เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 9

ปุณยวีร์ก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉงเข้าไปในห้องประชุมใหญ่ภายในตึกอำนวยการ ซึ่งวันนี้ตัวแทนพนักงานจากแผนกต่างๆ มาเข้ามีตติ้งร่วมกันเพื่อสรุปผลการทำงานประจำเดือนต่อผู้บริหารชาวญี่ปุ่น เจ้าของดวงหน้าขาวจัดแจกยิ้มสดใสให้กับเพื่อนพนักงานที่นั่งประจำอยู่ตามโต๊ะต่างๆ ขณะรอเวลาที่ผู้บริหารจะมาถึงแล้วการมีตติ้งจะได้เริ่มต้นขึ้น

“Ohayo. Ogenkidesu ka?” ล่ามสาวกล่าวสวัสดีตอนเช้าแล้วตามด้วยประโยคสอบถามสารทุกข์สุกดิบเป็นภาษาญี่ปุ่นเมื่อเดินผ่านพนักงานรุ่นพี่จากแผนกผลิตซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันดี ตามปกติแล้วอีกฝ่ายมักจะมีรอยยิ้ม คำแซวทักทายกลับมาทุกครั้งที่ได้พบกันหรือติดต่อเรื่องงาน หากคราวนี้กลับไม่!

“ไม่ต้องมาทัก เราไม่รู้จักกัน” วัชระบอกเสียงสะบัดไม่พอ เขายังสะบัดหน้าไปอีกทางจนคนมองกลัวว่าคอเขาจะเคล็ดเอา

“พี่ต้อ” ปุณยวีร์ครางเสียงอ่อนใจแล้วก็หัวเราะ “เป็นอะไรไปคะ เดี๋ยวคอก็หักหรอก”

“เฮอะ!” ชายหนุ่มรุ่นพี่จากแผนกผลิตแค่นเสียงตอบกลับมา “ไม่อยากพูดกับคนมีแฟน”

คนที่เพิ่งมีแฟนถึงบางอ้อ เข้าใจปฏิกิริยาตอบกลับแบบแปลกๆ จากอีกฝ่ายก็คราวนี้ “โหย พี่ต้ออะ” เธอว่าเสียงเพลีย ก่อนจะรู้สึกเพลียยิ่งกว่าเมื่อพนักงานชายหลายคนประสานเสียงบอกพร้อมเพรียงกันว่า “มีแฟนแล้ว เราไม่คุย เราไม่ปลื้ม คนมีแฟน”

ปุณยวีร์ยกมือกุมขมับถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลยทีเดียว ก็แหมแต่ล่ะคนที่ทำเป็นงอนอยู่ตอนนี้ใช่ว่าจะตัวเปล่าเล่าเปลือยเสียเมื่อไหร่ ไม่มีเมียก็มีแฟนแล้วทั้งนั้น ยังจะมางอนกันอีก เหอะ!

“ปุ่นก็บอกไปสิครับว่าไม่อยากคุยเหมือนกัน เพราะแค่คุยกับพี่ก็ไม่เหลือเวลาไปคุยกับคนอื่นแล้ว” เสียงทุ้มนุ่มของ ‘ใครบางคน’ ดังขึ้นเหนือศีรษะ

“พี่ปุ้น” ปุณยวีร์ผินหน้ากลับไปฉีกยิ้มที่ทั้งอ่อนหวานและสดใสให้กับคนที่เพิ่งมาถึงและยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง

ภควัตมอบรอยยิ้มอบอุ่นและอ่อนหวานไม่แพ้กันตอบกลับมา “วันนี้ต้องตามนายไปไหนหรือเปล่าครับ ตอนเที่ยงไปทานก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าอร่อยกับพี่มั้ย”

“ว้า ปุ่นต้องตามซาโต้ซังไปพบลูกค้าที่อมตะนครตอนบ่ายสอง เห็นแกบอกว่าจะออกไปตั้งแต่เที่ยงแล้วทานข้าวกล่องกันบนรถ อดเลย” ปุณยวีร์บอกน้ำเสียงเสียดาย

“แล้วจะกลับมาตอนกี่โมงครับ”

“คิดว่าคงมาถึงที่นี่ไม่น่าจะเร็วกว่าหกโมงเย็น เมื่อเช้าพี่ปุ้นบอกว่าไม่มีโอใช่ไหมคะ งั้นก็กลับบ้านไปพักผ่อนได้เลยทำโอติดต่อกันมาหลายวันแล้วด้วย ไม่ต้องรอเดี๋ยวปุ่นกลับเอง” บอกง่ายๆ ตามสไตล์ผู้หญิงที่คุ้นเคยกับการดูแลตัวเอง

