงไม้ฉลุลวดลาย ต้นไม้ใหญ่ที่เคยสร้างความร่มรื่น มาบัดนี้โน้มเอียงอย่างน่ากลัวว่าจะล้มทับบ้านในวันหนึ่ง
ใครก็ตามที่ยึดบ้านหลังนี้ไปแต่กลับไม่เห็นคุณค่า ทำไมพวกเขาทำเช่นนี้ น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลรินอย่างสุดกลั้น มือบางกำรั้วซึ่งทำจากลวดเส้นเล็กสานเป็นกำแพงป้องกันผู้บุกรุก แม้แต่ความร้อนที่โลหะดูดซับไว้ก็ไม่อาจทำให้เธอปล่อยมือ
นิมมานอยากทวงคำสัญญาที่เธอเคยให้ไว้ว่าจะไม่ผิดหวังหรือเสียใจจนเกินไป หากเขารู้แล้วว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำใจได้ ไม่ว่าใครที่มีบ้านซึ่งผูกพัน บ้านอันเป็นที่รักต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ย่อมยากจะหักใจ รวมทั้งเขาที่ผูกพันกับบ้านในความฝันแค่เพียงไม่กี่คืน
ลำคอชายหนุ่มตีบตื้อขึ้นมาขณะปลดมือเจ้าหล่อนออกจากซี่รั้ว แล้วก็ได้เห็นรอยแดงเป็นริ้วกลางฝ่ามือเธอ ผิวอ่อนบางร้อนจัดไม่ต่างจากผิววัตถุ หากเจ้าตัวดูจะไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
"นิด เราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ อดีตมันผ่านไปแล้ว ผมรู้ว่าพูดอย่างนี้เหมือนไม่เห็นใจคุณ แต่ผมเห็นใจคุณอย่างที่สุดนะนิด"
นิมมานหลุบมองรอยแดงบนฝ่ามืออ่อนนุ่ม ก่อนเขาจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดเศษฝุ่นและคราบเปื้อนบนมือเจ้าหล่อนแผ่วเบา
ประณีตปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ ยิ่งได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยน ความเข้มแข็งที่เป็นดั่งเกราะซึ่งเธอสร้างขึ้นมาก็เจียนพังทลาย
"ถ้าเพียงแต่...ถ้าเพียงแต่ดิฉันมาอยู่ที่นี่ ได้พบคุณโดยไม่มีความทรงจำถึงอดีต ดิฉันคงมีความสุข"
เสียงหวานสั่นเครือสะท้อนก้องในใจผู้ฟัง ชายหนุ่มเงยขึ้นสบดวงตาซึ่งมีหยาดน้ำรื้นกลบหน่วยตา ก่อนเขาจะไล้นิ้วหัวแม่มือซับหยาดน้ำตามร่องแก้มให้เธออย่างอ่อนโยน หญิงสาวหลับตารับสัมผัสนั้น พร้อมกับที่น้ำตาอีกทำนบไหลหลั่งลงมา
นิมมานต้องกลืนก้อนซึ่งจุกที่คอกลับลงไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฝืนให้แจ่มใส
"ตอนนี้นิดก็มีความสุขได้ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของนิด"
ประณีตผงกศีรษะรับความปรารถนาดีของเขา เธอสูดหายใจลึกอย่างพยายามระงับอกระงับใจ ร่างบางก้าวถอยออกมาก้าวหนึ่ง ก่อนเธอจะพนมมือไหว้เขาด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึกยกย่องในน้ำใจอันประเสริฐของบุรุษแปลกหน้าที่โชคชะตานำพาให้พบกัน
ชายหนุ่มรับไหว้เจ้าหล่อนด้วยความเต็มตื้น ราวกับเขาไม่เป็นตัวเอง...หรือนี่คือตัวตนอันแท้จริงของตัวเขาก็สุดรู้ จากที่ไม่เคยใส่ใจในขนบธรรมเนียมประเพณีเล็กๆ น้อยๆ แต่เขากลับอิ่มใจประหลาดยามเธอปฏิบัติต่อเขาอย่างยกย่อง เทิดทูน ใช่เพียงสักแต่ว่าไหว้เช่นคนสมัยนี้ปฏิบัติกัน
........................
