เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 7/2 - 8

ประติมากรรมดอกไม้ที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นหลายหลากอารมณ์ภายในเรือนกระจกขนาดใหญ่เปิดแอร์เย็นฉ่ำมีเสียงเพลงบรรเลงคลอเบาๆ คือสิ่งที่ภควัตพาปุณยวีร์มาเยี่ยมชม หลังจากเขาและเธออิ่มหนำจากอาหารกลางวันมื้อใหญ่เรียบร้อยแล้ว

แม้ที่ผ่านมาล่ามสาวจะมองดอกไม้แค่ผ่านตาไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มเป็นพิเศษ แต่พอได้มาเห็นการจัดแสดงสุดแสนอลังการ ดอกไม้นับหมื่นนับแสนดอกถูกนำมาจัดวางภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อควาเรียม’ โลกใต้น้ำแห่งท้องทะเลสีคราม เนรมิตให้เป็นนางเงือก ปลากระเบน ฉลาม วาฬและสัตว์ทะเลน้อยใหญ่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางปะการังดอกไม้สีสันตระการตาเธอก็อดรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่ได้ นี่ถ้ายัยพิมพ์ เพื่อนสาวเปรี้ยวจี๊ดเข็ดฟันของเธอซึ่งปลื้มดอกไม้เอามากๆ ได้มาเห็นคงร้องกรี๊ดกร๊าดจนเรือนกระจกแทบร้าวแน่ๆ แต่ถ้าเป็นสาวหวานอย่างแก้วก็คงร้อง ‘ว้าว’ ไม่หยุด และไอ้พี่ดำปืนคนที่น่าจะพามาก็คงยิ้มปลื้มไม่หุบเลยทีเดียว

“ชอบไหมครับ” เสียงห้าวทุ้มของคนข้างกายดังถามขึ้นมาหลังจากเขาและเธอต่างก็เดินทอดน่องชื่นชมความงดงามของมวลหมู่ผกาที่เบ่งบานชูช่ออวดสายตาเคล้าคลอเพลงบรรเลงโดยไร้เสียงพูดคุยกันอยู่ครู่ใหญ่

เจ้าของดวงหน้าใสที่มีรอยยิ้มติดริมฝีปากบ่งบอกความรู้สึกรื่นรมย์เปิดยิ้มกว้างขวางแล้วพยักหน้าก่อนจะตอบกลับว่า “ชอบค่ะ”

“ปุ่นชอบดอกอะไรเป็นพิเศษ”
“กล้วยไม้ค่ะ”

“หือ กล้วยไม้เหรอครับ ไม่ใช่กุหลาบ คาร์เนชั่น ลิลลี่หรือทิวลิปหรอกเหรอ พี่มักจะได้ยินว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบดอกไม้พวกนี้กันนะ อย่างแก้วก็รู้สึกว่าจะชอบดอกกุหลาบ เห็นบอกว่าเป็นดอกไม้ที่มีเสน่ห์สมกับเป็นราชินีของดอกไม้ หวานก็ชอบลิลลี่สีขาวเพราะมันดูบอบบางน่าทะนุถนอม หรือสาวห้าวอย่างเฟย์ก็ชื่นชอบทานตะวันเพราะมันเป็นดอกไม้ที่ใช้แทนสัญลักษณ์ของความมั่นคง เชื่อมั่นเหมือนกับตัวเอง แล้วปุ่นล่ะครับทำไมถึงชอบกล้วยไม้” ภควัตหันมาส่งคำถามพร้อมรอยยิ้ม

“ถ้าให้ตอบเป็นภาษาดอกไม้แบบนั้นปุ่นไม่รู้หรอกค่ะ รู้แต่ว่าปุ่นคุ้นเคยกับกล้วยไม้มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะคุณป้าปุ่นทำฟาร์มกล้วยไม้ ตัดกล้วยไม้ส่งนอก ทองหยองงี้เต็มตัวเลยค่ะยังกะตู้ทองเคลื่อนที่” นึกถึงภาพของคุณป้าจอมเฮี้ยบสมัยนั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ “ปุ่นเลยถามพ่อไปตามประสาเด็กว่าป้าป่วยเป็นโรคอะไร เพราะจำได้ว่าแม่เคยบอกว่าเพื่อนที่ห้อยพระมีสายสิญจน์เต็มมือเต็มคอนั้นเป็นเพราะพวกเขาป่วย พ่อไม่ตอบอะไรเอาแต่หัวเราะอย่างเดียว แต่ป้าปุ่นซิโกรธจนหน้าเขียวเลย ถึงอย่างนั้นแกก็ยังอุตส่าห์ตอบกลับมาว่า ‘ฉันรวยย่ะไม่ได้ป่วย! กล้วยม้งกล้วยไม้ที่แกเก็บเล่นพวกนี้น่ะเงินทองทั้งนั้น’ ปุ่นเลยเข้าใจเอาว่าถ้าอยู่ใกล้กล้วยไม้จะทำให้รวยมีเงินเยอะๆ เหมือนป้าเลยไปขลุกอยู่กับมันจนกลายเป็นความคุ้นเคยโดยไม่รู้ตัว แต่พี่เป้ พี่ชายปุ่นซิคะ ชั่วมาก กล่าวหากันได้ว่าปุ่นหน้าเงินมาตั้งแต่เด็ก” ท้ายประโยคไม่ลืมเข่นเขี้ยวคนสายเลือดเดียวกัน

พอจบคำบอกเล่ายืดยาวชายหนุ่มรุ่นพี่ก็เอาแต่หัวเราะอย่างเดียวไม่ตอบอะไรกลับมา ปุณยวีร์ได้แต่หวังว่ามันคงเป็นปฏิกิริยาตอบรับในทางดี และเพื่อความแน่ใจเธอจึงกอดอกถามเสียงเคร่งไปว่า “หัวเราะแบบนี้หมายความว่าไงคะ อย่าบอกนะว่าพี่
ปุ้นก็เห็นด้วยว่าปุ่นหน้าเงินมาตั้งแต่เด็ก”

“อ้าวพี่คิดเบาๆ เท่านั้นเองนะ ปุ่นได้ยินด้วยเหรอ” เขาตอบหน้าตาย

“โหย พี่ปุ้นอะ” เธอทำเสียงกระเง้ากระงอด

อีกฝ่ายหัวเราะอีกแล้ว หวังว่าเขาคงไม่เห็นเธอเป็นตลกคาเฟ่ที่เห็นหน้ากันเมื่อไรก็ขำออกมาเมื่อนั้น แต่เป็นเพราะว่าเขามีความสุขระหว่างที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับเธอ

“โอเค ขอโทษครับ พี่แค่ล้อปุ่นเล่นไม่ได้คิดแบบนั้นเลยจริงๆ”

เหอะ! ปากบอกไม่คิดแล้วรอยยิ้มซ่านในลูกกะตานั่นล่ะ มันหมายความว่ายังไง แม้จะหยุดหัวเราะและพูดด้วยท่าทีจริงจังขึ้นก็เถอะ

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะล่วงรู้ความคิดภายในใจของเธอจึงมองตรงมา “จะพูดว่ายังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าพี่ไม่ได้คิดว่าปุ่นหน้าเงิน พี่แค่ไม่เคยได้ยินว่าใครมีเหตุผลเอ่อ….” เขานิ่งไปคล้ายกำลังพยายามคิดหาถ้อยคำที่เหมาะสม

