คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกที่ 94 ลูกสาวของพ่อ



สิ้นรักมองไปยังป้าย ‘รีสอร์ทรอรัก’ตรงทางเข้า
ที่แม้จะเก่าแต่แฝงไปด้วยมนต์ขลังของอดีตในวันวาน
ก่อนจะกวาดตามองไปยังเรือนหลายหลังที่ปลูกเรียงรายท่ามกลางหมู่แมกไม้
และเนินสูงต่ำ

หากหนึ่งในนั้น มีหลังหนึ่งซึ่งตั้งเด่นตระหง่าน
บ้านหลังงามริมทะเลบัว ที่เธอเคยใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
สถานที่ที่ตอกย้ำถึงภาพเด็กหญิงสิ้นรักกับพ่อบัน

สองพ่อลูกที่เคยอยู่ด้วยกันณ สถานที่แห่งนี้…

และแม้ในวันนี้เธอจะกลายเป็นใครหรืออะไรก็ตาม
จะเป็น สิ้นรัก ลือสื่อสกุล หญิงสาวหน้าตาธรรมดา
ผู้ไม่มีชื่อปรากฏบนหน้้านิตยสารพร้อมบทสัมภาษณ์
ที่สังคมคอยเฝ้าจับตามองและมีนามสกุลไม่เป็นข่าว

หรือจะเป็น สิ้นรัก ยุรยวรวงศ์ ซึ่งเป็นนามสกุลคนดัง…

จะเป็นเด็กสาวธรรมดาที่เรียนได้ที่โหล่ ผู้เคยเอาแต่สนุกสนานอยู่กับดอกบัว
ท้องทุ่ง และกลิ่นโคลนสาบควาย

หรือจะเป็นสตรีที่สังคมให้ความสนใจและยอมรับนับหน้าถือตา…

แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร…เธอก็มิเคยลืมภาพเด็กบ้านนากับชีวิตเรียบง่ายในอดีต…

เสียงปี่ซังข้าวในวันวานแว่วดังผ่านเข้ามา...ปี่ซังข้าวของพ่อ…


ชีวิตเธอมีบ้านหลายที่เหลือเกิน…
แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่เธอจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าบ้านได้เท่ากับ ‘ที่นี่’

แม้ที่นี่จะไม่ใช่สถานที่ที่เธอเกิด แต่ก็เป็นที่ที่เธอเติบโต

…เด็กสาวที่เติบโตมาด้วยมือพ่ออย่างเธอ…

พ่อในภาพวันวานช่างขยันและตรากตรำทำงานหนัก อดทนสู้ สร้างเนื้อสร้างตัว
ไม่เคยท้อใจ เป็นพ่อที่ยอมให้ลูกสาวตัวน้อยๆได้ไปเรียนในโรงเรียนประจำ
เพราะว่าตัวเองทำงานไม่เป็นที่…ไม่อาจพาลูกสาวติดตามไปโน่นมานี่ได้…

หากก็ไม่เคยทอดทิ้งให้อ้างว้าง ทุกเสาร์อาทิตย์พ่อจะไปรับเธอกลับบ้าน
และจะขลุกอยู่ด้วยตลอดทั้งวัน…ทำกิจกรรมต่างๆด้วยกัน…

พ่อมือใหญ่ เท้าใหญ่ ใบหน้าคร้าม ไม่มีชุดทำงานที่ดูดีหรือหรูหรา…
ไม่มีพาหนะสี่ล้อมารับลูกสาวกลับบ้าน มีเพียงมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ
ที่ให้ลูกนั่งซ้อนอยู่ข้างหน้า เพราะให้เหตุผลว่า หากให้นั่งซ้อนข้างหลัง
ลูกสาวตัวเล็กจะกลิ้งตกลงระหว่างทาง…

เป็นพ่อที่ไม่ได้มีบ้านสวยๆ ไม่มีเบาะนุ่มๆให้ลูกสาวตัวน้อย…
เราสองพ่อลูกเคยนอนบนเสื่อผืนเดียวกัน…กินข้าวจานเดียวกัน…

แต่พ่อก็เก่ง…เธอรู้ว่าพ่อเก่งแค่ไหน
เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักมื้อเดียวที่เธออด…

เธอเห็นพ่อสวมเสื้อผ้าไม่กี่ชุดและแทบจะไม่มีชุดใหม่…
แต่ลูกสาวกลับมีชุดสวยๆให้สวมใส่หลากหลายชุดเสมอ

อยากได้อะไรพ่อก็จะหามาให้เสมอ แม้ไม่สวยหรือเลิศหรู แต่ดูแฝงไปด้วยพลัง…

แม้พ่อจะมือใหญ่ เท้าใหญ่
แต่พ่อก็เลี้ยงให้เธอเท้าสวย มือสวยนุ่มนิ่ม

ตอนเด็กๆพ่อจะนวดมือ นวดเท้าให้เธอด้วยครึมก่อนนอนเสมอ…
พ่อโตขึ้น พ่อก็จะคอยกำชับทุกครั้ง…