หลังหนุ่มสาวเดินเรื่อยออกมาจากซอย นิมมานก็ตัดสินใจเรียกรถตุ๊กตุ๊กที่ขับขี่ผ่านมาคันหนึ่ง เขาผงกศีรษะให้หญิงสาวที่หันมองตนอย่างฉงนก้าวขึ้นไป ชายหนุ่มคิดดีแล้วว่ายังไม่ควรพาเธอกลับไปอุดอู้อยู่ในห้องทั้งที่เจ้าหล่อนยังไม่คลายทุกข์เช่นนี้ เขาบอกที่หมายแก่คนขับซึ่งก็คืออารามหลวงไม่ไกล
ประณีตก้าวลงจากรถพลางกวาดตามองโดยรอบบริเวณวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ความเปลี่ยนแปลงแห่งกาลเวลาดูจะแผ้วพานไปทุกพื้นที่ อดีตกาลก็เหมือนภาพถ่ายซีดเก่า พระอุโบสถที่เธอเคยเห็นเจนตาก็ดูจะได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ กระนั้นความรู้สึกอัดแน่นในใจก่อนหน้านี้ก็ค่อยผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด
พระอุโบสถของวัดเทพศิรินทราวาสมีขนาดใหญ่และตกแต่งอย่างงดงามด้วยลายรดน้ำ มีเสาสูงใหญ่รายรอบพระอุโบสถ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระนิรันตรายซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่สี่
หนุ่มสาวก้าวเข้าไปหน้าธรณีประตูก่อนเดินเข่า ประณีตเงยหน้ามองพระพุทธรูปสีทองอำไพ ก่อนหญิงสาวจะก้มลงกราบพระด้วยหัวใจเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์
นิมมานเผลอทอดมองสตรีที่กราบท่าเบญจางคประดิษฐ์ได้งดงามที่สุด ก่อนเขาจะพนมมือตั้งจิตอธิษฐานและกราบพระพุทธรูปเช่นเดียวกับเธอ
ชายหนุ่มชักชวนประณีตไปยังศาลาหลังใหญ่เพื่อทำทานร่วมกัน เขาหยอดธนบัตรลงไปในตู้รับบริจาค และส่งขวดเล็กบรรจุน้ำมันให้เจ้าหล่อนเติมน้ำมันตะเกียงอันเปรียบเหมือนการเติมกุศลกรรมหรือบุญ เพื่อรักษาแสงสว่างของชีวิตไม่ให้มอดดับก่อนเวลาอันควร
ทว่าขณะหญิงสาวกำลังจะเติมน้ำมันตะเกียงหน้าพระพุทธรูปปางวันเกิดตน สายลมแรงก็พัดหอบเอาเศษใบไม้แห้งพัดปลิวจนเธอเหลียวหลังไปมอง ก่อนประณีตจะหันกลับมาพบว่าไฟในตะเกียงแก้วตรงหน้าเธอดับลง
นิมมานสบตาเจ้าหล่อนด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน ทั้งที่เขาไม่ใช่คนงมงาย หากตนก็สังหรณ์ใจไม่ดี แม้จะแสร้งแสดงออกเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาก็ตาม
"เดี๋ยวผมไปตามคนมาจุดตะเกียงให้"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ" เธอเอ่ยขัดขึ้นพร้อมพรายยิ้มอ่อน "สักวันหนึ่งแสงแห่งชีวิตของดิฉันคงดับลงเหมือนเปลวไฟในตะเกียง หรืออาจมอดดับไปแล้วก็สุดรู้"
ประณีตเติมน้ำมันตะเกียงต่อไป ก่อนเธอจะเดินออกมาจากศาลา สายลมพัดเย็นผ่านลานโล่งของวัดแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน
"ถ้านิดเป็นน้องเป็นนุ่งผมล่ะก็ ผมจะหยิกให้เจ็บเชียว"
"หยิกดิฉันทำไมคะ" เธอเลิกคิ้วถาม
"จะได้รู้สิครับว่าตอนนี้นิดยังมีชีวิตอยู่" เขาบอกฉุนๆ
"โธ่ คุณก็ช่างทำให้ฉันหัวเราะได้"
"ผมทำได้มากกว่านี้อีก ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้นิดไม่มีน้ำตา"
"ค่ะ ดิฉันเชื่อ"
เธอเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ หมดข้อกังขาใดในน้ำใจไมตรีที่บุรุษผู้นี้มีต่อเธอ
"ไปเดินเล่นริมคลองกันไหมครับ โชคดีที่ตอนนี้แดดไม่แรงมาก นิดเหนื่อยไหม"
"ไม่เหนื่อยค่ะ"
เธอรู้ว่าเขาปรารถนาให้ตนคลายทุกข์โศก และความคิดเช่นนั้นก็ช่วยให้เธอระงับใจไม่ผูกติดกับความผิดหวัง เสียใจ เพราะตระหนักในน้ำใจที่เขามอบให้เสมอมา
.................................
