พ่ายพรหมลิขิต
พลับพลึงทำงานด้านสถาปัตย์ประจำอยู่ที่เชียงใหม่วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบบ้านพักของธนดลโดยไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอกลับต้องมารับบทเจ้าสาวของเขาเนื่องจากญาติผู้น้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้าหนีออกจากบ้านก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ด้วยเสียงขอร้องแกมบังคับของป้าและลุงทำให้พลับพลึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะหากเธอปฏิเสธป้าก็อ้างว่าหล่อนกับสามีจะต้องถูกอีกฝ่ายฟ้องจนถึงขั้นล้มละลาย เพราะนอกจากธนดลจะเป็นเจ้าบ่าวแล้วยังเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย พลับพลึงจำยอมตกเป็นเจ้าสาวสำรองจนกว่าปิติและพิลาวรรณจะนำเงินมาชดใช้หนี้สินได้หมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของคนสองคน....
Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 16

16
ธนดลมองภรรยาชั่วคราวออกจากบ้านโดยมีนายส่วยขับรถไปส่งตามคำสั่งของเขา เขาแอบเห็นเธอยกมือขึ้นลูบหน้าอกบ่อยครั้งดูท่าอาการช้ำในจะยังไม่หายดี เขายกข้อมือขึ้นดูเวลาไม่นานนักชายวัยกลางคนในชุดสูททำงานก็ขับรถเข้ามาจอดแล้วเดินขึ้นบ้านพักมาอย่างคล่องแคล่วในมือมีกระเป๋าเอกสารติดมือมาด้วย

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่มาช้า”

ชายวัยกลางคนเอ่ยทักทายด้วยท่วงท่านอบน้อม และได้รับการผายมือต้อนรับจากเจ้าของบ้านพร้อมคำเอ่ยทักทายเช่นกัน
“ไม่ช้าหรอกครับ เชิญคุณนพนั่งก่อน”

ธนดลเปิดประเด็นที่เรียกทนายความมาถึงที่นี่ทันทีที่อีกฝ่ายนั่งลง
“ผมต้องการให้คุณเร่งคุณกิตติ”

ทนายนพค้อมศีรษะรับตนเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจพอเข้าใจสถานการณ์ที่แสนอึดอัดของเจ้านายหนุ่ม

“ผมจะรีบจัดการครับ ก่อนจะมาพบคุณดลที่นี่ผมก็ได้คุยกับคุณปิติมาบ้างแล้ว ท่าทางคุณปิติดูแปลกๆ นะครับ อาการอึดอัดชอบกล อาจจะเป็นเพราะว่าทางเรายังไม่ได้จัดการเรื่องหนี้สินให้มั้งครับ ผมอดคิดไม่ได้ว่าคุณปิติจะเล่นลูกไม้” นพสันนิษฐาน
“งั้นหรือ ยังไงคุณนพก็ช่วยสืบหน่อยแล้วกันว่าเพราะอะไร ทำไมคุณปิติถึงได้ทำท่าเหมือนดึงเกม”

“ไม่แน่นะครับ บางทีคุณปิติอาจจะไม่อยากให้มีการหย่าเกิดขึ้น” นพตั้งข้อสังเกต
“ไม่หรอก คนที่แต่งงานเป็นแค่หลาน พวกเขาคงหาประโยชน์จากเธอได้ไม่มากหรอก”

“คุณดลพูดเหมือนจะเห็นใจเธอขึ้นมา”
ธนดลเบือนหน้าหนี อยากตอบอยู่หรอกว่า 'ไม่เชิง' ผู้หญิงคนนี้ไม่มีจริตจะกร้าน ใสซื่อและยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นแต่โดยดี ในบางครั้งเขาก็ยอมรับว่ารู้สึกสงสารหญิงสาวอยู่ไม่น้อยที่ต้องถูกดึงเข้ามาในเกม

“เปล่าหรอกคุณนพผมเห็นใจตัวเองมากกว่า คุณคงไม่รู้หรอกว่าการแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักมันอึดอัดแค่ไหน”
ทนายนพแอบยิ้มเจ้านายหนุ่มคงไม่รู้ว่าอาการทางสีหน้าที่แสดงออกนั้นไม่เหมือนคนกำลังอึดอัดซักนิด มันชักยังไงๆ แล้วสิ
“ครับ ผมจะรีบจัดการ และนี่คือราคาประเมินของที่ดินแปลงนั้นครับ ผมคิดว่าเราน่าจะกดราคาได้อีกแต่คงต้องรีบจัดการก่อนที่เรื่องตัดถนนเข้าไปยังที่ดินผืนนั้นจะแพร่ออกไป”

นพยื่นเอกสารอีกฉบับส่งให้แล้วก็ถือโอกาสขอตัวกลับ ธนดลพยักหน้าส่งแล้วหยิบเอกสารขึ้นมาเปิดดู เขาถอนหายใจ ทำไมถึงได้รู้สึกผิดขึ้นมานะ ทั้งๆ ที่นี่คือธุรกิจ