“แปลกๆ แบบปุ่นใช่ไหมคะ” ในเมื่อมันยากนักที่เขาจะพูดมันออกมาเธอเลยพูดขึ้นเสียเอง

“เอาเป็นว่าไม่เหมือนใครดีกว่า และไอ้ความที่ไม่ใช่เหตุผลสวยหรูเหมือนใครๆ นี่ล่ะที่พี่คิดว่ามันสมกับเป็นปุ่นและก็…”

นอกจากขยักคำพูดเอาไว้ไม่เอ่ยออกมาให้หมดแล้วภควัตยังจะส่งยิ้มมีเลศนัยมาให้กันอีก ฮึ่ม! คอยดูเถอะ เดี๋ยวจะหักคะแนนเจ้าชายที่แสนดีให้หมดเลยคอยดู

“น่ารักดี”

อะ อะไรนะ ‘น่ารักดี’ อย่างนั้นเหรอ กรี๊ดดดด… ณ จุดนี้ คะแนนเต็มสิบแถมให้อีกเก้าสิบเป็นร้อยคะแนนเลยค่ะ

ดวงหน้าใสเปิดยิ้มกว้างขวาง ดวงตาคู่กลมโตทอประกายเจิดจรัสตอบรับคำชมเต็มที่ ไม่มีเสียล่ะที่จะกระมิดกระเมี้ยนบิดตัวเป็นเกลียวแล้วตอบกลับทำนองไม่ยอมรับว่า ‘แหม พี่ปุ้นอะ พูดอะไรก็ไม่รู้’

“จานดาวเทียม” จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยคำที่ไม่เข้ากับสถานการณ์เลยสักนิดออกมาพร้อมกับยิ้มล้อเลียน

“หือ จานดาวเทียม” ปุณยวีร์ขมวดคิ้ว มีจานดาวเทียมตั้งอยู่ในเรือนกระจกนี่ด้วยเหรอ มันใช่เหรอ เรือนกระจกที่มีไว้สำหรับจัดแสดงดอกไม้เนี่ยนะ แล้วถ้าไม่ใช่เขาจะพูดมันขึ้นมาทำไม แถมยังมองตรงมาด้วยรอยยิ้มแปลกๆ นั่นอีก เอ๊ะ! หรือว่า… “นี่พี่ปุ้นหาว่าปุ่นหน้าบานเหมือนจานดาวเทียมเหรอ!” ถามเสียงขุ่นทันทีที่ระลึกได้

ภควัตไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ เอาแต่หัวเราะลูกเดียว

“พี่ปุ้น!” คนหน้าบานเป็นจานดาวเทียมแหวส่งท้ายก่อนจ้ำอ้าวเดินนำหน้าไปแทนการบอกให้รู้ว่า ‘งอนแล้วนะ’ หากเดินไปได้ไม่เท่าไรชายหนุ่มรุ่นพี่ก็ก้าวตามทันและเกี่ยวข้อมือเอาไว้

“แม้แต่ไอติมอร่อยๆ ปุ่นก็ยังจะเมินได้ลงคอเชียวเหรอ” เขาเปรยขึ้นมา และเมื่อเธอหันหน้าบูดบึ้งไปหาเขาก็พยักพเยิดไปทางซุ้มไอศกรีมขนาดกลางที่จัดแต่งอย่างสวยงามเข้ากันกับมวลหมู่ดอกไม้ในเรือนกระจกเชิญชวนให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแวะเข้าไปเยี่ยมชม

“อร่อยนะ ลองชิมดูหน่อยไหม”

ไม่มีคำขอโทษแม้สักคำหลุดออกจากปากของภควัต หากน้ำเสียงทอดอ่อนและท่าทางเหมือนจะงอนง้อกันอยู่ในทีนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ปุณยวีร์ยอมหันกลับมาหาโดยไม่ลืมตวัดค้อนใส่เขาเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนจะเดินตามเขาเข้าไปในซุ้มไอศกรีม

แม่ค้าสาวหน้าหวานซึ่งยืนอยู่ด้านหลังตู้แช่เย็นส่งเสียงที่หวานไม่แพ้ใบหน้าโฆษณาว่า ไอศกรีมหน้าตาดีสีสันน่ารับประทานที่วางเรียงรายอยู่ในกระบะเป็นไอศกรีมโฮมเมดที่เจ้าของร้านเป็นผู้ดีไซน์สูตรขึ้นมาเอง โดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติมีน้ำตาลและไขมันในปริมาณที่น้อยกว่าไอศกรีมตามท้องตลาดทั่วไป แถมชื่อเรียกไอศกรีมแต่ละรสชาติก็ไม่ธรรมดา เป็นต้นว่า รสช็อกโกแลต กาแฟ สตรอเบอร์รี่ ฯลฯ เหมือนใครๆ แต่กลับได้รับการตั้งชื่อเสียเก๋ไก๋ตามพันธุ์ไม้ดอกไม้ประดับ

ปุณยวีร์ยืนจดๆ จ้องๆ ฟังแม่ค้าหน้าหวานโฆษณาชวนเชื่อจนจบก่อนจะตัดสินใจชี้นิ้วไปที่ไอศกรีมสีน้ำตาลเข้ม ที่มีชื่อเรียกว่า ‘ช็อกโกแลต แอนธูเรียม’ และเพื่อให้สมกับที่ชายหนุ่มรุ่นพี่สู้อุตส่าห์จับจูงกันเข้ามาจะชิมแค่ลูกเดียวก็ดูจะน้อยเกินไปหน่อยเธอเลยจัดการเลือกอีกหนึ่งรสคือ ‘ไฮเดรนเยีย บลูเบอร์รี่ มิ้นต์’ ซึ่งเนื้อไอศกรีมมีสีฟ้าอมชมพู แลดูน่ารับประทานไม่แพ้กัน ส่วนคนนำเสนอนั้นเลือกเพียง ‘ไวท์ช็อก ราสเบอร์รี่’ ไอศกรีมสีขาวมีจุดสีม่วงๆ เพียงลูกเดียว

“ทำไมปุ่นถึงเลือกสองรสนั้นล่ะครับ” ภควัตถามขึ้นมาหลังจากเขาและเธอเข้ามานั่งรอที่ชุดเก้าอี้หวายเทียมสานเป็นรูปทรงผีเสื้อสวยงามภายในร้าน

“ดูจากปริมาณที่เหลือเกือบติดก้นกระบะแสดงว่าขายดี และถ้าขายดีก็แปลว่าอร่อย”

“หือ แน่ใจเหรอ บางทีลูกค้าคนอื่นอาจจะเข้าใจผิดเหมือนปุ่นก็ได้นะ แล้วพอเข้าใจผิดไปหลายคนก็เลยดูเหมือนจะขายดี”

“พี่ปุ้นนี่ยังไง ชอบพูดให้เสียเรื่องอยู่เรื่อยเชียว” อดต่อว่าหน้ามุ่ยไม่ได้ เพราะบทจะรวนกันขึ้นมาชายหนุ่มที่เธอเคยคิดว่าแสนดีก็ทำได้ดีไม่แพ้ใคร อีกฝ่ายไม่ได้ต่อความนอกจากนั่งมองหน้ากันแล้วส่ายศีรษะยิ้มๆ นั่งรอเพียงครู่พนักงานขายก็นำไอศกรีมที่สั่งทั้งสามถ้วยมาเสิร์ฟ ปุณยวีร์ไม่รอช้าลองลิ้มชิมรสทันที

