ฝันรัก รอยอดีต
แต่เพียงวันแรกที่ 'นิมมาน' ได้เหยียบย่างเข้าไปที่บ้านทรงไทย เขาก็ได้บังเอิญช่วยชีวิตหญิงสาวซึ่งกำลังจะจมน้ำในสระบัว หากอะไรก็ไม่น่าประหลาดใจเท่าที่เธอเคยมีชีวิตอยู่เมื่อ ๘๐ ปีที่แล้วต่างหาก!

นี่ไม่ใช่ดวงจิตหรือวิญญาณ แต่เขารู้ดีว่าเจ้าหล่อนมีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับตน ซ้ำสตรีผู้นี้ยังขอให้เขาตามหาบิดาที่หายสาบสูญไปตั้งแต่ครั้งเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช

ทว่าเบาะแสเดียวที่นิมมานมีคือความฝัน และนับวันความจริงอันน่าหวาดหวั่นในอดีตก็ทำให้ชายหนุ่มค้นพบว่า...เขานั่นเองที่อาจเคยผูกพัน ผูกกรรมกับเธอ

น้องแช่งชักหักรักขาดสะบั้น
พี่หลับฝันตั้งจิตคิดแก้ไข
น้องหลบลี้หนีรักจากพี่ไป
ขอตามใจสมัครรักมิคลาดคลา
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๖



เดินออกมาจากวัดไม่ไกลเกินเหนื่อยก็ถึงถนนกรุงเกษม ถนนซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเลียบขนานไปกับคลองผดุงกรุงเกษม ปัจจุบันมีตึกแถวฝั่งหนึ่งของถนน ขณะที่อีกฟากฝั่งเป็นทางเดินพักผ่อนหย่อนใจริมคลอง

นิมมานหยุดยืนใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ที่ปลูกตลอดแนว มันแผ่กิ่งก้าน ทอดเงาให้ความร่มเย็นสู่ผิวน้ำ เห็นฟองอากาศของปลาซึ่งโผล่ขึ้นมาหายใจ

"น้ำคลองใสดีนะ คุณคงดีใจถ้าได้รู้ว่ากรมศิลปากรขึ้นทะเบียนอนุรักษ์คลองแห่งนี้เป็นโบราณสถาน"

"หรือคะ"

เธอหันไปมองเขาด้วยความชื่นชม เขามีความรู้รอบตัวมากพอสมควร เหมือนคุณพ่อที่มักบอกเล่าความเป็นไปต่างๆ ให้ลูกฟัง

"นั่นสะพานกษัตริย์ศึก สะพานที่รถข้ามมานี่คะ"

ชายหนุ่มมองตามสายตาเจ้าหล่อนไปยังสะพานปูนสีขาว มีทางเท้าและเสาทั้งสี่มุมยังคอสะพาน

"คุณรู้ไหมคะ สะพานนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ดิฉันยังมีชีวิตอยู่"

"ตอนนี้คุณก็ยังมีชีวิตอยู่"

หญิงสาวไม่ได้ใส่ใจเมื่อถูกขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงลงน้ำหนัก ภาพความคิดต่างๆ ย้อนกลับสู่ช่วงเวลาในอดีตที่ราวกับผันผ่านไปนานเหลือเกินในชีวิตตน

"ในหลวงรัชกาลที่เจ็ดโปรดเกล้าฯ ให้รื้อสะพานไม้เดิม และให้กรมนครราทร* ควบคุมการก่อสร้างสะพานให้กว้างขึ้นกว่าเดิมเพื่อความสะดวกในการสัญจร โดยมีช่างผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียนเป็นผู้ดำเนินการ

"ในหลวงรัชกาลที่เจ็ดทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามสะพานว่า 'สะพานกษัตริย์ศึก' เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามความเชื่อกันว่าถนนสายนี้เป็นเส้นทางเดินทัพของพระองค์"

นิมมานรับฟังข้อมูลเหล่านั้นอย่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ หากความผูกพันของคนรุ่นใหม่อย่างเขาที่มีต่อสถาบันกษัตริย์นั้นไม่อาจเทียบได้กับความรักและเทิดทูนในสถาบันฯ ของสตรีตรงหน้า เมื่อใดที่เอ่ยพระนาม ประณีตก็ยกมือพนมทุกครั้งไป

"คุณโชคดีกว่าผม ที่คุณได้มีชีวิตอยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทยถึงสามพระองค์"

