ซีรี่ส์บุปผาสันนิวาส <กรรณิการ์มนตรารัก>
รักร้ายในความคิดทำให้เธอวิ่งหนี แต่รักแท้จากเขากลับตามติด ทว่ามันมาพร้อมกับกลมนตรา ที่เขาต้องช่วยเธอสะสาง
Tags: ซีรี่ส์บุปผาสันนิวาส กรรณิการ์ ทานตะวัน จิรัสยา

ตอน: บทที่ 2 : ราตรีห่วยๆของคนสองคน



“บริษัทฯขอแสดงความเสียใจที่จะเรียนให้ท่านทราบว่า ผลการปฏิบัติงานของท่านไม่เป็นที่น่าพอใจ และปฏิบัติงานยังไม่ได้มาตรฐานตามที่บริษัทฯกำหนดเอาไว้ บริษัทฯจึงพิจารณาเลิกจ้าง และให้ท่านพ้นจากการเป็นพนักงานบริษัทฯ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไป”

มันคือจดหมายที่กรรณิการ์ได้รับตอนเช้าตรู่ของวันนี้ ในขณะที่หญิงสาวกำลังงงงวยกับสถานการณ์ชีวิตที่กำลังประสบ เลขานุการสาวใหญ่วัยดึกที่แต่ก่อนไม่เคยญาติดีกับเธอกับเลย กลับเข้ามาแสดงท่าทีเห็นใจ แล้วฉวยจดหมายฉบับนั้นไปอ่านออกเสียงให้เพื่อนร่วมงานที่กำลังรายล้อมรอบตัวเธอฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ก็วันนี้น่ะสิคะ พ้นสภาพการเป็นพนักงานวันนี้เลยสิคะ” ยายหมิวคู่อริที่เคยพ่ายแพ้ต่อโปรเจคการบริหารกำลังคนที่กรรณิการ์เสนอต่อผู้บริหารยกมือขึ้นทาบอก ทำท่าไม่อยากจะเชื่อ

อีกแล้ว...อีกแล้วหรือนี่ ในที่สุดก็ครบโหลแล้วสินะ

พอหญิงสาวเริ่มตั้งสติได้ เธอก็คว้ากล่อง...กล่องประจำตัวที่ขนของเข้า-ขนของออก จากบริษัทนั้นย้ายมาบริษัทนี้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วค่อยๆเก็บทุกอย่างลงไปด้วยหัวใจด้านชา และเป็นอีกครั้งที่เธอได้รับความร่วมมือจากเพื่อนร่วมงานเป็นอย่างดี...อย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
ทุกคนเต็มใจช่วยให้เธอเก็บของออกจากบริษัทนี้ไปไวๆอย่างพร้อมเพรียง เธอซาบซึ้งเกินกว่าที่จะเอ่ยคำขอบใจใครได้อย่างถ้วนทั่ว ไม่คิดว่าในยามคับขันจะได้รับน้ำใจจากคนที่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อนเช่นนี้

ใครจะไปคิดเล่าว่าบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับหนึ่งของคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง อย่างเธอ จะทำงานครบสิบสองแห่งได้ภายในสามปี

ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งพนักงานประสานงานโครงการ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล หรือกระทั่งผู้ช่วยผู้จัดการที่เคยได้รับมา เธอล้วนแล้วแต่ทุ่มเทกับหน้าที่และบทบาทนั้นอย่างเต็มกำลัง

แม้บางแห่งจะทำอยู่ได้เพียงสามวัน สองสัปดาห์ หรือที่นานหน่อยก็สามเดือนเหมือนที่นี่

แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดใช่ว่าเธอไม่อดทน และใช่ว่าเธอจะเข้ากับใครไม่ได้ แต่ใครจะรู้บ้างล่ะว่าสังคมการทำงานทุกวันนี้มันเป็นยังไงบ้าง
หนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดอุปสรรคในการทำงานก็คือมนุษย์ป้าและมนุษย์ลุงในออฟฟิสทั้งหลายนั่นแหละ ที่ชอบวางอำนาจบาทใหญ่กดดันให้น้องใหม่อยู่ได้อย่างยากลำบาก ซึ่งคนอย่างเธอรึจะยอมให้ความไม่มีเหตุผลของใครบางคนมาครอบงำสังคมอันดีงาม แต่สู้ไปก็ใช่ว่าจะชนะมนุษย์ลายครามพวกนั้นได้ แล้วยังไง เธอก็ต้องเชิดหน้าลาออกมา...แบบคนที่มีศักดิ์ศรีอยู่ในตัว ถ้าแพ้...แล้วจะอยู่ให้ขายหน้าทำไมกัน