ที่เห็นหัวกระทู้เป็นบทที่ ๕ แพรวไม่ได้ลงข้ามตอนนะคะ
แต่พอดีแก้ต้นฉบับและเพิ่มเนื้อหาช่วงแรกของเรื่องเข้าไป บทมันก็เลยร่นยาวมาค่ะ
บทที่ ๕ นี้ก็ต่อจากบทที่ ๓ ที่ลงไปคราวที่แล้วจ้า
นิมมานหิ้วถุงของกินและของใช้เต็มสองมือหลังกลับจากห้างสรรพสินค้า แม้เขาจะอยากชวนหญิงสาวดูภาพยนตร์ต่อ หากก็ตระหนักดีว่าความวุ่นวายของแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ใจกลางเมืองคงสร้างความวิงเวียนแก่ผู้ไม่คุ้นชิน
ประณีตปิดประตูตามหลังเจ้าของห้องเข้าไป ถุงใส่ข้าวของทั้งหมดวางกองอยู่บนเก้าอี้ยาวขณะนิมมานผงกศีรษะให้เธอมาช่วยกันแยกของ กว่าครึ่งหนึ่งของข้าวของที่ซื้อมาวันนี้ล้วนเป็นของเธอ
"คุณไม่น่าขนซื้อมาให้ดิฉันถึงเพียงนี้เลย" เธอเปรยด้วยความเกรงใจอีกครั้ง เมื่อมองเห็นถุงข้าวของของตนกองพะเนิน "เสื้อตัวหนึ่งซื้อทองได้เทียวค่ะ"
"ผมบอกนิดแล้วไง สินค้าสมัยนี้ก็ราคานี้ทั้งนั้น เอาไปเปรียบเทียบกับค่าเงินเมื่อแปดสิบปีที่แล้วไม่ได้หรอกครับ" เขาอธิบายกึ่งปลอบให้เจ้าหล่อนคลายใจ "แล้วทองสมัยนี้น่ะบาทละสองหมื่นนะครับ ไม่ใช่ไม่กี่บาทอย่างที่นิดบอกผม"
เธอเข้าใจในเหตุผลของเขา แต่เธอก็มีเหตุผลส่วนตัว
"ดิฉันไม่อยากให้คุณหมดเปลืองดอกค่ะ ดิฉันคงอยู่ที่นี่ไม่นาน"
ชายหนุ่มชะงักมือซึ่งจัดแยกขนมและเครื่องดื่ม เขามองกระป๋องน้ำอัดลมหลากสีที่ขนซื้อมาให้เจ้าหล่อนลิ้มลอง ก่อนจะกำมือแน่นพลางเงยหน้าสบตาเธอ
"นิดจะไปอยู่ไหน"
"สักวันดิฉันต้องกลับไปยังที่ที่จากมา"
ใช่ เขารู้ แต่ทำไมจึงเจ็บปวดนักเมื่อเธอตอกย้ำ
"ครับ เมื่อถึงวันนั้นผมจะนำเสื้อผ้าพวกนี้ไปบริจาค นิดไม่ต้องห่วงหรอก แค่รักษาสัญญาที่ให้กับผมระหว่างนี้ก็พอ"
นิมมานตัดใจลุกนำเครื่องดื่มต่างๆ ไปแช่ ทิ้งให้ความรู้สึกผิดเกาะกินใจหญิงสาวเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นชาในน้ำเสียงสุภาพดังเคย
ประณีตนำถุงข้าวของไปเก็บในห้องนอน เธอควรทำอย่างไรในเวลาเช่นนี้ดี เธอไม่มีพี่น้อง ไม่เคยต้องง้อใครสักที ข้างอารีก็ไม่เคยโกรธกันจนต้องง้องอน จะมีก็แต่ยามปะเหลาะเอาใจคุณพ่อ เธอจะชงชาร้อนอย่างที่คุณพ่อชอบ แล้วลงนั่งบีบนวดให้ท่านเท่านั้น
ประณีตมองผ่านประตูซึ่งแง้มเปิดเล็กน้อยอย่างลังเลใจ ระหว่างก้าวข้ามความเหมาะสมกับรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้เช่นที่เธอเคยปฏิบัติต่อทุกคน
แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจง่ายขึ้นเมื่อแว่วเสียงพูดคุยโทรศัพท์จากผู้ที่หันมองออกไปนอกกระจกใส เธอไม่ได้ตั้งใจเสียมารยาท หากเสียงสนทนาที่ลอยมาก็พอรับรู้ได้ว่านิมมานกำลังสนทนากับผู้ใด
"พรุ่งนี้หรือครับ ไม่แน่ใจ งั้นผมฝากบอกคุณแม่ว่าจะเข้าไปฝากท้องตอนเย็นดีกว่า เอ๋ยกับคุณแม่สะดวกนะครับ"
ประณีตค่อยดึงประตูปิด เขารับนัดคนรัก หวังว่าเขาจะไม่ลืมนัดในวันพรุ่งนี้ที่รับปากไว้กับเธอ
........................