หญิงสาวโคลงศีรษะพลางยิ้มบาง

"ใครบอกคุณเล่าคะ ดิฉันมีชีวิตอยู่ถึงสี่แผ่นดินต่างหาก"

ชายหนุ่มเบิกตาโพลงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เรียกรอยยิ้มขันจากผู้ที่เกิดก่อนเขามานานเหลือเกิน

"ดิฉันเกิดตรงกับพุทธศักราชสองพันสี่ร้อยห้าสิบห้า ในแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวค่ะ"

นิมมานหัวเราะแปร่งปร่า เขาเกาท้ายทอยขัดเขินราวกับไปเป็นเด็กชายช่างเขินอาย จะไม่ให้เขารู้สึกเก้อกระดากได้อย่างไรเมื่อได้ตระหนักว่าตนกำลังพูดคุยกับหญิงสาวสวยคนหนึ่ง หากเจ้าหล่อนอาวุโสกว่าเขาตั้งเจ็ดสิบกว่าปี

.........................

"เอ๋ยหรือครับ คือว่า..."

"จวนถึงแล้วหรือคะ ถ้านนท์มาแล้วอยู่คุยกับแม่ก่อนนะ เอ๋ยขึ้นมาอาบน้ำพอดี วันนี้เอ๋ยช่วยแม่ทำหมี่กรอบของโปรดนนท์เองเชียวนา"

นิมมานกุมขมับเมื่อได้ฟังว่าคนรักกระตือรือร้นจะต้อนรับเขามากเพียงไหน หากเขาไม่สามารถละทิ้งผู้หญิงอีกคนที่มีเรื่องให้เศร้าโศกเสียใจในชีวิตได้ตอนนี้ เขาเป็นห่วงประณีต แม้เธอจะฝืนแย้มยิ้มบางให้เขา แต่ดวงตาคู่งามกลับเศร้าลึกยามเจ้าตัวเหม่อลอย

"เอ๋ย ผมต้องขอโทษคุณและคุณแม่มากๆ เย็นนี้ผมไปทานข้าวกับคุณไม่ได้จริงๆ ไว้โอกาสหน้านะครับ ผมจะเป็นเจ้ามือไปรับคุณกับคุณพ่อคุณแม่ออกไปทานข้าวด้วยกัน"

ชายหนุ่มไม่อาจรู้ได้เลยว่าหญิงสาวกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่นขณะรับฟังด้วยหัวใจเจียนแหลกสลาย ความสุขพังทลาย

เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้ เขาเปลี่ยนไปจริงๆ นั่นแล เธอกะพริบตาขับไล่หยาดน้ำตา แม้จะไพล่นึกถึงผู้หญิงแปลกหน้าที่อยู่ร่วมห้องกับนิมมานคนนั้น หากก็ไม่อาจกล่าวโทษเจ้าหล่อนได้ฝ่ายเดียว นอกจากว่าเขาหมดรักเธอแล้ว หรือไม่...เขาก็ไม่เคยรักเธอเลย

"ไม่ต้องหรอกค่ะ"

"เอ๋ย..."

"เอ๋ยหมายถึงไม่เป็นไร ถ้านนท์มีธุระก็ไปทำเถอะค่ะ เอ๋ยเข้าใจ" จันทร์เจ้าแทบไม่อาจกลั้นสะอื้น

"ขอบคุณครับ"

นิมมานกดตัดสายพลางผ่อนลมหายใจ เขาเข้าใจความรู้สึกจันทร์เจ้า ไม่ใช่ไม่รู้ไม่เห็นจนเพื่อนสนิทตนต้องคอยบอก หากสิ่งที่นิมมานกลับไม่เข้าใจนักคือความรู้สึกตนเองที่ไม่เคยคิดจะแก้ไข แก้ความเข้าใจใดๆ ของคนรักเลย เขาบอกตัวเองว่านั่นไม่จำเป็น ตราบใดที่เขาและประณีตบริสุทธิ์ใจต่อกัน

ชายหนุ่มหันมองบานประตูห้องนอนซึ่งปิดสนิท แล้วความคิดใดๆ ก่อนหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยเรื่องของผู้หญิงที่อยู่ในห้องเท่านั้น เขามองโทรศัพท์ข้างโซฟาอย่างรอคอยเวลา กระทั่งเสียงเรียกเข้าร้องบอกว่าสิ่งที่ตนรอคอยมาถึงแล้วกระมัง

"ครับ จะลงไปเดี๋ยวนี้"

นิมมานคว้าคีย์การ์ดห้องพักตนติดมือไป ก่อนเขาจะลงลิฟต์ไปยังชั้นล็อบบี้ของคอนโดมิเนียม แล้วจึงได้พบพนักงานส่งพิซซ่ายืนรออยู่ข้างโต๊ะเคาน์เตอร์ของเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์

ชายหนุ่มส่งธนบัตรให้พลางยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงสีหน้าของหญิงสาวจากอดีต เธอคงจ้องมองด้วยความสนใจใคร่รู้ดังเคย และเขาก็มีเรื่องบอกเล่าให้เธอลืมทุกข์ไปได้บ้าง

.........................