สำนักงานในอีกสองสามแห่งต่อมา เป็นองค์กรที่แลดูภายนอกใหญ่โตมีชื่อเสียง แต่การบริหารงานภายในกับเละเสียจนเน่าเฟะไม่เป็นระบบ มีการปรับเปลี่ยนนโยบายตามใจเจ้านายวันละหลายๆหน จนผู้รับนโยบายวิ่งตามแทบไม่ทัน กรรณิการ์คิดว่าเป็นเรื่องเสียเวลามากที่คนมีคุณภาพอย่างเธอจะต้องทนทำงานกับกลุ่มคนที่ไม่ใช่มืออาชีพอย่างแท้จริง

แต่ไม่ว่าจะหนีไปทำงานที่ไหน ก็ยังไม่พ้นกลุ่มคนที่ชอบประจบสอพลอคอยรายงานพฤติกรรมของเพื่อนร่วมงานให้เจ้านายฟังเพื่อเอาหน้า คนพวกนี้เก่งทุกอย่าง รู้ทุกเรื่อง ยกเว้นงานในความรับผิดชอบ แต่กลับได้รับความไว้วางใจ ได้ดิบได้ดี เมื่อกินแรงเพื่อนร่วมงานแบบนี้ คนอย่างเธอหรือจะสงบปากสงบคำไม่พูดอะไรออกไปบ้าง และนั่นก็ทำให้เธอรู้ซึ้งว่า ลมปากที่กระซิบข้างหูไร้น้ำหนักของเจ้านายสมองกลวงๆ มันก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ได้อย่างไร ช่างสิ ใครแคร์

สำนักงานในระยะหลังที่รับกรรณิการ์เข้าทำงานแบบกะทันหันโดยไม่สนใจประวัติที่ผ่านมา กลับเป็นเพราะว่าคนที่ลาออกไปก่อนหน้าทิ้งทวนเอาไว้ ดองเอกสารรายงานที่จำเป็นต้องส่งหน่วยงานราชการให้ทันตามกำหนดเสียสูงเสียดฟ้า และรอคอยเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายใหม่อย่างเธอเข้ามาจัดการ ใครกันล่ะ...มันจะโง่ทนอยู่

ที่สุดท้ายก่อนหน้านี้ ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ แค่กรรณิการ์เห็นสรุปรายงานการเงินประจำเดือน เธอก็มีความจำเป็นต้องเผ่นลาออกมาก่อนที่บริษัทจะปิดตัวเองลง เพราะมีแนวโน้มสูงมากที่เธอจะไม่ได้รับเงินเดือนของเดือนหน้า นักการจัดการมืออาชีพอย่างเธอรู้ได้ในนาทีนั้นว่า...ต้องสละเรือเดี๋ยวนี้

ทว่าครั้งนี้เห็นทีจะสุดวิสัย เพราะหลังจากที่พอจะรับมือกับเรื่องการแก่งแย่งแข่งขันกับเพื่อนร่วมงานได้บ้างแล้ว เย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน ก่อนที่เธอจะไปร่วมงานวันเกิดที่บ้านสวนของย่าพิกุล

กรรณิการ์นำรายงานประเมินผลโครงการจัดสรรกำลังคนไปส่งที่ห้องผู้จัดการใหญ่ แต่กลับพบบอสวัยใกล้เกษียณกำลังฟิจเจอริ่งด้วยท่วงทำนอง ร็อค แอนด์ โรล อยู่กับผู้ช่วยเลขาสาวสวยที่บนโต๊ะทำงาน ทั้งที่หญิงสาวออกตัวแล้วว่า โปรดลืมไปเสียเถิดว่าครั้งหนึ่งเคยมีเธอยืนอยู่ตรงนี้ และรีบลาจากไปโดยไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนร่วมงานคนใดฟัง

แต่ผลสรุปของมันก็ออกมาอย่างที่เห็น เธอไม่ผ่านการทดลองงาน นับเป็นคราวเคราะห์ของนักการจัดการมืออาชีพอย่างเธอจริงๆ