นับแต่เขายกห้องนอนให้กลายเป็นกรรมสิทธิ์แขกพิเศษ นิมมานก็ได้ย้ายเสื้อผ้าที่จำเป็นของตนใส่กระเป๋าเดินทางออกมาไว้ยังมุมห้องทำงาน เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเธอยามตนต้องทำธุระส่วนตัว
หากเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์นี้เขาตั้งใจว่าจะปลุกเธอ ชายหนุ่มตื่นเต้นจนนอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน และไม่ได้ฝันถึงบ้านเดี่ยวร่มรื่นด้วยร่มเงาต้นไม้ใหญ่หลังนั้นอีก
ทว่าผู้ที่ก้าวออกมาจากห้องน้ำหลังแต่งตัวเตรียมพร้อมก็ต้องนิ่วหน้าแปลกใจเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังสาละวนอยู่ในครัว เธอมัวแต่ทุ่มความสนใจยังเตาแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีกาตั้งอยู่ เห็นดังนั้นนิมมานจึงเดินไปกดปุ่มบนแผงควบคุมปุ่มหนึ่งให้เธอ
"นิดต้มน้ำทำอะไรหรือครับ"
ประณีตก้มหน้าเอียงอายในความไม่ประสาของตน ทั้งที่เธอตั้งใจจะชงชาให้เขาดื่มแท้ๆ
"จะชงชาหรือ" เขาถามขึ้นเมื่อเหลือบไปพบกับขวดพลาสติกใสสุญญากาศที่บรรจุใบชาอบแห้งซึ่งแม่เขาส่งมา
"ดิฉันชงให้คุณหรอกค่ะ"
เธอไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา ท่าทางเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแอบเล่นซนเรียกรอยยิ้มเอ็นดูยังมุมปากชายหนุ่ม เจ้าหล่อนน่ารักเหลือเกินยามเอาใจใส่ใครเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ชายชาติทหารอย่างหลวงชาญยุทธกิจผู้นั้นจะใจอ่อนให้บุตรสาวดังที่เขาเคยเห็นเหตุการณ์
"ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอขอบคุณในน้ำใจของนิด รู้สึกเป็นเกียรติมากครับ" เขารู้สึกจริงดังคำพูดทุกคำ
ประณีตคลี่ยิ้มด้วยความมั่นใจ ต้องขอบคุณที่เขาไม่ทำเหมือนความผิดพลาดของเธอเป็นเรื่องขบขัน เมื่อร่างสันทัดถอยออกไปรอหน้าโทรทัศน์ เธอก็เปิดโหลใส่ใบชาพลางหยิบออกมาใส่กากระเบื้องสวยหยิบมือหนึ่ง ก่อนเทน้ำร้อนที่ต้มไว้จากกาสแตนเลสเติมลงไป
หญิงสาวยกกากระเบื้องเคลือบพร้อมชุดถ้วยและจานรองไปให้นิมมานยังโต๊ะรับแขกตัวเตี้ย เธอรินชาร้อนจากกาให้เขา แล้วจึงขยับไปนั่งยังเก้าอี้นวมยาวเยื้องออกไป
"ของนิดล่ะ"
"ดิฉันชงให้คุณค่ะ คุณได้ชามาจากไหนหรือคะ หอมเทียว"
"แม่ของผมทำไร่ชาอยู่ทางเหนือครับ ทั้งชาและชุดน้ำชานี้ก็เป็นของแม่ขนมาทั้งนั้น ที่นั่นสวยเหมือนสวรรค์เลยนะนิด ผมเชื่อว่าคุณต้องชอบถ้าได้ไปเห็นสักครั้งหนึ่ง"
หญิงสาวรับฟังด้วยแววตาเปล่งประกายชื่นชมลึกซึ้ง เขามีวิธีพูดให้คนฟังอบอุ่นใจประหลาด ทุกสิ่งที่บุรุษผู้นี้เอ่ยถึงล้วนแล้วแต่เป็นไปในทางชื่นชม เห็นคุณค่าความงามของสิ่งต่างๆ รอบตัว นิสัยใจคอเช่นนี้ของเขาทำให้เธอสบายใจได้ทุกครั้งที่สนทนา
"ในสมัยนี้เรายังเดินทางด้วยรถไฟอยู่หรือเปล่าคะ หรือจะเป็นรถไฟลอยฟ้าที่คุณเคยบอกดิฉัน"
นิมมานโคลงศีรษะพร้อมรอยยิ้มบาง "รถไฟฟ้ามีแต่ย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ ครับ ถ้าจะไปถึงเชียงใหม่อย่างสะดวกและรวดเร็วที่สุดคือเครื่องบิน นิดจำเจ้านกเหล็กยักษ์ที่ผมชี้ให้ดูได้หรือเปล่า"
"ลอยอากาศน่ะหรือคะ น่าหวาดเสียวเทียว ดิฉันคนหนึ่งล่ะไม่เอาด้วยดอก" หญิงสาวจากอดีตทำหน้าปูเลี่ยนคล้ายจะเป็นลม
ยิ่งเธอพูดอย่างนั้น เขาก็ยิ่งอยากพาเธอไปให้ได้ หากชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยออกมา
เขาเสกดเปิดหน้าจอแท็บเล็ตและเรียกแผนที่ขึ้นมา มันเป็นแผนที่จากดาวเทียม แสดงถนนหนทางและบริเวณโดยรอบของถนนบำรุงเมือง ที่ซึ่งเธอเคยบอกว่าบ้านของบิดาอยู่บริเวณนั้นนั่นเอง
"นิดจำได้ไหมครับว่าบ้านที่เราจะไปอยู่ตรงไหน ถนนบำรุงเมืองยาวตั้งแต่ถนนอัษฎางค์มาจนถึงถนนกรุงเกษม"
"บ้านของดิฉันอยู่ใกล้คลองขุดใหม่ คลองผดุงกรุงเกษมค่ะ" เธอตอบด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
ประณีตขยับเข้าไปใกล้พลางมองแผนที่บนหน้าจอด้วยความสนใจ บนนั้นมีชื่อถนนและตรอกซอกซอยต่างๆ ที่บ้างก็คุ้นหู บ้างไม่เคยได้ยิน
"ตรงนี้คือวัดเทพศิรินทร์ฯ" นิมมานบอกพลางชี้ขอบเขตสี่เหลี่ยมบนแผนที่ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากคลองผดุงกรุงเกษม
"ใช่ค่ะ อยู่ไม่ไกล ทุกวันพระยายแม่ครัวที่บ้านแกมักมาทำบุญที่นี่"
ชายหนุ่มมองเสี้ยวหน้าของผู้ที่ตั้งใจดูแผนที่ ใบหน้าอ่อนหวานขมวดคิ้วมุ่นอย่างพยายามทำความเข้าใจ เธอชี้นิ้วลังเลเหนือขึ้นไป ก่อนจะหันไปประสบสายตาซึ่งทอดมองมาพอดี มือข้างที่ชี้บอกเขาจึงเลื่อนมากุมแก้มตนด้วยความประหลาดใจ
"หน้าดิฉันมีอะไรติดหรือคะ"
นิมมานสั่นศีรษะพร้อมรอยยิ้ม ความเนียนสล้างต่างหากเล่าที่ทำให้เขาเผลอมองอย่างลืมตัว
"เมื่อกี้นิดจะบอกผมว่าอะไรนะครับ"
"อ้อ ดิฉันจะบอกว่าดิฉันดูแผนที่ไม่เป็น แต่คิดว่าบ้านคุณพ่อคงอยู่บริเวณนี้ค่ะ"
เขามองตามนิ้วที่ชี้ บนแผนที่ภาพถ่ายจากดาวเทียมบ่งบอกว่าบริเวณนั้นได้กลายเป็นห้างสรรพสินค้า เขาไม่กล้าบอกเธอหากใจเสียไปกว่าครึ่ง แล้วกับผู้ที่รักและผูกพันกับสถานที่นั้นย่อมต้องรู้สึกมากกว่าเท่าทวี
ชายหนุ่มกดปิดหน้าจอพลางลุกยืน บางทีมันอาจเป็นความเข้าใจผิดของหญิงสาวเท่านั้น สู้ไปให้เห็นกับตา และถ้าผลออกมาคือความผิดหวัง เสียใจ ก็ให้มันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวเถิด
.............................
ถนนบำรุงเมืองสร้างขึ้นครั้งแรกด้วยเทคนิคตามแบบตะวันตกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหนึ่งในถนนสามสายหลัก ได้แก่ ถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร
ต่อมา ก่อนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมีพระราชประสงค์และโปรดเกล้าฯ ให้ขยายถนนสายนี้ออกไปสำหรับเส้นทางรถสัญจร มีการสร้างตึกแถวขนาบสองฝั่งถนนเลียนแบบเมืองสิงคโปร์ สำหรับให้ชาวไทยและชาวต่างชาติเช่าทำมาหากิน
ถนนบำรุงเมืองในวันนี้กับอดีตนั้นไม่แตกต่างกันมากนักในสายตาของผู้เคยพบเห็น นอกจากรถราที่เพิ่มมากขึ้นไม่ขาดสาย ประณีตมองตึกแถวซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ชั้นล่างนั้นมีตั้งแต่เปิดเป็นร้านขายอาหารไปจนถึงร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วยังตึกอาคารใหญ่โตที่เธอไม่เคยเห็น จะมองหาบ้านสักหลังนั้นยากเย็นเหลือเกิน
"ผมคิดว่าเราน่าลองเข้าไปตามซอย ถ้าคุณแน่ใจว่าเป็นแถวนี้จริง"
"ดิฉันไม่มั่นใจแล้วค่ะ"
"ถ้าคุณบอกว่าบ้านคุณอยู่บนถนนบำรุงเมือง ไม่ไกลจากคลองผดุงฯ ผมก็คิดว่าเรามาถูกทาง"
ประณีตผงกศีรษะ ทว่าในหัวใจอันสับสนกำลังร้องไห้ เธอรู้สึกเหมือนตนเป็นเด็กหลงทาง แม้จะมีมืออันอบอุ่นยื่นมาช่วยเหลือก็ตาม แต่จะมีประโยชน์อันใดที่เธอจำไม่ได้แม้แต่บ้านของตัวเอง
"เราน่าจะหาที่จอดรถ ถ้าเดินดูก็ถามผู้คนแถวนี้ได้"
หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบอีกครั้ง ความมั่นใจที่เหลืออยู่ของเธอคือความเชื่อมั่นที่มีต่อบุรุษผู้นี้เท่านั้น
นิมมานเลี้ยวรถไปจอดในห้างสรรพสินค้า ก่อนเธอและเขาจะเดินย้อนออกมาด้วยกัน แดดแรงจัดยามสายส่งผลให้ประณีตต้องยกมือป้องตา เสียงเครื่องยนต์และกลิ่นไอเสียของรถราที่สัญจรต่างจากถนนอันเงียบสงบในวันวาน
คุณพ่อขา ช่วยนำทางลูกกลับบ้านเราที
นิมมานพาเธอเดินไปบนบาทวิถี ผ่านหน้าตึกแถวที่ค้าขายสินค้าเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ก่อนชายหนุ่มจะหยุดถามถึงบ้านเก่าแก่บริเวณใกล้เคียงกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่สวมเสื้อคล้ายกัน เขาเคยอธิบายกับเธอว่าคนที่สวมเสื้อสีแสดนี้มีอาชีพขี่รถรับจ้าง ก็คงเหมือนรถเจ๊กในยุคสมัยเธอ
"ถ้ามีก็อยู่ในซอยนะ แต่แถวนี้มีซอยเยอะแยะ จะหาเจอเหรอ ถ้ามีรูปก็ว่าไปอย่าง"
นิมมานเปิดหน้าจอแท็บเล็ตขึ้นมา เขาเลือกไฟล์ภาพบ้านในความฝันที่ตนเคยร่างคร่าวๆ ก่อนจะเบนสายตาไปยังหญิงสาวข้างกายแวบหนึ่ง เธอจะว่าเขาบ้าหรือไม่หนอที่เชื่อในความฝันเป็นตุเป็นตะถึงกับร่างภาพบ้านหลังนั้นออกมา
รูปวาดฝีมือตนคงไม่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงมากนัก เมื่อแววตาของเจ้าของบ้านที่มองมาแฝงแววประหลาดใจ
"เคยเห็นไหมพี่"
"เอ คุ้นๆ นะ หรือจะเป็นหลังนั้น แต่มันโทรมมากแล้ว"
หัวใจสองดวงโลดแรง หนุ่มสาวหันมาสบตากัน ก่อนนิมมานจะตัดสินใจว่าจ้างรถจักรยานยนต์สองคันให้ไปส่งพวกตน
"ไม่ต้องกลัวนะนิด นั่งดีๆ ไม่ยากเท่าพายเรือแน่ครับ" เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ขณะสวมหมวกนิรภัยให้หญิงสาว
ประณีตสบแสงตาอ่อนโยนที่อยู่ไม่ไกลกันเลย หัวใจสาวซวนเซเสียจังหวะเมื่อปลายนิ้วของเขาสัมผัสแก้มตนโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอหลุบตาพลางกดคางลงให้อีกฝ่ายคลายความห่วงกังวล เธอกำลังจะได้กลับบ้านอีกครั้ง เรื่องแค่นี้จึงเล็กน้อยเหลือเกินในความรู้สึกตน ต่อให้ทางที่เดินไปมีแต่กรวดหินร้อน เธอก็ต้องฝ่าไป
.................
"นี่แหละคุณ ใช่หลังนี้ไหม ผมว่าใกล้เคียงอยู่นา เห็นเขาว่าว่าโดนระเบิดตั้งแต่สงครามโลก แล้วก็ร้างจากนั้นเป็นต้นมา"
คำบอกเล่าถึงความเป็นไปในอดีตเพียงผ่านหูนิมมานไปเท่านั้น เขาจ่ายเงินค่าโดยสารให้ผู้ขี่รถรับจ้างทั้งสองคน หากสายตากลับจับจ้องยังร่างบางที่ก้าวช้าไปใกล้รั้วผุพัง บางส่วนของกำแพงปูนกลายเป็นแผ่นสังกะสีปิดกั้นคนนอกเท่านั้น ไม่เหลือเค้าของบ้านอันอบอุ่นปลอดภัยที่เขาฝันถึงเลย
"นิด ผมว่าอาจไม่ใช่..."
"ใช่ค่ะ" ประณีตตอบเสียงเรียบก่อนที่เขาจะพูดจบ
ถึงแม้บ้านหลังนี้จะชำรุดทรุดโทรม สีลอกดำและมีคราบตะไคร่จับตามผนัง หากเธอก็ไม่มีวันลืมบ้านที่ตนเกิดและเติบโตมา บ้านสองชั้นที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมผสม หลังคาทรงปั้นหยายื่นออกมาเท่ากันรอบทิศ มีลายฉลุไทยตกแต่งกรอบหลัง
มุกระเบียงเล็กหน้าบ้านคือมุมโปรดที่คุณพ่อมักออกมานั่งอ่านหนังสือ ทว่าเก้าอี้ซึ่งเคยอยู่ตรงนั้นหายไป สนามหญ้ารกครึ้มสูงเทียมราวระเบียงไม้ฉลุลวดลาย ต้นไม้ใหญ่ที่เคยสร้างความร่มรื่น มาบัดนี้โน้มเอียงอย่างน่ากลัวว่าจะล้มทับบ้านในวันหนึ่ง
ใครก็ตามที่ยึดบ้านหลังนี้ไปแต่กลับไม่เห็นคุณค่า ทำไมพวกเขาทำเช่นนี้ น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลรินอย่างสุดกลั้น มือบางกำรั้วซึ่งทำจากลวดเส้นเล็กสานเป็นกำแพงป้องกันผู้บุกรุก แม้แต่ความร้อนที่โลหะดูดซับไว้ก็ไม่อาจทำให้เธอปล่อยมือ