ประณีตปาดน้ำตาเงียบๆ หลังจมอยู่กับความคิด ความรู้สึกอันหลากหลายราวสายน้ำเชี่ยวกรากของตน และสายน้ำนั้นก็พัดพาให้ใจกายอ่อนแรง เธอรู้สึกเหมือนคนกำลังจะจมน้ำอีกครั้ง ทว่าในตอนที่เธอตัดสินใจยุติการดิ้นรนนั้นกลับมีมือคู่หนึ่งฉุดรั้งตนขึ้นมา

"นิด ออกมาดูอะไรนี่เร็ว"

เสียงเรียกและเสียงเคาะประตูช่วยดึงสติเธอกลับมา หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนทั้งใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา เขาช่างขัดความเศร้าหมองของเธอได้ถูกเวลาเสียจริง

ประณีตล้างและเช็ดหน้าให้สดใสด้วยไม่อยากให้เขาห่วงกังวลกับเธอ ก่อนจะออกไปพบชายหนุ่มกำลังจัดโต๊ะ บนโต๊ะตรงกลางมีกล่องกระดาษวางอยู่ เขาหันมายิ้มเมื่อเห็นเธอ

"อะไรหรือคะ"

"ลองเปิดดูสิครับ"

เธอก้าวไปใกล้ตามคำบอก กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นขนมปังอบคงมีที่มาจากเจ้ากล่องนี้นั่นเอง หญิงสาวพลอยยิ้มบางไปกับท่าทางมีลับลมคมในของเขา ขณะเปิดฝากล่องสี่เหลี่ยมออก

ขนมปังอบทรงกลมขนาดใหญ่ โรยหน้าด้วยเครื่องเคียงไม่คุ้นตาสร้างความสนเท่ห์แก่ผู้ไม่เคยพบเห็น ทว่ากลิ่นหอมของมันยวนใจ เธอหันไปเลิกคิ้วอย่างขอคำอธิบายจากผู้ที่สรรหาสิ่งต่างๆ มาทำให้เธอประหลาดใจได้อยู่ร่ำไป

"เขาเรียกว่าพิซซ่าครับ เป็นอาหารอิตาเลียน ผมอยากให้นิดลองอะไรแปลกใหม่ดูบ้าง"

"เกรงว่าจะแปลกจนดิฉันทานไม่ได้"

"ถ้าอย่างนั้นยิ่งต้องลองครับ แล้วจะติดใจ"

นิมมานเลื่อนเก้าอี้ให้หญิงสาว ก่อนเขาจะนั่งลงตรงข้ามและดึงพิซซ่าชิ้นหนึ่งวางบนจานตรงหน้าเธอ

ประณีตหยิบมีดกับส้อมที่วางอยู่ข้างมืออย่างลังเล เธอพอรู้วิธีการรับประทานแบบฝรั่งด้วยได้รับการอบรมมา เธอจึงใช้มีดหั่นอาหารชื่อแปลกที่เขาเรียกเป็นชิ้นพอดีคำ ก่อนใช้ส้อมส่งเข้าปากลิ้มรสชาติของมัน

"อร่อยค่ะ แต่ไม่คุ้นลิ้นเท่าไร"

ชายหนุ่มผงกศีรษะเข้าใจ เขาหยิบพิซซ่าชิ้นหนึ่งสำหรับตัวเอง ท่าทางไม่เร่งร้อนนั้นสร้างความแปลกใจให้แก่หญิงสาวที่ล่วงรู้ว่าเขามีนัดเย็นวันนี้

"คุณมีธุระไม่ใช่หรือคะ ดิฉันอยู่ลำพังได้ดอก"

นิมมานนิ่วหน้าด้วยความคลางแคลง เขาหรี่ตาสำรวจสุภาพสตรีตรงหน้า หากเจ้าหล่อนเสทานต่อไปโดยไม่สบตา

"นิดแอบฟังผมหรือ"