หญิงสาวรึอุตส่าห์สู้อดทนเพื่อพิสูจน์ให้บิดาเห็นว่า เธอสามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองได้ และสามารถบุกเบิกเส้นทางชีวิตใหม่ๆ สร้างมันขึ้นมาด้วยสองมือของตัวเอง โดยไม่ต้องเดินตามรอยที่พ่อกับแม่ออกแบบและสร้างมันเอาไว้ให้แบบเบ็ดเสร็จสำเร็จรูปอย่างนั้น
แต่ทุกอย่างก็พัง...ไม่เหลือชิ้นดี

เสียงฟ้าคำรามครืนคราน ยามที่เธอแบกกล่องสัมภาระลงไปที่ลานจอดรถหน้าอาคารสำนักงาน ดูเอาเถอะเคราะห์กรรมของคน หน้าหนาวของเมืองไทย ฝนก็ยังตกลงมารดหัวกันได้ ไม่รู้ว่าฟ้าดินจะตอกย้ำโชคชะตาห่วยๆของเธอไปถึงไหนกัน

หญิงสาวโยนกล่องสัมภาระขึ้นสู่รถยนต์คันเก่ง แล้วขับกระชากรถคันนั้นออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก

ไม่รอให้ฟ้าให้ดินลิขิต ไม่ปล่อยชีวิตให้ผ่านไป ไม่ว่าจะสูงจะไกลเท่าไหร่จะไขว่จะคว้าจะฝ่าฟัน

“เพลงอะไรเนี่ย ทำไมจะต้องมาเปิดตอนนี้ด้วย ฉันหมดฝัน หมดหวัง หมดโอกาสแล้ว เข้าใจมั้ย” กรรณิการ์กดปุ่มค้นหาคลื่นวิทยุอัติโนมัติอย่างกระฟัดกระเฟียด เสียงสัญญาณดิจิตอลดังปิ๊บๆ ไม่เท่าไหร่ บทเพลงลูกทุ่งก็บรรเลงขึ้น

จะไม่กลับหลัง ถ้ายังไม่ได้ดี เอ่ยถ้อยคำนี้ต่อหน้าแม่พ่อวันจาก สาบานผ่านฟ้า สัญญาต่อดินถิ่นร้าก...

“โอ๊ย-ย-ย-ย มันจะอะไรกันนักกันหนา ที่พูดอะไรไปเนี่ย ไม่เข้าใจเลยใช่มั้ย” กรรณิการ์กระแทกปุ่มค้นหารายการใหม่ ถอนหายใจเหยียดยาว ระงับอารมณ์ ข่มความรู้สึกเอาไว้ คราวนี้เสียงดนตรีคันทรีกำลังบรรเลงท่อนโซโล่ ค่อยฟังลื่นหูสักหน่อย ก่อนที่นักร้องหนุ่มจะครางเสียงอบอุ่น

Let me go home home home. I’m just too far from where you are, I wanna go home

“ก็ได้! จะเอาแบบนี้ก็ได้”

หญิงสาวหักหัวรถจอดสนิทลงที่ข้างทาง ดับเครื่อง ปิดเสียงทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วออกมาเดินท้าสายฝนที่กำลังตกปรอยๆ ท่ามกลางกระแสลมแรง ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย และไร้จุดหมายปลายทาง

เปล่าเลย หล่อนไม่ได้ต้องการจะเลียนแบบนางเอกในมิวสิควีดีโอสักนิด ไม่สักนิดจริงๆ




บนโต๊ะอาหารตัวยาวของคฤหาสน์โยธินบริบาลกุลที่วันนี้มีสมาชิกนั่งอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้ากว่าสิบชีวิต เพราะเป็นวันครบรอบ ๓ ขวบของหลานชายคนแรกในตระกูล โดยหยกจัดงานเลี้ยงเล็กๆให้เป็นการภายใน สำหรับสมาชิกในครอบครัว

ปกติธีร์เทพมักจะหลีกเลี่ยงมื้อเย็นที่ต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวมาตลอด เพราะเขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นส่วนเกินทุกครั้งที่บิดาและพี่ชายพูดคุยถึงเรื่องโครงการที่บริษัทฯกำลังดำเนินการอยู่