พลับพลึงที่เกือบจะว่างงานเมื่อการออกแบบอาคารสำนักงานลุล่วงไปด้วยดีเหลือแค่เซ็นแบบประมาณราคาเท่านั้นก็เรียบร้อย จะว่าว่างงานก็ไม่ถูกนักเพราะจริงๆ แล้วเธอยังมีงานอีกชิ้นหนึ่งที่ผลัดลูกค้ามาพอสมควร 'แบบบ้านของธนดล' แม้เขาจะไม่เอ่ยถามแต่ก็พอเดาสายตาคู่คมนั้นได้ว่าอยากให้เธอเอ่ยรายงานซักที วุฒิชัยวิศวกรผู้ดำเนินการต่อยังทำไม่เสร็จจึงเดินออกไปสำรวจตรวจสอบงานของโครงการซึ่งพลับพลึงเองก็มีส่วนอยู่พอสมควรแต่ก็ต้องทำหน้าระอาเมื่อพบกับอาทิตย์เข้า ตั้งแต่เกิดเรื่องมีปากเสียงแย่งงานกันครั้งก่อนเธอก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบปะพูดคุยกับอาทิตย์มาโดยตลอดแต่วันนี้ดูเหมือนว่าสถาปนิกรุ่นพี่จะตั้งใจเดินเข้ามาหาเรื่อง

“งานถึงไหนแล้วล่ะ”
พลับพลึงเลิกคิ้วเพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามห่วงใยจากสถาปนิกรุ่นพี่
“ก็ค่อนข้างเรียบร้อยดีค่ะ โชคดีที่เจ้าของงานไม่สั่งแก้ไขอะไรมากนัก” เธอตอบ

“เก่งนี่ ชักอยากรู้แล้วสิว่าเธอมีดีอะไรถึงได้กล่อมลูกค้าเสียอยู่หมัดไปซะทุกราย”

อาทิตย์ใช้สายตามองพลับพลึงตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน สายตาที่ทำให้พลับพลึงคิดในทางลบได้อย่างไม่น่าสงสัย หากให้เดาความคิดของสถาปนิกรุ่นพี่คงไม่พ้นคิดอกุศลว่าเธอเอาตัวเข้าแลกหรือใช้เสน่ห์ยาแฝกยั่วยวน

“ก็คนมันมีดีนี่คะ แต่เรื่องแบบนี้คงจะบอกกล่าวกันยากหน่อย ขอตัวก่อนนะคะฉันมีงานต้องทำต่ออีกมาก”

พลับพลึงไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสตอบโต้ก็ทิ้งระเบิดไว้แล้วเดินฉับๆ จากไป อดยิ้มเยาะไม่ได้เมื่อได้ยินเสียงหายใจฟึดฟัดดังแว่วๆ มาเข้าหู ช่วยไม่ได้อยากแกว่งปากหาเรื่องก่อนทำไม ก็แค่พลาดงานไปชิ้นเดียวจะเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไรนักหนา หญิงสาวเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานของวุฒิชัยอีกครั้งเธอนั่งแหมะอย่างเซ็งๆ อาการกระแทกกระทั้นแบบนั้นทำให้คนนั่งทำงานอยู่เงียบๆ เงยหน้าขึ้นมอง

“ไปกินรังแตนที่ไหนมา”
“ชัยน่าจะเดาออกนะ”
พลับพลึงย้อนด้วยอาการหัวเสียแล้วบุ้ยปากไปที่ประตูสำนักงานชั่วคราว และนั่นก็ทำให้วุฒิชัยพยักหน้าขึ้นลงช้าๆ ร้องอ๋อ...ยาวๆ

“เรื่องเดิมๆ ไม่รู้จะอาฆาตแค้นอะไรนักหนากะอีแค่งานชิ้นเดียว” พลับพลึงบ่น
“ใครว่าแค่งานชิ้นเดียว พลับไม่รู้จริงๆ หรือว่าคุณอาทิตย์ตั้งใจจะรับเหมาช่วงอาคารหลังนี้ด้วย เพราะถือว่าได้ออกแบบเอง แล้วคิดดูนะว่าถ้าเขาออกแบบเองแล้วส่งต่อให้วิศวกรซึ่งเป็นกลุ่มก้อนของตัวเองงานนี้จะกำไรเท่าไหร่ เหนาะๆ ก็สามล้านอย่างนี้แล้วพลับยังคิดว่าเรื่องเล็กอีกหรือ”

วุฒิชัยอธิบาย เขาถอดแบบและประมาณราคาเองทำไมจะไม่รู้ หากเป็นวิศวกรที่ฮั๊วกับอาทิตย์ล่ะก็ค่าประมาณราคาจะสูงกว่าที่เขากำลังทำอยู่เกือบสองเท่า

“ก็พอรู้ แต่จะอะไรนักหนาล่ะชัย คุณอาทิตย์ก็ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินซักหน่อยนี่” พลับพลึงแย้ง
“ใครว่าล่ะ ชัยได้ข่าวมาว่าหนี้สินพี่แกน้อยเสียเมื่อไหร่ นี่ก็เห็นว่ากำลังมองหาแหล่งเงินกู้อยู่นะ ไม่รู้ว่าได้หรือยัง”
“อะไรกัน!”

พลับพลึงทำหน้าไม่เชื่อ คนดูดีมีมาดอย่างอาทิตย์นี่นะมีหนี้สินล้นพ้นตัวนี่ถ้าไม่ใช่วุฒิชัยบอกเล่าล่ะก็เธอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
“ถ้าไม่เชื่อก็รอดูต่อไปแล้วกัน ได้ข่าวว่าพี่แกกำลังจะเอาที่ดินเข้าแบงค์ด้วยนะ ชัยเคยไปดูที่ของพี่แกเหมือนกัน ทำเลไม่เท่าไหร่น่าจะกู้ได้ไม่มาก”

พลับพลึงอึ้งไปพอสมควรกับข่าวใหม่ที่เพิ่งรับรู้ และพอจะทำให้เข้าใจสถาปนิกรุ่นพี่มากขึ้น แต่ที่ไม่เข้าใจเลยก็เห็นจะเป็นหนี้สินที่วุฒิชัยบอกเล่ามานี่แหละ เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสถาปนิกที่มีรายได้ปีละหลายๆ แสนอย่างอาทิตย์จะเป็นหนี้ได้มากมายอย่างนั้น