ไม่ให้ต้องแบกจอบถือเสียม โดยให้ทำหน้าที่แค่รดน้ำเท่านั้น…

และพ่อก็จะเป็นช่างตัดผมประจำของเธอเสมอ
ไม่ใช่แค่ช่างตัดผมแต่พ่อสามารถเป็นช่างแต่งผม
ช่างเสริมสวยให้ลูกสาวได้ทุกครั้งที่ลูกสาวต้องออกงาน…หรือถักเปียร์ผูกโบว์

แถมยังเป็นพ่อที่ทำงานบ้านเก่งที่สุด ทำกับข้าวอร่อยที่สุด
จนลูกสาวอย่างเธอกลายเป็นคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

แต่พอโตขึ้น ใครจะเชื่อว่าพ่อที่คอยประคบประหงมลูกสาวคนเดียว
เหมือนไข่ในหินจะยอมปล่อยให้ลูกสาวได้เดินทางไปอาศัยในต่างแดน

แต่นั่นก็คือ พ่อของเธอ!!!

พ่อที่เชื่อในตัวของลูกสาว
และความเชื่อมั่นนั่นเองที่ทำให้เธอไม่อาจทำให้พ่อผิดหวังได้
พ่อจะผิดหวังในตัวเธอไม่ได้อีกแล้ว…

ชีวิตในต่างแดนสอนและหล่อหลอมให้เธอแกร่งขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
พลิกสิ้นรักคนที่ไม่เอาไหนในวันวานให้กลายเป็นสิ้นรักในวันนี้…

น้อยคนนักจะรู้ว่าเบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้…
‘พ่อ’ คือผู้ผลักดัน คือพลัง คือกำลังใจ

คือสายลมใต้ปีก!

พ่อที่เป็นทุกๆอย่างในชีวิตเธอ…พ่อที่เธอภูมิใจ…
พ่อที่ยอมห่างจากลูกเพื่อความสุขและอนาคตของลูก…

พ่อที่เก็บงำความลับมาตลอดเพื่อไม่ต้องการให้ลูกสาวต้องคอยกลุ้มใจ
หรือคอยวิตกกังวล…

พ่อที่ไม่เคยแสดงความอ่อนแอออกมาให้ลูกสาวเห็น ไม่แม้แต่ครั้งเดียว…

ขนาดเจ็บเจียนตาย พ่อก็ยังไม่ยอมแสดงความอ่อนแอ
หรือท้อแท้สิ้นหวังให้เธอเห็น…ไม่มีเลย…



สิ้นรักก้าวไปยังบ้านหลังเก่าที่เธอไม่เคยได้เหยียบย่างมานานเหลือเกิน
เพราะชีวิตใหม่ ครอบครัวใหม่และคอยยุ่งวุ่นวายอยู่กับลูกๆ

พ่อเองที่เธอเคยคิดมาตลอดว่ากำลังอาศัยอยู่ที่เกาะชิงชัง
ได้หวนกลับคืนสู่บ้านหลังนี้มาหลายเดือนแล้ว…พร้อมหมอและพยาบาล
ประจำกายที่คอยติดสอยห้อยตามพ่อมาตลอด…

ราวกับจะส่งสัญญาณเตือน!…

หากพ่อไม่เจ็บหนักจริงๆ เธอคงไม่รู้…
พ่อปากแข็ง…ใจแข็ง…หนักแน่น มั่นคงและเด็ดเดี่ยวเสมอ…

เธอไม่โกรธพ่อที่ปกปิดเรื่องโรคภัยที่พ่อกำลังประสบ…
นั่นเพราะรู้จักพ่อมาตลอด…ไม่มีอะไรในการกระทำของพ่อที่เธอจะคลางแคลงใจ

พ่อทำทุกอย่าง เพื่อเธอ เพื่อลูกสาวคนเดียวมาตลอด
และทุกๆเจตนานั้น ก็ด้วยเพราะรัก…

พ่อมักจะกันเธอออกมาจากชีวิตของท่านเสมอ
เพื่อให้เธอมีชีวิตที่อิสระและปลอดภัย…
พยามอยู่หางๆและคอยติดต่ออย่างห่วงๆอยู่เสมอ

แม้กระทั่งตอนนี้…พ่อก็ยังห่วงเธอ เธอสัมผัสได้…
ลมหายใจแผ่วเบาของท่านในยามนี้ก็ยังคงห่วงใยเธอ….