ประณีตสำลักไอเมื่อถูกกล่าวหา ใบหน้าสวยหวานแดงระเรื่อ เธอช้อนมองสบตาเขาด้วยแววตาขุ่นเคือง

"ดิฉันบังเอิญได้ยินหรอกค่ะ ไม่ได้มีเจตนาแอบฟังคุณ"

"ผมล้อเล่นครับ นิดอย่าโกรธซี" เขาทอดเสียงอ่อนได้น่าฟัง "ผมไม่มีความลับกับนิดเสียหน่อย แล้วธุระก็ไม่สำคัญหรอกครับ"

"ธุระกับคนรัก ไม่สำคัญด้วยหรือคะ"

นิมมานหลุบตามองจานของตน คำตอบของเขาอาจฟังดูไม่ดีนักในมุมมองของเธอ แต่มันคือความจริงอย่างที่สุดสำหรับเขา

"ตอนนี้ผมนึกถึงแต่เรื่องนิดเป็นสำคัญ ไม่มีใครหรือเรื่องใดสำคัญกว่านิด ตั้งแต่โชคชะตาทำให้ผมรู้จักคุณ ฝันถึงเรื่องราวในอดีตของคุณ ผมก็คิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ผมจะต้องช่วยเหลือคุณ"

ราวกับคำพูดหนักแน่นของเขาเพิ่มเติมคุณค่าที่เคยขาดหายเพราะใครบางคนแก่ใจตน ใครบางคนที่มองไม่เห็นคุณค่า ไม่รักษาสัตย์ และให้ค่าหญิงอื่นเทียมเท่าเธอ แต่ไม่ใช่กับบุรุษผู้นี้ที่ดีต่อเธอเหลือเกิน

ประณีตลืมนึกถึงผู้หญิงอีกคนที่ถูกลดความสำคัญลงดังเช่นครั้งหนึ่งซึ่งเธอเคยประสบ เธอยึดถือความสำคัญที่ตนได้รับเป็นหลักเท่านั้น แล้วหัวใจที่เคยคิดว่าตายด้านไปแล้วเหมือนดินแห้งระแหงก็ชุ่มชื้นขึ้นมาได้ด้วยน้ำใจ

...........................

หลังนิมมานนึกได้เมื่อมื้อเย็นผ่านพ้นไปว่าตนเคยเก็บหนังสือนิยายที่แม่ลืมไว้ในห้องทำงาน เขาก็ไม่รอช้าที่จะหามันมาให้หญิงสาวเพื่อฆ่าเวลาอันน่าเบื่อระหว่างอยู่ที่นี่ เขามองหนังสือสามเล่มในมือ ภาวนาให้เธอชอบ และบางทีหนังสือเหล่านี้อาจช่วยให้ประณีตปรับตัวเข้ากับสังคมสมัยนี้ก็เป็นได้

ชายหนุ่มชะงักฝีเท้าขณะกำลังก้าวออกมา ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นงดงามราวนางในวรรณคดี ทว่าเธอจำแลงแปลงกายมาอยู่บนตึกสูงระฟ้า ภายในห้องกระจกปรับอากาศ หาใช่สวรรค์บนดินแต่อย่างใด

ประณีตนั่งเก็บขาเรียบร้อยบนเก้าอี้ยาว บนโต๊ะตรงหน้ามีจานใส่มังคุดที่ปอกไว้สวยงามราวดอกไม้ตูม และเจ้าหล่อนยังคงปอกต่อไปด้วยสองมือเปล่าอย่างชำนิชำนาญ

เธอคงรู้สึกได้ถึงแสงตาที่ทอดมอง หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มอ่อน นิมมานพลอยรู้สึกลานตากับความงดงาม อ่อนหวาน อย่างที่หาได้ยากยิ่งจากผู้หญิงสมัยนี้ เขายกหนังสือชูขึ้นเล็กน้อยอย่างเก้อกระดากที่ถูกจับได้ ก่อนจะเดินไปนั่งเว้นระยะห่างจากเธอ

"หนังสืออะไรหรือคะ" ประณีตถามด้วยความใคร่รู้

ชายหนุ่มขยับไปใกล้มากขึ้น เขาพลิกหน้าปกหนังสือให้เธอดู แล้วจึงเปิดหน้าในยื่นให้ดูใกล้

"หนังสือนิยายของแม่น่ะครับ คิดว่าน่าจะพอแก้เบื่อได้ และเผื่อนิดจะได้รู้จักวิถีชีวิต ความคิดของผู้คนสมัยนี้มากขึ้น"

