พ่ายพรหมลิขิต
พลับพลึงทำงานด้านสถาปัตย์ประจำอยู่ที่เชียงใหม่วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบบ้านพักของธนดลโดยไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอกลับต้องมารับบทเจ้าสาวของเขาเนื่องจากญาติผู้น้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้าหนีออกจากบ้านก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ด้วยเสียงขอร้องแกมบังคับของป้าและลุงทำให้พลับพลึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะหากเธอปฏิเสธป้าก็อ้างว่าหล่อนกับสามีจะต้องถูกอีกฝ่ายฟ้องจนถึงขั้นล้มละลาย เพราะนอกจากธนดลจะเป็นเจ้าบ่าวแล้วยังเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย พลับพลึงจำยอมตกเป็นเจ้าสาวสำรองจนกว่าปิติและพิลาวรรณจะนำเงินมาชดใช้หนี้สินได้หมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของคนสองคน....
Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 17

17
พลับพลึงยกมือขึ้นคลำหน้าผากไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายาหม่องที่ทาไปเมื่อคืนเอาไม่อยู่เพราะเช้านี้หน้าผากของเธอเหมือนมีลูกมะนาวขนาดย่อมๆ ติดอยู่ โชคดีที่วันนี้ไม่ต้องไปทำงานเพราะงานในส่วนของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เข้าไปดูแบบอีกทีตอนที่วุฒิชัยประมาณราคาและคำนวณโครงสร้างเสร็จคาดว่าคงจะอีกหลายวัน พลับพลึงเดินเซๆ ออกมานอกระเบียงแม้จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วแต่อาการมึนๆ หัวก็ยังไม่หายไป เธอมองซ้ายมองขวาแล้วสะดุดเข้ากับร่างชายหนุ่มซึ่งนั่งดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ระเบียงจึงคิดจะเลี่ยงไปเดินที่อื่นแต่เหมือนเขามีตาทิพย์รู้เสียด้วยว่าเธอเดินอยู่ใกล้ๆ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เอี้ยวหน้ามามอง

“มานั่งก่อนสิ” เขาเอ่ยชวนแกมออกคำสั่ง พลับพลึงเดินเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวว่างอย่างขัดไม่ได้ “กาแฟหน่อยมั้ย เป็นไงบ้าง โอ๊ะ ดูเหมือนจะปูดมากกว่าเมื่อคืนอีกนะ”

ธนดลมีท่าทางห่วงใยหากแต่พลับพลึงก็จับสายตาและน้ำเสียงนั้นได้ว่าเขากำลังขบขัน
“ก็เพราะคุณนั่นแหละ” เธอต่อว่าแล้วค้อนขวับ

“วันนี้ตื่นสาย ไม่ไปทำงานหรือไง”
“ไม่ค่ะ วันนี้ฉันหยุด”

โชคดีที่เป็นวันหยุดไม่อย่างนั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนที่แบกหัวปูดๆ เป็นลูกมะนาวไปทำงานด้วย
“เดี๋ยวทายาอีกทีแล้วกัน”
ธนดลตั้งท่าจะเรียกแม่บ้านแต่พลับพลึงห้ามไว้

“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ ยาหม่องเมื่อคืนยังมีอยู่”
“งั้นหรือ” ธนดลเบิ่งตาแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ “คุณหยุดก็ดี ตั้งแต่มาที่นี่เรายังไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่ ส่วนมากจะทะเลาะกันเรื่องแย่งผ้าห่มเสียมากกว่า”

พลับพลึงเม้มปากแอบถลึงตามอง ก็เพราะเรื่องแย่งผ้าห่มนะสิเธอถึงได้มะนาวมาแปะหน้าผาก
“คุณน่าจะดีใจนะคะ ขืนอยู่ร่วมบ้านกันทั้งวันเดี๋ยวก็เกิดเรื่องอีกจนได้ คุณจำไม่ได้หรือคะว่าวันแรกที่เราอยู่ร่วมบ้านเกิดอะไรขึ้น”
ครัวเกือบโดนไฟไหม้!

น้อยยกกาแฟเข้ามาวางพร้อมกับขนมปังสองแผ่นยังไม่ทันได้ถอยออกไปจากโต๊ะนายส่วยสามีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามากระซิบกระซาบกับน้อยท่าทางร้อนใจจนธนดลต้องเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของน้อยไม่สู้ดีเลยเงยหน้าขึ้นบอกกล่าวกับเจ้านาย
“แม่ไม่สบายมากค่ะ คนที่หมู่บ้านมาบอก คุณดลจะว่าอะไรมั้ยคะถ้าน้อยจะขอกลับไปดูแม่ซักวันสองวัน”
“ไปเถอะ เอารถที่บ้านไปก็ได้”

ธนดลเอื้อเฟื้อ สร้างความซาบซึ้งแก่สองผัวเมียเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ขอรบกวนดีกว่าเพราะถึงอย่างไรก็เอารถขึ้นไปไม่ถึงหมู่บ้านอยู่ดีด้วยเส้นทางขึ้นเขานั้นค่อนข้างชัน
“ผมไปมอเตอร์ไซค์ดีกว่าครับ” นายส่วยบอกปฏิเสธ

“ตามใจแล้วกัน”
ธนดลลุกจากเก้าอี้เดินหายเข้าไปในบ้านก่อนออกมาพร้อมเงินจำนวนเล็กน้อยยื่นส่งให้น้อย น้อยเงยหน้ามองอย่างซึ้งใจแต่ก็ลังเลที่จะรับจนธนดลพยักหน้าให้รับไว้น้อยถึงยกมือไหว้แล้วรับมาอย่างขอบคุณ