“พ่อขอโทษหนุ่ย…”สิ้นรักส่ายหน้าพร้อมยกมือบิดาแนบแก้มที่ชื้นไปด้วยน้ำตา…

“หนุ่ยเข้าใจพ่อทุกอย่าง…ถึงพ่อจะไม่พูดไม่อธิบายอะไร
แต่เราเป็นพ่อลูกที่สื่อสารกันได้ตลอด…เรามีเครื่องมือสื่อสารที่ไม่เหมือนใคร…”

ใช่…ไม่มีใครบอกให้เธอมาที่นี่ ไม่มีใครบอกเรื่องอาการป่วยของพ่อ

เธอแค่…แค่รู้สึกอยากกลับบ้านเท่านั้น…

แม้เครื่องมือสื่อสารที่ว่าจะทำงานช้าไปหน่อย
แต่มันก็ยังคงส่งเสียงเตือนเธอ…เธอถึงอยากกลับมาที่นี่
เพราะรู้สึกว่ามีคนกำลังคอยเธอกลับมาที่นี่…

...และเป็นคนๆเดียว...คนเดียวเท่านั้นที่จะกลับมารอเธอที่นี่ได้…

“หนุ่ยรู้ว่าพ่อเหนื่อยมาตลอด…และใช้เวลาชีวิตที่ผ่านมาเพื่อหนุ่ย
เพื่อคนอีกมากมาย…เป็นเงาที่ไร้ตัวตน คอยสะสางปัญญาสังคม…
หนุ่ยรู้ว่าพ่ออยากเห็นสังคมของเราสะอาด”

พูดพลางก็หันไปทางเวนไตยหรือปราณที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากบิดาของเธอ

“พ่อมีลูกชายและมีลูกเขยที่จะสานต่อหน้าที่นี้แล้ว…
อย่าได้กังวลเลย…วางหน้าที่ทุกอย่างลง แล้วพักนะคะ…
อย่าไปคิดอะไรอีก…หนุ่ยอยากให้พ่อพัก และหนุ่ยจะมาอยู่ดูแลพ่อ
เราไม่ได้ดูแลกันและกันมานานแล้วนะคะ…”สิ้นรักบีบมือบิดาแน่น
เพื่อถ่ายทอดความอบอุ่นให้มือที่เย็นเฉียบนั้น

“ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องห่างกันแล้ว…
และไม่ว่าจะเป็นสิ้นรัก ลือสื่อสกุล หรือ สิ้นรัก ยุรยวรวงศ์
ก็ไม่สำคัญเท่ากับเราคือพ่อลูกกัน…”

เพราะหน้าที่ของพ่อ เธอจึงไม่อาจเป็นสิ้นรัก ลือสื่อสกุลบนสื่อสิ่งพิมพ์ได้…
หรือให้สังคมภายนอกรับรู้ความสัมพันธ์ดังกล่าวได้…

“พ่อเป็นพ่อที่หนุ่ยรักและภูมิใจ…หนุ่ยดีใจที่ได้เป็นลูกของพ่อ…”

“แล้วหลานของพ่อ…”สิ้นรักยิ้มบาง…

“เขาอยู่กับคุณย่าของเขาค่ะ…คุณย่าเขาเหงาเลยอยากให้หลาน
ไปอยู่ด้วยสักสองสามวัน…เดี๋ยวอีกสักพักก็จะตามมา…
พ่อของเขากำลังไปรับกลับมาเยี่ยมคุณตา…”

พ่อยิ้มกว้าง…แม้จะมีฟันประดับไม่กี่ซี่ แต่รอยยิ้มพ่อก็ยังดูจริงใจ อ่อนโยน
และสร้างความอบอุ่นใจให้เธอได้เสมอ…





หลังจากวันนั้น สิ้นรักก็อยู่ดูแลบิดาไม่ยอมให้ห่างกาย
ทำอาหารให้ทาน ทำงานบ้านทุกอย่าง…
ไม่ว่าจะเช็ดตัว ทาแป้งให้ ป้อนข้าว ตัดผม สระผมให้
หรือแม้กระทั่งคอยตัดเล็บ นวดเท้า นวดมือให้…
พานั่งรถเข็นไปเที่ยวรอบๆรีสอร์ท หรือทุกๆที่ที่บิดาอยากไป
พาไปเยี่ยมทุกๆคนที่บิดาอยากเจอ…และเชิญคนที่บิดาอยากจะเจอ
แต่ไม่สามารถเดินทางไปพบได้ให้มาหา
อย่างครอบครัวของพี่ชายคนเดียวที่อยู่อาศัยที่ญี่ปุ่น…

หญิงสาวทำทุกอย่างที่พ่อเคยทำให้เธอเมื่อตอนที่เธอยังเยาวัย
อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เพื่ออยากจะชดเชยช่วงเวลาที่ขาดหายไป…