“เป็นไง อร่อยไหม” คนที่เคยดักคอว่าเธออาจจะเข้าใจผิดถามขึ้นมา

“อร่อยมากๆ เห็นไหมว่าปุ่นคิดถูก” ตอบโอ่ๆ ก่อนจะถามกลับ “แล้วของพี่ปุ้นล่ะคะ อร่อยเหมือนของปุ่นหรือ เปล่า”

ภควัตไม่ตอบเป็นคำพูดแต่เขากลับตักไอศกรีมในถ้วยของตัวเองแล้วยื่นมันมาตรงหน้าเธอ “ถ้าปุ่นอยากรู้ก็ต้องชิมดูเอง พี่ไม่บอกหรอก”

เจอมุกนี้เข้าไปคนอยากรู้รสชาติของไอศกรีมถึงกับอึ้งกะพริบตาปริบอย่างนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้า แต่ท้าทายกันขนาดนี้มีหรือที่คนอย่างปุณยวีร์จะยอมแพ้ ‘แบบนี้... ก็เข้าทางปุ่นซิคะพี่ปุ้น’ และไม่ต้องมีการคะยั้นคะยอขอร้องกันซ้ำสองหรืออะไรทั้งนั้น เพราะเพียงความประทับใจแรกเจอและตัวตนของเขาที่เธอได้ทำความรู้จักตลอดระยะเวลาเกือบสามเดือนนั่นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้เธอมั่นใจว่าเขาคือรสชาติของไอศกรีมที่ต้องลิ้มลอง... เอ้ย! คือคนที่ ‘ใช่’

ล่ามสาวอ้าปากรับไอศกรีมจากช้อนที่วิศวกรหนุ่มรุ่นพี่ยื่นมาให้พลางกรีดร้องในใจ ‘เย้! พี่ปุ้นเป็นของปุ่นแล้ว’

“เป็นไงครับ อร่อยเท่าของปุ่นหรือเปล่า”

“อร่อยค่ะ แต่น้อยกว่าของปุ่นนิดนึง”

“ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะถ้าอร่อยกว่าพี่คงต้องเสียไอติมให้ปุ่นทั้งถ้วย” เขาว่ายิ้มๆ

“โหย พี่ปุ้นขี้งก” เธออดย่นจมูกว่ากลับไม่ได้

กระทั่งถ้วยไอศกรีมตรงหน้าหลงเหลือเพียงความว่างเปล่าไม่มีอะไรให้สนใจอีกปุณยวีร์ก็หันสำรวจบรรยากาศรอบๆ ร้าน แล้วดวงตาคู่กลมโตก็สะดุดเข้ากับป้ายคัทเอาท์ขนาดใหญ่บริเวณทางเข้าที่ตอนแรกไม่ได้สนใจ หรือจะเพราะหิวมากจนตาลายก็ไม่รู้ “เทศกาลเพลงรักในสวนดอกไม้... ช่วงนี้เองนี่นา ว้าว มีแต่นักร้องเจ๋งๆ ทั้งนั้นเลยด้วย ว้า! น่าเสียดายเล่นซะเย็นเชียว”

“หกโมงเย็น ก็อีกเกือบๆ สองชั่วโมงเท่านั้นเอง ปุ่นจะรีบกลับไปทำธุระอะไรหรือเปล่า เอ๊ะ! หรือว่าเจ็บแผลครับ” ท้ายประโยคเขาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

คนมีบาดแผลถูกสุนัขกัดส่ายศีรษะจนผมกระจาย “เปล่าค่ะ ปุ่นไม่มีธุระ แล้วก็ไม่ได้เจ็บแผล”

คนถามมีสีหน้าโล่งอกขึ้นก่อนจะบอกพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ้างั้นก็รอดูซิครับ จะได้ไม่ต้องเสียดาย”

“แล้วพี่ปุ้น...”

“พี่ว่างครับ แล้วก็จะเสียดายมากถ้าไม่ได้ดู ฟรีคอนเสิร์ตแถมมีแต่นักร้องเก่งๆ ร้องเพลงเพราะๆ ทั้งนั้นเลยด้วย”

“โหย ขี้งกตลอดอะพี่ปุ้น”

“แล้วคนไม่งกคิดว่าไงล่ะครับ จะรอดูหรือไม่รอ”

“รอค่ะ” รีบตอบในทันทีราวกับกลัวว่าถ้านานกว่านี้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ “แต่ปุ่นไม่ได้เห็นแก่ฟรีคอนเสิร์ตหรอกนะคะ ปุ่นแค่อยากชิลกับเพลงเพราะๆ จากนักร้องที่ชอบก็เท่านั้น” สุดท้ายก็ยังไม่ลืมแก้ตัวให้ตัวเองดูดี

“พี่เชื่อครับ” คนขี้งกบอกกลั้วหัวเราะ ดวงตาคู่เรียวรีซ่านรอยระยับ




หลังจากเดินเที่ยวชมดูความงดงามของมวลหมู่ดอกไม้จนทั่วแกลเลอรี่และรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยทั้งสองหนุ่มสาวก็ชักชวนกันไปจับจองที่นั่งรอเวลาฟรีคอนเสิร์ตจะเริ่มต้นขึ้น

บริเวณลานกว้างด้านข้างแกลเลอรี่ถูกจัดให้มีเวทียกพื้นสูงซึ่งพร้อมสรรพไปด้วยเครื่องดนตรีไม่ว่าจะเป็นกลองชุด คีย์บอร์ด กีตาร์ ฯลฯ หนุ่มๆ นักดนตรีหลายคนกำลังทดสอบเครื่องไม้เครื่องมือที่กำลังจะถูกใช้งานอีกในไม่ช้า ถัดออกไปทางด้านล่างคือแถวของเก้าอี้ซึ่งถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบราวๆ ร้อยตัว โดยส่วนหนึ่งได้ถูกจับจองเป็นที่นั่งสำหรับผู้ชมที่เริ่มทยอยกันเข้ามาบ้างแล้ว ปุณยวีร์และภควัตไม่ได้เข้าไปนั่งที่เก้าอี้ซึ่งทางแกลเลอรี่จัดวางเอาไว้ให้เช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ หากเลือกที่จะนั่งรับชมและรับฟังอยู่ที่ม้านั่งเหล็กดัดสีเขียวใกล้ๆ กันกับซุ้มสายน้ำผึ้งที่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ชิดติดขอบเวทีแต่ทั้งสองก็แน่ใจว่าจากจุดนี้สามารถมองเห็นภาพของการแสดงคอนเสิร์ตได้ชัดเจนแถมยังค่อนข้างเป็นส่วนตัว นั่งรอพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกันอยู่ไม่นานเวลาที่ทั้งคู่และคนนับร้อยบริเวณลานด้านหน้าเวทีรอคอยก็เดินทางมาถึง ศิลปินซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันค่อนประเทศทั้งชายและหญิง ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่ประกาศตัวว่าเป็นเพศที่สามก็สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นไปจับไมค์มอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชม

บทเพลงหวานซึ้งท่วงทำนองฟังสบายเข้ากันกับชื่องาน ‘เทศกาลเพลงรักในสวนดอกไม้’ ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นท้องฟ้าแรสีครามอมชมพู บวกกับสายลมพัดโชยเอื่อยหอบเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้เข้ามาแตะจมูก แถมยังเคียงข้างด้วยชายหนุ่ม คนที่หวังอยากจะให้รู้ใจกัน ยังจะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกหนอ...