“พี่กลับไปก่อนก็ได้ แล้วค่อยมารับตอนที่ปุ่นมาถึงบริษัทแล้ว มาถึงตอนไหนก็โทร.บอกพี่แล้วกัน นะครับ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาตามสไตล์เจ้าชายที่แสนดีเหมือนเคย

“แต่... เดี๋ยวพี่ปุ้นจะเหนื่อย” คิดไปถึงนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ไกลถึงจังหวัดชลบุรีซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางทั้งไปและกลับหลายชั่วโมงแล้วปุณยวีร์ก็อดรู้สึกเกรงใจคนที่ต้องทำงานล่วงเวลาหามรุ่งหามค่ำติดต่อกันหลายวันไม่ได้

“เหนื่อยก็ยังดีกว่าไม่สบายใจ เอาเป็นว่ามาถึงเมื่อไหร่ก็โทร.หาพี่ ตกลงนะครับ”

ปุณยวีร์พยักหน้าตกลงพร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณค่ะพี่ปุ้น”

“ด้วยความยินดีครับผม” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน

“โอย...” วัชระครางก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำราวกับว่าบทสนทนาของล่ามสาวกับวิศวกรหนุ่มคู่รักคู่ล่าสุดใน HANO ทำให้เขาเจ็บปวดเสียเต็มประดา

“หาอะไรเย็นๆ มาประคบตาหน่อยมั้ยพี่ต้อ” ฟารีดาบอกท่าทางเหมือนจะหวังดี

วัชระเงยหน้าขึ้นมา “เออ เข้าท่าว่ะเจ้าเฟย์ เอามาให้พี่หน่อยดิ๊ ว่าแต่อะไรวะเย็นๆ แล้วใครมีวะ แกเองเหรอ”

ใบหน้าใสเป็นธรรมชาติไร้สีสันเครื่องสำอางของสาวห้าวผุดยิ้มพราย “ก็... โลงเย็นไงพี่ต้อ เย็นเจี๊ยบได้ใจลงไปนอนได้ทั้งตัว พี่อ้อยแกเตรียมไว้เผื่อพี่ต้อโดยเฉพาะ จะเอาตอนนี้เลยมั้ยเดี๋ยวเฟย์จะไลน์ไปบอกพี่อ้อย” ฟารีดาอ้างไปถึงอ้อย หรือสุพรรษา ซึ่งเป็นว่าที่เจ้าสาวของวัชระ ที่กำลังจะมีพิธีฉลองมงคลสมรสกันอีกในไม่ช้า

“ไอ้เฟย์!” วัชระคำรามเสียงลั่น “หมูกระทะเย็นนี้จ่ายตังค์เองเลย ไม่ล้งไม่เลี้ยงมันแล้วโว้ย”

“แง... เก๊าขอโต๊ด พี่ต้ออภัยให้เค้าเถอะ ถือว่าช่วยสมทบทุนค่าอาหารเย็นแก่เด็กน้อยตาดำๆ นะพี่ต้อนะ” เพื่อหมูกระทะของโปรดแล้วฟารีดาถึงกับเข้าไปกอดแขนงอนง้อขออภัยจากชายหนุ่มรุ่นพี่ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนพนักงานที่มารวมกันอยู่ห้องประชุม

“ไม่ต้องมาหัวเราะเลย คนมีแฟน” วัชระไม่ยอมจบง่ายๆ ยังตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องคนที่เพิ่งมีแฟนไม่เลิก

“โอ๊ย พี่ต้อ เดี๋ยวปุ่นขอให้พี่อ้อยเอาโลงเย็นมาให้นอนจริงๆ ด้วย” ปุณยวีร์เข่นเขี้ยว

วัชระโบกมือ “จะทำอะไรก็ทำ ฉันขอลาออกจากตำแหน่งประธานชมรมติ่งล่ามจอมมารเป็นการถาวร ชิ!”