เธอรู้ว่าตัวเองไม่มีอำนาจหยุดความตายได้ ไม่มีอำนาจหรือพลัง
ที่จะฉุดให้คนที่รักอยู่กับตัวเองไปตลอด…

สิ่งที่เธอทำได้ คือใช้ทุกๆลมหายใจที่มีให้มีค่าที่สุดเพื่อใช้ในการ
ทุ่มเทดูแลกายและใจของผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิต…

และพยายามไม่ทำให้ชีวิตของตัวเองเป็นที่น่าเป็นห่วง
เพื่อคนเป็นพ่อจะได้ไม่ต้องกังวลใจใดๆ…

เธออยากให้พ่อจากไปด้วยใบหน้าแห่งความสุข…
อยากให้พ่อจากไปอย่างสวยงามที่สุด…

ซึ่งนี่คงเป็นสิ่งเดียวที่จะพอตอบแทนบุญคุณท่านได้บ้าง…
และตั้งใจเหลือเกินว่า ชีวิตต่อจากนี้จะประกอบแต่คุณงามความดี
และจักสอนสั่งลูกหลานของเธอให้เป็นคนดี เป็นประชาชาติที่ดี
เพื่อที่เวลาพระเจ้าเปิดให้พ่อได้เห็นชีวิตของลูกหลานของท่าน
พ่อจะได้มีความสุขในหลุมฝังศพ…







วันนี้ทุกคนมารวมตัวคนหมดจนคับแน่นบ้าน…
เมื่อสัญญาณเตือนครั้งสุดท้ายเดินทางมาถึง…

สิ้นรักนั่งกุมมือบิดาแนบแก้มทางด้านขวามือของคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง…
ด้านซ้ายคือสามีและลูกน้อยทั้งสองคน

“พ่อมีหลานชายและหลานสาวที่น่ารักสมใจ…ขอบใจมากนะหนุ่ย…”

เสียงบันลือแผ่วเบาขณะมองหน้าหลานทั้งสองที่นั่งอยู่ไม่ห่างกาย
มือป้อมๆของทั้งสองคนจับกุมมือเหี่ยวย่นอยู่ทางด้านซ้ายของตน…

“ขอบใจมากเจ้ารัง…แม้จะเคยชังหน้า แต่สุดท้ายฉันคงต้องฝากลูกสาว
หลานๆและความฝันของฉันให้นายดูแลอย่างจริงๆจังๆเสียที…”

เสียงนั้นยังคงแจ่มใส…ไม่มีแววเศร้าสร้อยหรือหดหู่ให้เห็นเลยขณะหันไปทางลูกเขย…

“ครับ…ผมจะตั้งใจดูแลอย่างดี…พ่อไม่ต้องห่วงนะครับ…”

รังสิมันต์ยิ้มรับรอยยิ้มนั้นที่ถูกส่งมาให้อย่างยินดี

ชีวิตของนายแพทย์และนายหัว เจอคนเจ็บและคนตายมามากมาย
หากก็ไม่เคยเห็นใครที่พร้อมจะตายได้อย่างคนตรงหน้าเลย…

“หนุ่ย…หนุ่ยไม่รู้จะพูดอะไรกับพ่อดี…แค่อยากจะบอก…
ว่า…ว่า…ขอบคุณนะคะที่ดูแลหนุ่ยอย่างดีมาตลอด…
และ…หนุ่ย…หนุ่ย…รักพ่อ…รักพ่อนะคะ…

ทีี่ผ่านมา…พ่อยกโทษให้หนุ่ยได้มั้ยคะ…
อะไรก็ตามที่ลูกคนนี้ทำไม่ดีไว้กับพ่อ...ทำให้พ่อไม่พอใจ
พ่อยกโทษให้หนุ่ยได้มั้ยคะ…”

บันลือยิ้มให้ลูกสาวที่กำลังกุมมือเขาเอาไว้แนบแก้ม

“พ่ออภัยให้หนุ่ยทุกอย่างลูก…และพ่อ…ก็…รักหนุ่ยนะ…
หนุ่ยคือลูกสาวที่พ่อรัก…รักมาก…ไม่มีสักวันที่จะไม่รัก…”

คนใจแข็ง ปากแข็งที่นานๆจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
ก็สามารถเอ่ยประโยคที่แสนจับจิตจับใจคนฟังที่อยู่รอบตัว
โดยเฉพาะกับสิ้นรัก ลูกสาวคนเดียวของบันลือ

หญิงสาวปล่อยสะอื้นออกมาและไม่ลืมที่จะส่งยิ้มให้บิดา…

"ขอบคุณค่ะพ่อ...ขอบคุณค่ะ..."