ดวงหน้าใสเปื้อนยิ้มรื่นรมย์ ริมฝีปากบางสีชมพูสดขยับเปล่งเสียงตามบทเพลงที่ชื่นชอบ สองมือเล็กตบไปตามจังหวะจะโคนฟังสบาย ไม่เร็วแต่ก็ไม่ถึงกับช้าเนิบนาบ ระยะเวลาเกือบสามเดือนกับงานใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ และเรื่องราวมากมายที่เคยยาวนานในความรู้สึก คล้ายกับจะวับหายไปและถูกแทนที่ด้วยช่วงเวลาที่แม้จะแสนสั้น หากก็แสนสุขนัก ยิ่งกับหัวใจ...

“ดูเหมือน... จะมีแต่คู่รักทั้งนั้นเลยนะคะ” ปุณยวีร์เปรยขึ้นมา เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ท้องฟ้าสีครามอมชมพูแปรเปลี่ยนเป็นผืนกำมะหยี่สีดำจนต้องอาศัยแสงสว่างจากหลอดไฟ และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิอากาศที่เย็นลงหรือเพราะน้ำคำในบทเพลงที่ยิ่งทวีความหวานซึ้งขึ้นหรือไร ที่ทำให้ชายหนุ่มหญิงสาวหลายต่อหลายคู่ซึ่งเคยนั่งตัวตรงเก้าอี้ใครเก้าอี้มัน มาบัดนี้กลับขยับเข้าไปใกล้กัน บ้างก็เริ่มอิงแอบแนบชิดเอนศีรษะลงไปก่ายเกยหัวไหล่ของคนข้างๆ ทำให้คนไร้คู่ได้แต่มองด้วยสายตาร้อนผ่าว

ภควัตเพียงยิ้มในหน้า เขาไม่ได้ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธด้วยเช่นกัน

‘หึๆ สมแล้วที่เป็นพี่ปุ้น ไม่ยอมตกหลุมง่ายๆ แต่ไม่เป็นไร ปุ่นยังมีก๊อกสอง’

“อืม ว่าไปแล้วก็น่าเสียดายแทนพี่ปุ้นนะคะนี่” ยังคงเป็นล่ามสาวที่เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา

“หือ ปุ่นเสียดายอะไรแทนพี่เหรอครับ” ชายหนุ่มรุ่นพี่ขมวดคิ้วถามท่าทางสงสัย

‘หึๆ คราวนี้ล่ะ พี่ปุ้นเสร็จปุ่นแน่’

“ก็แหม... มีโอกาสมาเที่ยวชมความงามของดอกไม้ในแกลเลอรี่ แถมยังได้ฟังเพลงเพราะๆ ท่ามกลางสวนดอกไม้ทั้งที แทนที่จะได้มากับคนรู้ใจกลับต้องมากับยัยเด็กนิสัยเสียที่ไหนก็ไม่รู้ แย่จัง”

“เอ แต่พี่รู้นะ ก็ยัยเด็กจอมมาร… เอ้ย! ล่ามสาวหน้าใสของหนุ่มๆ ที่ HANO ไง” เขาพูดหน้าตาย

“พี่ปุ้นอะ” ณ จุดนี้ได้แค่ทำแก้มพองตอบกลับเสียงกระเง้ากระงอดเท่านั้น ลองถ้าพลาดท่าตกหลุม... กันเมื่อไหร่ล่ะก็จะจัดหนักจัดเต็มเลยคอยดู! “ก็ได้ค่ะ จอมมารก็จอมมาร มันน่าเสียดายใช่ไหมล่ะคะ เพราะถ้าได้มากับคนรู้ใจพี่ปุ้นคงจะมีความสุขมากกว่ามากับปุ่น”

มาคราวนี้ภควัตก็แค่เพียงหัวเราะหึๆ ยังคงไม่มีคำตอบเหมือนเคย

“ว่าแต่ พี่ปุ้นพอจะแนะนำคนรู้ใจคนนั้น... ให้น้องนุ่งรู้จักได้ไหมคะ เผื่อว่าไปเจอที่ไหนจะได้ทักทายกันถูก” ทำเป็นพูดดีไปอย่างนั้นแหละ แต่ในใจกลับภาวนาแทบตายขอให้อีกฝ่ายตอบกลับมาว่า ‘พี่ยังไม่มีใคร’ สาธุ...

หากผลที่ได้ “คงไม่สะดวกหรอกครับ” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมไม่มีแววล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“พะ พี่ปุ้นมีแฟนแล้ว เอ้ย! ไม่สะดวกยังไงคะ” แม้จะพยายามตั้งสติบอกตัวเองให้ใจเย็นที่สุดแล้ว แต่กระแสเสียงที่ถามกลับไปก็ยังไม่วายเจือเค้าร้อนรนอย่างปิดไม่มิด ‘ไม่จริง! พี่ปุ้นจะมีคนรู้ใจแล้วได้ยังไง ปุ่นไม่ยอม!’

“พี่คิดว่าเค้าคนนั้น... คนที่พี่อยากจะให้รู้ใจคงไม่สะดวกที่จะทำความรู้จักกับปุ่น” ภควัตขยายความ

ก็แหงซิ คนอยากให้รู้ใจคนไหนจะอยากมาทำความรู้จักกับผู้หญิงที่... หือ? ‘คนที่พี่อยากจะให้รู้ใจ’ ก็หมายความว่ายังไม่มีการพูดจาตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะน่ะซิ ‘เหอะ! หล่อนเป็นใครยะ กล้าดียังไงถึงจะมาแย่งพี่ปุ้นไปจากฉัน ไม่มีทางซะหรอก!’

“แหม น่าเสียดาย อดทำความรู้จักกันเลย แล้วเธอคนนั้นเป็นใครคะ ใช่พนักงานของ HANO ไหม ปุ่นรู้จักหรือเปล่า”

และทั้งที่คนถามใจเต้นเป็นกลองมโหระทึกขณะรอลุ้นคำตอบ หากคนที่ต้องตอบกลับตอบมาเพียงรอยยิ้ม… ฮึ่ม! เอาอีกแล้วนะพี่ปุ้น คิดว่าจะใช้รอยยิ้มใจดีกลบเกลื่อนอีกงั้นเหรอ เหอะ! รู้จักคนอย่างปุณยวีร์น้อยไป

“ถ้าให้ปุ่นเดา ผู้ชายสุภาพแถมยังใจดีภาพพจน์อย่างกับพระเอกนิยายแบบพี่ปุ้น ถ้าจะชอบผู้หญิงสักคน ก็คงเป็นผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวานนิสัยดี พระเอกก็ต้องคู่กับนางเอกอยู่แล้วนี่นะ อืม… แล้วถ้าเป็นพนักงานของ HANO ผู้หญิงอ่อนหวานนิสัยดีก็มีแก้ว พี่หวาน แต่แก้วกับพี่หวานมีแฟนแล้ว ถ้างั้นจะเป็นใครล่ะสาวเรียบร้อยนิสัยดีที่ยังว่าง หรือว่าจะเป็น…”