“อ๊ายยย... พี่ต้อ” ปุณยวีร์แหวแว้ด ไม่ใช่ว่าไม่พอใจที่อีกฝ่ายประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานชมรมบ้าบออะไรนั่น แต่เป็นเพราะทนไม่ได้เมื่อถูกอีกฝ่ายเรียกด้วยฉายาแสลงหู

“เดี๋ยวตั้งชมรมใหม่ดีกว่า เป็นติ่งน้องอ้อนแอนด์น้องโยคู่ดูโอสุดสวยจากมาร์เก็ตติ้ง มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้งกว่าคนบางคนเยอะ” วัชระยังพล่ามต่อไป

ปุณยวีร์ย่นจมูก “เห็นใหม่แล้วลืมเก่า จำเอาไว้เลย อ้าว! พี่ปุ้น เป็นอะไรรึเปล่าคะ” ท้ายประโยคเธออุทานเสียงสูง เมื่อจู่ๆ คนที่เดินอยู่ข้างๆ ก็ซุ่มซ่ามทำแฟ้มงานตกใส่เท้าตัวเอง

“เปล่า พี่ไม่เป็นไร” ภควัตอุบอิบตอบกลับมาขณะก้มลงเก็บข้าวของที่หล่นเกลื่อนพื้น

หัวคิ้วที่ถูกกันและวาดเขียนอย่างสวยงามเหนือดวงตาคู่กลมโตขมวดกันมุ่น เมื่อเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ที่เธอไม่เคยได้เห็นเลยจากคนที่ใจเย็นและสุขุมอยู่เป็นนิจ หากก็ไม่มีเวลาได้ไถ่ถามเอาความมากกว่านั้นเพราะหลังจากช่วยเขาเก็บของเสร็จเรียบร้อยเธอก็ต้องรีบเข้าไปนั่งประจำที่ของตัวเองเนื่องจากผู้บริหารชาวญี่ปุ่นเปิดประตูห้องประชุมเข้ามาแล้ว








“เอาล่ะครับ ต่อจากนี้จะเป็นการฟาดแข้งระหว่างทีมสีน้ำเงิน นำทีมด้วย ล่ามจอมมาร... เอ้ย! กองหน้าหน้าหยก ปุ่น ปุณยวีร์ กับทีมสีแดง นำทีมด้วย นางฟ้าตกนรก... เอ้ย! มิดฟิลด์หล่อลากไส้ เฟย์ ฟารีดา ครับผม”

ก้องภพประกาศขึ้นมาขำๆ เมื่อได้เห็นพนักงานสาวๆ ที่ปกติแล้วจะเคยคุ้นในแบบฟอร์มของพนักงาน หากในวันนี้กลับมาในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น สวมถุงเท้ายาวถึงหัวเข่า แถมบางคนยังมีหมวกแก็ป หมวกปีกกว้าง ปลอกแขน และถุงมือครบชุด เตรียมพร้อมสำหรับทำกิจกรรมปลูกป่าชายเลน อันเป็นส่วนหนึ่งของงานบริการเพื่อสังคมหรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ที่บริษัท HANO ไม่เคยละเลย โดยทยอยทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมุ่งเน้นให้เกิดการสร้างคุณประโยชน์เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม และกิจกรรมในปีนี้ก็เป็นการปลูกต้นโกงกางเพื่อพลิกฟื้นผืนป่าชายเลนที่เริ่มเสื่อมโทรมให้กลับมาอุดมสมบูรณขึ้นอีกครั้ง

โดยทางฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลได้ติดต่อไปยังศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนในชุมชนแห่งหนึ่งที่จังหวัดชลบุรีเพื่อดำเนินกิจกรรม หลังจากตัวแทนผู้บริหารของบริษัท HANO กล่าวเปิดงานและมอบกล้าไม้โกงกางจำนวน 30,000 ต้น ให้กับหัวหน้าศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนเรียบร้อยแล้ว วิทยากรประจำศูนย์ก็ได้บรรยายให้ความรู้เรื่องป่าชายเลนตลอดจนขั้นตอนวิธีการปลูกต้นไม้ให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการฟัง จากนั้นก็ให้เวลาทุกคนได้สำรวจตัวเองดูแลการแต่งกายให้พร้อมสำหรับการไปลุยดินเลน

“ปุ่น พี่ว่าเรามาแท็คทีมกันฟาดปากไอ้ดาร์คปากด็อกสักทีดีมั้ย” ฟารีดาพูดจบก็หักนิ้วเสียงดังกร๊อบ! จนคนปากเสียลามปามคนอื่นเขาไปทั่วถึงกับสะดุ้ง