“ไอรักคุณตา/น้องมุกรักคุณตา”

เสียงใสๆทั้งสองประสานพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย…
บันลือมองหลานทั้งสองด้วยแววตารักใคร่เอ็นดูแล้วส่งยิ้มให้

ก่อนจะใช้แรงที่มีนำมือลูกสาวที่กุมมือตัวเองอยู่มาวางไว้ตรงหน้าอก
พร้อมๆกับมืออีกข้างที่หลานทั้งสองกุมไว้มาวางทาบทับมืออีกข้าง
รังสิมันต์จึงวางมือของตัวเองวางลงทับเอาไว้บนสุด…

บันลือสูดลมหายใจลึกแล้วค่อยๆผ่อนก่อนจะสั่งราวกับจะลาไปไกล

ไกล…และคงยาวนาน เป็นการลาที่เขารู้ดีว่าคงไม่สามารถกลับมาได้อีก

“ขอให้จับมือกันไว้ให้มั่นแล้วเดินไปด้วยกัน สู่หนทางท่ีดี
บนหนทางที่เที่ยงตรง…หนทางของพระเจ้านะ…”

สิ้นรักยกมือขึ้นลูบแก้มบิดาอย่างรักใคร่และหวนหา
ก่อนจะก้มลงซบตรงอกบิดาพร้อมกับลูกๆทันที…

บันลือจึงได้แต่ระบายยิ้มให้กับความรู้สึกแห่งการเป็นมนุษย์
ที่ใกล้จะดับสิ้นลงไม่วินาทีใดก็วินาทีหนึ่ง…

“เหมือนว่าฉันจะได้เข้าเส้นชัยก่อนเธอนะแพรวา…”

บันลือยังไม่วายหันไปทางแพรวา มารดาของลูกเขย…

และถ้อยคำเหมือนจะหยอกนั่น หาได้สร้างรอยยิ้มให้หญิงสูงวัยในวันนี้ไม่…
หากมันสร้างแรงกระเพื่อมและสั่นไหวในหัวอกและแววตาคู่สวย
ที่ดูอ่อนล้านั้นอยู่ไม่น้อย…

“ใช่…ฉันกลายเป็นคนสุดท้ายที่จะได้ไปนอนตรงนั้น…”

‘ตรงนั้น’ ของแพรวา คือสุสานทีี่เกาะลันตา
ซึ่งอยู่ระหว่างบ้านของบันลือกับแพรวา…
ที่ที่สองร่างในอดีตฝังตัวนอนรอคอยเธอและเขามานานแสนนาน…

เราสี่คนต่างก็ให้สัญญาต่อกัน ว่าเมื่อตายจะขอฝังร่างลงตรงนั้น
ข้างๆคนที่เรารัก…

รติ นาลันธ์ คนต่อมาก็คงจะเป็นบันลือ…

ส่วนเธอ…เธอได้ตั๋วใบสุดท้าย…
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาที่ต้องตีตั๋ว
รู้แค่เพียงคนตรงหน้าทำให้เธอตระหนกและหวาดหวั่นกับความตาย

จนไม่แน่ใจว่าเมื่อมันย่างก้าวมาหาจริงๆ
เธอจะสามารถเผชิญหน้ากับมันได้อย่างคนตรงหน้าหรือเปล่า…

“เธอน่าจะดีใจที่จะได้ฝังฉันนะแพรวา…
ในขณะที่ฉันไม่มีโอกาสได้ฝังใครอีก…”

บันลือเอ่ยถึงความตายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน
และดูจะทำให้แพรวาที่พยายามกลั้นสะอื้นถึงกับปล่อยน้ำตา
ให้ทะลักทะลายลงมาอย่างไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป…

“มันคือสัจธรรมแพรวา…”ราวกับนั่นเป็นคำปลอบโยน…

คนที่กำลังเผชิญหน้ากับความตายกำลังปลอบเธองั้นหรือ…

“เธอและฉันและทุกคนต่างรู้ดีว่ายังไงมันก็ต้องมาถึง…
เราต้องกลับไปหาพระเจ้า…

เมื่อวันก่อน…ฉันบอกตัวเองว่าฉันยังไม่พร้อม…ไม่พร้อมเลยที่จะกลับไป…
แต่วันนี้ ฉันพร้อมแล้ว…พร้อมจะกลับไปหาพระองค์…
ละอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)”

จบคำ ดวงตาของบันลือก็ปิดลงพร้อมด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายที่ดับไป

สิ้นรักที่กำลังแนบหน้ากับอกของบิดารู้ดีว่าตอนนี้พ่อได้เดินทางจากเธอไปแล้ว
เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันหวนกลับมาที่นี่อีก…
เมื่อเสียงหัวใจเฮือกสุดท้ายของท่านหยุดการเดินทางลง…