แต่วันนี้มารดาขอร้องเอาไว้ ซึ่งเขาปฏิเสธไม่ได้จริงๆ

แม้จะมีศักดิ์เป็นลูกชาย แต่ธีร์เทพก็ได้รับที่นั่งในส่วนท้ายของโต๊ะเสมอ เพราะพี่ชายทั้งสองคนจะจับจองที่นั่งประจำเอาไว้ให้ครอบครัวของตนได้ดูแลจัดการอาหารให้กับเจ้าสัวเทียนและคุณนายหยกอย่างใกล้ชิด

“ถ้าม้าไม่ขอร้องเอาไว้ เฮียก็คงไม่ได้เห็นหน้าแกในโต๊ะอาหารใช่มั้ยอาธีร์ งานที่ทำอยู่มันยุ่งมากนักรึไง ถึงไม่มีเวลาให้ครอบครัวซะบ้าง” พี่ชายคนโตทักขึ้น ในขณะที่พี่ชายคนรองส่งเสียงพ่นลมหายใจเย้ยหยันสำทับ

“ธำรง ทำไมถึงพูดกับน้องอย่างนั้น” หยกปรามขึ้นทันที “นานๆถึงจะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าสักที ทำไมถึงไม่พูดจากันดีๆบ้าง”

“ม้าก็เป็นอย่างนี้ตลอด แตะนิดแตะหน่อยลูกชายคนโปรดเป็นไม่ได้ ต้องออกรับแทนทุกที มันถึงได้นอกคอกผิดพี่ผิดน้องอย่างนี้ไงครับม้า”
“ธำรง!” เจ้าสัวเทียนวางช้อนส้อมลงด้วยสีหน้าระอา ตักเตือนเสียงเรียบ “อย่าล่วงเกินม้าของลื้อ”

“ผมขอโทษครับเตี่ย แต่มันอดไม่ได้จริงๆนี่ครับ เตี่ยรึอุตส่าห์ส่งเสียให้มันเรียนเมืองนอกเมืองนา แทนที่จะกลับมาช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว แต่ดูที่มันทำสิครับ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”

ธีร์เทพรวบช้อนส้อม ทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เปลืองเวลาเปล่าๆที่เขาจะอยู่ต่อปากต่อคำในเรื่องเดิมๆกับพี่ชาย การหลีกเลี่ยงนับเป็นวิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้

“ธีร์ จะไปไหนลูก”

“ผมขอตัวนะครับม้า”

“จองหอง!” พี่ชายคนรองโพล่งขึ้น

“ธนา อย่าว่าน้องอย่างนั้นนะ”

“ธนาพูดไม่ผิดหรอกครับม้า” ธำรงเสริมขึ้นที “เพราะม้ากับเตี่ยตั้งชื่อให้มันว่าธีร์เทพ มันถึงได้นึกว่ามันเป็นเทวดา อยากจะทำอะไรก็ทำ ทั้งที่รับสวัสดิการกงสีเหมือนกัน แต่ไม่คิดจะช่วยกันทำมาหากิน ผมกับธนาทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ยังไงครับ ทำมากก็ได้เท่าเดิม ทำน้อยก็ได้เท่ากัน ไม่ทำอะไรอะไรเลยก็ได้รับเหมือนกัน แบบนี้มันยุติธรรมกับพี่น้องคนอื่นเหรอครับม้า พอผมว่ามันนิดๆหน่อยๆ ม้าก็ออกมาปกป้องแบบนี้ทุกที”

“หยุดว่าม้าเดี๋ยวนี้นะ!” ธีร์เทพเลือดขึ้นหน้า กำหมัดแน่น

“ทำไม ไอ้ลูกหมา” ธำรงลุกขึ้นยืนประจันหน้า “แกจะทำอะไรฉัน!”

“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว จะกัดกันเหมือนหมาทำไม” เจ้าสัวเทียนนั่งนิ่ง จับจ้องลูกชายทั้งสองไม่วางตา “เห็นแก่เด็กตาดำๆที่นั่งอยู่ตรงนี้กันบ้าง”

“แต่เตี่ยครับ เตี่ยเคยบอกว่าผมเป็นลูกชายคนโต มีอำนาจตัดสินใจในบ้านนี้รองจากเตี่ยเท่านั้น ผมทำอะไรผิดเหรอครับ ที่ทวงความเป็นธรรมให้กับพี่น้องคนอื่น”