ปุณยวีร์ยกนิ้วถูจมูกแล้วพับแขนเสื้อขึ้น “จัดไปพี่เฟย์”

“เป๋ง! ยกที่หนึ่ง เริ่ม!” ตรัยเป็นคนให้สัญญาณ

“เฮ้ย! จะทำอะไร ไม่เล่นนะ” เห็นสายตาและท่าทางของหญิงสาวทั้งสองแล้วก้องภพก็ชักไม่แน่ใจว่าจะรับมือได้ไหม เพราะแค่คนเดียวก็ร้ายกาจพอตัวอยู่แล้ว แต่นี่ดันรวมพลังคูณสองเข้าไปอีก เขาก็แย่น่ะสิ

“ใครว่าเล่น คราวนี้ปุ่นเอาจริง” ปุณยวีร์บอกเสียงเหี้ยม “พี่เฟย์ลุย พี่ต้นจับพี่ปืนเอาไว้อย่าให้หนี” สั่งจบเธอก็พุ่งเข้าใส่วิศวกรผิวเข้มมาดเข้มที่เพิ่งถูกเพื่อนผู้แปรพักตร์ล็อกตัวไว้

“เฮ้ย! ไอ้ต้นปล่อยกู” ก้องภพออกคำสั่งเอากับคนที่จับตัวเขาไว้หวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นแก่ความเป็นเพื่อน แต่ก็เปล่า “น้องแก้วครับ ดูไอ้พวกนี้สิมันรวมหัวกันรังแกพี่” เขาเปลี่ยนกลยุทธ์หันไปอ้อนคนที่ปกติแล้วมักจะอยู่เคียงข้างกัน แต่คราวนี้กลับเลี่ยงออกไปยืนกอดอกซะไกลทำราวกับคนไม่เคยรู้จักรู้ใจกัน แล้วผลที่ได้ก็คือน้ำเสียงเย็นชาที่ตอบกลับมาว่า “ก่อกรรมอะไรเอาไว้ ก็ก้มหน้ารับผลกรรมเถอะค่ะ” ใจร้ายที่สุด

ในเมื่อเพื่อนก็พึ่งไม่ได้ ส่วนคุณแฟนก็ไม่ใส่ใจ เขาควรต้องงัดไม้ตายออกมาแล้วใช่ไหม “เฟย์ น้องปุ่นครับ พี่ยอมแล้ว ยกโทษให้พี่เถอะ” บอกเสียงละห้อย

ปุณยวีร์ยิ้ม “ในเมื่อพี่ปืนกล้าขอ ปุ่นกับพี่เฟย์ก็กล้าให้ แต่... ไม่ใช่ตอนนี้” แล้วจากยิ้มสวยก็เปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม “พี่เฟย์ลุย!” เธอสืบรู้จุดอ่อนของชายหนุ่มมาดกวนมานานแล้วแต่ยังทำอะไรไม่ได้แล้วเรื่องอะไรจะยอมปล่อยโอกาสได้ชำระแค้นที่นานๆ ถึงจะมีสักทีให้หลุดลอยไปง่ายๆ ล่ะ

ปุณยวีร์กับฟารีดาซึ่งยืนประกบอยู่คนละด้านซ้ายและขวาของก้องภพร่วมมือกันจี๋เอวจนคนบ้าจี้ถึงกับทรุดลงไปชักดิ้นชักงออยู่กับพื้นขณะปากก็ร้องบอกว่า ‘ยอมแล้วๆ’ หากทั้งสองสาวก็ไม่ยอมรามือง่ายๆ ก็บอกแล้วไงว่านานๆ กว่าจะมีโอกาสได้เอาคืนสักที

“เฟย์ ปุ่น พอเถอะเดี๋ยวมันขาดใจตาย” ภควัตที่ยืนหัวเราะชะตากรรมของก้องภพพร้อมกับคนอื่นๆ ร้องห้ามเมื่อเห็นว่าไอ้เพื่อนจอมกวนถูกชำระแค้นจนสาสมแล้ว “นู่น เจ้าหน้าที่เอากล้าโกงกางมาแจกแล้ว ไปปลูกต้นไม้กันดีกว่า” เมื่อสองสาวยังทำท่าว่าอาฆาตไม่เลิกเขาเลยสำทับขึ้นมาอีกครั้งพลางเข้าไปดึงมือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนออกมา

“คราวนี้พอก่อนก็ได้ แต่อย่าให้มีคราวหน้าอีกนะ พวกเราจะจัดหนักจัดเต็มเอาให้พี่ปืนชักแหง็กๆ ไปเลย ใช่ไหมพี่เฟย์”