…เสียงหัวใจของพ่อที่เธอจะไม่ได้ยินอีกต่อไป…



รังสิมันต์มองหน้าบิดาของภรรยา ใบหน้าของชายสูงวัย
แม้จะดูตอบและซูบลงมากหากก็ยังดูกระจ่างใส
ไม่เหมือนคนป่วยที่อดทนรอวันนี้มาอย่างหนักหน่วง
ด้วยโรคร้ายที่รุมเร้ามาอย่างยาวนานเลย…

แต่กลับเหมือนคนที่กำลังพริ้มหลับ หลับไปพร้อมกับรอยยิ้มเปี่ยมสุข…
จนเขาอดนับถือหัวใจของบุรุษผู้นี้มิได้…ผู้ที่อดทนต่อสู้กับทุกสิ่ง
มาตลอดทั้งชีวิตโดยที่ใบหน้าไม่เคยปรากฏร่องรอยของความย่อท้อ
หรือสิ้นหวังเลย

แม้กระทั่งความตายมาเยือน คนตรงหน้ากลับทักทายสัจธรรมข้อนี้ด้วยรอยยิ้ม…
ในขณะที่คนอื่นๆต้องร้องไห้ให้กับรอยยิ้มลา
ของแขกที่หมดเวลาในการมาเยือนโลกนี้ลงแล้ว…

…ไม่ใช่แค่ท่านที่เป็นแขกผู้มาเยือนโลกใบนี้หรอก
แต่เราก็เป็นแขกผู้มาเยือนเช่นกัน…แขกที่มาเยือนแล้วต้องลากลับ...เมื่อถึงเวลา…

“พ่อไม่ต้องเหนื่อยแล้วพี่รัง…พ่อไม่ต้องเหนื่อยอีกต่อไปแล้ว…”

รังสิมันต์ยกมือขึ้นลูบผมของสิ้นรักที่กำลังนอนแนบอกบิดาราวกับจะปลอบโยน…






แล้วศพของบันลือก็ถูกบรรจงฝังลงข้างหลุมศพของ ‘รติ’ ภรรยาอันเป็นที่รัก
ที่เดินทางล่วงหน้าไปก่อนเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว…

ภาพมือน้อยๆช่วยกันกลบดินเพื่อฝังร่างของคุณตากับภาพของสิ้นรัก
และรังสิมันต์ที่นั่งขนาบร่างน้อยๆของลูกท้ังสองเพื่อช่วยกันฝังกลบ
อดีตของผู้เป็นที่รักลง สร้างความสะเทือนใจและประทับใจ
ให้กับผู้มาร่วมจนแทบจะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหวไม่ไหว…

สิ้นรักยิ้มให้ร่างของพ่อเป็นครั้งสุดท้ายโดยปราศจากน้ำตา…

‘หนุ่ยอาจจะเสียใจที่พ่อจากไป…แต่ไม่เคยเลยที่จะเสียใจ
ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ…’


รังสิมันต์จึงนำต้นกุหลาบขาวบนเกาะรังรักมาปลูกไว้ตรงหลุมศพ
เพราะบุรุษผู้นี้รักกุหลาบขาวเป็นชีวิตจิตใจ…

...กุหลาบขาวจึงเหมาะจะเป็นที่ระลึกให้แก่บุรุษผู้นี้…


หนุ่มใหญ่ยิ้มให้กุหลาบต้นนั้นก่อนจะเหลือบไปยังหลุมศพของผู้เป็นบิดาของตน
ที่ตอนนี้มีแม่ของเขานั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆด้วยแววตาเลื่อนลอย…

รังสิมันต์ลอบถอนใจยาวอย่างเข้าใจมารดา

…การต้องอดทนดูคนที่รักจากไปทีละคนมิใช่เรื่องที่จะรับมือได้ง่ายๆเลย
โดยเฉพาะบุคคลทั้งสามที่ได้ลงไปนอนอยู่ในหลุม
ทิ้งท่านเอาไว้ให้นั่งมองอยู่เป็นคนสุดท้ายเช่นนี้…

“นี่นายบันลงไปนอนในนั้นแล้วจริงๆเหรอรัง…”

เหมือนแม่เขายังทำใจไม่ได้…น้ำเสียงที่ราวกับเพ้อและดวงตาหม่นหมองนั่น
ทำให้รังสิมันต์ต้องลุกขึ้นไปหา คุกเข่าลงข้างๆแล้วโอบบ่ามารดาเอาไว้แน่น…

หญิงสูงวัยจึงหันมาซบหน้าตรงอกกว้างของลูกชาย…

แพรวาที่ไม่มีแม้น้ำตามาตลอดตั้งแต่มีการเคลื่อนย้ายศพของบันลือจากบ้านที่พัทลุง
นำมาไว้ที่เกาะแห่งนี้