“แล้ววันนี้พลับกลับยังไงไม่เห็นเอารถมาสองวันแล้ว หรือว่าจะกลับมาใช้รถบริษัท”
วุฒิชัยเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสีหน้าระอาของสถาปนิกสาวผมสั้น จนถึงวันนี้วุฒิชัยก็ยังสงสัยว่าพลับพลึงพักที่ไหนทำไมถึงได้เป็นความลับนัก แต่ก็ไม่อยากถามเพราะรู้นิสัยหญิงสาวดี รายนี้หากเซ้าซี้มากก็จะตีตัวออกห่างเสียซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่วุฒิชัยกลัวที่สุด
“คิดว่าจะเอารถบริษัทกลับน่ะ”

“อ้าว แล้วซีอาร์วีล่ะ”
“เฮ้ย...อย่าถามเลยน่า”

พลับพลึงออกอาการหงุดหงิดเมื่อนึกถึงรถคันเป็นล้านที่เธอขับลงไหล่ทาง ไม่รู้ค่าซ่อมจะเท่าไหร่ ต่อให้มีประกันก็เถอะอย่างไรเสียเธอก็ไม่สบายใจอยู่ดี

“เอ้อ นี่ยังเล่นตะกร้อกันอยู่หรือเปล่า หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นเหล่านายช่างเลยนี่” พลับพลึงเปลี่ยนเรื่อง
“อ๋อ พวกพี่ๆ เขาไปคุมงานอาคารฝั่งโน้นน่ะกว่าจะกลับก็ค่ำ แต่ก็ยังเล่นตะกร้อกันอยู่เหมือนเดิมแหละ ขาดก็แต่พี่นุที่ต้องรีบกลับบ้าน”

พลับพลึงอ้าปากก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ แล้วหัวเราะขำพลอยให้วุฒิชัยขำตามไปด้วย จะไม่ให้ขำได้อย่างไรไหวเพราะนุติวิศวกรอารมณ์ดีจอมขี้หลีคนงานถูกสาวชาวเขาจับเข้าพิธีแต่งงานไปเมื่อเดือนที่แล้วด้วยสาเหตุที่ไปผิดผีกับหล่อน

“แสดงว่าพี่นุไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วสิ”
“อยู่ได้ไงล่ะ แม่สาวชาวเขาเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นต้องกลับบ้านตรงเวลาไม่อย่างนั้นอีโต้ได้ลงหัวดูท่าพี่นุจะไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ”
“สมน้ำหน้าอยากเจ้าชู้ดีนัก” พลับพลึงรำพันอย่างขบขัน

“แล้ววันนี้พลับต้องรีบกลับหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่รีบ ทำไม”
“ถ้างั้นอยู่เล่นตะกร้อด้วยกันก่อนสิ เราไม่ได้เล่นตะกร้อด้วยกันนานแล้ว”
“เอาสิ”

พลับพลึงพยักหน้าแล้วลุกเดินนำหน้าออกไปยังหน้าบ้านพักของตระการซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานชั่วคราวนัก ทุกคนที่กำลังเตรียมพร้อมจะลงสนามต่างก็ดีใจที่วันนี้สมาชิกที่หายไปจากสนามตะกร้อหลายสัปดาห์กลับมาร่วมก๊วนอีกครั้ง

เมื่อเห็นเหล่าเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ร่วมงานกันมาหลายโปรเจคมารวมกลุ่มเล่นตะกร้อกันอีกครั้งพลับพลึงคนเดิมก็กลับมา เธอแก่นเสี๊ยวเฮฮาแซวคนนั้นคนนี้เหมือนเมื่อเดือนก่อนก่อนที่จะต้องเข้าพิธีแต่งงานทำให้ลืมไปชั่วขณะว่า ณ เวลานี้ เธอไม่ใช่นางสาวพลับพลึงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พลับพลึงถูกเรียกให้ลงสนามอยู่ทีมเดียวกับวุฒิชัยซึ่งทั้งคู่ค่อนข้างเล่นเข้าขากันได้ดีมาแต่ไหนแต่ไรกับนุติอีกหนึ่งหนุ่มที่เพิ่งสละโสดไปไม่นานแต่วันนี้ตระการลงสนามแทนนุติ โดยที่มีสถาปนิกสาวได้รับเกียรติให้เป็นตัวเสิร์ฟ แม้ว่าเธอจะเล่นไม่เก่งเท่าผู้ชายแต่ก็สามารถนำพาทุกคนให้สนุกสนานไปได้มากเพราะเสียงต่อว่าต่อขานยามเมื่อถูกแกล้งให้รับลูกยากๆ เสียงหัวเราะเต็มสนามตะกร้ออีกครั้งหลังจากขาดหายไปนานหลายสัปดาห์ วุฒิชัยเห็นจะยิ้มแก้มปริกว่าใครเพื่อนเมื่อได้มีโอกาสใกล้ชิดหญิงสาวเหมือนเดิม สามารถทำให้ลืมเลือนหมอกบางๆ ที่กั้นขวางระหว่างเขาและเธอลงไปได้มาก วุฒิชัยขอจับมือพลับพลึงและตบที่ไหล่ของเธอเบาๆ เมื่อเธอตั้งลูกมาให้เขาจัดการฟาดหลังเท้าจนได้แต้มฝังอยู่บนพื้นที่ของคู่ต่อสู้อย่างสวยงาม ตระการเองก็เข้ามาร่วมแสดงความดีใจที่ทีมของตนได้แต้ม หากใครเห็นภาพหญิงสาวผมสั้นท่วงท่าทะมัดทะแมงแถมยังเล่นกีฬาที่ผู้หญิงน้อยคนนักจะเล่นได้คงจะรู้สึกแปลกพิลึก ซึ่งไม่ต่างจากธนดลที่เดินตามเสียงหัวเราะและพูดคุยกันโหวกเหวกได้ยินจนถึงหน้าสำนักงานชั่วคราว เขาตั้งใจมารับพลับพลึงเมื่อสอบถามจากนายส่วยว่าเหตุใดห้าโมงกว่าแล้วถึงยังไม่ไปรับหญิงสาวอีกและได้คำตอบจากคนสวนของเขาว่า พลับพลึงบอกว่าไม่ต้องไปรับเพราะจะเอารถบริษัทกลับเอง ทำให้เขาต้องขับรถออกมารับด้วยตัวเองด้วยความขุ่นเคืองเพราะเคยคุยกันแล้วว่าเธอต้องใช้รถของที่บ้านเท่านั้น ในระหว่างที่รถยังซ่อมไม่เสร็จจะต้องให้นายส่วยคอยรับคอยส่งไปก่อน อีกเรื่องที่นึกห่วงจนต้องมารับด้วยตัวเองก็เห็นจะเป็นอาการช้ำในของเธอยังมีอาการให้เห็นอยู่เป็นระยะ ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นเธอลงสนามเล่นตะกร้อยกแข้งขาราวกับผู้ชายก็ไม่ปานอย่างนั้น ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเห็นสะใภ้ของสุทธิการทำตัวแก่นเสี๊ยวอย่างนี้ แต่นั่นยังไม่เท่ากับปล่อยตัวให้เพื่อนร่วมงานโอบไหล่บ้าง จับมือบ้างซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังเขา

เป็นตระการที่สะกิดเพื่อนร่วมทีมให้ดูชายหนุ่มในชุดสุภาพซึ่งเดินตรงเข้ามายังสนามตะกร้อแต่หน้าตานั้นเหมือนจะไม่รับแขกซักเท่าไหร่ วุฒิชัยใช้มือรับตะกร้อเมื่อตระการพยักพเยิดให้ดูผู้มาเยือน พลับพลึงเองก็หันมองตามสายตาของทุกคู่แล้วต้องเบิกตาเมื่อพบว่าบุคคลที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจนั้นคือสามีกำมะลอของเธอเอง

“ใครน่ะพลับ รู้จักหรือ”
เอกพลเอ่ยถามเมื่อเห็นดวงตาคู่คมนั้นจ้องมองที่สถาปนิกสาวไม่วางตาแล้วพลับพลึงยังมีอาการกระอักกระอ่วนเมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้นอีกด้วย

“อืม รู้จัก พลับขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวสิพลับ”

วุฒิชัยเรียกไว้แต่พลับพลึงก็ไม่ฟังเธอโบกมือลาทุกคนเพราะหากปล่อยให้ธนดลเดินเข้ามาถึงสนามคงไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไหร่
“เอ้า ไปซะงั้น แล้วไอ้หมอนั่นใครหว่า รู้หรือเปล่าชัย”

เอกพลพยายามไขข้อสงสัยของตัวเอง ทุกคนต่างมองไปที่พลับพลึงและชายหนุ่มนิรนามเป็นตาเดียว
“รู้จัก”

วุฒิชัยตอบเพียงเท่านั้นทั้งสนามก็กรูกันเข้ามารุมล้อมยกเว้นตระการที่ยืนปั้นหน้ายากมองเหล่าลูกน้อง



“คุณมาที่นี่ทำไม ฉันเคยขอร้องคุณแล้วนะว่าอย่ามาที่นี่”
พลับพลึงเสียงเข้มตำหนิเพราะการปรากฏตัวของธนดลจะทำให้เธอวางตัวลำบาก
“ก็มารับคุณไง”

คนตอบไม่ได้มีสีหน้าวิตก เขายังเดินนำคนหน้าตื่นไปที่รถโดยไม่สนใจคำบ่นพึมพำตลอดทางนั้น
“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง”

พอถึงรถก็รีบมุดตัวเข้าไปนั่งประจำที่ ธนดลแม้จะโดนบ่นแต่ก็ก้าวขึ้นรถตามไปแถมเขายังยกยิ้มกับอาการหัวเสียนั่น
“ก็คุณไม่ให้นายส่วยมารับผมก็เลยต้องมารับเอง อีกอย่างคงไม่มีใครสงสัยหรอกมั้งเพราะเจ้านายคุณก็รู้นี่ว่าผมเป็นลูกค้า” ธนดลตอบเสียงเรียบสตาร์ทรถพร้อมออกตัว

“แล้วมันใช่ธุระของคุณหรือคะ คุณไม่ต้องให้เกียรติฉันมากขนาดนี้ก็ได้ฉันก็ตั้งใจจะเอารถบริษัทกลับอยู่แล้ว”

“อ้อ รถติดหล่มลงข้างทางครั้งเดียวไม่พอ ทั้งๆ รู้อยู่แก่ใจว่าฝีมือการขับรถของคุณมันใช้ไม่ได้ ขนาดรถสภาพดีๆ ยังสามารถลงข้างทางได้ แล้วนับประสาอะไรกับรถสับปะลังเคจะรอด มีหวังได้จ่ายค่าซ่อมบาน หรือไม่ก็เป็นศพอยู่ในเหวเข้าซักวัน”
ธนดลไม่ได้พูดเกินจริงเลย เขาเห็นสภาพรถแต่ละคันที่จอดเรียงรายอยู่ข้างสำนักงานแล้วแต่ละคันคงผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร เพราะสาเหตุนี้แหละที่ทำให้เขาต้องขับรถมารับภรรยาจำเป็นด้วยตัวเอง ส่วนหนึ่งเพราะเมื่อเช้าเขายังเห็นเธอแสดงอาการช้ำในให้เห็น

“อีกอย่าง ถ้าผมไม่มาก็คงไม่รู้ว่าคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของผมจะทำตัวน่าเกลียดแค่ไหน”
“อะไรนะ ฉันนี่นะทำตัวน่าเกลียด คุณกำลังต่อว่าฉันอย่างไร้เหตุผล”

เอี๊ยด!