“นางเอกนิยายก็ใช่ว่าจะเรียบร้อยอ่อนหวานนิสัยดีทั้งหมดนี่ครับ” ภควัตขัดขึ้นมาทั้งที่เธอยังพูดพล่ามไม่จบประโยค “บางเรื่องนางเอกทั้งเหวี่ยงวีนสารพัดแต่พระเอกก็ยังชอบ แล้วพี่ก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งไม่ใช่พระเอกนิยาย ถ้าคิดจะชอบใครสักคนคงไม่จำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นผู้หญิงเรียบร้อยอ่อนหวานนิสัยดีแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมอย่างกับนางเอกในนิยาย ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย…” เขาจบประโยคด้วยการแค่นเสียงหึ! ราวกับจะประชดประชันใคร… หรืออะไรสักอย่าง ชั่วขณะนั้น… ดวงตาคู่เรียวรีที่เคยฉายประกายอบอุ่นอย่างคนใจดีแลดูคล้ายกับมีร่องรอยหมองหม่นอย่างที่เธอไม่คุ้นตา หากเพียงวูบเดียวก็จางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“ผิดกับผู้หญิงบางคน… ที่ไม่เรียบร้อยอ่อนหวานเลยสักนิด” พูดถึงตรงนี้ภควัตก็ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูแปลกไป… เหมือนจะไม่ใช่แค่ยิ้มใจดีแบบที่เธอคุ้นเคย หากยังเจือร่องรอยบางอย่าง… ซึ่งมากกว่านั้น ดวงตาคู่เรียวรีที่ทอดมองมา ทอประกายละมุนทำให้ฝ่ายถูกมองเริ่มจะทำหน้าไม่ถูก

“เอ่อ ยังไงคะ” ปุณยวีร์พูดแก้เก้อ

“แต่เป็นคนร่าเริง สดใส ยิ้มง่าย แม้จะร้ายไปบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำร้ายใครก่อน ก็แค่ใครมาดีเธอก็ดีตอบ แต่ถ้าใครร้ายมาล่ะก็... ได้ถูกน็อคจนหาทางกลับบ้านไม่ถูกแน่” ท้ายประโยคเขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะทำเอาคนที่หน้าร้อนซู่เพิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักตัวลอยอยู่ท่ามกลางฟองสบู่สีรุ้งที่ลอยฟุ้งอยู่รอบตัวเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า หาก ณ วินาทีนี้กลับรู้สึกเหมือนว่าสองเท้าลอยชี้ฟ้าส่วนหัวทิ่มลงมาโหม่งพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก!

ฮึ่ม! พี่ปุ้นนะพี่ปุ้น คนกำลังโรแมนติก ทำกันได้ลงคอ ถ้าไม่ใช่ว่าพูดดีเข้าทางกันล่ะก็ ได้เห็นดีแน่

“ฟังดูคุ้นๆ นะคะ ผู้หญิงสดใส ร่าเริง ยิ้มง่ายคนนั้น” ปุณยวีร์พูดเสียงซื่อโดยทำเป็นลืมคุณสมบัติข้อท้ายๆ ที่อีกฝ่ายสาธยายให้ฟัง

ภควัตยิ้ม “จะคุ้นกว่าไหมครับถ้าพี่บอกว่า ผู้หญิงคนที่พี่อยากให้รู้ใจคนนั้นเป็น….”



บทที่ 8


“กรี๊ดดด... น่าร็อกอะแก๊...” เหมือนพิมพ์ถึงกับกรีดเสียงส่งภาษาวิบัติที่มักจะใช้สื่อสารกันตามสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊คหรือไลน์มาตามสัญญาณโทรศัพท์หลังจากฟังเรื่องราวโรแมนติกปนคอมเมดี้ระหว่างปุณยวีร์กับชายหนุ่มรุ่นพี่ที่แกลเลอรี่ดอกไม้จบลง

“สรุปว่าพี่ข้าวปุ้นตกเป็นของแกเรียบร้อยแล้วใช่มะ คอนเกรททูเลชั่นจ้าเพื่อนเลิฟ”

“ตกเติกเป็นของฉันอะไรกันล่ะ ยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย นังเพื่อนบ้า ฉันกับพี่ปุ้นแค่ตกลงคบหากันเท่านั้น แล้วฉันก็เป็นผู้หญิงนะยะ ถึงจะไม่ใช่กุลสตรีศรีรัตนโกสินทร์ แต่ก็ไม่ได้กินผู้ชายเป็นอาหาร พูดจาน่าเกลียดจริงๆ เลยแก” เมื่อเพื่อนสาวสุดมั่นเริ่มจะพูดจาเลื่อนเปื้อนมากเกินไปก็ต้องปรามกันก่อนที่คนอื่นจะมาได้ยินเข้าแล้วคิดไปในทางที่ไม่ดี

“วันนี้อาจจะยัง แต่ก็ต้องมีสักวันที่แกได้กินพี่ข้าวปุ้นนั่นแหละ” อีกฝ่ายยังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “โอเคๆ เรื่องตกเติกกินไม่กินพักไว้ก่อนก็ได้ แต่เนื่องในโอกาสที่แกถูกสอยลงจากคานทั้งทีจะไม่กลับกรุงเทพฯมาเลี้ยงฉลองกับเพื่อนหน่อยเหรอยะ” แม่สาวปาร์ตี้ฉลองได้ทุกวาระและโอกาสถามน้ำเสียงมีความหวัง

“ไม่ย่ะ ไม่มีคิวว่าง วันหยุดนี้คุณแฟนจะพาไปเที่ยว” ปุณยวีร์ตอบกลับทันควัน

“แหม! ยังไม่ทันไรก็เห็นผู้ชายดีกว่าเพื่อนเลยนะแก” คนเป็นเพื่อนกระแนะกระแหนเสียงสูง

“ก็ไม่รู้ซินะ ทีใครทีมัน เมื่อก่อนแกก็ทิ้งฉันเอาไว้แล้วเลือกไปกับผู้ชายเหมือนกัน” คนเพิ่งมีแฟนได้ทีตอกกลับไม่ยี่หระ และในจังหวะที่คู่สนทนายังจุกพูดไม่ออกเธอก็จัดการยิงไปอีกดอก “เออ นี่แก เมื่อวานแม่ฉันโทร.มา ฉันเลยแย็บถามไปว่าแม่จะมาเยี่ยมฉันเมื่อไหร่จะได้เตรียมรับมือถูก แกรู้ไหมว่าแม่ฉันตอบกลับมาว่าไง”

“จะไปรู้เหรอ ฉันไม่ได้ติดเครื่องดักฟังเอาไว้ที่ตัวแกหรือแม่แกนี่” เหมือนพิมพ์ตอบกลับรวนๆ

“แค่บอกว่าไม่รู้ก็พอแล้วย่ะ ไม่ต้องพูดจาวอนหาเรื่องให้ถูกเฉ่งหนักกว่าเก่า เอาล่ะ ฟังนะ แม่ฉันตอบกลับมาว่า ‘ไปเยี่ยมทำไม แกเป็นอะไรงั้นเหรอ’ แบบนี้มันหมายความว่าไง สรุปแล้วไอ้เรื่องเอ็กคลูซีฟที่ว่าแกกุขึ้นเองใช่ไหมนังพิมพ์! แกทำให้ฉันเครียดแทบบ้ารู้ไหม ไหนจะต้องบากหน้าไปขอผู้ชายเป็นแฟนก่อน แกรู้ไหมว่าตอนที่พี่ปุ้นบอกว่ามีคนที่อยากให้รู้ใจอยู่แล้วฉันรู้สึกยังไง ฉันอายจนแทบจะเอาหัวโขกกับเรือนกระจกแกลเลอรี่ให้รู้แล้วรู้รอด แกทำให้ฉัน...”