“ถ้าเฮียจะหมายถึงเรื่องที่ผมกินอยู่โดยใช้เงินกงสีละก็ ผมไปจากที่นี่ก็ได้ พี่น้องทุกคนจะได้สบายใจกันสักที ไม่มีผมอยู่สักคน บ้านหลังนี้คงจะมีความสุขขึ้นอีกเยอะสินะครับ” ธีร์เทพขบกรามแน่น ใบหน้าแดงระเรื่อ

“ไม่นะธีร์ อย่าทิ้งม้าไปไหนนะ” หยกกุลีกุจอลุกขึ้นฉุดรั้งธีร์เทพเอาไว้ ลูกชายทั้งสองคนของเธอได้แต่ส่ายหน้าระอากับภาพที่เห็น ก่อนหันไปขอความเห็นจากบิดา เจ้าสัวใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ถ้าวันนี้ลื้อก้าวขาออกไปจากโยธินบริบาลกุล ลื้อไม่ต้องกลับมาให้อั้วเห็นหน้าอีก”

ดังสายฟ้าฟาดลงกลางใจของธีร์เทพ ชายหนุ่มรู้ดีอยู่แล้วว่าบิดาไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไป ก็คงไม่มีความหมายอะไรกับคนที่นี่นักหรอก

ธีร์เทพสาวเท้ายาวๆเดินก้มหน้าจากไป ซ่อนน้ำตาอุ่นๆที่กำลังเอ่อล้นขอบตาเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น เสียงสะอื้นของมารดาแว่วมาชวนให้ใจสั่น แต่เขาจะไม่มีวันกลับหลังหันไปยังที่ที่จากมาแน่นอน

ครั้งนี้ไม่ใช่หนแรก ที่ธีร์เทพถูกพี่น้องทวงบุญคุณเรื่องการใช้สวัสดิการกงสี เขาเคยขอที่จะออกไปใช้ชีวิตลำพังที่ข้างนอก แต่ก็ถูกมารดาปลอบประโลมเอาไว้ทุกที เพราะถึงพี่น้องจะพูดอย่างไร เตี่ยก็ไม่เคยออกปากไล่ให้เขาไปสักหน ชายหนุ่มจึงอดทนอยู่มาได้ถึงวันนี้

แต่คราวนี้มันไม่ใช่ สายตาเย็นชาที่บิดามองมา และคำประกาศิตเมื่อครู่ แสดงให้รู้แล้วว่าเขาไม่เป็นที่ต้องการของใครอีกต่อไป แล้วเขาจะบากหน้าอยู่เป็นภาระของใครๆไปอีกทำไมกัน

“พวกลื้อเห็นแล้วใช่มั้ย ว่าทำอะไรลงไป” หยกตัดพ้อลูกชายและสามีที่ยังนั่งพร้อมหน้าอยู่บนโต๊ะ “สะใจกันแล้วใช่มั้ยที่เป็นแบบนี้” ก่อนจะออกวิ่งตามลูกชายคนเล็กไปด้วยหัวใจแทบขาดรอนๆ

“ม้า...” ลูกชายทั้งสองครางเสียงแผ่ว ทว่าธำรงยังไม่ยอมลดละ

“เตี่ยเห็นมั้ย เห็นมั้ยว่าม้าโอ๋มันขนาดไหน”

“พอได้แล้ว!” เจ้าสัวเทียนตบโต๊ะลั่น “พวกลื้อพอกันได้แล้ว แล้วก็อย่าให้อั้วได้ยินใครพูดเรื่องนี้อีกเด็ดขาด เข้าใจมั้ย” ก่อนลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ เดินดุ่มขึ้นไปบนห้องนอนเพียงลำพัง

ข้างฝ่ายหยก วิ่งตามธีร์เทพมาถึงที่โรงจอดรถ ก็รีบตรงเข้าไปคว้าแขนลูกชายเอาไว้

“ธีร์...ไม่ไปไม่ได้เหรอลูก”

“ผมขอโทษนะครับม้า ผมคงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ขอให้ม้าเป็นพยาน ว่าผมไม่ได้เอาสมบัติของโยธินบริบาลกุลออกไปสักชิ้นเดียว”
“ไม่เอานะธีร์ กลับไปขอโทษเตี่ย ม้าจะช่วยพูดให้”

“ไม่ครับ” น้ำตาของลูกผู้ชายรินรดหยดลงเปื้อนใบหน้า “ผมจะออกไปพิสูจน์ตัวเองให้เตี่ยได้เห็น ว่าคุณค่าของคนไม่ได้วัดกันด้วยเงินเท่านั้น ขอให้ผมไปเถอะนะครับม้า”