“ใช่” เลิกแกล้งไปแล้วก็จริงแต่ปุณยวีร์กับฟารีดาก็ยังไม่ลืมที่จะขู่ส่งท้าย

“โห แล้วคราวนี้มันยังไม่หนักไม่เต็มอีกเหรอ เถื่อนแหกนรกจริงๆ เหอะ!” ก้องภพที่เพิ่งจะมีโอกาสได้หายใจหายคอบ่นอุบ

“ใครเถื่อน!” ผู้หญิงที่ไม่รู้ตัวว่าเถื่อนทั้งสองคนประสานเสียงกร้าวจนสะดุ้งกันไปหมดทั้งแถบ

“พอได้แล้ว” ภควัตปราม ครั้นเห็นคนเป็นเพื่อนทำท่าจะตีปีกพั่บๆ ใส่คู่ดูโอหญิงเถื่อนเขาจึงสำทับ “ทั้งสามคนนั่นแหละ” ก่อนจะจูงมือปุณยวีร์เดินนำกลุ่มเพื่อนไปรับกล้าไม้โกงกางที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้แล้วเดินตามเจ้าหน้าที่ไปตามสะพานไม้ที่ทอดยาวไปสู่ป่าชายเลน


“ยายเถื่อนนั่นคิดว่าตัวเองกำลังทำสปาโคลนอยู่หรือไงวะถึงได้ปล่อยให้เลอะไปทั้งตัวแบบนั้น” ก้องภพเปรยเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อหันไปเห็นคนที่เพิ่งแกล้งเขาจนใจแทบขาดซึ่งกำลังตั้งใจปลูกป่าชายเลนอยู่อีกด้านหนึ่งกับกลุ่มเด็กสาวๆ จากไลน์ผลิต เนื้อตัวเจ้าหล่อนเลอะไปด้วยโคลนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนแทบจำเค้าเดิมไม่ได้

อนุพงษ์หันมองตามแล้วก็หัวเราะ “นอกจากจะดุสู้คนแล้วยังลุยอย่างไม่น่าเชื่ออีก หมวกก็ไม่ยอมใส่ ตัดสินจากหน้าตาไม่ได้เลยจริงๆ ยัยคนนี้”

“นั่นดิพี่ ขนาดมอมเป็นลูกแมวยังน่ารัก” ตรัยเอ่ยขึ้นเหมือนคนละเมอ

“อ้าวไอ้นี่ยังเพ้อไม่เลิก สรุปว่าจะเป็นเกษตรกรทำไร่แห้วจริงจังแล้วใช่ไหมวะ อีโด่! ทำปากดีว่าจะซิวสาวมาร์เก็ตติง สุดท้ายก็ดีแค่ปากนี่หว่า” อนุพงษ์ว่าท่าทางดูแคลน

คนปากดีทำได้แค่มองค้อนคนพูดแทงใจตอบกลับอีกฝ่ายไม่ได้สักคำ เพราะสาวมาร์เก็ตติงที่ใครๆ ก็พูดถึงเข้าทำงานที่ HANO มาได้เกือบเดือนแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสแม้แต่ทำความรู้จัก

“ฮือฮากันเกินไปปะ สาวมาร์เก็ตตงมาร์เก็ตติงอะไรนี่ คนหนึ่งก็ดูเรียบๆ จืดๆ ส่วนอีกคนถึงจะคมขึ้นมาหน่อยแต่ผิวคล้ำไปไหม” วนิดาอดเปรยขึ้นเสียงเบื่อหน่ายไม่ได้เมื่อใครๆ ต่างก็กล่าวถึงสองพนักงานสาวจากแผนกการตลาดที่เพิ่งเริ่มงานเมื่อต้นเดือน ไม่เว้นแม้กระทั่งแฟนหนุ่มของเธอเอง

“เอาแล้วไงพี่ต้นระวังตัวดีๆ เหอะ ลมพายุพัดหึงเริ่มก่อตัวแล้ว” ตรัยแซวยิ้มๆ

วนิดาเบะปาก “หึงบ้าหึงบออะไรกัน ฉันก็แค่พูดความจริง ต้องสวยอย่างแก้วไม่ก็น่ารักอย่างปุ่นถึงจะควรค่าต่อการฮือฮา”