“บ้าเหรอแก! เรื่องสำคัญขนาดนั้นฉันจะกุมันขึ้นมาทำไม” เหมือนพิมพ์ปฏิเสธทะลุกลางปล้อง “ที่แม่แกตอบแบบนั้นก็เพราะอีตานายกนั่นเปลี่ยนแผนกะทันหันน่ะซิ”

“หมายความว่าไง ยังมีแผนบ้าบออะไรที่ฉันไม่รู้อีก”

“คือทางอบจ. เขามีแผนจะพาพนักงานในสังกัดไปเที่ยวพักผ่อนประจำปีไงแก โดยให้โหวตเลือกระหว่างทะเลภาคตะวันออกกับภูเขาทางภาคเหนือ แล้วอีตานายกนั่นก็คิดเอาเองว่าคนจะโหวตไปทะเลมากกว่า เลยวางแผนกับแม่แกว่าจะถือโอกาสมาดูตัวแกด้วย แต่ผลโหวตออกมากลับกลายเป็นว่าคนอยากไปเที่ยวภูเขามากกว่า แม่แกกับหมอนั่นก็เลยต้องพับแผนนี้เอาไว้ก่อน เออ พอแกพูดถึงเรื่องนี้ฉันเลยนึกขึ้นได้ อันนี้แผนล่าสุดเลยนะแก ฉันแอบรู้มาว่าแม่แกจะจัดฉากให้แกกับหมอนั่นได้พบกันตอนแกกลับไปเยี่ยมบ้าน ถ้าแกกลับไปเมื่อไหร่ก็เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ด้วยล่ะ หรือถ้าจะให้ดีก็หนีบพี่ข้าวปุ้นสุดที่รักไปแนะนำตัวกับครอบครัวด้วยซะเลย”

“พาไปแนะนำตัวกับครอบครัวเนี่ยนะแก มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอ อีกสองเดือนฉันก็มีแพลนกลับไปเยี่ยมบ้านแล้ว และฉันกับเขาก็เพิ่งจะตกลงคบกันเมื่อวานนะไม่ใช่ปีที่แล้ว” อุตส่าห์โล่งใจที่หาผู้ชายมาคบเป็นของตัวเองได้ไม่ทันไรก็มีปัญหาใหม่มาให้กลุ้มอีกแล้ว

“ความรักไม่ต้องการเวลา แกไม่เคยได้ยินเหรอ” เหมือนพิมพ์พูดง่ายๆ ตามนิสัย “แล้วถ้าแกกังวลว่าจะพูดยังไงพี่ปุ้นถึงจะเต็มใจยอมตามแกไปแนะนำตัวกับที่บ้านโดยไม่รู้สึกว่าถูกผูกมัดล่ะก็ ฉันมีวิธี...”

“ยังไงเหรอแก” ปุณยวีร์ถามกลับน้ำเสียงบอกความกระหายอยากรู้ลืมความตั้งใจที่ว่าจะเฉ่งอีกฝ่ายให้ยับไปจนสิ้น






“ทำอะไรอยู่นะครับ ไปรับผ้ามาจากร้านซักรีด หือ ปุ่นรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าด้วยเหรอครับ อ้าว ไม่ใช่เหรอ ไปรับเสื้อผ้าตัวเองที่ส่งซักรีดเอาไว้ อ๋อ ที่แท้คุณล่ามก็ซักรีดเสื้อผ้าไม่เป็น หือ ซักเป็นแต่รีดไม่ค่อยเรียบต้องใช้เวลานานกลัวเปลืองไฟเลยจ้างดีกว่าว่างั้น พี่เข้าใจครับ อ้าว เข้าใจจริงๆ นะ ไม่ได้ว่าอะไรเลยสักคำ มีผู้หญิงออกเยอะไปที่ไม่ซักรีดเสื้อผ้าเองแต่จ้างร้าน แล้วตอนนี้กลับมาถึงห้องหรือยังครับ ปิดประตูล็อกห้องให้เรียบร้อยด้วยนะ เป็นห่วงนะครับ เอาล่ะดึกแล้วพี่ไม่กวนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าเจอกันนะครับถ้าพี่ออกจากบ้านเมื่อไหร่จะโทรไปบอกปุ่นก็เตรียมตัวรอขึ้นรถได้เลย หลับฝันดีครับ ขอบคุณครับผม ถ้างั้นแค่นี้นะ”

“พี่ปุ้นนะพี่ปุ้น ทำเป็นพูดดีว่าแค่รุ่นพี่รุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยไม่มีอะไรในกอไผ่ แล้วเป็นห่วงนะครับ หลับฝันดีนะครับ มันอะไร พี่น้องมหา’ลัย ไหนถึงหวานกันได้ขนาดนี้”

ตรัยโอดครวญขึ้นมา หลังจากเขาและสมาชิกร่วมก๊วนอันประกอบไปด้วยก้องภพ อนุพงษ์ และชินพัตต์ซึ่งนั่งล้อมวงจิบเบียร์อยู่บริเวณชานหน้าบ้าน แล้วยังมีกีรฎากับวนิดานั่งจิบโคล่าแกล้มกับถั่วอยู่อีกวงข้างๆ โดยทุกคนพร้อมใจกันเงียบเสียงแล้วกางใบหูแอบฟังเต็มที่ เมื่อได้ยินเสียงห้าวทุ้มของสมาชิกร่วมบ้านชายโสดอีกคน ซึ่งก็คือภควัตที่ไม่ยอมร่วมวงจิบเบียร์แต่กลับปลีกตัวขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน ที่แท้ก็ขึ้นไปหามุมสงบเป็นส่วนตัวเพื่อโทร.ไปพูดคุยจิ๊จ๊ะกับล่ามสาวคนล่าสุดของ HANO นั่นเอง

“อีแบบนี้งั้นก็แสดงว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่ลอยลมมาจาก X แกลเลอรี่เป็นเรื่องจริงซิวะ” อนุพงษ์พูดขึ้นมาบ้าง

“เอาน่าอย่าเศร้าใจไปเลยเต้ ใช่ว่าจะต้องทำไร่แห้วคนเดียวเสียเมื่อไหร่ พี่ว่าพรุ่งนี้เต้มีเพื่อนช่วยขุดดินปลูกแห้วอีกหลายคนเลยล่ะ” วนิดาพูดกลั้วหัวเราะ

“พี่หวานคร้าบ ไม่ปลอบก็ไม่เป็นไรนะครับแต่ได้โปรดอย่าทับถมกันได้ไหม” ตรัยยังคร่ำครวญไม่เลิก

“ทำใจซะเถอะเต้ เพราะถึงคุณปุ่นจะยังไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ปุ้น ก็ใช่ว่าเธอจะหันมาชอบเต้ เป็นเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่รุ่นน้องแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว อย่าคิดปีนเกลียวเลย” กีรฎาก็เป็นอีกคนที่ออกความเห็นโดยไม่ได้สนใจคำคร่ำครวญของชายหนุ่มรุ่นน้อง

“โธ่พี่แก้ว ต้องให้ผมแหวกอกแงะหัวใจออกมาให้พวกพี่ดูใช่ไหมครับ พวกพี่ถึงจะเชื่อว่าหัวใจผมบอบช้ำแสนสาหัสมากแค่ไหน”

หนุ่มตี๋ถึงกับตีอกชกตัวเมื่อไม่มีใครเห็นใจเลยสักคนก่อนจะถอนหายใจปลดปลง “เรียนที่จะรัก ก็ต้องเรียนอกหักเป็นเรื่องธรรมดา นี่แหละหนาที่พระท่านว่า ชีวิต... อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ในเมื่อไม่มีใครปลอบใจเลยสักคน เขาปลอบตัวเองก็ได้วะ!