หยกแจ้งแก่ใจในนาทีนั้น ว่าไม่อาจฉุดรั้งลูกชายเอาไว้ได้อีก สาวใหญ่สวมกอดดวงใจของตัวเองเอาไว้แนบแน่น แล้ววิงวอน
“ถ้าจะไป สัญญากับม้าได้มั้ย ว่าจะดูแลตัวเองดี”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ยกแขนเสื้อขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหลริน

“แล้วโทร.มาหาม้าบ่อยๆนะ”

“ครับ” ธีร์เทพสบสายตาอาวรณ์ของมารดา แล้วต้องแข็งใจกลืนก้อนสะอื้นกลับคืนลงคอ “เข้าบ้านเถอะครับม้า เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“อย่าลืมเรื่องที่ม้าขอให้ธีร์ไปดูตัวด้วยนะ”

“อะไรที่ผมสัญญาไว้กับม้า ผมจะไม่มีวันลืม ผมลานะครับ” ชายหนุ่มก้มกราบลงบนอกของมารดา ก่อนบึ่งรถคู่ใจของเขาออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ไป โดยไม่หันหลังกลับมามอง




สองเท้าของธีร์เทพพาเขามาหยุดอยู่หน้าบาร์เครื่องดื่มในผับแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ว่างที่ตรงกลาง แล้วสั่งวิสกี้กับบาร์เทนเดอร์หนึ่งแก้ว

สายตาของเขาแลเลยไปเห็นขวดเบียร์ขนาดเล็กวางอยู่บนเคาน์เตอร์ ตรงตำแหน่งของเก้าอี้ว่างเปล่าที่ด้านข้าง แสดงให้เห็นว่ายังมีแขกนั่งอยู่ตรงนี้อีกคน แต่อาจลุกไปทำธุระที่ไหนชั่วคราว

เสียงเพลงคลอแผ่วมาจากเครื่องขยายเสียงชั้นดี ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับทั้งสองข้าง หยดน้ำตาใสๆค่อยๆเอ่อล้นจากทะเลน้ำตาภายในใจ

เขาไม่อาจลบลืมภาพ และน้ำเสียงเย้ยหยันของพี่น้องลงได้แม้เสี้ยวนาที มันทั้งเจ็บปวด ผิดหวัง และน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่เป็นที่ต้องการของคนครอบครัว ชายหนุ่มยกวิสกี้ขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมดแก้ว แล้วสั่งมาเพิ่มในทันที

ความแสบร้อนซาบซ่านที่บาดลำคอลงสู่ช่วงอก แทนที่มันจะช่วยดับความทุกข์ แต่กลับยิ่งสุมไหม้ความร้อนรุ่มในใจให้โหมกระพือหนักมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งคิดถึงหน้าของมารดาก่อนจากลา หัวใจของเขาก็ถูกบีบรัดราวจะขาดอากาศหายใจลงตรงนี้ พลันเสียงอ้อแอ้ของหญิงสาวผู้หนึ่งที่เพิ่งกลับมานั่งเก้าอี้ที่ด้านข้างก็แว่วขึ้น

“ห่วย! ชีวิตมันห่วย”

ชายหนุ่มหันหน้าไปมองหาเจ้าของเสียงด้วยความสงสัย พบหญิงสาวผมเพ้ายุ่งเหยิง ชายเสื้อเชิ้ตแขนตุ๊กตาสีน้ำเงิน หลุดลุ่ยออกมานอกกระโปรงสูทสีเทา รองเท้าคัทชูหุ้มส้นหลุดออกจากเท้าไปแล้วหนึ่งข้าง เข้าใจว่าคงจะเพิ่งกลับออกมาจากห้องน้ำเมื่อครู่

ในเวลานี้ยังมีคนที่มีชีวิตห่วยกว่าเขาอีกอย่างนั้นหรือ

“มองอะไรคุณ ไม่เคยเห็นคนห่วยๆหรือไง”

ชายหนุ่มส่งยิ้มบาง ก่อนตอบกลับอย่างเลื่อนลอย “ชีวิตของผมก็ห่วยไม่ต่างจากคุณหรอก”

“คุณนี่นะ” หญิงสาวผู้เมาแอ๋ ออกอาการซวนเซเล็กน้อย “ยังไงคุณก็ไม่มีวันห่วยเท่าฉันหรอก”