“รีบไปเถอะ เอายาไปด้วยล่ะ เผื่อจะใช้ประโยชน์ได้บ้าง” ธนดลบอก
ที่บ้านหลังนี้เขาให้เตรียมหยูกยาไว้ทุกชนิด เผื่อฉุกเฉินจะได้หยิบใช้ได้ น้อยรับคำแล้วไปหยิบยาที่อยู่ในตู้จำนวนหนึ่งนำขึ้นดอยไปด้วย พลับพลึงมองชายหนุ่มแล้วยิ้มในความมีน้ำใจ
“มองอะไร หน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือไง”

ธนดลเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าดวงตาคู่กลมเล็กของสาวหัวปูดนั้นจ้องมองเขาอยู่
“เปล่า แค่รู้สึกว่าคุณนี่ก็มีน้ำใจเหมือนกันนะ ให้เงินน้อยไปตั้งหลายพันแหน่ะ”

“ไม่เห็นแปลก ก็เขาเป็นคนของผม เมื่อเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือ ว่าแต่คุณเถอะ เย็นนี้จะทำอะไรให้ผมทาน”
พลับพลึงเบิกตากว้าง เอาแล้วไง ดูท่าคงไม่พ้นอาหารญี่ปุ่นที่บรรจุอยู่ในซองพลาสติกเป็นแน่แท้ แต่แค่คิดก็ถูกดักคอเสียแล้ว
“ขอบอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่สันทัดอาหารซอง”

ถึงกับทำให้แม่สาวผมสั้นหน้างอง้ำเลยทีเดียว เพราะนอกจากอาหารซองอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วเธอก็ทำอะไรไม่เป็นเลย แม้แต่เจียวไข่ยังเค็มปี๋
“ถ้างั้นฉันขอตัวไปคิดเมนูอาหารก่อนนะคะ”
พลับพลึงถือโอกาสหลบเลี่ยงออกมาจากโต๊ะอาหารเช้าเสียเพราะไม่อยากถูกแขวะจนเกิดแผลเหวอะหวะไปมากกว่านี้
ธนดลอมยิ้มกับท่าทางขัดเขินของสาวผมสั้น รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ต่อปากต่อคำหรือพูดจาอะไรซักอย่างให้เธอหน้าแดงเล่น




จนเวลาเย็นย่ำพลับพลึงถึงออกมาจากห้อง หลังจากที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่เที่ยง วันหยุดโดยส่วนมากเธอมักให้เวลากับการนอน โชคดีที่ธนดลไม่เข้ามาร่วมแชร์ห้องนอนในตอนกลางวัน นับว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใช้ได้คนหนึ่งเมื่อเห็นเธอเข้ามาจับจองห้องนอนก็ใช้เวลาทั้งวันอยู่นอกชาน พลับพลึงบิดขี้เกียจไปมาจนเส้นเอ็นเริ่มยืดจนพอใจจึงลุกจะออกไปข้างนอกมองนาฬิกาที่หัวเตียงบอกเวลาบ่ายสามโมงอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงเวลาอาหารเย็น จึงคิดจะออกไปชวนชายหนุ่มออกไปหาไรกินนอกบ้านดีกว่า เพราะถ้าให้เธอทำล่ะก็นอกจากจะทานไม่ได้แล้วอาจจะถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษ แต่เมื่อก้าวออกจากห้องได้ไม่กี่ก้าวพลับพลึงก็ต้องหลบมุมเมื่อสามีจำเป็นนั้นมีแขก สีหน้าของแขกที่มานั้นเคร่งเครียดจนน่าสงสัย

“ได้เรื่องแล้วครับ”
ทนายวัยลายครามกระซิบกระซาบ

ธนดลปั้นหน้าเคร่งยืดตัวตรงเพื่อรอฟังคำรายงานซึ่งไม่ต่างจากหญิงสาวที่เดินมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีก็เงี่ยหูฟังเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เสียงรายงานของชายวัยกลางคนนั้นเบาลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ต้องละความพยายามเดินเลี่ยงออกมาเสีย
“ผมต้องขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ” ธนดลเอ่ย

“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ”
ทนายประจำบริษัทตอบรับนอบน้อมแล้วเก็บเอกสารเตรียมตัวกลับ


พลับพลึงทิ้งไหล่ลู่ลงเมื่อปฏิบัติการแอบฟังไม่เป็นผลสำเร็จ พยายามจับใจความสุดฤทธิ์แต่ก็เรียบเรียงถ้อยคำปะติดปะต่อไม่ได้เลย
“คิดอะไรอยู่”
คนเพิ่งส่งแขกเรียบร้อยเอ่ยถาม หลังจากส่งแขกเรียบร้อยเขาก็ตั้งใจเข้ามาหาเธอเลย หัวคิ้วเล็กเรียวนั้นแทบจะชนกันเป็นแถวเดียวคลายออกเมื่อได้ยินเสียงห้าวทัก
“คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เอ่อ...ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” พลับพลึงชักน้ำเสียงขุ่นเมื่อไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น

“เกี่ยวกับเรื่องที่ระเบียงหรือเปล่า”
พลับพลึงตั้งท่าจะเถียงแต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่าย
“ผมเห็นนะว่าคุณแอบฟัง ก่อนจะหนีกลับห้อง”

พลอยทำให้หญิงสาวหน้าเสียและทำปากขมุบขมิบต่อว่าคนตาไว
“ฉันก็แค่เดินผ่านไปเท่านั้น”
“งั้นหรือ”

น้ำเสียงของธนดลเหมือนจะไม่เชื่อถือนักทำให้อีกฝ่ายค่อนข้างไม่พอใจที่เหมือนถูกจับพิรุธจึงโพล่งออกไปว่า
“ใช่ ฉันสงสัย แล้วทำไมล่ะ ก็พวกคุณพูดถึงชื่อของลุงกิตติ แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันสนใจได้ยังไง และฉันก็เชื่อด้วยว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการแต่งงานของเราด้วย ฉันถามจริงๆ เถอะคุณดล...”