หญิงสาวจ้องมองตัวอักษรพิมพ์ติดกันเป็นพรืดด้วยดวงตาเป็นประกาย ก่อนดอกไม้แห่งความยินดีที่บานในใจจะค่อยเหี่ยวแห้งลงเมื่อนึกถึงคำสั่งห้ามของบิดา

"แต่คุณพ่อห้ามนัก ไม่ให้ดิฉันอ่านนิยายประโลมโลก"

"หรือครับ ทำไมล่ะ"

"คงเกรงว่าดิฉันจะเสียคนมังคะ" เธอตอบพลางแย้มยิ้มเศร้า "แต่ตอนนี้...ดิฉันคงไม่ใช่ลูกสาวแสนดีของคุณพ่ออีกแล้ว หนังสืออาจจะช่วยให้ฉันไม่กลายเป็นจำอวดต่อหน้าผู้คน"

"ผมไม่เคยคิดว่าคุณเป็นตัวตลกเลยนิด"

"เพราะคุณช่างดีกับดิฉันอย่างไรเล่าคะ แต่คนอื่นนั้นคิด ดิฉันรู้ตัวตั้งแต่วันแรกที่คุณพามาที่นี่ สายตาผู้คนภายนอกมองดิฉันอย่างไร ดิฉันทราบดี"

นิมมานมองตามแผ่นหลังของหญิงสาวที่ลุกไปล้างมือหลังจบคำพูดอันเข้มแข็งนั้น เธอไม่เคยแสดงให้เขาเห็นว่าแยแสสายตาใคร หากลึกลงไปในใจต้องกดเก็บความรู้สึกแปลกแยกไว้ เขาไม่เคยนึกถึงกระทั่งเจ้าหล่อนเอ่ยออกมา

เขาดึงสายตากลับมายังมังคุดนับสิบลูกที่ปอกอย่างงดงามเรียงไว้ในจาน ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมาพิจารณาใกล้ จุกของผลมังคุดกลายเป็นก้านจับเล็กๆ พอให้ไม่เปื้อนมือยามรับประทาน

"ดิฉันปอกให้คุณค่ะ"

ชายหนุ่มผินมองร่างบางที่เดินกลับมานั่งลงอีกครั้ง เขาหมุนมองเจ้ามังคุดในมือด้วยความอิ่มเอมใจ

"คุณปอกยังไงนะ แม่เคยบอกผมเหมือนกัน แต่ก็เลือนไปหมดแล้ว"

"แค่กดใต้ลูกให้จมลงไป แล้วบิเปลือกออกก็ได้แล้วค่ะ"

"ฟังดูง่ายจัง แต่ผมทำไม่ได้หรอก เชื่อไหม"

"ทานเถอะค่ะ ประเดี๋ยวจะช้ำเสียก่อน" ประณีตบอกอย่างเห็นขัน

นิมมานหัวเราะในลำคอก่อนลิ้มรสของมันตามเจตนาของผู้ที่เอาใจใส่ดูแล เขาปรายตามองหญิงสาวที่พลิกเปิดหนังสือด้วยความสนใจ ดูท่าว่าคืนนี้เขาคงต้องโทรหามารดาเสียแล้ว บางทีท่านอาจมีคำแนะนำก็เป็นได้ว่าเรื่องใดน่าสนุกหรือผู้หญิงนิยมอ่านกัน

.....................

รถยนต์ยี่ห้อออสตินสีแดงซึ่งจอดอยู่ภายในรั้วบ้านเรียกสายตาแปลกใจระคนขุ่นข้องจากหลวงชาญยุทธกิจ นายทหารใหญ่ส่งหมวกหม้อตาลให้บุรุษรับใช้ที่ทำหน้าที่ทั้งพลขับและคนติดตามไปทุกที่ หลวงชาญยุทธกิจนิ่วหน้าเมื่อเห็นหลังของสาวใช้ไวๆ เขาจึงเรียกไว้ด้วยน้ำเสียงแข็งเป็นการเป็นงาน

"ศรีชุม!"