“ว่าแต่ว่า... พวกพี่ๆ คิดเหมือนผมไหมครับว่าข่าวกอสซิปของคู่รักคู่ใหม่ใน HANO คราวนี้สร้างปรากฏการณ์แปลกๆ อย่างหนึ่ง” ตรัยจุดประเด็นใหม่ขึ้นมา แล้วจากคนที่คร่ำครวญยังไงก็ไม่มีใครคิดใส่ใจ มาคราวนี้ทุกคนหันมาให้ความสนใจเขาเป็นตาเดียว

“ปรากฏการณ์แปลกๆ ยังไงวะ” อนุพงษ์เป็นคนถามแทนใจทุกคน

ตรัยไม่ตอบเป็นคำพูดแต่อาศัยการยักคิ้วหลิ่วตาแทน

อนุพงษ์หันมองตามสายตาของชายหนุ่มรุ่นน้องแล้วก็ขมวดคิ้ว “ที่ไอ้เจ้าชินนั่งเล่นเกมเศรษฐีในไอโฟนนี่อะนะปรากฏการณ์แปลกๆ ของเอ็งไอ้เต้” พูดน้ำเสียงทำนองบอกว่า ‘คุณมึงคิดได้ยังไงวะครับ!’

ตรัยถอนหายใจละเหี่ย “ไหงเห็นเป็นงั้นไปได้ล่ะพี่ต้น ผมหมายถึงพี่ปืนศิษย์สรย้วยโน่นต่างหาก” เอ่ยพาดพิงไปถึงนักเล่าข่าวชื่อดัง “ที่ไม่ว่าจะมีข่าวลือ ข่าวลวง คลิปเด็ด หรือกอสซิปจากสำนักไหนๆ ก็เป็นต้องจับมาวิเคราะห์เจาะลึกหรือแตกประเด็นได้ทุกเรื่องไป แต่ไหงคราวนี้ถึงได้นั่งอมเบียร์เงียบผิดปกติ พี่ๆ ไม่คิดเหมือนผมหรือครับ”

“เออ จริงของเอ็ง” อนุพงษ์เห็นด้วยก่อนจะหันไปทางเพื่อนคู่หูดูโอ “ว่าไงวะ มีอะไรจะแก้ตัวไหมไอ้คุณก้องย้วย”

ก้องภพได้แค่ถลึงตากลับแล้วอ้าปากหากยังไม่ทันได้เอ่ยคำใดเจ้าของเสียงซึ่งกุมหัวใจเขาเอาไว้ก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน “ช็อกจนพูดไม่ออกอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะอกหักจากคุณปุ่นอีกคนหรอกนะคะ” ถามน้ำเสียงเคลือบแคลง

“อกหักจากยัยเด็กเถื่อนเนี่ยนะ! เอาอะไรมาพูดครับแก้ว พี่ขนลุกนะเนี่ย” หนุ่มผิวเข้มมาดเข้มอุทานเสียงหลงไม่พอ ยังลูบแขนไปมาบอกให้รู้ว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นทำเอาเขารู้สึกขนพองสยองเกล้าจริงๆ

“ไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ใช่สิคะ ไม่เห็นต้องทำท่าแบบนั้นเลย เสียมารยาทจริงๆ เลยพี่ปืน” กีรฎาส่ายศีรษะบอกเสียงดุ

“ก็แก้วพูดให้พี่ขนลุกจริงๆ นี่ครับ” ก้องภพยังคงยืนยันความรู้สึกเดิมก่อนจะยักไหล่ “เอาล่ะ จะบอกให้ก็ได้ว่าพี่เงียบไปเพราะอะไร พี่แค่แปลกใจไม่นึกว่าสองคนนั้นจะคบกันจริง”

“ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลยนี่ครับ ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าเค้าปลื้มพี่ปุ้นมากแค่ไหน” จู่ๆ คนที่จดจ่ออยู่แต่กับเกมออนไลน์บน
สมาร์ตโฟนก็ออกความเห็นขึ้นมาทำเอาสมาชิกร่วมบ้านและข้างบ้านถึงกับเลิกคิ้วอึ้งทึ่งไปตามๆ กัน

ก้องภพหรี่ตาอมยิ้มมีเลศนัย “หือ นายเห็นด้วยงั้นเหรอ”

ชินพัตต์ไหวไหล่ “ผมไม่ได้ตาบอดนี่ครับ”

เจอคำตอบกลับลุ่นๆ เข้าไปก้องภพก็ได้แต่กลอกตา ‘เกรียนได้โล่จริงๆ และเขาก็ทำอะไรมันไม่ได้อีกตามเคย เซ็ง!’

อนุพงษ์หัวเราะขลุกขลักในลำคอเบาๆ ก่อนจะกระแอมกระไอแล้วถามขึ้นบ้าง “ตกลงที่เอ็งว่าแปลกมันแปลกยังไงวะ ก็อย่างที่ไอ้ชินพูดว่าใครๆ ก็ดูออกว่ายัยปุ่นปลื้มไอ้ปุ้นมาก”

“มันก็ใช่ที่ยัยปุ่นปลื้มไอ้ปุ้นมาก และถ้าตัดความร้ายกาจความเถื่อนออกไป ยัยเด็กนั่นก็นับเป็นผู้หญิงที่น่ารักน่าคบหาคนหนึ่ง แต่ยังไงข้าก็คิดว่าไม่ใช่สำหรับไอ้ปุ้นอยู่ดี ก็ไอ้หมอนั่นมันยัง...” ก้องภพพูดค้างอยู่แค่นั้นก่อนจะยักไหล่ “ช่างเถอะ” คำสุดท้ายเขาพูดแผ่วเบาแทบไม่ล่วงพ้นริมฝีปาก

“แต่พูดก็พูดเถอะ เมื่อวานพี่ปุ้นยังไม่มีท่าทีอะไรเลยนะครับ แล้วที่เห็นออกไปข้างนอกก็บอกว่าจะไปทำธุระ ถ้ารู้อย่างนี้เมื่อวานผมออกไปทำธุระเสียก็ดีเผื่อจะได้เจอแล้วได้ช่วยคุณปุ่นที่ถูกหมากัดจากนั้นก็จะได้สานสัมพันธ์กันต่อ” ตรัยยังคงเพ้อรำพันไม่เลิก วนิดาจึงยื่นกระปุกใบหนึ่งไปให้

“อะไรเหรอครับพี่หวาน”

“ยาหยุดมโน กินซะหน่อยเผื่ออาการจะดีขึ้น” วนิดาบอกหน้าตายพลางหันกระปุกด้านที่เธอเพิ่งใช้ปากกาเมจิกสีน้ำเงินเข้มเขียนด้วยตัวอักษรเป็นระเบียบว่า ‘ยาหยุดมโน’ ทับคำว่าวิตามินรวมซึ่งถูกพิมพ์อยู่บนกระดาษที่ติดอยู่กับกระปุกมาตั้งแต่แรกให้คนช่างมโนได้เห็นชัดๆ

“ใจร้ายกับผมอีกแล้ว” ตรัยแสร้งทำเสียงเครือ หากมันก็แค่นั้น ไม่มีใครเห็นใจเขาเช่นเคย ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก...