พลับพลึงที่อึดอัดเต็มที่และในใจเต็มไปด้วยคำถามได้โอกาสจะระบายเธอจึงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย
“การแต่งงานของเรามันคุ้มค่ามากหรือไง ฉันมองไม่เห็นความคุ้มค่าที่คุณจะหาประโยชน์จากฉันได้เลย หรือแม้แต่กับพิมพ์ก็เถอะ”
“ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”

“จำเป็นสิ เพราะถ้ามันมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับฉัน หรืออะไรที่คุณต้องการฉันรับรองเลยนะว่าจะไม่รีรอที่จะแลกมันกับอิสรภาพของฉัน”

ธนดลมองภรรยาจำเป็นตรงหน้ารู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ขึ้นในใจ นี่เขาเป็นผู้ชายที่ไม่น่าอยู่ใกล้ขนาดนั้นเชียว
“คุณแน่ใจหรือ”

“ฉันแน่ใจ กรุณาบอกฉันมาเถอะว่าคุณต้องการอะไรจากลุงของฉันกันแน่”
“เอาไว้ให้ผมแน่ใจอะไรอีกนิดก่อน รับรองว่าผมบอกคุณแน่”

ธนดลตัดบทโดยการเดินออกจากห้องนอนไป เรื่องนี้สมควรตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วน เพราะจะผิดพลาดไม่ได้ แต่ก่อนจะพ้นประตูธนดลก็หันกลับมา
“แล้วเย็นนี้คุณคิดเมนูได้หรือยัง”




คนถูกออกคำสั่งให้ทำอาหารหันซ้ายแลขวาเมื่อเนรเทศตัวเองจากห้องนอนเข้ามาเป็นแจ๋วในครัว จะทำอะไรดีล่ะ ไข่เจียวยังไหม้เลย ให้ตายเถอะ นี่ธนดลกล้าฝากท้องไว้กับแม่ครัวฝีมือห่วยอย่างเธอได้อย่างไร พลับพลึงเดินไปเปิดหม้อหุงข้าวแล้วพ่นลมหายใจออกแรงๆ โชคดีจังที่น้อยหุงข้าวไว้ให้แล้วแต่พอเปิดตู้กับข้าวก็ต้องผิดหวัง ก็แหม...หุงข้าวทั้งทีก็น่าจะทำกับข้าวไว้ให้ด้วยเลย แต่คิดว่าน้อยคงกำลังจะทำล่ะเห็นผักกองอยู่บนโต๊ะกองใหญ่หลายชนิด คงจะรีบมากจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำกับข้าวต่อ พลับพลึงเปิดตู้บนชั้นสองของตู้กับข้าวค้นดูของแห้งที่คาดว่าน่าจะทำอะไรได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่เจออะไรที่คนไม่มีหัวทางการทำกับข้าวจะนำมาปรุงอาหารได้ เธอปล่อยไหล่ลู่ลงอย่างปลงๆ ในชะตากรรมที่ไม่เอาไหน คนเกือบจะหมดหวังเปิดตู้เย็นอีกครั้งก้มลงมองหาของกินแล้วยิ้มกว้างเมื่อเห็นไส้อั่วขดใหญ่อยู่ในกล่องพลาสติกปิดมิดชิด

“นี่ถ้าได้น้ำพริกหนุ่มกับผักเป็นเครื่องเคียงก็สุดยอด”
คนรอดตัวกับการที่ต้องทำกับข้าวพึมพำแล้วเริ่มค้นตู้เย็น แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อมันไม่มีในสิ่งที่เธอต้องการจึงกลับไปค้นที่ตู้กับข้าวอีกครั้ง
“นี่ไง”

พลับพลึงอุทานด้วยความดีใจกับน้ำพริกหนุ่มกระปุกปานกลางซึ่งน้ำพริกถูกตักออกจากกระปุกไปเกือบครึ่งกระปุกแล้ว
และอาหารสำหรับวันนี้ก็คือ ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม พร้อมผักที่น้อยวางไว้เต็มโต๊ะที่โชคดีไปกว่านั้นก็คือแม่บ้านจำเป็นใช้ไมโครเวฟเป็น...

ไม่นานอาหารก็ถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะท่ามกลางความประหลาดใจของธนดล เขามองอาหารที่ถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะด้วยสายตามีคำถาม
“อย่ามองแบบนั้นสิคุณ มีให้กินก็ดีถมไปแล้วน่า ที่สำคัญคุณไม่ต้องซ่อมครัวใหม่ไม่ดีหรือ อ้อ แถมเรื่องรสชาติไม่ต้องห่วงอร่อยเหาะแน่นอน”

พลับพลึงจีบมือเข้าจุ๊ปากแล้วฉีกยิ้มหวานหยดส่งท้ายคล้ายเป็นโลโก้ของอาหารบนโต๊ะราวกับเป็นท่าของเชฟมือทอง
“กับข้าวแค่นี้เองหรือ”

ธนดลเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนมีฐานะอย่างเขาจะต้องมานั่งกินอาหารเพียงอย่างเดียวในมื้อเย็น
“เอาน่าคุณ ทนๆ เอาหน่อย น้อยกลับมาคุณก็ได้ทานอะไรเยอะๆ เหมือนเดิม อย่าเรื่องมากน่าหรืออยากได้อีกอย่าง ไข่เจียวเป็นไง”