ธนดลเบรครถกะทันหันเมื่ออีกฝ่ายเอี้ยวตัวมาตั้งหน้าต่อว่าเสียงเข้มขุ่นยิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองที่เขาพกพามาจากสนามตะกร้อให้มากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

“ก็ใช่นะสิ คุณทำตัวน่าเกลียดมากมีอย่างที่ไหนเลิกงานแล้วไม่กลับบ้านกลับไปเล่นตะกร้อฉีกแข้งฉีกขาอยู่กับผู้ชายแถมยังจับไม้จับมือโอบไหล่กันอีกแบบนั้นไม่เรียกว่าน่าเกลียดแล้วจะให้ผมเรียกว่าอะไรมิทราบ”

พลับพลับอ้าปากค้างเพราะไร้ซึ่งคำตอบโต้ ที่เขาพูดมานั้นมันเป็นความจริงแต่สิ่งหนึ่งที่เธอเห็นจะนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ก็คือเธอไม่ได้เป็นภรรยาของเขาจริงๆ ซักหน่อย และก็ตกลงกันแล้วว่าต่างคนก็ยังสามารถใช้ชีวิตเหมือนก่อนแต่งงานได้ แล้วกะอีแค่เล่นกีฬากับเพื่อนๆ เธอไม่ถือว่าผิดกติกาอะไร แล้วอีกอย่างการโอบไหล่หรือการจับมือกันในสนามก็แค่การแสดงความดีใจในทีมเท่านั้น เรื่องแค่นี้ทำไมจะต้องคิดมากด้วย

“คุณดล คุณคิดมากเกินไป เราแค่แต่งงานหลอกๆ เองนะ อีกอย่าง ฉันก็ทำตัวแบบนี้แต่ไหนแต่ไร ที่สำคัญเพื่อนร่วมงานของฉันก็ไม่มีใครรู้ว่าฉันแต่งานกับคุณ และอีกไม่นานนี้ฉันก็ต้องหย่ากับคุณแล้ว”

ธนดลขบกรามกับคำโต้เถียง
“แต่ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมขอสั่งห้ามให้คุณเลิกเล่นตะกร้อตั้งแต่วันนี้”

“คุณไม่มีสิทธิ์นะคะ!”
“มีสิ ถ้าตราบใดที่คุณยังใช้นามสกุลสุทธิการผมย่อมมีสิทธิ์”

พลับพลึงเม้มปากแน่นตอบโต้ไม่ออกเมื่อเจอเสียงเข้มอย่างนั้น
“ก็ได้ ถ้าแลกกับการที่คุณจะไม่ไปที่ไซด์งานฉันอีก”

แม้ธนดลจะไม่ชอบใจกับข้อต่อรองซักเท่าไหร่แต่เขาก็ยอมพยักหน้ารับแล้วก็ออกรถต่อคราวนี้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบไปตลอดทางเพราะต่างคนก็อยู่ในห้วงความคิดของตัวเองโดยไม่สนใจด้วยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ จนถึงบ้านต่างฝ่ายก็ยังไม่เอ่ยปากต่อกันสร้างความสงสัยให้กับแม่บ้านน้อยอยู่พอสมควร นับวันหล่อนก็ยิ่งงงกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันคู่นี้ อย่างไรก็ไม่เหมือนคนเพิ่งแต่งงานกัน หลายครั้งที่เก็บเอาเรื่องนี้ไปบอกเล่ากับสามีแต่ก็ถูกสามีดุมาทุกทีว่ายุ่งเรื่องของเจ้านาย จนถึงเวลาอาหารเย็นบรรยากาศก็ยังไม่คลายความตรึงเครียด หลังอาหารเย็นเป็นพลับพลึงที่ชิงเข้าห้องก่อน เธอเกือบจะผล็อยหลับประตูห้องนอนถึงได้เปิดออกแอบเงี่ยหูฟังด้วยความระแวดระวังว่าชายหนุ่มจะทำอะไร หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นทุกวันที่เขาล้มตัวลงนอนข้างๆ เขาเข้าห้องมาก็ปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนนิ่งแต่กลับเป็นพลับพลึงเสียอีกที่ไม่สามารถข่มตาหลับได้ อาการง่วงงุนหายวับราวกับได้กาแฟขมปี๋ซักสิบแก้ว

“ยังไม่หลับใช่มั้ย”
พลับพลับรีบหลับตาเพื่อกลบเกลื่อนเธอนอนตะแคงหันหน้าหนีแท้ๆ ยังรู้อีกแหนะว่าเธอยังไม่หลับ ช่างมีหูทิพย์ตาทิพย์เสียจริงแต่ก็ไม่ได้ตอบรับอะไรออกไปจนเขาต้องถามซ้ำอีกครั้ง