“แหมพี่หวานก็พูดซะแก้วรู้สึกว่าดินเลนที่เพิ่งดูดขาแก้วลงไปจนครึ่งเข่าเด้งดึ๋งจนตัวลอยขึ้นมาทันทีเลย” กีรฎาที่เพิ่งเอากล้าไม้ลงหลุมที่ก้องภพขุดไว้ให้เงยหน้าขึ้นมาบอกพร้อมรอยยิ้ม “แต่แก้วว่าเขาก็สวยๆ จริงนะคะ คุณอ้อนสวยเย็นตา ยิ่งมองนานๆ ก็ยิ่งสวย ส่วนคุณโยก็ผิวสีน้ำผึ้งอกเป็นอกเอวเป็นเอวแถมสูงอีกต่างหาก อย่างกับนางแบบแน่ะ”

อนุพงษ์หันไปยักคิ้วยียวนใส่คนข้างกาย “เป็นไงล่ะ คนที่สวยพอกันเขายังยอมรับเลย มีแต่คนที่ขี้เหร่... โอ๊ย! เอาจริงเหรอเตี้ยเจ็บนะเนี่ย” ร้องเสียงหลงเมื่อโดนแฟนสาวประเคนหมัดใส่พุงกะทิไม่ยั้งจนเสียหลักล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับดินเลน


“ก็เอาจริงสิยะไอ้อ้วน หนอย! คำก็เตี้ย อีกคำก็ขี้เหร่ มันต้องเจอแบบนี้” วนิดาทั้งต่อยทั้งตีกะเอาให้อีกฝ่ายน่วมเป็นกระท้อน

ก้องภพละมือจากการขุดดินเลน “ชื่ออะไรนะแก้ว สาวมาร์เก็ตติ้งสองคนนั้น” เขาได้ยินเพื่อนร่วมงานผู้ชายเล่าลือถึงหญิงสาวทั้งสองมาสักพักแล้วแต่ก็ไม่คิดสนใจ หากบุคลิกลักษณะที่แฟนสาวของเขาพูดขึ้นเมื่อสักครู่กับชื่อเรียกของฝ่ายนั้นก็ทำให้เขาไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

“คุณอ้อนกับคุณโยค่ะ”

“อ้อน โย...” ก็แค่คนชื่อคล้ายเท่านั้นแหละ คงไม่ใช่คนเดียวกันหรอก ก้องภพพยายามคิดในแง่บวก ณ จุดนี้เขาหวังให้โลกแบน ไม่ก็บุบบี้ขึ้นอีกนิด อย่ากลมจนต้องเจอกับคนที่ไม่อยากเจออีกเลย

“ใช่ค่ะ อ้อน อรพินท์ กับโย โยษิตา” ครั้นแล้วชื่อจริงที่กีรฎาใจดีบอกแถมมาก็ดับความหวังที่เดิมก็ริบหรี่อยู่แล้วให้
มืดมนอนธกาลในที่สุด

“ไอ้ปุ้นมันหายไปไหน แก้วรู้ไหม” ก้องภพถามเสียงเหนื่อยอ่อน

กีรฎาส่ายศีรษะ “ไม่รู้สิคะ ตอนแรกก็เห็นปลูกต้นไม้อยู่ด้วยกันกับคุณปุ่น แต่พอหันไปดูอีกทีก็ไม่อยู่แล้ว”

“เฮ้อ... ยัยปุ่นนี่ยังไงแทนที่จะอยู่ใกล้ๆ แฟนกลับมาเล่นสนุกอยู่กับพวกเด็กกะโปโล” ก้องภพบ่นคิ้วเข้มขมวนมุ่นเป็นปม

กีรฎามองแฟนหนุ่มอย่างไม่เข้าใจ ตอนแรกที่รู้ว่าภควัตกับปุณยวีร์คบหากันเขาก็ทำท่าว่าไม่เชื่อ พอมาถึงตอนนี้กลับอยากให้คู่รักคู่ใหม่ทำตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แปลกคนจริงๆ ตาคนนี้

ชินพัตต์ที่ปลูกต้นไม้อยู่ด้วยกันกับสมาชิกร่วมบ้านและข้างบ้านเหลือบตามองไปยังหญิงสาวที่ลัลล้าปาจิงโกะกับกิจกรรมการปลูกป่าชายเลนมากกว่าใครๆ แม้ใบหน้าและเนื้อตัวจะเลอะมอมแมมยิ่งกว่าลูกหมาแต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ยี่หระ นอกจากจะตั้งหน้าตั้งตาปลูกต้นไม้และปาโคลนแกล้งกันเล่นกับกลุ่มเด็กสาวพนักงานในไลน์ผลิตที่สนิทสนมกันดี เธอจะรู้ตัวบ้างไหมว่าเสียงหัวเราะสดใสกับรอยยิ้มนั้นมันเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ที่กำลังแผดแสงแรงกล้าเสียอีก