ธนดลทำท่าขยาด วีรกรรมเมื่อครั้งพลับพลึงทำไข่เจียวครั้งแรกแวบเข้ามาในหัวพร้อมกับส่ายหน้ารัวเร็ว
“เห็นมะ คุณก็เข้าใจอะไรดีแล้วนี่ เพราะฉะนั้นทานเถอะ แค่ไส้อั่วกับน้ำพริกหนุ่มนี่ก็หรูแล้ว อ้อ ฉันยังแถมผักลวก ผักสดให้อีกจานด้วยนะ รับรองสารอาหารครบถ้วน แล้วไม่ต้องกลัวว่าผักจะไม่สะอาด ถึงแม้ว่าฉันจะทำกับข้าวไม่เป็น แต่แค่ล้างผัก ลวกผักฉันก็พอทำได้”

“ทานเถอะ ผมหิวจะแย่แล้ว”

พลับพลึงไม่ตอบโต้ว่าอะไรอีกทั้งสองลงมือทานเริ่มจากพลับพลึงที่ตักน้ำพริกหนุ่มเต็มช้อนกลางแต่ไม่ได้ตักให้ตัวเองเธอยื่นไปวางที่จานของธนดลพร้อมพยักหน้าให้รับน้ำใจ
“ไม่เผ็ดหรอก อย่าบอกนะคะว่าทานไม่ได้”

เมื่อโดนท้าทายอย่างนั้นคนที่ไม่ใคร่จะสันทัดเรื่องน้ำพริกก็ตั้งคอแข็ง
“ใครว่าล่ะ นี่น่ะของโปรดผมเลยถ้าผมมาที่นี่น้อยจะต้องเตรียมไว้ให้ผมทุกครั้ง”

หน้าตาพลับพลึงค่อนข้างจะไม่เชื่อมากหากแต่ขัดจากสิ่งที่นึกคิด เธอเลิกคิ้วเบ้ปากเขาคงจะชอบมากสินะถึงไม่มีน้ำพริกหนุ่มบนโต๊ะอาหารเลยซักมื้อ ว่าแล้วก็อยากหัวเราะดังๆ แต่ก็พยายามเก็บอาการด้วยไม่อยากเสียมารยาท

“ถ้างั้นก็ทานเยอะๆ นะคะ อ้อ แล้วถ้าพรุ่งนี้คุณเบื่อไส้อั่วคุณก็ควรจะเข้าไปในเมือง”

เธอเอ่ยแซวกลายๆ เมื่อนึกถึงไส้อั่วในตู้เย็นที่เหลืออยู่อีกหลายท่อนแล้วลงมือทานบ้าง พลับพลึงตักไส้อั่วพร้อมกับน้ำพริกหนุ่มคลุกข้าวตามด้วยผักลวกคำใหญ่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย ต่างจากคนที่บอกว่าชอบน้ำพริกหนุ่มเป็นชีวิตจิตใจที่เขี่ยข้าวในจานอยู่นานกว่าจะยอมตักเข้าปาก พลับพลึงแอบเหลือบตามองเห็นเขาเบ้หน้าด้วย โธ่...คุณหนูจริงๆ เลย ยอมรับว่าไม่ชอบกินเผ็ดแต่แรกเธอก็ไม่ตักให้เขาหรอก แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อไม่มีอย่างอื่นให้เขาทานแล้วนี่ พลับพลึงก้มหน้าก้มตาทานข้าวโดยไม่สนใจอาการผิดปกติของธนดล ส่วนหนึ่งเพราะไม่ต้องการให้เขารู้สึกว่าถูกจ้องมองหรือกำลังถูกจับผิดเพียงแค่ต้องต่อสู้กับน้ำพริกหนุ่มเขาก็แย่มากแล้ว

“รอดตายไปอีกมื้อ”
พลับพลึงอมยิ้มกับคำปรารภของธนดล ธนดลลุกจากเก้าอี้เดินกลับห้อง แน่นอนว่าหน้าที่ต่อจากนี้ก็ควรเป็นหน้าที่ของภรรยาซึ่งพลับพลึงก็ไม่ได้เกี่ยงงอนอะไร ระหว่างที่เธอทำความสะอาดโต๊ะอาหารก็ปล่อยให้ธนดลใช้ห้องนอน ห้องน้ำไปกว่าเธอจะเสร็จงานในครัวเขาก็คงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพอดี

พลับพลึงเช็ดมือเมื่องานในครัวเสร็จเรียบร้อยแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเดินออกมานอกห้องครัวแล้วกลับไม่พบธนดลที่น่าจะยืนหรือนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก ทุกครั้งถ้าเขาเสร็จกิจเขาจะต้องออกมาข้างนอกนี่นา พลับพลึงยกมือขึ้นลูบต้นแขนเมื่ออากาศเยือกเย็นนั้นแตะผิวเนื้อชั่งใจอยู่พอสมควมกว่าจะเดินไปเคาะประตูห้อง

“คุณ”
พลับพลึงเรียกอยู่หลายครั้งกว่าธนดลจะมาเปิดประตู้ห้อง ดูเหมือนว่าอาการของเขาไม่ค่อยสู้ดี ใบหน้าค่อนข้างซีดเดินตัวงอๆ เซๆ เหมือนคนหมดแรง

“คุณจะใช้ห้องเหรอ” เสียงถามกลับเหมือนเสียงครางมากกว่า
“ค่ะ”
“ถ้างั้นผมจะออกไปข้างนอก”