“ผมรู้นะว่าคุณยังไม่หลับ คนระแวดระวังอย่างคุณไม่มีทางยอมหลับก่อนผมหรอก ถ้ายังไม่หลับลุกมาคุยกันหน่อยสิ”
ธนดลที่เพิ่งล้มตัวลงนอนลุกขึ้นนั่งเขารอจนหญิงสาวขยับตัวถึงได้ลุกจากเตียงพร้อมกับเปิดไฟที่หัวเตียง ในยามแสงไฟสลัวไม่น่าเชื่อว่าเขามองหญิงสาวผมสั้นซึ่งอยู่ในตำแหน่งเมียจำเป็นสวยขึ้นมาได้ ธนดลรีบสลัดความรู้สึกนั้นให้ออกไปจากหัวก่อนที่จะฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้

“มีอะไรคะ ฉันง่วงแล้วนะ” พลับพลึงกระแทกเสียงเพื่อให้รู้ว่าเธอไม่พอใจที่ถูกรบกวนยามดึกดื่น
“ที่คุณบอกว่าเราจะหย่ากันเร็วๆ นี้ คุณหมายความว่ายังไง”

พลับพลึงอ้าปากเหลือกตาไปซ้ายทีขวาทีเพื่อนึกถึงถ้อยคำเหล่านั้นว่าเธอพูดกับเขาตอนไหน ก่อนจะพยักหน้าเมื่อนึกออก แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือทำไมเขาต้องเก็บเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้มาถามยามดึกแบบนี้
“ว่าไง” ธนดลถามย้ำ

“ก็มันจริงนี่คะ หนึ่งปีมันช้าที่ไหนล่ะ อย่าบอกนะว่าคุณคิดจะเบี้ยว ไม่ได้นะคุณ เราสัญญากันแล้ว”
“ทำไมต้องโวยวาย ผมก็แค่ถาม”

“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าจะหย่ากันภายในหนึ่งปี”
“แค่เดา แต่ฉันควรเชื่อลุงกับป้าไม่ใช่เหรอ”

ธนดลยกยิ้ม เขาก็หวังจะเป็นเช่นนั้นเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจของภรรยาเขาก็ยื่นหน้าเข้าไปหาหมายจะแกล้งหยอกให้ตกใจ แต่ภรรยากลับไม่ตกใจซักนิดแค่ชักสีหน้าเท่านั้น

“ออกไปห่างๆ ก็ได้คุณ ใบหน้าของฉันไม่มีพิรุธอะไรให้คุณค้นหาหรอก”
พลับพลึงใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าผากของเขาแล้วดันให้ออกห่างแต่ธนดลกลับจับข้อมือบางนั้นไว้แล้วปัดออก

ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี โกรธ ตกใจหรือขำกับการกระทำแบบนี้ของหญิงสาว ไม่เคยมีใครทำกิริยาแบบนี้กับเขามาก่อน อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลยแม้แต่เพื่อนสนิทก็ยังไม่เคยมีใครกล้าเอานิ้วมาจิ้มหน้าผากเขาแบบนี้
“ปล่อยนะคุณ มาจับมือฉันทำไมเนี่ย”

พลับพลึงพยายามสะบัดมือออกแต่สลัดอย่างไรก็ไม่หลุดแถมยังโดนเขากระชากแขนเข้าหาตัวจนเธอโผเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาปลายจมูกแทบจะชนกัน

“คุณจะทำอะไร”
พลับพลึงเอ่ยถามน้ำเสียงสั่น นี่เป็นครั้งแรกที่หัวใจเต้นแรงแทบจะทะลุออกมานอกอก มันไม่ใช่ความกลัว เธอแน่ใจอย่างนั้น
“เปล่าทำซักหน่อย ก็แค่จะบอกคุณว่าผมไม่ชอบให้ใครมาจิ้มหน้าผาก”

เสียงนั้นแผ่วเบาราวกระซิบแต่กลับทำให้พลับพลึงขนลุกซู่ไล่ตั้งแต่ท้ายทอยไปตามไขสันหลังเสียงที่แผ่วเบาแต่กลับทรงพลังได้อย่างน่ากลัว
“บอกดีๆ ก็ได้ไม่ต้องกระชากมาซะใกล้อย่างนี้หรอก”

เมื่อตั้งสติได้เธอก็ดึงหน้ากลับแล้วต่อว่าเสียยกใหญ่
“ก็แค่กลัวคุณไม่ได้ยิน”

“ได้ยินสิ แล้วนี่จะจับมือฉันอีกนานมั้ย”

พลับพลึงสะบัดหน้าหนีแล้วล้มตัวลงนอนหากแต่สายตานั้นยังคงกังวลอยู่ไม่คลาย จนเมื่อธนดลล้มตัวลงนอนตามแล้วหันหน้าไปอีกทางนั่นแหละเธอถึงได้วางใจไม่นานก็หลับไป ธนดลมาสะดุ้งตื่นเมื่อผ้าห่มของเขาเคลื่อนออกจากตัวไปด้านข้าง เขาเอี้ยวตัวหันมองตามแรงเคลื่อนไหวต้องถอนหายใจเฮือกแล้วลุกขึ้นนั่ง เอาอีกแล้ว หมอนข้างที่กั้นกลางเตียงก็หล่นลงไปอยู่ปลายเตียงโน่น ธนดลเอื้อมมือไปหมายจะปลุกคนหลับสนิทที่ครอบครองผ้าห่มหมดทั้งผืน แต่ก็ต้องหยุดมือไว้เพียงแค่นั้นเมื่อเห็นเธอหลับสนิท ธนดลขยับเข้าไปใกล้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามานั่งใกล้เธอมากขนาดนี้เป็นจังหวะที่พลับพลึงพลิกตัวนอนหงายพอดีทำให้เขามองเห็นใบหน้าผ่านแสงจันทร์ที่ลอดผ่านมาทางหน้าต่างได้ชัดเจนเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากนั่งมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของสาวผมสั้นและต้องขยับตัวออกห่างหลายครั้งเมื่อขาแขนของเธอนั้นพาดไปทั่วเตียง

แบบนี้เขาจะได้ผ้าคืนได้อย่างไร...