จนตอนนี้ทุกคนกลับกันไปหมดแล้ว จึงไม่อายที่จะร้องไห้สะอื้น…

เธอยังทำใจไม่ได้จริงๆ แม้จะเคยคิดและทำใจมาได้แล้ว
แต่พอเอาเข้าจริงๆมันก็อดไม่ได้ที่จะสะเทือนใจ…

“แม่คิดว่าแม่ฝัน แต่มันคือความจริงใช่มั้ยรัง…”

รังสิมันต์จึงกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นขณะพยักหน้า

“ครับแม่…มันคือความจริง…นี่คือความจริง…

อารติ พ่อ อาบัน พวกท่านล่วงหน้าพวกเราไปแล้ว…ครับแม่…”

รังสิมันต์หยุดนิดนึงเพื่อสูดลมหายใจเข้าแล้วค่อยๆผ่อนออก ก่อนจะกล่าวว่า

“แต่เรายังมีกันและกันเสมอ พวกท่านยังอยู่กับเราตรงนี้เสมอครับแม่…
อยู่ในอดีตของเรา…อดีตที่จะอยู่กับเราพร้อมๆกับปัจจุบันของเรา”

แล้วร่างที่เขากำลังกอดก็สั่นสะท้านหนักขึ้น…

เขารู้ว่าเหนือความเศร้าจากการสูญเสียแล้ว
มารดาของเขาซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ด้วย

…ในความผูกพันธ์นั้นเจ็บปวด…

“อาบันจากไปพร้อมรอยยิ้มได้…
แม่ก็ต้องอยู่ต่อไปด้วยรอยยิ้มให้ได้เช่นกันนะครับ…”

เมื่อลูกชายคนโต เรียกขานเธอว่า ‘แม่’แทนคำว่า ‘คุณหญิง’
ที่มีเอาไว้เรียกแหย่เธอประจำนั้น
ย่อมหมายถึงมันคือการสื่อสารทางใจระหว่างสายสัมพันธ์…


สิ้นรักลุกขึ้นพร้อมกับจูงมือลูกทั้งสองเดินมาหาแพรวากับรังสิมันต์
แล้วชวนกันกลับเรือนใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของแพรวา

โดยรังสิมันต์ยกร่างลูกสาววัยสามขวบขึ้นอุ้ม
พร้อมกับประคองมารดาให้เดินไปด้วยกัน

ส่วนสิ้นรักนั้นใช้มือข้างนึงจูงลูกชายวัยหกขวบ อีกข้างนึงโอบเอวผู้เป็นสามีเอาไว้
แล้วเดินกลับเรือนใหญ่ไปพร้อมกัน

…หนึ่งชีวิตสำคัญยิ่งได้จากไป
แต่มีอีกหนึ่งชีวิตสำคัญยิ่งเช่นกันที่กำลังก่อกำเนิดขึ้นในครรภ์ของสิ้นรัก…


…โชคดีที่พ่อคือคนแรกที่มีโอกาสได้รับรู้ข่าวดีนี้ก่อนการจากไป...

…พ่อคือคนแรกเสมอที่ได้รับรู้ข่าวดีของเธอ...มันเป็นเช่นนั้นเสมอมา


เพราะนอกจากพ่อแล้ว…เธอยังไม่ได้แจ้งข่าวนี้ให้ใครรู้ แม้แต่ผู้เป็นสามี!

…นั่นเพราะเธอเพิ่งทราบว่าตัวเองตั้งครรภ์ลูกคนที่สามเมื่อวาน
หนึ่งวันก่อนที่พ่อจะจากเธอไปนั่นเอง…

‘โอ้พระเจ้า…ขอให้ลูกคนนี้เป็นตัวแทนของพ่อด้วยเถิดนะคะ…
ขอให้เขาเหมือนพ่อบัน…เหมือนทุกอย่างด้วยเถิด…’

สิ้นรักนั่งเฝ้าอ้อนวอนขอด้วยประโยคนี้อยู่ตลอดเวลาที่กลบดินฝังร่างบิดา
แม้ยามนี้ที่เดินจากมาเธอก็ยังอ้อนวอนขออยู่เช่นนั้น


แม้พ่อของเธอจะไม่ใช่คนหน้าตาดี แต่พ่อใจดี…และเป็นพ่อที่แสนดี
เธออยากให้ลูกของเธอเป็นพ่อที่แสนดีในอนาคต

…เป็นดั่งพ่อบันของเธอ...





....โปรดติดตามตอนต่อไป......