“อะไรนะ! ยัยเด็กเถื่อนถูกหมากัดเหรอ” ก้องภพถามเสียงแปลกใจ เขาเพิ่งจะรู้ว่าภควัตกับปุณยวีร์พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นอีกระดับจากบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่แอบได้ยินคนเป็นเพื่อนคุยกับสาวเจ้า แต่ยังไม่รู้รายละเอียดของข่าวกอสซิปที่สมาชิก
ร่วมก๊วนกล่าวถึง

“นอกจากดุอย่างกับหมาแล้ว ยัยเด็กนั่นยังไปหาเรื่องกัดกับหมาอีกเหรอ” พูดพล่ามเอามันโดยไม่คิดอะไร ยิ่งคนที่ถูกกล่าวถึงไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยก็ยิ่งได้ใจปล่อยสุนัขจากปากออกมาเห่าทั้งฝูง ซึ่งคนฟังหลายคนก็ไม่คิดอะไรมากเห็นเป็นเรื่องขำขันเช่นเดียวกันกับเขา แต่บางคนกลับไม่

“พี่ปืน!” เจ้าของเสียงที่ปกติมักจะอ่อนหวานปรามเสียงขุ่นคลั่ก ซึ่งคนนี้เขาพอจะเข้าใจ แต่กับคนบางคน... ที่แทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของใคร หากคราวนี้กลับเอ่ยเสียงเรียบหากแฝงรอยดุว่า

“เค้าไม่ได้ไปหาเรื่องกัดหมา แต่ไปช่วยหมาที่ถูกรถชนเลยโดนหมากัด” ไอ้คนนี้นี่สิ! ที่นอกจากจะไม่เข้าใจแล้วเขายังแปลกใจและติดใจกับท่าทีของมันอีกด้วย

“หืม อย่าบอกนะว่าปาปาราซซี่ข่าวกอสซิปคราวนี้เป็นเอ็ง ดูท่าจะรู้ละเอียดเชียว” ก้องภพได้ทีสวมบทเป็นทนายปากเอกซ้อมค้างจำเลย

“ก็อย่างที่บอกว่าเค้าไปช่วยหมาที่ถูกรถชนอยู่ข้างถนน ผมแค่บังเอิญขับรถผ่านแถวนั้นไม่ต้องเป็นปาปาราซซี่สอดเรื่องชาวบ้านก็รู้ได้ไม่ยาก” ฝ่ายจำเลยตอบกลับเสียงเรียบเฉยไม่ยอมจำนนต่อคำคาดการณ์

‘เอาเถอะ คดียังไม่สิ้นสุด ฝ่ายทนายอย่างเขาจะทำเป็นยอมความไปก่อนก็ได้ ไว้หาหลักฐานได้พร้อมมูลเมื่อไร รับรองจำเลยจอมเกรียนดิ้นไม่หลุดแน่ ฮึ่ม!’ ก้องภพยกแก้วเบียร์ในมือขึ้นจิบพลางหมายมาดอยู่ในใจ

“รัตนโกสินทร์ยังไม่สิ้นคนดีง่ายๆ แล้วนับประสาอะไรกับ HANO ล่ะวะ คนสวยคนน่ารักตบเท้ากันเข้าออกให้ควั่ก ถึงจะหมดหวังจากล่ามสาวหน้าใสไปแล้ว แต่ข้าก็ได้ยินแว่วๆ ว่าพนักงานใหม่ที่กำลังจะเริ่มงานเดือนหน้ามีแต่แจ่มๆ ทั้งนั้น” หลังจากแท็คทีมกันทับถมจนชายเล็กของก๊วนแบนเป็นกล้วยปิ้งไปแล้ว มาคราวนี้อนุพงษ์เลยเปลี่ยนใจทำตัวเป็นพี่ใหญ่ที่แสนดีเปิดประเด็นที่เขาแน่ใจว่ามันได้ยินแล้วจะต้องฮึดขึ้นอีกครั้ง

“จริงเหรอครับพี่ต้น แผนกไหนครับ” ถามเสียงกระชุ่มกระชวยเชียวล่ะ ผิดจากที่คิดเสียที่ไหน

“โปรดักชั่นกับ...”

“โปรดักชั่น! โหย เซ็งเลย ถึงจะแจ่มๆ ก็เถอะ แต่ถ้าห้าวเหลือใจแบบพี่เฟย์ก็ไม่ไหว” ตรัยขัดขึ้นพลางถอนหายใจละเหี่ย

“เอ็งจะกรุณาฟังข้าพูดให้จบก่อนได้ไหมวะ” คนถูกขัดจังหวะว่าเสียงขุ่น

“ฟังครับฟัง ผมขอโทษครับพี่”

“เออ! นอกจากโปรดักชั่นแล้วก็มีมาร์เก็ตติงด้วย ซึ่งก็เป็นสาวมาร์เก็ตติงนี่แหละที่เขาว่ากันว่าแจ่มจริงอะไรจริง เอ็งก็รอดูเอาเองแล้วกันว่ามันจะจริงตามเสียงลือไหม หวังว่าคราวนี้จะโชคดีไม่ต้องทำงานควบสองตำแหน่ง กลางวันเป็นวิศวกรพอตกกลางคืนก็เป็นไอ้หนุ่มชาวไร่จับจอมขุดดินปลูกแห้วอีกนะโว้ย” ลงท้ายก็ไม่วายทับถมกันอีกตามเคย

หากคราวนี้ตรัยปล่อยผ่านคำทับถมให้ลอยลมไป เขาวางแก้วเบียร์ลงกับเสื่อแล้วถูมือไปมา “พวกพี่ๆ เตรียมตัวรอรับขวัญน้องสะใภ้จากแผนกมาร์เก็ตติงได้เลยครับ” บอกอย่างมั่นใจ

“ไอ้เต้มันเตรียมตัวจะสอยสาวมาร์เก็ตติงคนใหม่แล้ว เอ็งว่าไงวะชินไม่สนใจบ้างเหรอ หรือว่ากลัวเรตติ้งตกวะถึงไม่เคยเห็นสนสาวคนไหนเสียที” อนุพงษ์หันไปถามคนที่เงยหน้าขึ้นมาทีไรก็จิบเบียร์พอก้มลงไปเมื่อไรก็เล่นเกมในสมาร์ตโฟนไม่ค่อยพูดค่อยจากับใคร

“ไม่ดีกว่าครับ เกรงใจไอ้เต้มันเดี๋ยวมันจะต้องทำไร่แห้วอีกยาว” ชินพัตต์บอกเสียงเรียบโดยไม่ละสายตาออกจากเกมออนไลน์บนสมาร์ตโฟนในมือเลย

“โหย พี่ชิน สุดท้ายก็ดีแตกไม่ต่างจากคนอื่นเลย” ตรัยบ่นอุบ

ก้องภพอมยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกขำขันชายหนุ่มอายุน้อยที่สุดในกลุ่มแต่อย่างใด เพราะดวงตาคู่คมที่หรี่แคบลงมองไปทางจอมเกรียนอย่างมีนัยสำคัญ...


TBC...



พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ต.ค. 2557, 08:59:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ต.ค. 2557, 08:59:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1278





<< 7/2   ตอนที่ 9 >>
Zephyr 2 ธ.ค. 2557, 13:15:54 น.
มีนัยสำคัญ ฮ่าๆๆๆ


sunflower 1 ม.ค. 2558, 16:32:52 น.
พี่ปืนเหมือนรู้อะไร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account