“อย่างผมนี่นะห่วยสู้คุณไม่ได้ คุณรู้มั้ยว่าผมเพิ่งถูกพี่น้องขับไล่ให้ออกจากบ้าน ผมทำให้แม่ต้องร้องไห้ ส่วนพ่อ...ก็ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตา พี่น้องทุกคนรังเกียจหาว่าผมเป็นภาระของครอบครัว ไม่มีใครต้องการหมาหัวเน่าอย่างผมสักคน ได้ยินมั้ย ว่าผมเป็นหมาหัวเน่า”

ธีร์เทพยกแก้ววิสกี้ขึ้นกระดกพรวดจดหมดเกลี้ยงอีกครั้ง ทว่าจู่ๆเขากับรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด ที่ได้ระบายความในใจออกมาป็นคำพูดให้กับใครอีกคนได้รับรู้ แม้ชายหนุ่มจะไม่แน่ใจนัก ว่าหญิงสาวดวงหน้าสะสวยที่ด้านข้าง จะยังพอมีสติเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดออกไปหรือไม่

“ห่วย ใช้ได้เหมือนกันนะเรา” กรรณิการ์ส่งสัญญาณบ่งบอกว่ารับรู้อยู่ พลางยกขวดเบียร์ขึ้นจิบ แล้วทำท่าพะอืดพะอมขื่นขม หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปาก แล้วพยายามกลืนมันกลับลงไปอย่างยากลำบากอีกครั้ง

“ไหวมั้ยคุณ”

“ไหวซี่” หญิงสาวสะอึกเล็กน้อย

“แล้วคุณล่ะ ไปทำอะไรมาถึงได้ว่าชีวิตมันห่วยนักหนา”

“พูดไปใครจะเชื่อ” กรรณิการ์ส่ายหน้า ยอมจำนนต่อโชคะตา

“พูดมาเถอะ ผมพร้อมจะรับฟัง ได้พูดออกมาแล้วก็สบายใจดีเหมือนกันนะ”

“อย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวแค่นยิ้ม พยายามเพ่งมองใบหน้าของชายหนุ่มให้ชัดๆสักครั้ง ในความพร่ามัวนั้น เห็นว่าเขาหน้าตาพอใช้ได้ แถมยังมีหนวดมีเครา แหม...อินดี้น่าดู คงจะเป็นพวกศิลปินอารมณ์ดีไม่มีพิษภัยอะไรหรอกมั้ง ก่อนพยักพเยิดเป็นการเป็นงาน “ก็ได้ ฉันบอกก็ได้ ฉันนี่นะ ตกงานมาครบสิบสองครั้งแล้วรู้มั้ย”

“เฮ้ย! จริงดิ” ชายหนุ่มหัวเราะลั่นขึ้นทันใด ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “คน...คนบ้าที่ไหน...จะตกงานที่ละเป็นโหล...โหล”

“เฮ้ย! นายหาว่าฉันบ้าอย่างนั้นเหรอ” หญิงสาวคว้าคอเสื้อของชายหนุ่มขึ้นอย่างเอาเรื่อง

“ขอโทษๆ ใจเย็นก่อนสิคุณ” ธีร์เทพมีอาการตกใจเล็กน้อย เกือบถูกผู้หญิงต่อยเข้าแล้วมั้ยล่ะ “ผมคิดว่าคุณล้อเล่นซะอีก นี่เรื่องจริงหรอกเหรอ”

“ฉันถึงว่าชีวิตฉันมันห่วยอยู่นี่ไงเล่า”

“โอเคๆ ผมเชื่อแล้ว สรุปว่าผมถูกไล่ออกจากบ้าน ส่วนคุณถูกให้ออกจากงาน” ชายหนุ่มยกแก้ววิสกี้ขึ้นท้าดวล “เรามาดื่มให้แก่บุคลผู้ได้รับรางวัลสุดห่วยแห่งปีด้วยกันดีกว่า”

หญิงสาวไม่รีรอที่จะรับคำท้า ยกขวดเบียร์ขึ้นประชันทันที ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลเหลือเกิน

ราตรีห่วยๆของคนห่วยๆสองคน




************************************

จบตอนจ้า

:ช่วงนี้คุณผู้อ่านในเว็บเหลือน้อยเนาะ
:น้อยแต่ขอแกนั่นแหละ เรื่องอื่นเค้าครึกครื้นกันอยู่
:อ้าวเรอะ ก็หนังผีไง มันต้องวังเวง คนอ่านเค้าอินเทรน แกนี่เชยไม่รู้อะไร ก๊ากๆๆๆๆ