ธนดลยิ้มขำอย่างนึกเอ็นดูซึ่งไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก ภรรยาจำเป็นของเขาอายุเท่าไหร่กันนะถึงได้นอนดิ้นเป็นเด็กๆ แบบนี้ ดูสิ ผ้าห่มพันตัวเป็นรังไหมหุ้มตัวเป็นหนอนไปแล้ว ด้วยความรู้สึกเอ็นดูทำให้อดใจไม่ไหวที่จะโน้มหน้าเข้าไปหาเพื่อมองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นให้ชัดๆ จมูกโด่งเล็กบอกถึงความรั้นของหญิงสาว แก้มสองข้างขาวนวลแข่งกับแสงจันทร์ข้างนอกหน้าต่าง คิ้วเรียวสวยแม้ไม่ได้รับการดูแลจัดแต่งอย่างผู้หญิงทั่วไป นึกอยากจะเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียงแต่ก็กลัวว่าคนที่กำลังหลับสนิทจะตื่น ปากบางเริ่มขยับคล้ายพึมพำอะไรบางอย่างยิ่งทำให้น่ามองจนไม่อยากละสายตา ปากบางเล็กที่ช่างเจรจาช่างเถียงอยู่ตลอดเวลาทำให้นึกสนุกอยากจะสั่งสอนเสียยิ่งนัก เขาค่อยๆ โน้มใบหน้าลงไปยังใบหน้าที่นอนเชิดหลับพริ้มอย่างมีความสุขนั้น ปลายจมูกค่อยๆ แตะที่จมูกโด่งเล็กแล้วเลื่อนไปที่แก้มนวลนั้นอย่างแผ่วเบา

กลิ่นหอมไม่ต่างจากดอกไม้ ใช่ ดอกพลับพลึงนี่เอง...

ธนดลไม่ได้รู้สึกเกินจริงเลยนานมากแล้วที่ไม่ได้รู้สึกหัวใจเต้นโครมครามแบบนี้ เขายิ้มพอใจเมื่อยืดใบหน้าขึ้นแล้วคนที่ถูกขโมยหอมแก้มนั้นยังหลับพริ้มไม่รู้สึกตัว แต่แล้วเขาก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้สึกว่ารอบๆ ตัวเริ่มเย็นเยียบ ถ้าไม่ได้ผ้าห่มคืนมาล่ะก็คงนอนไม่หลับแน่ แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ ผ้าห่มพันตัวหญิงสาวแน่นซะขนาดนั้น เขาจึงค่อยๆ จับผ้าห่มแล้วดึงเบาๆ แต่มันก็ไม่ได้ผลเพราะนอกจากผ้าห่มจะไม่เลื่อนออกมาจากตัวหญิงสาวแล้วตัวของเธอยังนอนนิ่งไม่ไหวติงอีกนี่ถ้าพลิกตะแคงข้างซักหน่อยก็คงจะดึงผ้าห่มออกได้ง่ายกว่านี้ เอาวะ ออกแรงอีกนิด ธนดลคิดในใจ แล้วกระชากผ้าห่ม

“โอ๊ย!”

ธนดลรีบปล่อยชายผ้าห่มเมื่อได้ยินเสียงร้องครวญของคนที่เพิ่งสะดุ้งตื่น เขาคงจะกระชากผ้าห่มแรงเกินไป เพราะทำให้ตัวพลับพลึงพลิกไปถึงสองรอบแล้วหน้าผากก็โขกเข้ากับผนังพอดิบพอดีจนร้องโอ๊ยขึ้นมาทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา

ตายล่ะหว่า! ธนดลอุทานในใจ รู้สึกว่าตัวเองกำลังทำหน้าไม่ถูกไม่นานโคมไฟหัวเตียงอีกฝั่งก็เปิดสว่างขึ้น พลับพลึงยกมือขึ้นลูบหน้าผากพร้อมกับลุกขึ้นนั่งเต็มตัวเธอหันขวับตวัดสายตามองไปที่ชายหนุ่มอย่างโกรธขึ้ง

“คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!”
“ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“อ้อ นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะ ถ้าตั้งใจฉันไม่หัวร้างข้างแตกเลยหรือไง”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

ธนดลเสียงอ่อน ก็แค่โขกเบาๆ โวยวายปานเจ๊กตื่นไฟไปได้
“จะไม่ขนาดนั้นได้ยังไงคุณดูหัวฉันซิ ปูดเป็นลูกมะนาวหรือเปล่าก็ไม่รู้”

พลับพลึงลูบหัวป้อยๆ แล้วเลื่อนมือออกเปิดหน้าผากให้ดู ธนดลกลั้นขำอย่างเต็มที่เมื่อเห็นรอยแดงๆ บริเวณหน้าผากแม้จะยังไม่ได้ปูดเป็นลูกมะนาวดองอย่างที่หญิงสาวว่าแต่ก็คงเจ็บมากพอสมควรดูได้จากรอยแดงที่เห็นชัดเจนมาก
“หัวเราะอะไรมิทราบ ถ้าคุณไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ผลักฉันจนชนผนังล่ะก็น่าดู” พลับพลึงเข่นเขี้ยวพร้อมกับชี้หน้าต่อว่า