ร่างอวบอ้วนที่กำลังจะรีบไปรายงานนายสาวของตนว่าบิดากลับมาแล้วจำต้องหยุดชะงัก หันกลับมาขานรับผู้เป็นใหญ่

"เจ้าขา"

"แม่นิดจะออกไปไหน ใกล้สอบแล้วไม่ใช่รึ"

ศรีชุมลอบยู่หน้าให้กับน้ำเสียงแข็งๆ ซึ่งสะดุ้งสะเทือนใจคนฟังได้ทุกครั้งไป พักนี้คุณหลวงอารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก เรื่องผิดหูผิดตาเพียงนิดก็ทำให้ท่านโกรธปึงปัง

"ไม่ได้ไปไหนเจ้าค่ะ คุณอารีเธอมาอ่านหนังสือด้วย"

"ใครมาส่ง"

"เอ่อ พี่ชายเธอมาส่งเจ้าค่ะ"

ไม่ทันขาดคำ ผู้เป็นเจ้านายก็ก้าวยาวผ่านสาวใช้ไปยังสนามหลังบ้านซึ่งร่มรื่นด้วยเงาไม้ใหญ่ บนศาลาสี่เหลี่ยมทรงไทยซึ่งยกพื้นสูง มีโต๊ะเตี้ยตั้งกึ่งกลางนั้นล้อมไปด้วยหนุ่มสาว

แม่ประณีต...ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาโตเป็นสาวเสียแล้ว พ่อไม่ทันสังเกต ยังเห็นเป็นเด็กอยู่นั่นเอง หากชายอื่นคงมองเห็น พ่อหนุ่มนั้นจึงได้ตามติด แม้กระทั่งมานั่งรอน้องสาวอ่านหนังสือก็ตาม

ศรีชุมซึ่งตามมาเงียบๆ แอบโล่งใจเมื่อหลวงชาญยุทธกิจเพียงหยุดสังเกตการณ์อยู่ข้างตัวบ้าน ห่างออกมาพอสมควร

"คุณหลวงสั่งห้ามคุณนิดออกไปไหน คุณอารีเธอเลยมาอ่านหนังสือถึงที่นี่น่ะค่ะ"

"เป็นความคิดอารีแน่รึ"

ดวงตาคมกริบตวัดมองสาวใช้ตัวดี อย่าให้เขารู้เทียวว่ามีคนของเราริอ่านทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้อีกฝ่ายมองลูกสาวเขาเสื่อมเสียได้

"ไป ไปดูคุณนิดว่าเธอต้องการอะไร"

สายตาเฉียบคมคู่นั้นราวกับคมมีดกรีดคนมองได้เป็นริ้วๆ จนล่วงรู้ถึงความลับข้างใน ที่ท่านเอ่ยมาไม่ผิดจากเค้าความจริงเท่าใดนัก เมื่อเธอคอยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูของตนกับบุตรชายเจ้าสัวใหญ่อย่างเห็นว่าเหมาะสม คู่ควรกันที่สุด

ศรีชุมลอบผ่อนลมหายใจโล่งอกหลังนายทหารใหญ่หันกลับขึ้นเรือน เธอกุลีกุจอหาขนมไปรับรองแขก ขืนช้านักก็เกรงว่าหากหลวงชาญยุทธกิจมองมาจากชั้นบนไม่เห็นตนอยู่เฝ้าบุตรสาวท่าน ไม่แคล้วระเบิดมาตกที่อีศรีชุมอีกตามเคย

"ว้าย! ตาเถรยายชี"

"ตาเถรอะไรเล่านังอ่อน เสื้อข้าเปียกหมดแล้ว หน็อย คนยิ่งรีบๆ อยู่" ศรีชุมโวยพลางดึงอกเสื้อที่เปียกกาแฟร้อนออกห่างตัว

"แกนั่นแหละมาชนข้า ดีเท่าไรถ้วยชามไม่แตกน่ะเฮอะ"

"โว้ย! ไม่คุยกับเอ็งแล้ว เสียเวลา"

คนรีบได้แต่เดินลงส้นจากไป หากต้องเปลี่ยนเป้าหมายจากโรงครัวข้างตัวบ้านไปเปลี่ยนเสื้อซึ่งเปื้อนกาแฟเป็นคราบน้ำตาลยังเรือนพักคนงานแทน

.................................

"เฮ้อ ง่วงแล้วนิด แม่ศรีของเธอไปเอาขนมถึงไหน ฉันอยู่เฉยทีไรตาจะปิดทุกที" อารีบ่นโอดหลังเพิ่งเริ่มอ่านหนังสือไปได้ไม่ทันไร

"เห็นแก่กิน น่าเกลียดจริงอารี" พี่ชายตำหนิ "และถ้าอิ่มเมื่อไรล่ะก็ พี่รู้ว่าเธอจะต้องนำมาเป็นข้ออ้างว่าง่วงอีก"

"น้องล่ะเบื่อพี่เอื้อจริงๆ ไม่น่าให้ตามมาขัดคอเลย"