หากตัวเขานั้นรู้ดี แม้ว่าตอนนี้ข้างกายของเธอจะไม่มีคนเกาะติดเป็นปาท่องโก๋ แต่ข้างๆ ใจของเธอก็มีคนจับจองไปแล้ว




“พี่ปุ่นเพิ่งเคยมาปลูกป่าชายเลนครั้งแรกหรือเปล่าฮะ” สุรีย์ถามขึ้นมายิ้มๆ หลังจากนำต้นกล้าโกงกางต้นล่าสุดปลูกลงในหลุมที่ใช้มือขุดเรียบร้อยแล้ว

คนที่ดูกระตือรือร้นกับกิจกรรมการปลูกป่าชายเลนเป็นพิเศษกว่าใครๆ บุกลุยไปทั่วโดยไม่กลัวแม้จะถูกดินเลนดูดลึกลงไปจนถึงเข่าพยักหน้า “ฮื่อ ครั้งแรกเลยล่ะ สนุกนะพี่ชอบ ลี่เคยมาปลูกบ่อยเหรอ”

“ก็ไม่บ่อยหรอกฮะ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง โรงงานเก่าที่ลี่ทำงานเคยพาไปปลูกที่คลองโคน สมุทรสาคร หลังจากปลูกป่าชายเลนกันเสร็จแล้วก็ไปถีบกระดานเลนเก็บหอยแครง กินข้าวเที่ยงกันบนกระเตงกลางทะเล พูดแล้วก็อดคิดถึงเพื่อนๆ ที่ทำงานเก่าไม่ได้แฮะ”

“โห จริงดิ มีถีบกระดานเลนเก็บหอยแครงด้วย น่าสนุกอะ แล้วที่นี่จะมีมั้ยเนี่ย แต่ตอนที่ฟังวิทยากรบรรยายเมื่อกี้พี่ไม่ได้ยินนะ”

“คงไม่มีหรอกฮะ ลี่เห็นในโปรแกรมจะไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารอะไรสักอย่าง ได้ยินว่าเป็นเจ้าดังในแถบนี้”

“เซ็ง ไม่มันเลย” คนที่นั่งแปะอยู่บนดินเลนว่าขณะกำลังใช้สองมือจ้วงขุดหลุมเพื่อจะลงกล้าไม้ต้นต่อไปอย่างเมามัน
สุรีย์หัวเราะ “ขนาดนี้พี่ปุ่นยังไม่มันอีกเหรอฮะ ปลอกแขนหรือถุงมือก็ไม่ยอมใส่”

ปุณยวีร์ยักไหล่ “สุดท้ายก็ต้องล้างตัวอยู่ดี เอาให้เปื้อนสุดๆ ไปเลยสิ จะใส่ให้เกะกะทำไม” คนที่เปื้อนโคลนไปทั่วทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้ายักไหล่ไม่แคร์

“พี่ปุ่นนี่ผิดจากที่คาดหลายอย่างเลยนะฮะ ตั้งแต่ไปกินหมูกระทะกับพวกลี่ได้ก็ว่าไม่น่าเชื่อแล้ว ยังลุยๆ แบบไม่ห่วงสวยอีก ลี่เคยเห็นแต่สาวๆ สวยๆ ขาวๆ เขาห่วงสวยกัน เลอะนิดเลอะหน่อยก็กรี๊ดวี้ดว้าย แต่นี่อะไรยิ่งเลอะยิ่งสนุก”

ใบหน้าใสที่เลอะโคลนเป็นด่างเป็นดวงเปิดยิ้มกว้าง “ยิ่งเลอะ ยิ่งเยอะประสบการณ์ ไม่เคยได้ยินเหรอฮะลี่ เอ้า เลิกฝอยๆ พี่ขุดหลุมเรียบร้อยแล้วเอาต้นไม้มาลงซะหนูๆ วันนี้พวกเราทั้งกลุ่มรวมกันต้องปลูกได้ไม่ต่ำกว่าร้อยต้น” บอกก่อนจะใช้สองมือจ้วงดินเลนเพื่อขุดหลุมต่อไปอย่างขะมักเขม้น