“คุณจะทำอะไรผมล่ะ จะผลักผมตกเตียงหรือไง”

“ใช่!”
ธนดลยิ้ม เป็นคืนแรกตั้งแต่แต่งงานกันมาที่เขารู้สึกสนุกและมีความสุขกับการมีภรรยาร่วมเตียง
“ว่าไง ผลักฉันทำไม”

ธนดลเบ้ปากแล้วก้มลงมองที่ผ้าห่มซึ่งยังพันอยู่ที่เอวของพลับพลึงขนาดพลิกไปสองรอบผ้าห่มยังออกจากตัวไม่หมด พลับพลึงก้มลงมองตามถึงกับอ้าปากค้างแล้วหลับตาปี๋ค่อยๆ หุบปากลงพร้อมกับเบือนหน้าหนีด้วยรู้สึกอาย
“ผมพยายามจะดึงผ้าห่มคืนแต่คุณเล่นครอบครองไว้แน่นเหลือเกิน”

“แล้วทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะ” พลับพลึงเถียงทั้งๆ ที่ใบหน้าร้อนผ่าวๆ
“ปลุกคนหลับมันบาปนะคุณ” ธนดลแก้ตัว
เขาแอบยิ้มเมื่ออีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเสียด้วยว่าถูกเขาขโมยหอมแก้มด้วย

“ฮึ แล้วแกล้งพลิกให้กลิ้งไปชนผนังไม่บาปเลยนะ” พลับพลึงย้อนอย่างน่าโมโห
“ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณเจ็บ ผมขอโทษแล้วกัน เอาเป็นว่าคราวหน้าผมจะปลุกคุณก็แล้วกัน ไหนมาดูซิ คงเจ็บมาก เดี๋ยวผมไปเอายามาทาให้"

“ไม่ต้อง ไม่ต้องมายุ่งเลย”
“ไม่ยุ่งได้ไง นั่น เริ่มบวมปูดแล้ว ขืนทิ้งไว้อย่างนั้นพรุ่งนี้คุณต้องมีลูกมะนาวอยู่บนหน้าผากแน่”
พลับพลึงทำหน้างอเพราะถ้าเป็นแบบนั้นเธอคงออกไปไหนไม่ได้แน่

“รอเดี๋ยวนะ”
คราวนี้พลับพลึงไม่แย้งเธอนั่งเอามือลูบหน้าผากโนๆ นั้นป้อยๆ เพื่อรอธนดลไปหยิบยาไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมยาหม่อง พลับพลึงขอยามาทาเองแต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาช่วยทายาให้เธออย่างเบามือจนคนที่นั่งยื่นหน้าให้เขาทายาอยู่นั้นเกิดอาการร้อนผ่าวๆ ไม่หยุดจนต้องแอบกลืนน้ำลายไปหลายที

“เป็นอะไร ปวดหรือ” ธนดลเอ่ยถามขณะที่ยังป้ายยาให้ทั่วบริเวณรอยแดง
“เปล่า ฉันว่าพอแล้วมั้ง”
ธนดลก้มลงมองแล้วอดที่จะอมยิ้มไม่ได้

“เขินหรือไง”
“เปล่าซักหน่อย ฉันจะเขินทำไม ไม่เห็นมีอะไรน่าเขิน น่าอายมากกว่า”
“งั้นหรือ ถ้างั้นคุณคงร้อน”
พลับพลึงรีบยกมือขึ้นกุมแก้มทั้งสองข้าง

“ก็ร้อนสิ คนลองมาทายาหม่องดูมั้ยล่ะ” คนกำลังเขินค้อนให้
“งั้นหรือ” ธนดลยิ้มมากขึ้น เขาเก็บยาเมื่อทาเสร็จ “นอนเถอะ”
“ก็ปิดไฟสิ”
“ฮึ?”

ธนดลครางในลำคอเป็นคำถาม เธอให้เขาปิดไฟทั้งๆ ที่โคมไฟที่เปิดสว่างอยู่นั้นเป็นโคมไฟฝั่งของเธอ แล้วจะให้เขาเอื้อมมือไปปิดนี่นะ เขาเลิกคิ้วเป็นคำถามอีกครั้งและนั่นก็ทำให้พลับพลึงนึกได้จึงรีบเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนห่มผ้าอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเธอก็เด้งตัวลุกขึ้นมาแล้วขยับผ้าห่มแบ่งให้เพื่อนร่วมเตียงแล้วยืดตัวลงไปหยิบหมอนข้างที่หล่นลงไปอยู่ปลายเตียงขึ้นมาวางกั้นแบ่งพื้นที่เช่นเดิม

“นอนสิคุณ ไม่ง่วงหรือไง”

พลับพลึงเสียงเขียวเมื่อเสียงหัวเราะนั้นทำให้ใบหน้าที่ร้อนผ่าวๆ อยู่แล้วยิ่งร้อนมากขึ้นไปอีก ธนดลล้มตัวลงนอนดูท่าวันนี้เขาคงจะหลับฝันดีเพราะไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขแบบนี้นานมาก






แก้วมุกดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ต.ค. 2557, 09:40:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ต.ค. 2557, 09:40:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1357





<< พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 15   พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 17 >>
phakarat 21 ต.ค. 2557, 10:45:37 น.
แอบหอมแก้มเค้าชิคุณดลร้ายไม่เบา


parinratn 21 ต.ค. 2557, 11:41:40 น.
ชอบตอนนี้สุดๆมาต่อไวๆนะคร้า


แว่นใส 21 ต.ค. 2557, 12:43:10 น.
ช่างน่ารักกันเหลือเกิน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account