นิมมานอยากทวงคำสัญญาที่เธอเคยให้ไว้ว่าจะไม่ผิดหวังหรือเสียใจจนเกินไป หากเขารู้แล้วว่ามันยากเหลือเกินที่จะทำใจได้ ไม่ว่าใครที่มีบ้านซึ่งผูกพัน บ้านอันเป็นที่รักต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ย่อมยากจะหักใจ รวมทั้งเขาที่ผูกพันกับบ้านในความฝันแค่เพียงไม่กี่คืน
ลำคอชายหนุ่มตีบตื้อขึ้นมาขณะปลดมือเจ้าหล่อนออกจากซี่รั้ว แล้วก็ได้เห็นรอยแดงเป็นริ้วกลางฝ่ามือเธอ ผิวอ่อนบางร้อนจัดไม่ต่างจากผิววัตถุ หากเจ้าตัวดูจะไม่รู้สึกรู้สาใดๆ
"นิด เราทำอะไรไม่ได้หรอกครับ อดีตมันผ่านไปแล้ว ผมรู้ว่าพูดอย่างนี้เหมือนไม่เห็นใจคุณ แต่ผมเห็นใจคุณอย่างที่สุดนะนิด"
นิมมานหลุบมองรอยแดงบนฝ่ามืออ่อนนุ่ม ก่อนเขาจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดเศษฝุ่นและคราบเปื้อนบนมือเจ้าหล่อนแผ่วเบา
ประณีตปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ ยิ่งได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยน ความเข้มแข็งที่เป็นดั่งเกราะซึ่งเธอสร้างขึ้นมาก็เจียนพังทลาย
"ถ้าเพียงแต่...ถ้าเพียงแต่ดิฉันมาอยู่ที่นี่ ได้พบคุณโดยไม่มีความทรงจำถึงอดีต ดิฉันคงมีความสุข"
เสียงหวานสั่นเครือสะท้อนก้องในใจผู้ฟัง ชายหนุ่มเงยขึ้นสบดวงตาซึ่งมีหยาดน้ำรื้นกลบหน่วยตา ก่อนเขาจะไล้นิ้วหัวแม่มือซับหยาดน้ำตามร่องแก้มให้เธออย่างอ่อนโยน หญิงสาวหลับตารับสัมผัสนั้น พร้อมกับที่น้ำตาอีกทำนบไหลหลั่งลงมา
นิมมานต้องกลืนก้อนซึ่งจุกที่คอกลับลงไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฝืนให้แจ่มใส
"ตอนนี้นิดก็มีความสุขได้ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของนิด"
ประณีตผงกศีรษะรับความปรารถนาดีของเขา เธอสูดหายใจลึกอย่างพยายามระงับอกระงับใจ ร่างบางก้าวถอยออกมาก้าวหนึ่ง ก่อนเธอจะพนมมือไหว้เขาด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึกยกย่องในน้ำใจอันประเสริฐของบุรุษแปลกหน้าที่โชคชะตานำพาให้พบกัน
ชายหนุ่มรับไหว้เจ้าหล่อนด้วยความเต็มตื้น ราวกับเขาไม่เป็นตัวเอง...หรือนี่คือตัวตนอันแท้จริงของตัวเขาก็สุดรู้ จากที่ไม่เคยใส่ใจในขนบธรรมเนียมประเพณีเล็กๆ น้อยๆ แต่เขากลับอิ่มใจประหลาดยามเธอปฏิบัติต่อเขาอย่างยกย่อง เทิดทูน ใช่เพียงสักแต่ว่าไหว้เช่นคนสมัยนี้ปฏิบัติกัน
........................
หลังหนุ่มสาวเดินเรื่อยออกมาจากซอย นิมมานก็ตัดสินใจเรียกรถตุ๊กตุ๊กที่ขับขี่ผ่านมาคันหนึ่ง เขาผงกศีรษะให้หญิงสาวที่หันมองตนอย่างฉงนก้าวขึ้นไป ชายหนุ่มคิดดีแล้วว่ายังไม่ควรพาเธอกลับไปอุดอู้อยู่ในห้องทั้งที่เจ้าหล่อนยังไม่คลายทุกข์เช่นนี้ เขาบอกที่หมายแก่คนขับซึ่งก็คืออารามหลวงไม่ไกล
ประณีตก้าวลงจากรถพลางกวาดตามองโดยรอบบริเวณวัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ความเปลี่ยนแปลงแห่งกาลเวลาดูจะแผ้วพานไปทุกพื้นที่ อดีตกาลก็เหมือนภาพถ่ายซีดเก่า พระอุโบสถที่เธอเคยเห็นเจนตาก็ดูจะได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ กระนั้นความรู้สึกอัดแน่นในใจก่อนหน้านี้ก็ค่อยผ่อนคลายลงอย่างน่าประหลาด
พระอุโบสถของวัดเทพศิรินทราวาสมีขนาดใหญ่และตกแต่งอย่างงดงามด้วยลายรดน้ำ มีเสาสูงใหญ่รายรอบพระอุโบสถ ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระนิรันตรายซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่สี่