ท้องฟ้ามืดมิดเมื่อไร้แสงไฟจากหัวเตียงแต่เสียงกุกกักปลุกคนที่หลับไหลขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มให้ลุกตื่น พลับพลึงมองที่นอนข้างๆ ยังคงว่างเปล่า แสดงว่าคืนนี้เขาคงไม่เข้ามานอนแน่แล้ว พลับพลึงหันมองตามเสียงที่ได้ยิน เสียงดังมาจากห้องน้ำ เสียงกดชักโครกดังเป็นระยะๆ และค่อนข้างถี่ขึ้นทุกทีพลอยทำให้ไม่สามารถข่มตาหลับจึงลุกเดินไปเคาะประตูเพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องน้ำไม่ต่ำกว่าห้าครั้งภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบนาที

“คุณดล”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากข้างในพลับพลึงจึงเคาะประตูถี่ขึ้นจนมีเสียงตอบรับอืออาเหมือนเสียงคราง ประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับร่างหนาที่โงนเงนแล้วล้มเข้าหาร่างบาง เธอรีบคว้าตัวไว้ด้วยความตกใจ
“คุณดล!”

พลับพลึงรีบพาร่างอ่อนแรงนั้นไปนั่งที่ขอบเตียง สีหน้าของเขาซีดเชียวจนน่าตกใจก่อนจะเอ่ยถามเสียงตื่น
“คุณเป็นอะไรคะ!”
“ผมท้องเสีย”

ท้องเสีย! ตายแล้ว...ท้องเสีย!
พลับพลึงเบิ่งตาตื่นพลันนึกถึงน้ำพริกหนุ่มขึ้นมา
“นี่คุณเข้าห้องน้ำไปกี่รอบแล้วเนี่ย”

“ไม่รู้ ผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่าผมเหนื่อยจัง”
“ถ้าอย่างนั้นนอนก่อนนะ เดี่ยวฉันจะไปหายามาให้”

ธนดลพยักหน้ารับช้าๆ แล้วเอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อนหวังว่าข้าศึกจะไม่โจมตีให้เขาต้องลากสังขารเข้าห้องน้ำอีกรอบ ไม่นานพลับพลึงก็กลับมาพร้อมยาฆ่าเชื้อจากตู้ยาด้านนอกโชคดีที่ที่นี่มียาสามัญประจำบ้านอยู่มาก นอกจากยาฆ่าเชื้อแล้วยังมีเกลือแร่อยู่หลายห่อจึงผสมน้ำใส่แก้วรีบนำเข้ามาให้ชายหนุ่มดื่ม

“ทานยาก่อนนะจะได้หยุดถ่าย อ้อ...แล้วนี่ก็เกลือแร่ดื่มหน่อยนะคะ”
ธนดลซึ่งนอนขมวดคิ้วด้วยเหตุจากยังรู้สึกเพลียอยู่มากและยังเกิดอาการมวนท้องอยู่เรื่อยๆ ปรือตาขึ้นมอง เขาผงกหัวขึ้นแต่ก็ต้องทิ้งน้ำหนักลงที่เดิมเมื่อไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง พลับพลึงรีบวางแก้วเกลือแร่ลงแล้วช่วยพยุงตัวพาลุกโดยให้พิงหลังกับหัวเตียงแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบยาฆ่าเชื้อพร้อมน้ำสะอาดมาป้อนตามด้วยน้ำเกลือแร่อีกหนึ่งแก้ว

“คงเพราะคุณทานน้ำพริกหนุ่มแน่ๆ คุณนี่นะทานไม่ได้ก็น่าจะบอก”
พลับพลึงบ่นให้ เมื่อเตือนความทรงจำก็เห็นได้ชัดว่า ตอนทานข้าวเมื่อตอนเย็นนั้นชายหนุ่มกับน้ำพริกดูจะไม่ถูกคอกันซักเท่าไหร่ ทุกครั้งที่เขาตักเข้าปากจะเกิดอาการแหยงๆ และกระอักกระอ่วนผิดจากเธอที่ค่อนข้างชอบ สำหรับคนอยู่ง่ายกินง่ายอย่างเธอนั้นแค่น้ำพริกหนุ่มถือว่ารสชาติอนุบาลมากแต่สำหรับหนุ่มไฮโซอย่างสามีจำเป็นคงไม่ใช่เรื่องปกตินัก สถาปนิกสาวถอนหายใจเมื่อคนที่กินยาเรียบร้อยแล้วไม่ตอบโต้แถมยังพยายามข่มตาหลับเธอจึงเอื้อมมือไปจะปิดไฟที่หัวเตียงแต่ยังไม่ทันได้เอื้อมมือถึงสวิทไฟชายหนุ่มก็เด้งตัวลุกขึ้นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว

“คุณดล! เป็นอะไร”
พลับพลึงเบิกตาที่จู่ๆ เขาก็ลุกพรวดทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังไร้เรี่ยวแรงอยู่เลย
“คุณปวดท้องอีกแล้วหรือ” พลับพลึงเดา

และไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบรับเธอจะรีบช่วยพยุงตัวเขาไปที่ห้องน้ำ นอกจากจะเป็นห่วงสวัสดิภาพของเขาแล้วยังกลัวว่าอะไรที่ไม่สมควรจะเรี่ยราดก่อนถึงห้องน้ำด้วยนะสิ

สาวผมสั้นยืนรออยู่หน้าห้องน้ำด้วยความกังวลไม่กล้าแม้จะผละตัวไปนั่งรอที่ขอบเตียงกลัวว่าคนข้างในห้องน้ำจะเกิดอันตราย เมื่อประตูห้องน้ำเปิดออกก็รีบเข้าไปช่วยพยุงพาเขามานั่งที่เตียงปากก็พึมพำถึงฤทธิ์ยาที่ทำไมยังไม่ออกฤทธิ์ยับยั้งอาการซะที
“เป็นไงบ้างคุณ ยังปวดท้องอยู่อีกหรือเปล่า”