ชงเอง เล่นเอง ขำเอง มามะ กลับมา มาอยู่เป็นเพื่อนยายกรรณกันหน่อยน้า กรรณกลัวผีหลอกกกก กุ๊กๆกู๋




พันธุ์แตงกวา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ย. 2557, 09:42:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 พ.ย. 2557, 09:42:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 2284





<< บทที่ 1 : จากใจชายคนหนึ่ง   บทที่ 3 : ซินเดอร์เรลลา >>
พันธุ์แตงกวา 6 พ.ย. 2557, 09:48:49 น.
ตอบคอมเม้นท์

คุณน้องหนอน : อาตี๋ของเจ่เจ้ต้องรีบโชว์ซิคแพคก่อนคู่แข๋งจะมา อีหนาวล่วงหน้าแล้วน่าสงสาร^^

คุณแว่นใส : ลงที่เว็บเลิฟนี่ค่ะ ชื่อเรื่องพิสูจน์รักทานตะวัน กับรอยฝันกุหลาบนางฟ้านะคะ สนุกๆ ไรท์เตอร์อ่านแล้ว

หนูวัน : ครายจะเลือดกำเดาพุ่งเหมือนตัว อาตี๋ธีร์ไม่ใช่พี่ซันเน้อ ^^

น้องหมี : เมี่ยงคำนี่เป็นความอยากกินส่วนตัวเลยเอามาตั้งชื่อซะเลย55555 จะเป็นเงาของใครต้องติดตามตอนต่อไปเด้อ


tik 6 พ.ย. 2557, 12:40:07 น.
สนุก ๆ ช่วงนี้งานยุ่งค่ะ เข้ามาอ่านทีเดียว 2 ตอนเลย
ทำเอาน้ำตาไหลเลยอ่ะ สงสารพระเอก สงสารแม่หยกที่สุด
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วอ่ะค่ะ ต้องรอวันจันทร์เลยเหรอ


แว่นใส 6 พ.ย. 2557, 17:27:54 น.
ได้เจอกันละ


ดังปัณณ์ 6 พ.ย. 2557, 17:28:38 น.
555+

ยายกรรณเอ๊ย กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก น่าสงสารแต่ทำไมหัวเราะด้วยความสะใจ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกก ว่าแต่ ว่าแต่ แหม ทั้งยายกรรณ ทั้งตี่ตี้ เป็นเด็กมีปัญหาทั้งนั้นเลยนิ โถๆๆๆ แล้วมันจะเกิดอัลไลลลลลลลลลลลลลลขึ้น

ตอนเช้ามากรี๊ดวี้ดว้ายอยู่บนเตียงเดียวกันอ่ะป่าว อั้ยๆๆๆๆๆๆๆ

ปูลู.ตี่ตี้ อย่าว้อนนะ เดี๋ยวปั้ดโดนกรรณเหนี่ยวหรอก หุๆๆ


Pat 6 พ.ย. 2557, 20:08:23 น.
อ่านอยู่ค่า


บุลินทร 6 พ.ย. 2557, 21:18:04 น.
โห กรรณเปลี่ยนที่ทำงานบ่อยมากกก ฮ่าๆๆ ของบลท.แค่สี่ที่เอง ออกเร็วสุดเดือนครึ่ง สังคมออฟฟิศที่ว่ามาใช่มากอะ แบบนั้นเลยยย

ก๊าก ฟีทเจอริ่งด้วยท่วง่าร๊อคแอนด์โรล มันยังไงเนี่ย แถมเพลงแต่ละเพลงยังฮาอีก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ขำต่อเนื่อง แต่ๆๆ...

ตัดมาฉากบ้านพระเอกนี่ดราม่าเชียว ปัญหาพี่น้องกับเรื่องเงินๆทองๆ

รอติดตามต่อครับ


Zephyr 9 พ.ย. 2557, 17:29:27 น.
นั่น เมาคู่จะไปลงที่ไหนละเนี่ย
ไปอยู่ด้วยกันเล้ยยยย โฮะๆๆๆ


ปลายสี 25 ธ.ค. 2557, 22:20:36 น.
เค้าเพิ่งมาอ่านนนน รอเค้าด้วยนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account