“แม้แต่สเตตัสนี้นางก็ยังเป๊ะอะแก ผมงี้ไม่กระดิกเลย”

“นี่แกคิดเหมือนฉันปะ ฉันว่านางต้องพกกระจกมาด้วยแน่ๆ แบบว่าทุกส่วนเลอะหมด ยกเว้นหน้านางที่ยังบลิ๊งเว่อร์ๆ”

“น่าร็อกอะ”

“ถ้ามีแบบนี้เอาไว้ดูเล่นที่บ้านก็ดีเนอะ”

“เสียแต่หน้าดุไปหน่อย นี่ถ้ายิ้มบ่อยกว่านี้ฉันคงละลาย ละลายๆ” ร้องเป็นเพลง

“โอ๊ย... ขนาดนิ่งๆ ไม่ค่อยยิ้มก็กรี๊ดกันจะเป็นจะตายแล้วแก”

“ถึงจะไม่ค่อยยิ้ม แต่ตัวจริงใจดีมากนะแก”

“รู้ได้ไงไอ้ลี่ พูดอย่างกับนางเคยมาใจดีกับแกงั้นแหละ”

“อ๊ะ ก็แหงซิ ถ้าแกไม่เชื่อก็ถามพี่ปุ่นดู”


เสียงกระซิบกระซาบสลับกับเสียงหัวเราะคิกๆ ของกลุ่มเด็กสาวพนักงานในไลน์ผลิตเรียกให้คนที่ก้มหน้าก้มตาใช้มือขุดดินเลนทนไม่ได้จนต้องเงยหน้าขึ้นมาดูบ้าง “พูดถึงใครกัน”

“โน่นไงฮะพี่ปุ่น ที่เก้านาฬิกา”

“ฮะ! พี่ต้อเนี่ยนะ อือ ชอบของแปลกเหมือนกันนะพวกเราเนี่ย” ปุณยวีร์ว่าน้ำเสียงบอกความแปลกใจ

“เฮ่ย! ไม่ใช่พี่ต้อฮะ พี่ปุ่นดูใหม่อีกทีสิที่เก้า...” สุรีย์ปฏิเสธยังไม่ทันจบประโยค จริยาก็ขัดขึ้นเสียงเพลีย

“สามนาฬิกาต่างหากล่ะฮะลี่”

“อ้าว งั้นเหรอ” คนพูดจาผิดๆ ถูกๆ ครางเสียงอ่อย

ครั้นพอหันมองตามทิศทางที่จริยาบอกปุณยวีร์ถึงได้ประจักษ์ว่า ‘นาง’ อันเป็นสาเหตุแห่งเสียงหัวเราะคิกๆ ของกลุ่มเด็กสาวที่แท้แล้วก็เป็น ‘วิศวกรมาดนิ่ง’ คู่ปรับในตำนานของเธอนั่นเอง เหอะ! ไอ้เด็กเวรนั่นอะนะ กรี๊ดเข้าไปได้ยังไงกัน

ดวงตาคู่กลมโตขมวดมุ่นขณะเขม้นมองชายหนุ่มที่สามนาฬิกา อีกฝ่ายอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นและกำลังขะมักเขม้นขุดดินเลนเพื่อลงกล้าต้นโกงกางเช่นเดียวกับพนักงานผู้มีจิตอาสาคนอื่นๆ หมวกสานปีกกว้างที่เขาสวมอยู่ถูกปลดออกจากศีรษะแต่ยังคล้องอยู่ที่คอเผยให้เห็นผมสั้นสีน้ำตาลเข้มสะบัดปลายสะท้อนกับแสงแดด แม้เสื้อผ้าและร่างกายหลายส่วนจะของเขาจะเลอะเทอะไปด้วยดินโคลน หากใบหน้าขาวคมคายนั้นกลับสะอาดสะอ้านอย่างไม่น่าเชื่อดูแทบไม่ต่างไปจากวันทำงาน เอ หรือหมอนั่นจะพกกระจกมาปลูกป่าจริงๆ...
TBC...




พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 พ.ย. 2557, 08:11:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 พ.ย. 2557, 11:32:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1260





<< ตอนที่ 7/2 - 8   10/1 >>
Zephyr 2 ธ.ค. 2557, 13:27:50 น.
เหม่ ใส่ความ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account