ประณีตมองน้องสาวกระเง้ากระงอดใส่พี่ชายแล้วก็ต้องกลั้นยิ้ม เธอนึกรักพี่น้องสองคนนี้ที่ช่างสร้างสีสัน รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้แก่ชีวิตจืดชืดของตน

"ฉันไปตามศรีชุมให้จ้ะ"

เจ้าบ้านอาสาพลางทำท่าจะลุกไป หากไม่มีมืออบอุ่นแตะรั้งศอกตน

"ไม่ต้องดอกหนูนิด"

เอื้อกวาดตามองทั่วดวงหน้าของหญิงสาวซึ่งชะงักไป ใบหน้านั้นช่างผุดผาด อ่อนหวาน จนเขาเผลอมองได้อย่างไม่รู้เบื่อ กระทั่งเสียงกระแอมของอารีเรียกสติชายหนุ่มกลับมา

"เอ้อ หนูนิดไม่ต้องตามใจอารีมากดอก ประเดี๋ยวจะเคยตัว ไปเรียนที่สิงคโปร์เมื่อไรจะไม่สำเร็จเอา" เอื้อเสเอ่ยแก้เก้อ

ประณีตหันมองเพื่อนสนิทที่เชิดหน้าอย่างยอมรับคำท้าทายแกมสบประมาทจากพี่ชาย ไม่คิดเลยว่าแผนชีวิตที่เคยวาดฝันกันไว้จะมาถึงทางแยกจากกันแล้วจริงๆ

"อารีจะไปเรียนต่อที่สิงคโปร์จริงหรือ"

"ใช่นิด ฉันอยากให้นิดไปกับฉัน ถ้านิดไปด้วยฉันก็ไม่มีอะไรต้องห่วงทางนี้"

"โธ่ อารี ฉันจะไปได้อย่างไร" ประณีตเอ่ยอย่างอ่อนใจ

"ทำไมจะไม่ได้ ดูอย่างฉันซีนิด เธอจะพาศรีชุมไปด้วยก็ได้"

หญิงสาวสั่นศีรษะอย่างรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่สุด คุณพ่อไม่มีทางยอมให้เธอไปอยู่ไกลหูไกลตาถึงเพียงนั้น และเธอก็นึกไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่อย่างไร หากไม่มีอ้อมแขนพ่อคุ้มภัย

เอื้อขึงตาปรามน้องสาวเมื่อเห็นสตรีที่ตนพึงใจมีสีหน้าเศร้าหมองลง อันที่จริงเขาก็ไม่อยากให้เธอตามอารีไป เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเจ้าหล่อนซึ่งขยับมาใกล้ชิดคงยิ่งห่างออกไป

"แล้วหนูนิดคิดไว้หรือยังคะว่าจะเรียนต่อหรือไม่"

"ฉันคงแล้วแต่คุณพ่อค่ะ บางทีอาจจะย้ายตามไปดูแลท่านก็ได้"

"คุณพ่อของนิดจะย้ายหรือ" อารีถามขึ้นบ้าง

"ไม่รู้ซีจ๊ะ ฉันก็พูดเผื่อไว้อย่างนั้นเอง"

หนุ่มสาวซักถามถึงอนาคตของกันและกันได้เพียงแค่นั้น สาวใช้ซึ่งหายไปนานก็กลับมาพร้อมจานใส่ขนมจันอับ** ประกอบด้วยตังเม ถั่วตัด งาตัด และวุ้นแท่ง

"คุณนิดคะ คุณหลวงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ" ศรีชุมกระซิบบอกนายสาว หากไม่พ้นหูของอารี

"ถ้าอย่างนั้นเราไปไหว้คุณพ่อนิดเถอะ"

ประณีตพยักหน้ารับคำชวนของเพื่อน ก่อนทั้งหมดจะลุกตามกันไป ทิ้งให้นังศรีชุมได้แต่กำมือแน่นแทบทึ้งผมตัวเอง หวังว่าป่านนี้หลวงชาญยุทธกิจจะอารมณ์ดีขึ้นบ้างกระมัง

สาวใช้ตามไปห่างๆ กระทั่งพบแขกทั้งสองกลับออกมาจากห้องนั่งเล่นก่อน คงเหลือแต่คุณหนูของตนอยู่กับผู้เป็นพ่อลำพัง

"สงสัยคุณหลวงจะมีงานไหว้วานคุณนิดมังคะ" ศรีชุมเสเอ่ยเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาต่อหน้าแขก