หนุ่มสาวก้าวเข้าไปหน้าธรณีประตูก่อนเดินเข่า ประณีตเงยหน้ามองพระพุทธรูปสีทองอำไพ ก่อนหญิงสาวจะก้มลงกราบพระด้วยหัวใจเลื่อมใสในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์
นิมมานเผลอทอดมองสตรีที่กราบท่าเบญจางคประดิษฐ์ได้งดงามที่สุด ก่อนเขาจะพนมมือตั้งจิตอธิษฐานและกราบพระพุทธรูปเช่นเดียวกับเธอ
ชายหนุ่มชักชวนประณีตไปยังศาลาหลังใหญ่เพื่อทำทานร่วมกัน เขาหยอดธนบัตรลงไปในตู้รับบริจาค และส่งขวดเล็กบรรจุน้ำมันให้เจ้าหล่อนเติมน้ำมันตะเกียงอันเปรียบเหมือนการเติมกุศลกรรมหรือบุญ เพื่อรักษาแสงสว่างของชีวิตไม่ให้มอดดับก่อนเวลาอันควร
ทว่าขณะหญิงสาวกำลังจะเติมน้ำมันตะเกียงหน้าพระพุทธรูปปางวันเกิดตน สายลมแรงก็พัดหอบเอาเศษใบไม้แห้งพัดปลิวจนเธอเหลียวหลังไปมอง ก่อนประณีตจะหันกลับมาพบว่าไฟในตะเกียงแก้วตรงหน้าเธอดับลง
นิมมานสบตาเจ้าหล่อนด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน ทั้งที่เขาไม่ใช่คนงมงาย หากตนก็สังหรณ์ใจไม่ดี แม้จะแสร้งแสดงออกเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาก็ตาม
"เดี๋ยวผมไปตามคนมาจุดตะเกียงให้"
"ไม่ต้องหรอกค่ะ" เธอเอ่ยขัดขึ้นพร้อมพรายยิ้มอ่อน "สักวันหนึ่งแสงแห่งชีวิตของดิฉันคงดับลงเหมือนเปลวไฟในตะเกียง หรืออาจมอดดับไปแล้วก็สุดรู้"
ประณีตเติมน้ำมันตะเกียงต่อไป ก่อนเธอจะเดินออกมาจากศาลา สายลมพัดเย็นผ่านลานโล่งของวัดแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงวัน
"ถ้านิดเป็นน้องเป็นนุ่งผมล่ะก็ ผมจะหยิกให้เจ็บเชียว"
"หยิกดิฉันทำไมคะ" เธอเลิกคิ้วถาม
"จะได้รู้สิครับว่าตอนนี้นิดยังมีชีวิตอยู่" เขาบอกฉุนๆ
"โธ่ คุณก็ช่างทำให้ฉันหัวเราะได้"
"ผมทำได้มากกว่านี้อีก ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้นิดไม่มีน้ำตา"
"ค่ะ ดิฉันเชื่อ"
เธอเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ หมดข้อกังขาใดในน้ำใจไมตรีที่บุรุษผู้นี้มีต่อเธอ
"ไปเดินเล่นริมคลองกันไหมครับ โชคดีที่ตอนนี้แดดไม่แรงมาก นิดเหนื่อยไหม"
"ไม่เหนื่อยค่ะ"
เธอรู้ว่าเขาปรารถนาให้ตนคลายทุกข์โศก และความคิดเช่นนั้นก็ช่วยให้เธอระงับใจไม่ผูกติดกับความผิดหวัง เสียใจ เพราะตระหนักในน้ำใจที่เขามอบให้เสมอมา
.................................
ที่เห็นหัวกระทู้เป็นบทที่ ๕ แพรวไม่ได้ลงข้ามตอนนะคะ
แต่พอดีแก้ต้นฉบับและเพิ่มเนื้อหาช่วงแรกของเรื่องเข้าไป บทมันก็เลยร่นยาวมาค่ะ
บทที่ ๕ นี้ก็ต่อจากบทที่ ๓ ที่ลงไปคราวที่แล้วจ้า

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ต.ค. 2557, 15:57:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ต.ค. 2557, 15:57:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 1379
<< บทที่ ๓ | บทที่ ๖ >> |

แว่นใส 24 ต.ค. 2557, 17:12:40 น.
แล้วจะเป็นยังไงต่อไปนะ
แล้วจะเป็นยังไงต่อไปนะ

ภาพิมล_พิมลภา 24 ต.ค. 2557, 18:53:30 น.
สงสัยต้องรอจนกว่าคุณพิทักษ์ เจ้าของบ้านเรือนไทยกลับมานะคะ หุๆ
สงสัยต้องรอจนกว่าคุณพิทักษ์ เจ้าของบ้านเรือนไทยกลับมานะคะ หุๆ


ภาพิมล_พิมลภา 25 ต.ค. 2557, 13:31:01 น.
คุณlookpud - เร็วๆนี้อาจต้องสงสารเอ๋ยอีกคนแล้วสิคะ แหะๆ
คุณlookpud - เร็วๆนี้อาจต้องสงสารเอ๋ยอีกคนแล้วสิคะ แหะๆ