“ดีขึ้น แต่เพลียจัง” เขาตอบเสียงเหนื่อยอ่อน

พลับพลึงจึงให้เขานอนพักผ่อนเสีย รอจนธนดลหลับสนิทจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ส่วนตัวเองก็ย้ายไปนั่งที่เก้าอี้หวายตัวยาวติดริมหน้าต่างโดยหยิบเสื้อกันหนาวมาสวมทับชุดนอนปิดไฟเรียบร้อยแล้วเอนหลังกับพนักเก้าอี้เพราะไม่อยากแย่งเตียงคนป่วยไม่นานก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกชาที่ไหล่อาจเพราะนอนท่าเดียวเป็นเวลานาน แต่สิ่งหนึ่งที่แปลกไปเห็นจะเป็นความอบอุ่นที่เพิ่มมากขึ้นจากเมื่อคืนบนตัวมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา ผ้าห่มจากคนป่วยนี่เอง พลับพลึงกระพริบตาเพื่อปรับสายตาจนรู้สึกตื่นเต็มตาถึงหันไปมองที่เตียง

คนป่วยหายไปไหนแล้ว
เธอลุกจากเก้าอี้หวายหันมองตามเสียงเปิดประตูห้องน้ำ
“คุณยังไม่หายท้องเสียอีกหรือคะ”

“หายแล้ว หยุดท้องเสียไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ ผมจะอาบน้ำน่ะแต่ยังไม่ทันได้อาบเลย” ชายหนุ่มบอก
“อ้าว ทำไมล่ะคะ”
ธนดลทำหน้าเซ็งแล้วถอนหายใจก่อนตอบ

“น้ำไม่ไหลนะสิ”
“อ้าว...แล้วกัน แล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะ ไม่เหลือซักนิดเลยหรือคะ”
“ใช่ แม้แต่จะล้างหน้าแปรงฟันยังไม่พอเลย”

พลับพลึงเริ่มเซ็งตามเธอทิ้งไหล่ลู่ลงไม่อยากคิดว่าเป็นความผิดของชายหนุ่มเสียทีเดียวหรอกว่าเป็นเพราะเขาเข้าห้องน้ำบ่อยจนทำให้น้ำหมดถัง
“ปั๊มน้ำก็เสียผมลงไปดูแล้วเมื่อกี้”

“แล้วจะทำไงดีล่ะ” พลับพลึงพึมพำ ครุ่นคิดหาทางออก เธอเผลอสบตาสามีแล้วเลิกคิ้วเมื่อเขามองเธอแปลกๆ
“ไม่...ไม่มีทาง” พลับพลึงชักสีหน้าปฏิเสธเมื่อรู้ความหมายในดวงตาคู่คม “ฉันไม่ใช่โสรยานะจะได้เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชาให้ไปตักน้ำขึ้นมาบนนี้” พลับพลึงโวยวายลั่นจนธนดลถอนหายใจส่ายหน้าแล้วบอกในสิ่งที่เขาคิด
“ผมไม่ได้จะให้คุณทำอย่างนั้นซักหน่อย”

“อ้าว...ก็ถ้าไม่ไปตักน้ำแล้วจะมีน้ำอาบได้ไงล่ะ”
“ก็ผมกำลังจะบอกคุณอยู่นี่ไงล่ะว่าเราคงต้องลงไปอาบน้ำที่ลำธารแล้วล่ะ”
พลับพลึงอ้าปากค้างกลอกตาไปมา เออนะ ทำไมเธอถึงนึกไม่ถึงข้อนี้นะ แล้วทำหน้าเก้อๆ
“อืม...ก็ไม่เลว”

อย่างน้อยก็ดีกว่าจับไม้สั้นไม้ยาวให้ไปหิ้วน้ำขึ้นมาไว้ใช้ล่ะ แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ กับพลับพลึงอยู่ดี แน่ล่ะ อากาศข้างนอกนั่นหนาวอย่าบอกใคร น้ำในลำธารก็เย็นราวกับน้ำในตู้เย็น จริงๆ แล้วนายส่วยกับน้อยไม่อยู่ไม่กี่วันเอง ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ก็อาจจะกลับ พลับพลึงจึงเสนอขึ้น

“จริงๆ เราไม่อาบก็ได้นะคุณ แค่วันเดียวเองไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“ซกมก” ธนดลว่าแล้วทำหน้าแหยง และนั่นก็มากพอที่จะทำให้พลับพลึงเกิดความอับอายจึงรีบแก้
“ฉันแค่ล้อเล่น ใครจะทำอย่างนั้นจริงๆ ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก ว่าแต่คุณเถอะ จะอาบน้ำในลำธารได้เหรอ”
ไฮโซซะขนาดนั้นคิดภาพไม่ออกเลยว่าจะอาบน้ำในกลางแจ้งแบบนั้นได้

“อยากรู้ก็ไปพร้อมกันสิ ไปคนเดียวมันอันตราย ที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคลก็จริงแต่ลำธารน่ะเป็นเส้นเขตแดนกับที่ดินของคนอื่นผมเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย หรือคุณจะดื่มกาแฟก่อนดูท่าทางยังง่วงอยู่เลยนี่”

พลับพลึงพยักหน้าก็ไม่เลวเพราะปกติเธอก็ดื่มกาแฟก่อนแปรงฟันประจำอยู่แล้ว แต่วันนี้คงจะต้องสงบปากสงบคำหน่อยล่ะเพราะกลัวกลิ่นปากจะทำงานมากเกินไป
“คุณปิ้งขนมปังได้นะ”

พลับพลึงพยักหน้า
“อ้อ ส่วนกาแฟของผม กาแฟดำน้ำตาลก้อนเดียว”