เอื้อผงกศีรษะให้น้องสาวออกไปรอยังศาลาทรงไทยด้วยกัน ก่อนร่างอวบของสาวใช้จะแอบอยู่หลังประตูห้องนั่งเล่นเพื่อรอคุณหนูของตน

"นิดรู้ไหม ทำไมพ่อเรียกให้อยู่ก่อน" เสียงถามเข้มงวดดังขึ้น

ประณีตได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ เธอนิ่วหน้าขณะคิดทบทวนว่าตนทำสิ่งใดให้บิดาไม่พอใจ

"เพราะลูกชวนอารีมาที่นี่หรือคะ" บุตรสาวตอบลังเล

หลวงชาญยุทธกิจสั่นศีรษะ ท่านหันกลับมาจากกรอบหน้าต่างซึ่งมองออกไปเห็นทิวทัศน์ร่มรื่นข้างหลังบ้าน รวมทั้งศาลาพักผ่อนนั้นเช่นกัน

"ลูกจะชวนอารีหรือเพื่อนคนไหนมาที่บ้านย่อมได้ แต่กับเพื่อนชายหรือพี่ชายของเพื่อน พ่อว่าไม่งามนักที่เขาจะเข้านอกออกในตามแต่ใจ ยิ่งมาจับมือถือแขนเจ้าของถึงบ้าน" ชายชาติทหารเอ่ยลอดไรฟันเสียงเข้มท้ายประโยค

"คุณพ่อ..."

ประณีตเงยหน้าสบตาบิดาทั้งน้ำตาคลอ เธอไม่ได้ทำตัวดังที่ท่านกล่าวหา พี่ชายของอารีเพียงแค่แตะแขนปรามไม่ให้เธอตามใจน้องสาวของเขาเท่านั้น หาใช่ฉันชู้สาวแต่อย่างใด

"พ่อรู้ว่าลูกไม่ได้คิดถึงเพียงนั้น แต่ถ้ามีใครมาเห็น แม่นิดนั่นแหละจะถูกมองไม่ดี" หลวงชาญยุทธกิจเตือนเสียงอ่อนลงหลังเห็นน้ำตาของบุตรสาว

ประณีตกลืนก้อนสะอื้นลงไปเงียบๆ เธอสูดหายใจลึกอย่างพยายามข่มความน้อยเนื้อต่ำใจ กระนั้นเธอก็ทราบดีว่าท่านเตือนตนด้วยความรักและหวังดี

"ค่ะ ลูกจะไม่ชวนอารีมาที่นี่อีก พบกันแต่เพียงในรั้วโรงเรียนเท่านั้น"

ผู้เป็นพ่อลูบเรือนผมสั้นของบุตรสาวที่เชื่อฟัง ไม่เคยมีสักครั้งที่เจ้าหล่อนจะทำให้พ่อหนักใจ โดยเฉพาะในเวลานี้ด้วยแล้วที่นายทหารมีเรื่องราชการให้คิดจนเคร่งเครียดมากพอ

"ไปอ่านหนังสือเถอะลูก"

ประณีตลุกจากมาพบศรีชุมรออยู่ภายนอก แววตาเห็นอกเห็นใจที่มองมาบ่งบอกว่าคนรอได้ยินความข้างต้นทั้งหมดแล้ว

หญิงสาวปาดน้ำตาเงียบๆ ขณะกลับออกไปหาเพื่อน ฝืนปั้นยิ้มสดใสให้อารีราวไม่มีเรื่องขุ่นข้องหมองใจ ทว่าตลอดบ่ายวันนั้นและวันต่อๆ ไป ตนกลับต้องพยายามหลีกเลี่ยงจะพบเจอหรือสนทนากับพี่ชายเพื่อนสนิทดังที่ได้ให้สัญญากับบิดาไว้ทุกคำ

..........................

บทนี้มายาวทั้งอดีตปัจจุบันเลยค่ะ คงไม่งงกันน้า
เหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มเข้าใกล้สาเหตุที่ประณีตต้องมาอยู่ในภพนี้ขึ้นเรื่อยๆ
หวังว่าคนอ่านจะชอบและลุ้นตามนะคะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ต.ค. 2557, 16:18:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ต.ค. 2557, 16:18:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1360





<< บทที่ ๕   บทที่ ๗ >>
แว่นใส 27 ต.ค. 2557, 19:53:38 น.
วัวพันหลักไหมเนี่ย


ภาพิมล_พิมลภา 31 ต.ค. 2557, 15:44:58 น.
สงสัยจะเป็นอย่างนั้นเลยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account