ยกนี้มาเศร้าเกล้าน้ำตาเต่าโย...ตอนเขียนยกนี้ เต่าโยร้องไห้เป็นเผาเต่าเลย
และเพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้คานน้อยฯไม่สามารถนำมาอัพได้สักที
ดองแล้วดองอีก ดองจนเค็ม ตอนนี้ก็เลยนั่งเค็มน้ำตาตัวเองอยู่ค่ะ..เหอๆ
นั่นเพราะเต่าไม่กล้าเขียนบทโหดบทนี้นั่นเอง...เลยแช่ดองไว้ตั้งนาน
กว่ายกนี้จะโผล่...

และสุดท้าย...ก็ทำสำเร็จ...


จะพยายามมาแบบติดๆค่ะ...เพราะใกล้ถึงยอดตาลแว้ววววววว...
อีกนิด อีกนิด และอีกนิด...เฮะๆๆๆ


...ขอคุยกับนักอ่านจากยกที่แล้วกันนิดนึง...


1.คุณแว่นใส...มาเสริฟให้แล้วนะจ๊ะ...ร้อนๆจากแป้นพิมพ์เลย...

2.คุณตุ๊งแช่...ยกที่แล้วมาครบ แต่ยกนี้หายไปหนึ่งคนค่ะ...เฮะๆ

3.คุณใบบัวที่น่ารัก...ช่ายแล้วค่ะ นางเอกของเต่ากำลังเลี้ยงลูกกันสนุุกทีเดียว
พี่สาวโยเองเมื่อก่อนออกจะสวยพริ้ง แต่เดี๋ยวนี้หันมาลี้ยงลูกหน้ามันเชียวค่ะ...
ยังแอบคิดๆอยู่ว่า ระหว่าง การเป็นสาวโสดบนคาน กับ การเป็นแม่หม้าย
อย่างไหนจะดีกว่ากัน...เชื่อมั้ยคะว่าเวลาอารมณ์ไม่ปกติ...
เต่าโยจะกลัวการเป็นแม่หม้ายมากกว่าการเป็นสาวโสดบนคานมากๆ
ไม่ว่าจะม่ายสามีตายหรือม่ายสามีทิ้ง...โยก็กลัวไปหมด...เฮะๆ...
เลยนั่งบนหอคอยจนจะเลยเส้นแดงมาแล้ว...อิอิ

4.คุณkonhin...ยกนี้น่าจะเค็ม(น้ำตา)ไม่ใช่หวาน (น้ำตาล)เนอะ...อิอิ
กว่าจะเอามาลงได้ เล่นซะเต่าหวาดหวั่นไม่กล้าเขียน...เลยได้แต่นั่งดองจนเค็ม
ข้ามเดือน...ฮ่าๆ

5.คุณgoldensun...ยกนี้กลับมาให้เศร้ากันอีกระลอกค่ะ...
ขออภัยจริงๆนะคะ...แบบนี้วางเรื่องไว้แบบนี้ เลยต้องตามแบบไป
ทั้งๆที่ใจเต่าช่วงนี้ไม่ค่อยกล้าเขียนฉากโหดแบบนี้สักเท่าไหร่...
เรื่องนี้เลยเงียบไปไม่ได้มาอัพน่ะค่ะ...
ตอนนี้หมอรังได้ลูกแถมมาอีกคนด้วย...ฮ่่าๆ



สุดท้ายไม่ท้ายสุด...

ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกๆกำลังใจ ทุกๆไลค์ที่กดให้นะคะ

...รักษาสุขภาพนะคะ...

"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ต.ค. 2557, 02:20:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ต.ค. 2557, 02:20:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 2844





<< ยกที่ 93 หยุดตรงนี้ที่เธอ   ยกที่ 96 บทส่งท้าย >>
konhin 25 ต.ค. 2557, 05:35:55 น.
ทำไมมันเศร้าแบบนี้อ่ะ


ใบบัวน่ารัก 25 ต.ค. 2557, 08:13:43 น.
เศร้าอะ
นายหัวไปแอบซุ่มทำลูกสาวตอนไหน
ไม่เห็นรู้มาก่อนอะ.
นายหัวกล้านอกใจเจ้หรือ อย่าอยู่เลย


แว่นใส 25 ต.ค. 2557, 12:26:33 น.
น่านสิ คนนี้ต้องเป็นผู้ชาย นิสัยเหมือนพ่อบันเนอะ


Pat 27 ต.ค. 2557, 08:09:40 น.
ใกล้ยอดตาลแล้วก็ยังไม่วายเศร้านะคะ ชีวิตหนึ่งจากไปแต่อีกชีวิตหนึ่งกำลังจะมาพอจะชดเชยกันได้บ้างเนอะ


ตุ๊งแช่ 27 ต.ค. 2557, 08:30:49 น.
เล่นเอาบ่อน้ำตาแตกกันไปเลย ถ้าคนเขียนน้ำตาร่วง คนอ่านรือจะรอด ถ่ายทอดได้ดีค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account