คราวนี้คนถูกสั่งตาขวางได้ทีใช้เธอใหญ่เลยนะพ่อคู้ณ แต่เอาเถอะ แค่เล็กๆ น้อยๆ คิดเสียว่าบริการคนป่วยท้องร่วงก็แล้วกัน
ระหว่างที่รอน้ำในกระติกไฟฟ้าเดือดพลับพลึงก็ทำการปิ้งขนมปัง นับว่าเครื่องปิ้งขนมปังมีมาตรฐานสมกับยี่ห้อที่ติดอยู่หน้าเครื่องเพราะกรอบเหลืองอ๋อยกำลังดีน่ารับประทานเชียว แต่ถ้าเช้านี้เปลี่ยนจากขนมปังทาแยมเป็นปาท่องโก๋ตัวใหญ่ๆ คงจะดีกว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดเสียส่วนมากอย่างเธอคุ้นเคยกับปาท่องโก๋มากกว่าขนมปังปิ้ง พลับพลึงยกจานขนมปังซึ่งจัดใส่จานจานละสองแผ่นออกไปก่อนแล้วกลับมาชงกาแฟซึ่งน้ำเดือดพอดี กลิ่นของกาแฟโชยออกไปจนถึงนอกชานบ้านก่อนแก้วกาแฟจะเดินทางไปถึงนิดหน่อย พลับพลึงเสิร์ฟกาแฟให้กับคนป่วยที่คิดว่าน่าจะหายเป็นปกติบ้างแล้วจึงเดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“คุณก็ดื่มกาแฟดำเหมือนกันหรือ” ธนดลเอ่ยถามเมื่อเห็นสีของกาแฟในแก้วของหญิงสาว
“ค่ะ แต่ของฉันหวานกว่าคุณนิดนึงเพราะน้ำตาลสองก้อน”

การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันหลายวันทำให้เกิดความคุ้นเคยโดยไม่รู้ตัว ความเคอะเขินในบางเรื่องหายไป ความไม่พอใจที่มีมากพอสมควรที่ติดตัวมาจากกรุงเทพฯ เองก็ค่อยๆ หายไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเริ่มคุ้นชินกับการอยู่ร่วมกันมากขึ้นจนทำให้หญิงสาวกล้าปล่อยคำถามที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวของชายหนุ่มออกไป

“ฉันถามจริงๆ เถอะ คุณไม่นึกเสียดายเงินยี่สิบห้าล้านที่ต้องจ่ายแทนลุงกับป้าฉันบ้างหรือไง”
“เสียดาย”

พลับพลึงชะงักมือที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นกำลังจะจรดริมฝีปาก เธอเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย อีกฝ่ายก็ตอบตรงไปตรงมาจนตั้งรับคำตอบไม่ทัน
“แต่มันก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า”
“หมายความว่าไงคะ” พลับพลึงอยากรู้เต็มที่

แน่นอนพ่อค้าอย่างเขาหากไม่มีผลกำไรคงไม่คิดจะลงทุน ยิ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลด้วยแล้วแต่แทนที่จะได้รับคำตอบกลับได้รับความเงียบกลับมาแทน เธอพยายามส่งสายตาอ้อนวอนให้เขาบอกกล่าวแต่ธนดลก็นิ่งเฉยราวกับรูปปั้นหิน
“ว่าไงคะ” พลับพลึงคะยั้นคะยอ

“คุณนี่ช่างซักจริง”
ธนดลซึ่งพลาดไปแล้วต่อว่านิดๆ ยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาด หากหญิงสาวรู้เรื่องนี้งานของเขาอาจจะพังพินาศ สิ่งที่คาดหวังก็จะล้มครืนยาวเป็นโดมิโน่

“ว่าแต่คุณเถอะ มาแต่งงานกับผมแบบนี้แฟนคุณทำใจได้หรือ”
พลับพลึงยกเข่าขึ้นกอดแนบปลายคางลงกับหัวเข่า

“ชัยไม่ใช่แฟนฉัน คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องฉันบอกคุณไปแล้วนี่ว่าชัยไม่ใช่แฟน”
และนั่นก็มากพอที่จะทำให้คนกำลังจิบกาแฟอารมณ์ดีขึ้น

“อีกอย่างชัยยังไม่รู้เรื่องที่ฉันแต่งงานกับคุณ ไม่ใช่แค่ชัยหรอก เพื่อนร่วมงานฉันทุกคนก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ เพราะสาเหตุนี้แหละที่ฉันไม่อยากให้คุณไปที่ทำงานฉัน ฉันคิดว่าเมื่อถึงเวลาที่ฉันหย่ากับคุณทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติได้” พลับพลึงบอกกล่าวต่อดวงตาสลดลงปนปลงๆ

“คุณแน่ใจหรือว่าพวกเขายังไม่รู้”
คำถามนั้นของธนดลทำให้พลับพลึงเงยหน้าขึ้น เธอเองก็ไม่แน่ใจนัก เพราะอย่างน้อยที่สุด สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ คำนำหน้าและสถานะของเธอ ที่ต่อไปนี้จะไม่ใช่ 'โสด' แต่เป็น 'ร้าง'

“อย่าเข้าใจผิดนะ ที่ผมถามเพราะผมอยากให้คุณทำใจไว้บ้าง ไม่แน่ว่า ผู้ชายของคุณอาจจะรับสถานะที่เปลี่ยนไปของคุณไม่ได้”
“ช่างเถอะ นั่นมันเป็นเรื่องของอนาคต” คนพยายามปลงให้ได้ถอนหายใจยาว
“คุณไม่ค่อยแคร์ผู้ชายของคุณเลยนะ”

“บอกแล้วไงว่าชัยไม่ใช่ผู้ชายของฉัน เราเป็นแค่เพื่อนกัน” พลับพลึงเริ่มโมโหที่ธนดลยั่วไม่เลิก “แต่ถ้าฉันจะแคร์ก็คงแคร์เพราะชัยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ฉันไม่ควรปิดบังเพื่อน”

'เพื่อน' ควรจะร่วมแบ่งปันความทุกข์ความสุข แต่กับเรื่องนี้ยอมรับว่ามันพูดยากเกินไป
“แต่ดูเหมือนเพื่อนของคุณจะไม่คิดกับคุณแค่เพื่อนนะ” ธนดลตั้งข้อสังเกตซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้รับค้อนวงใหญ่จากหญิงสาวจึงหัวเราะหึหึ “เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยคุณถึงไม่บอกเขา”

“คุณจะอยากรู้ไปทำไม คุณนี่น่าจะไปเป็นหมอดูหมอเดานะช่างสังเกตดีนัก”
“โชคดีที่คุณไม่ได้รักนายชัยอะไรนั่น เพราะไม่อย่างนั้นผมคงจะรู้สึกผิดมากกว่านี้”

พลับพลึงยิ้มขื่น ต๊าย...เขารู้สึกผิดกับการแต่งงานครั้งนี้ด้วยหรือ เขาน่าจะรู้สึกผิดตั้งแต่วันที่รู้ว่าต้องเปลี่ยนตัวเจ้าสาว
“แต่สำหรับเพื่อนของคุณหากรู้ความจริงเรื่องนี้คงยากที่จะทำใจ เพราะหากเรารักใครซักคนอย่างแท้จริง เราจะโหยหาความรักจากเขา จะทุรนทุรายยามที่ต้องห่างไกลกัน จะเจ็บปวดเมื่อถูกหักหลังหรือถูกมองด้วยสายตาห่างเหิน จะแคร์ความคิดของเขามากยามที่เรามีเรื่องปิดบัง คุณเองก็รู้เรื่องนี้ดีใช่มั้ยถึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเพื่อนของคุณ”

พลับพลึงหน้าสลด ใช่ ธนดลพูดเหมือนอ่านใจเธอได้เลยล่ะ จนอดหมั่นไส้ไม่ได้
“วิเคราะห์คนอื่นได้เก่งเหลือเกิน เก่งขนาดนี้ทำไมถึงต้องมานอนละเมอเพ้อพบหาใครอยู่ล่ะ ผู้หญิงที่คุณละเมอถึงบ่อยๆ คงจะสำคัญกับคุณมากสินะ เธอเป็นคนรักคุณหรือ แล้วทำไมพวกคุณไม่แต่งงานกันล่ะ หรือว่าเธอทิ้งคุณไป หว่า...เพอร์เฟคอย่างคุณยังโดนทิ้งหรือนี่ ช่างน่าสงสาร...”

คนอ่านใจเก่งถึงกับนิ่งไปเมื่อถูกแขวะอย่างนั้น พลับพลึงถือโอกาสที่เขานิ่งไปนั้นจะลุกหนีไปเพราะเบื่อหัวข้อสนทนานี้แล้วแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงพึมพำเจือความเจ็บปวด

“คนเราวิเคราะห์คนอื่นได้แต่ไม่เก่งพอจะวิเคราะห์ตัวเอง ผมจะไปอาบน้ำแล้วคุณจะไปพร้อมกันมั้ย” ธนดลลุกขึ้นบ้าง
ความเจ็บปวดที่ปนออกมาทางน้ำเสียงทำให้พลับพลึงหันไปมอง

“ว่าไงจะไปพร้อมผมหรือเปล่า” เขาถามย้ำ
“ไปสิ ก็คุณบอกเองว่าไปคนเดียวมันอันตราย”

เมื่อเดินไปเรื่อยๆ คนขี้สงสัยก็มีคำถามอีก
“คุณดล ฉันถามจริงๆ เถอะ คุณอกหักหรือเปล่าถึงประชดชีวิตด้วยการแต่งงานแบบนี้”
“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”

“นั่นๆไง ตอบแบบนี้อกหักชัวร์”

“อย่ามาสนใจชีวิตผมเลย เพราะผมมีสติมากพอที่จะจัดการชีวิตตัวเองได้ ว่าแต่คุณเถอะ ถ้าต้องการให้ผมช่วยเรื่องผู้ชายของคุณก็บอกผมแล้วกัน ผมสามารถช่วยคุณได้ อย่างน้อยก็บอกเขาได้ว่าเราไม่เคยมีอะไรกันและคงไม่มีวันจะมีด้วย”

พลับพลึงออกอาการปี๊ดกับน้ำเสียงยียวนนั้น ใช่ว่าเธออยากจะมีอะไรกับเขาแต่อาการมองด้วยหางตาแล้วยิ้มเยาะนั้นมันเหมือนดูถูกความเป็นผู้หญิงของเธอย่างร้ายกาจ
“ไม่ต้องหรอก ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ เรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้”

ธนดลเองก็ไม่เซ้าซี้ เขาเพียงเบ้ปากแล้วพยักหน้าทำนองว่า 'อวดเก่ง' จะเรียกว่าอวดเก่งหรือยังไม่รู้ใจตัวเองดีล่ะ เอาเถอะ จะเพราะอะไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้วนี่





แก้วมุกดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ย. 2557, 10:50:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ย. 2557, 10:50:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1318





<< พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 16   พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 18 >>
แว่นใส 14 พ.ย. 2557, 14:05:54 น.
ช่างทันกันนะ


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 15 พ.ย. 2557, 13:55:24 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account